ธรรมเนียมราชตระกูลแห่งรัตนโกสินทร์ |
![]() |
เขียนโดย ภาษาสยาม |
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2008 เวลา 20:41 น. |
หลายกิ่งหลายสายนัก แต่มีเวลาที่เปลี่ยนลงเป็นขุนนางได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ เจ้านายจึงไม่สู้มากเหลือเกินเหมือนเมืองลาว ซึ่งแลเห็นอยู่ทุกวันนี้ เมืองเชียงใหม่ก็ดี เมืองหลวงพระบางก็ดี ไม่ได้นับชั้นว่าเป็นเจ้าอย่างไรชั้นใด สุดแต่เป็นเชื้อสาย ในราชตระกูลก็เรียกว่าเจ้าทั้งสิ้น จนเจ้าอย่างนี้ได้มาเป็นนายหมวดคุมคน ๙ คน ๑๐ คน อยู่ในเมืองเราก็มี ตั้งแต่จุลศักราช ๗๑๒ ปี มาจนบัดนี้ ธรรมเนียมที่เรียกชื่อเสียง แลยศศักดิ์นั้น ก็เปลี่ยนแปลงกันไปเป็นหลายครั้งหลายครา แต่ไม่ได้เปลี่ยนต้นเปลี่ยนรากที่เดียว เป็นแต่เปลี่ยนเล็กน้อย ตามปัญญาของผู้ครองแผ่นดินที่จะรักษาราชตระกูลให้เรียบร้อย ในเวลาบ้านเมืองกำลังเป็นป่าอยู่มาก ในตอนตั้งแต่กรุงเก่าลงมา จนถึงศักราช ๙๐๐ เศษ อยู่ในระหว่างสองร้อยปีนั้น ธรรมเนียมราชตระกูลคล้ายคลึงกันตลอดมา ตั้งแต่นั้นต่อมาภายหลัง ก็เปลี่ยนแปลงมา เกือบจะเหมือนกับในปัจจุบันนี้ ไม่ใคร่จะมียักย้ายไปอย่างอื่น ซึ่งได้ตั้งขึ้นแต่ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้สร้างกรุง ในจุลศักราช ๗๒๐ ทีหลังสร้างกรุงแล้ว ๘ ปี ชื่อกฎมณเฑียรบาลนี้แปลว่าสำหรับรักษาเรือนเจ้าแผ่นดิน ในกฎหมายนั้นได้พรรณนากำหนดพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน แลพระบรมวงศานุวงศ์ แลข้อบังคับ สำหรับข้าราชการที่จะประพฤติให้ถูกต้อง ไม่มีความผิดในพระเจ้าแผ่นดิน แต่กฎหมายนั้นถ้อยคำเป็นคำโบราณ คนไทยเองถ้าไม่ได้เป็นคนเรียน แลเป็นคยคิดอยู่บ้าง จะอ่านไม่ใคร่จะเข้าใจเลย เพราะอย่างนั้นคนไทยทุกคนรู้จักกฎหมายนี้ แต่ไม่ใคร่จะทราบว่าเนื้อความในกฎหมายนั้นเป็นอย่างไร เพราะขี้เกียจอ่านขี้เกียจคิด ในกฎหมายนั้นได้แบ่งเจ้าออกเป็น ๔ ชั้น
จึงเรียกว่าเป็นลูกหลวงเอก พระเจ้าลูกเธอชั้นนี้ มียศได้กินเมืองเอก คือ เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองนครราชสีมา เป็นต้น เรียกว่าลูกเธอกินเมืองเอกก็เรียก
ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า แครนด์ดอเตอ เจ้าที่เกิดด้วยหลานหลวงดังนี้ ก็นับว่าเป็นลูกหลวงเหมือนกัน แต่มียศกินเมืองโท เหมือนเมืองสวรรคโลก เมืองสุพรรณ เป็นต้น (เพราะหลานหลวงที่เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ก็มีตำแหน่งกินเมืองเหมือนกัน คือ เมืองอินทร เมืองพรหม)
ก็ถวายบังคมกันเป็นลำดับไปตามยศ ถึงจะแก่อ่อนกว่ากันอย่างไร ไม่ได้กำหนดด้วยอายุ กำหนดเอายศเป็นประมาณ ถ้าลูกเธอมียศมาก จะเป็นผู้น้อยเด็กทีเดียว ที่มียศน้อยจะเป็นผู้ใหญ่แก่กว่ากันมาก ถึงจะเป็น พี่ ป้า น้า อา ประการใดก็ต้องไหว้ ต้องเดินตามหลังผู้มียศมาก เพราะเป็นผู้ไปครองเมืองอย่างนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกเจ้าฟ้า เจ้าฟ้านั้นคือเจ้าแผ่นดิน ฤาเจ้าเมือง ตามคำกล่าวถึงเดี๋ยวนี้ เ จ้าฟ้าข้างเมืองลาวยังมีมากนัก คือเจ้าฟ้าแสนหวี เจ้าฟ้าเมืองหลึก เจ้าฟ้าเมืองมืด เป็นต้น จนครั้งนี้เมื่อรบกับฮ่อ ในหนังสือที่มีไปมา แลคำให้การยังเรียกว่าเจ้าฟ้าเมืองไทย เจ้าฟ้าเมืองญวน เจ้าฟ้านั้นแปลว่า เจ้าเมืองตรงที่เดียว แต่เป็นวิสัยอยากจะพูดให้สูง จึงเรียกว่าเจ้าฟ้าเมืองหนึ่งเป็นเจ้าลงมาจากฟ้า คือว่าเป็นเชื้อวงศ์ของเทวดา เพราะธรรมเนียมข้างอินเดียนี้ถือกันว่าเจ้าแผ่นดินเป็นสมมุติเทวดา ธรรมเนียมแต่ตั้งกรุงแล้ว จนถึง ๒๐๐ ปีนั้น เป็นแบบอยู่ดังนี้ บางทีก็ไปเข้าด้วยพวกข้าศึก กลับมาทำร้ายกรุงซึ่งเป็นพี่น้องไม่สู้สนิทกัน จึงได้เลิกธรรมเนียมนี้เสียโดยเงียบๆ ไม่ได้ประกาศว่าจะไม่ตั้งต่อไป แต่ไม่ได้มีไปครองเมืองอีกเลย อยู่มาพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใคร่จะมีพระอัครมเหสีที่ยกย่องเหลือเกินกว่ากัน ที่จะให้เป็นสมเด็จหน่อพุทธเจ้า จึงได้คงมีอยู่แต่เจ้าฟ้า ต่อมายศสมเด็จหน่อพุทธเจ้านั้น ก็หายไปทีเดียว ถึงเป็นลูกพระมเหสี ก็เรียกเพียงเจ้าฟ้า เหมือนลูกเธอที่เกิดด้วยลูกหลวงแลหลานหลวง ยศเจ้าฟ้าเป็นยศของหัวหน้าเจ้านายทีเดียว เป็นแต่ในเจ้าฟ้าบางองค์ ซึ่งเป็นลูกเธอด้วยกัน เจ้าแผ่นดินเห็นสมควรยกขึ้นเป็นวังหน้า มีอยู่บ้างเป็นบางคราวๆไม่เสมอไป แต่เจ้าฟ้ายังมีอำนาจที่จะแห่หอกได้เหมือนเจ้าแผ่นดิน อย่างเช่นตัวได้ครองเมืองอยู่ เมื่อเวลาไปทางเรือ ก็มีเรือดั้งกระทุ้งส้าวเหมือนเจ้าแผ่นดินได้ แลเดินหน้าเจ้านาย ซึ่งมียศต่ำกว่าดังเช่นว่ามาแล้ว ธรรมเนียมแผ่นดินมาว่ามารดาไม่ได้อยู่ในราชตระกูลเดียวกัน รดน้ำด้วยหม้อนั้นเป็นจันไร พราหมณ์ไม่ยอมรดให้ จะรดได้ก็ที่เป็นเจ้าฟ้าอนึ่งเมื่อทำพิธีตรียัมพวาย บูชาพระอิศวรโล้ชิงช้า ช้าหงส์เสร็จแล้ว พราหมณ์นำเอาของบูชาพระอิศวรมาให้ ถ้าเป็นเจ้าฟ้า พราหมณ์นั้นว่าคาถาของพราหมณ์ ด้วยเสียงดังมีทำนองเหมือยหนึ่งถวายพระอิศวร และถวายพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าจะไปถวายแก่เจ้านายอื่นๆก็เป็นจันไรเหมือนกัน หนึ่งเมื่อเวลาประสูติเจ้าฟ้านั้น ครบเดือนเข้าแล้ว พราหมณ์จะยกขึ้นอู่ ต้องว่าคาถาสรรเสริญไกรลาส เหมือนหนึ่งเอาหงส์ขึ้นบนเปลแล้วกล่อมด้วยคาถาของพราหมณ์ แลมีเครื่องมโหรีอย่างหนึ่ง เฉพาะทำได้แต่การหลวง แลการของเจ้าฟ้า คือมีซอคัน ๑ มีบัณเฑาะว์ ๒ อัน มีคนขับคน ๑ เรียกว่า ขับไม้ เจ้านายตามธรรมเนียม เป็นคำสูงๆเป็นต้นว่า อย่างเช่น พระเสด็จมาผ่านพิภพปกป้องพระวงศานุวงศ์แลราษฎร ดังนี้ บ้างตามที่นายเวรตำรวจนายเวรมหาดเล็ก นายเวรฝีพาย มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่เจ้าของจะตั้ง วิเศษกว่าเจ้านายตามธรรมเนียม ก็มีเขาไกรลาส การแห่โสกันต์นั้น เป็น ๖ วัน ๗ วัน ทั้งลอยพระเกศา แลเมื่อโสกันต์เจ้าฟ้าต้องนั่งอยู่บนหนังราชสีห์ ฤารูปราชสีห์ปัก อย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดินขึ้นพระภัทรบิฐ แลจุกที่แบ่งผมเวลาจะตัดตามธรรมเนียมเจ้านายทั้งปวงแบ่งเป็นสามแหยม แต่เจ้าฟ้าต้องแบ่ง ๕ แหยม เรียกว่า เบญจสิงขรคือเอาอย่างเทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นคนดีดพิณของพระอิศวรได้ทำผมเป็นห้าแหยม แลสรงน้ำด้วยปากสัตว์ทั้ง ๔ ดังเช่นการโสกันต์ที่เคยมีมาแล้วแลเจ้าฟ้านั้นไม่มียศที่สมควรจะเป็นกรมหมื่น ถ้าจะได้เป็นกรม ต้องเป็นตั้งแต่กรมขุนขึ้นไป แลมีศักดินาแปลกกว่าเจ้านายตามธรรมเนียมหลายเท่าคือถ้าเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๒๐,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ทรงศักดินา ๕๐,๐๐๐ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ๔๐,๐๐๐ เจ้าทั้งสองชั้นนี้ถ้าเป็นอุปราชทรงศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ พระองค์เจ้าตามธรรมเนียม ถ้าเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ ทรงศักดินาแต่ ๗,๐๐๐ ลูกยาเธอ ๖,๐๐๐ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๖,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ เท่ากันทั้งสามชั้น แต่ถ้าเป็นพระเจ้าหลานเธอเหมือนหนึ่งเจ้านายวังหน้า ศักดินา ๔,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ศักดินาจึงขึ้นเป็น ๑๑,๐๐๐ ตำแหน่งมานี้เป็นของโบราณ ตั้งมาแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ ๑ ซึ่งได้เถลิง ราชสมบัติในจุลศักราช ๗๙๖ ปี ยังอยู่ในตอน ๒๐๐ ปีข้างต้น เมื่อดูตำแหน่งศักดินานี้แล้วก็จะเห็นว่า เจ้าฟ้ายศมากกว่า พระองค์เจ้าเท่าใด อนึ่งเจ้าฟ้าเป็นต่างกรม จะเป็นกรมขุน กรมหลวง กรมพระ อย่างไรก็ดี ไม่ได้เรียกพระนามตามกรม เปลี่ยนพระนามเดิมเหมือนเจ้าต่างกรมทั้งปวง เพราะเจ้าฟ้านั้น เมื่อจะได้รับพระนามกำหนดต่อพระชนมพรรษาได้ ๘ ปีเศษ ฤา ๙ ปี พระนามนั้นจาฤกในสุพรรณบัฏนี้ สร้อยยาวดังเช่นตัวเราเอง ได้รับสุพรรณบัฏจาฤกชื่อว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุดพงศบริพัต ศิริวัฒนราชกุมาร ฤาศิริวัฒนราชวโรรส ตามเวลาเด็กเวลาหนุ่ม ซึ่งเป็นพระราชบิดาทุกๆพระองค์เหมือนหนึ่งพระนามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คือเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งทรงพระนามว่า อิศรสุนทร แลตัวเราเองมีว่า บดินทรเทพยมหามกุฎบุรุษรัตนราชรวิวงศ์ ท่านกลางมีว่า มกุฎราชวรางกูร คือเป็นพระราชโอรสของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระนามว่า มหามงกุฎ แต่เจ้าฟ้าหญิงนั้น มีสร้อยพระนามสั้นๆ ไม่มีพระนามพระราชบิดา ที่ได้รับพระสุพรรณบัฏแต่ทรงพระเยาว์นั้นไม่เลิกถอน พระนามซึ่งตั้งเป็นกรมนั้นไม่เป็นพระนามของเจ้า เป็นชื่อของเจ้ากรม ถาจะเรียกพระนาม ต้องเรีกพระนามเดิม ตลอดถึงชื่อเจ้ากรมด้วย เหมือนอย่างสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบำราบปรปักษ์ เจ้ากรมเป็นพระบำราบปรปักษ์ ปลัดกรมเป็นหลวง สมุหบัญชีเป็นขุนตามลำดับยศ เป็นต่างกรมอย่างสูงถึงกรมสมเด็จพระ ก็จะใช้เครื่องลงยาไม่ได้ ต้องใช้ทองเปล่า เว้นแต่ทำใช้เองในเวลานอกจาก หน้าพระที่นั่งพระเจ้าแผ่นดิน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯพระราชทานเครื่องในพานนั้นลงยา พานทองเปล่า แก่ท่านผู้ที่ได้ช่วยราชการแผ่นดินบ้าง น้อยคนที่เดียว ถ้าเจ้าฟ้าได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ใช้สร้อยพระนาม อุภโตสุชาติสังสุทธเคราหณี ซึ่งเป็นคำนับถือของพวกนักปราญช์ชาวสยามว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ คำว่าอุภโตสุชาตินั้นว่ามีความเกิดดี แต่ฝักฝ่ายทั้งสอง สังสุทธเคราหณีว่ามีครรภเป็นที่ถือเอาปฏิสนธิบริสุทธิ์พร้อม คือถ้าจะรวมความตามเข้าใจ ว่ามีครรภ์ที่เกิด ปฏิสนธิบริสุทธิ์เป็นอันดีพร้อมทั้งสองฝ่าย คำซึ่งเรียกว่าทูลกระหม่อมนี้ไม่เป๋นยศในตำแหน่ง เป็นแต่เรียกกันขึ้นลอยๆ เหมือนดังขุนนางเป็นพระยา แล้วบ่าวไพร่ฤาใครๆ ที่มียศต่ำกว่า ฤาขุนนางด้วยกันเองที่มียศเสมอกัน เคยเรียกว่าเจ้าคุณ แต่คำที่เรียกเจ้าคุณนี้ ถ้าจะกราบทูลในราชการ ก็ใช้ไม่ได้ต้องเรียกชื่อพระยาอันนั้นตามที่ตั้ง ฉันใดคำที่เรียกว่า ทูลกระหม่อม นี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น แต่บางทีถ้าไม่เป็นที่ใช้ ในหนังสือราชการ แลคำกราบทูลที่ไม่เป็นราชการแท้ ก็กราบทูลว่า ทูลกระหม่อม ได้บ้างเป็นแต่ไปรเวต แล้วเรียกทูลกระหม่อมได้ทั้งสิ้น ถึงโดยผู้อื่นจะเรียกบ้างไม่เรียกบ้าง ข้าไทคนใช้นั้นคงเรียกว่า ทูลกระหม่อม ทูลกระหม่อม เหมือนกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งว่าอย่างนี้ เป็นการถูกธรรมเนียมแล้ว แต่ยศนี้เจ้าแผ่นดินไม่ต้องตั้ง คนทั้งปวงเรียกเองได้ ก็เป็นยศของเจ้าฟ้าผิดกับพระองค์เจ้าด้วยอย่างหนึ่ง เจ้าฟ้ายังได้รับอยู่เสมอจนถึงปัจจุบันนี้ เว้นแต่การโสกันต์แลการลงสรงที่เป็นการใหญ่ๆ ต้องใช้ผู้คนมาก เวลามีราชการ บ้านเมืองขัดขวางก็ไม่ได้ทำ ถ้าว่างเปล่าสมควรจะทำได้ก็ได้ทำ มียศศักดิ์น้อยกว่าพระเจ้าลูกเธอของพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพระองค์เจ้า จะมีเครื่องยศแลการโสกันต์ทรงผนวชสิ่งใดก็เท่าๆกับ เจ้านายตามธรรมเนียม ฤาต่ำลงไปกว่าพระองค์เจ้าบ้าง ตามลำดับยศซึ่งพรรณนามาข้างต้น ต้องเข้าใจว่าเป็นแต่เจ้าฟ้าที่เป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินใหญ่พวกเดียวเท่านั้น ธรรมเนียมยศเจ้าฟ้าลูกเจ้าแผ่นดิน ดังเช่นว่ามานั้นมีมาแต่โบราณ ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ จะเก็บมาเรียงในที่นี้ก็จะยืดยาวนัก ด้วยเป็นของเลิกทิ้งเสียแล้ว ที่ยังเหลือติดมาบ้างก็เป็นแต่ของหลวงพระราชทาน เหมือนหนึ่งเครื่องสูงกลองชนะแห่โสกันต์เป็นต้น จะพรรณนาให้ละเอียดก็เห็นจะไม่จบ ตั้งแต่กรุงเก่ามาจนถึงกรุงเทพฯในระหว่าง ๓๐๐ ปีเศษ ว่าเจ้าอย่างไรสมควรจะเป็นเจ้าฟ้า อย่างไรไม่สมควรจะเป็น ตามตัวอย่างมีอ้างอิงให้เห็นชัดได้สมเป็นแบบแผน ให้พึงทราบไว้ก่อนว่า ในราชตระกูลนั้นนับถือข้างฝ่ายมารดามาก ถ้าจะนับผู้ที่สมควรเป็นเจ้าฟ้าได้นั้น เป็นได้เพราะ ได้ตามชอบพระทัย แต่คงไม่ผิดจากหนทางที่เป็นแบบมาแล้ว แล้ววิเศษกว่าพระเจ้าแผ่นดิน ที่บรมราชาภิเษก สืบพระวงศ์บ้างเล็กน้อย คือเหมือนหนึ่งพระพี่ยาเธอ พระพี่นาง พระน้องนาง ที่ร่วมพระครรภ์กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าได้ พระราชโอรสอค์ใดองค์หนึ่ง จะยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าก็ได้ (๑) เหมือนอย่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงยกสมเด็จพระพี่นางเธอ ๒ พระองค์ และพระเจ้าลูกเธอซึ่งเป็นพระโอรสพระธิดากรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์เป็นเจ้าฟ้าทั้ง ๔ พระองค์ แต่กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ซึ่งเป็นพระมารดานั้น ก็ไม่ได้ยกขึ้นเป็นอัครมเหสี มีการตั้งแต่งอย่างไรอย่างหนึ่ง เป็นแต่โปรดฯให้เป็นเจ้ า จะได้สมกับที่เป็นพระมารดาเจ้าฟ้า นี่เป็นเจ้าฟ้าตั้งขึ้นยกขึ้นอย่างหนึ่ง แต่พระเจ้าน้องยาเธอของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งบรมราชาภิเษก สืบพระบรมราชวงศ์โดยการเรียบร้อย เหมือนพระบาทสมเด็นพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาร่วมพระมารดาไม่เห็นยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้า (๒) จะเป็นด้วยสิ้นพระชนม์ไปเสียแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงไม่ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ฤามีธรรมเนียมห้ามปรามกันอย่างไรก็ไม่ทราบ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบำราบปรปักษ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสเจ้าฟ้ากุณฑล เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระราชบิดา ถ้าจะว่าตามภาษาอังกฤษก็นับว่าเป็น เจ้าฟ้าไบไรต์ (By rigth) แต่พระราชนัดดาของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ไม่ใคร่จะมีพระบิดามารดาเป็นเจ้าฟ้า ฤาเป็นพระองค์เจ้าทั้งสองฝ่าย จึงตกลงเป็นหม่อมเจ้าเสียโดยมาก เมื่อเป็นหม่อมเจ้าอยู่ดังนี้ ก็ไม่สมควที่จะเป็นพระมารดาเจ้าฟ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดิน จะโปรดให้เป็นเจ้าฟ้าจึงต้องยกขึ้นให้เป็นพระองค์เจ้า เหมือนแบบในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าหญิงในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ๆ ยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าไว้แต่ก่อนแล้ว ครั้นมาเป็นพระราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชโอรสเป็นเจ้าฟ้า แลหม่อมเจ้ารำเพยเป็นพระราชธิดาในกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสใหญ่ใน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นพระราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยกขึ้นเป็น พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ได้เป็นพระราชมารดาเจ้าฟ้าถึง ๔ พระองค์ เจ้าฟ้าอย่างนี้เป็น เจ้าฟ้าไบไรต์(By rigth) เหมือนกัน แต่ซึ่งต้องยกเป็นพระองคืเจ้า เพราะจะให้สมกับพระเกียรติยศเจ้าฟ้า ซึ่งเป็นพระโอรสแต่ที่พระราชโอรสพระเจ้าแผ่นดิน เกิดด้วยหลานเธออย่างนี้ พระเจ้าแผ่นดินไม่โรปดฯให้เป็นเจ้าฟ้าก็ได้ ธรรมเนียมที่ว่าพระราชโอรสเกิดด้วยหลานหลวงเป็นเจ้าฟ้านั้น ถ้าเป็นพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า ถ้าเป็นหม่อมเจ้าไม่แน่ พระเจ้าแผ่นดินยังขัดขวางได้ ภายหลังมาเป็นเมืองประเทศราชขึ้นกรุงเทพฯ พระเจ้าแผ่นดินนั้นยังคงศักดิ์อยู่ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินจะโปรดฯให้หลานเจ้าคนนั้น ซึ่งเป็นพระราชโอรส พระราชธิดาของพระองค์เป็นเจ้าฟ้าก็เป็นได้ เหมือนดังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยกพระองค์เจ้าหญิงในเจ้าจอมมารดา ซึ่งเป็นลูกเจ้าเวียงจันทน์ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงกุญฑลทิพยวดี เจ้าฟ้าดังนี้ก็ยังนับว่าเป็นไบไรต์ แต่คนไม่สู้จะนับถือเหมือนพระมารดา ซึ่งเป็นพระบรมวงศ์เดียวกัน แลในแผ่นดิ นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นักเยี่ยมซึ่งเป็นบุตรสมเด็จพระเจ้านโรดมเจ้ากรุงกัมพูชา ซึ่งโปรดฯให้เป็น พระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวง แลตนกูสุเบีย ซึ่งเป็นน้องสาวสุลต่านมหมุดเมืองลิงงา เป็นพระสนมอยู่ทั้งสองคน ก็ได้ปรารภเป็นการดังทราบทั่วกัน ถ้าพระราชบุตรเกิดด้วยเจ้า ๒ คนนี้ ก็ต้องเป็นเจ้าฟ้าตามธรรมเนียมเหมือนกัน แต่ก็มีคนรังเกียจอยู่ในการที่จะต้องเป็นดังนั้นมาก ฤาเป็นเจ้าต่างกรมพระองค์เจ้าอย่างใดๆก็ดี เมื่อเจ้าฟ้าหญิงองค์นั้นมีพระโอรสพระธิดา ก็คงเป็นเจ้าฟ้าตามพระมารดา แต่ศักดินาลดลงไปตามบรรดาศักดิ์เจ้าซึ่งเป็นพระบิดา ได้แต่ชื่อว่าเป็นเจ้าฟ้าเหมือนสมเด็จพระพี่นางเธอของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา ตามพระมารดา ครั้นถายหลังมาเจ้าฟ้าหยิงซึ่งเป็นพระธิดาสมเด็จพระพี่นางพระองค์น้อยได้เป็นพระชายา
เป็นตัวอย่างดังนี้ แต่ผู้อ่านต้องเข้าใจว่าเจ้าฟ้าหญิงซึ่งจะได้เป็นเมียพระองค์เจ้า แลพระองค์เจ้าจะเป็นเมียหม่อมเจ้า ฤาเป็นเมียยขุนนาง ฤาเจ้าต่างประเทศ แลเจ้าในตระกูลแต่มิใช่พี่น้องสนิทกันนั้น ธรรมเนียมห้าม มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้าจะมีสวามีต้องมีได้แต่ที่เป็นพี่น้องกันสนิทแลมียศเสมอกัน ฤาที่ชายสูงกว่าหญิง เพราะเหตุนั้นเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า จึงเป็นธรรมเนียมไม่ได้มีพระสวามีแทบทั้งนั้น ถ้าจะมีก็เป็นแต่พระราชเทวีของพระเจ้าแผ่นดินบ้าง ซึ่งจะมีพระสวามีอื่นนอกจากพระเจ้าแผ่นดินนั้นน้อยนัก เพราะมักจะเป็นที่รังเกียจกันไป จึงไม่มีเจ้าฟ้าซึ่งสืบตระกูลพระมารดาดังเช่นว่ามาแล้ว ซึ่งจะชี้เป็นตัวอย่าง ให้เห็นได้ในปัจจุบันนี้ มีมากอยู่ก็แต่เมื่อแรกตั้งบรมราชวงศ์เป็นเจ้าขึ้นใหม่ๆ เจ้าฟ้าโดยพระมารดาดังนี้ก็นับว่าเป็น ไบคอกเตสซี(BY-courtesy) พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแล้ว ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเจ้าองค์นั้น โดยเป็นลูกใหญ่ของวังหน้าบ้าง ได้รับราชการบ้าง มีเชื้อวงศ์ข้างมารดาอยู่พอจะยกย่องให้เป็นเจ้าฟ้า ก็โปรดฯยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าพอเป็นเกียรติยศ มีตัวอย่างมาสององค์ คือ เจ้าหญิงพิกุลทอง ซึ่งเป็นพระราชธิดากรมพระราชวังในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มารดาเป็นลูกเจ้าลาวเมืองเชียงใหม่ โปรดฯตั้งให้เป็นเจ้าฟ้า แต่ที่มารดาเป็นลูกเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีก็มีมารดาเป็นพระองค์เจ้า พระธิดาเจ้ากรุงธนบุรีก็ไม่โปรดฯให้เป็นเจ้าฟ้า ก็ต้องเป็นอยู่แต่พระองคืเจ้า ครั้นอยู่มาถึงกรมพระราชวังในแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า มีพระราชบยุตรเกิดด้วยพระองค์เจ้าดารา ซึ่งเป็นพระธิดากรมพระราชวังที่ ๑ ก็ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้า เป็นแต่พระองค์เจ้าอิศราพงษ์ อยู่จนเป็นผู้ใหญ่อายุจนถึง ๓๐ ปีเศษ ครั้นมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับราชการเรียบร้อยแข็งแรงมาก ก็โปรดฯให้เป็น เจ้าฟ้า โดยโปรโมชั่น(Promotion) แต่เจ้าฟ้าอย่างนี้ไม่ได้ใช้คำนำ พระนามว่าสมเด็จ ใช้แต่พระบรมวงศ์เธอเหมือนพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าอย่างนี้เป็นได้แต่เฉพาะแต่พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้เป็น พอเป็นที่ยินดี เป็นเจ้าฟ้านอกแบบ ลูกวังหน้าจะเป็นเจ้าฟ้าได้จริง ก็แต่ที่พระมารดาเป็นเจ้าฟ้าเหมือนอธิบายไว้แล้วข้างบน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้มีพระราชบุตรด้วยเจ้ากรุงธนบุรีองค์หนึ่ง แล้วพระมารดาก็สิ้นชีพไป ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬ่โลกได้รับตำแหน่งใหญ่เรียกว่ามหากษัตริย์ศึก
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเหมือนเป็นเจ้าในการศึกองค์หนึ่ง แลโดยเจ้ากรุงธนบุรีได้ปราบดาภิเษก มีอำนาจที่จะตั้งเจ้าฟ้าได้ดังเช่นว่าไว้ในข้อ ๑. จึงได้ตั้งพระเจ้าลูกเธอพระองค์นั้น เป็นเจ้าฟ้าวิเศษมิใช่โดยไรต์องค์หนึ่ง เจ้าฟ้านอกนั้นก็เกิดด้วยเชื้อวงศ์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีอีก ๒ องค์ แต่เจ้าฟ้าทั้งสององค์นั้นตั้งโดยไรต์ ไม่เหมือนเจ้าฟ้า ซึ่งเป็นพระราชนัดดาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนี้ แต่ครั้นภายหลังมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราดาภิเษก เจ้ฟ้าพระองค์นี้ก็เป็นเจ้าฟ้าไบไรต์ เพราะเป็นพระราชธิดาสมเด็จพระอมรินทรามารตย์ ก็คงเป็นเจ้าฟ้าเหมือนกับ พระโอรสซึ่งเป็นเจ้าฟ้า ผู้ที่สมควรเป็นเจ้าฟ้า ซึ่งได้เป็นมาแล้วในระหว่าง ๓๐๐ ปี ได้เป็นเจ้าทั้ง๗ หมู่นี้เท่านั้น นอกจากนั้นพระเจ้าแผ่นดิน จะมีพระราชโอรสด้วยพระสนมใดๆ เป็นเจ้าฟ้าไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะแบ่งยศในจำพวกเจ้าฟ้าเหล่านี้ ตามกฎหมายศักดินา ก็เห็นว่าเจ้าฟ้าซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยเธอเป็นที่หนึ่ง แต่เจ้าฟ้าซึ่งเป็นพี่ป้าน้าอาของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ไ ม่มีกำหนดในศักดินาแต่ดูเหมือนจะมียศใหญ่กว่าเจ้าฟ้าที่เป็นน้องยาเธอ เพราะธรรมเนียมที่นับในกฎหมายนั้นนับตามผู้ใหญ่เด็ก ไม่ได้นับตามชิดแลห่าง เว้นแต่ศักดินาที่ใช้ในปัจจุบันนี้ ไม่ได้แก้กฎหมายเก่าเลย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามีศักดินาลดลงมาหน่อยหนึ่ง จึงนับเป็นชั้นรอง เจ้าฟ้าตามธรรมเนียมเหมือนหนึ่ง เจ้าฟ้าหลานเธอนับเป็นชั้นต่ำ ด้วยถึงเป็นกรมแล้ว ก็มียศอยู่เพียงเสมอพระองค์เจ้าต่างกรม จึงปรากฏเป็นเจ้าฟ้าสืบมา ไม่ได้ขาดระหว่างเลยจนถึงบัดนี้ เรื่องเจ้าฟ้าที่กล่าวมานี้ มีตัวอย่างชี้ให้เห็นได้ทุกๆอย่าง แลต้องกันกับที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียบเรียงเรื่องโสกันต์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลูสัปตศก จ.ศ. ๑๒๒๗ เป็นวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๘
วันที่ ๑๗ มกราคม ค.ศ. ๑๘๖๖ หน้า ๒๒๑ วันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ วันที่ ๓๑ มกราคม กับเล่ม ๒ หน้า ๑ วันแรม ๑ เดือน ๔ วันที่ ๑ มีนาคม
ลงพิมพ์หนังสือบางกอกรีคอร์เดอร์ของหมอบัดเล เมื่อศักราช ๑๒๒๗ ลงไปอีกโดยลำดับ พระองค์เจ้า อย่างหนึ่ง แต่ต่อมาถึงแผ่นดินกรุงเทพฯ พระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทรงเห็นว่ากรมพระราชวังได้ทำศึกมาก จึงได้โปรดฯให้เป็นพระองค์เจ้าทั้งสิ้น ภายหลังก็เป็นพระองค์เจ้า ตามๆกันมาอีกพวกหนึ่ง ดังเช่นเจ้าฟ้าหญิงมีลูกต้องเป็นเจ้าฟ้าเสมอมารดาฉะนั้น นี่ก็เป็นพระองค์เจ้าอีกจำพวกหนึ่ง ฤาเป็นที่คุ้นเคยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าได้ไม่มีกำหนดว่าเท่าใด เหมือนกับยกลูกวังหน้าขึ้นเป็นเจ้าฟ้า แต่ลูกต่างกรมฤาพระองค์เจ้าวังหน้าไม่เคยยกขึ้น ยกขึ้นแต่ลูกเจ้าต่างกรม แลพระองค์เจ้าวังหลวงซึ่งเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน มียศแปลกๆกันมากทีเดียว ยศซึ่งจะกำหนดแปลกกันนั้น ด้วยคำนำพระนามข้างหน้า คำนำพระนามนั้นมีมากหลายอย่างนัก ศักดินาก็ขึ้นลงตามคำนำพระนามนั้นด้วย แลเป็นเนื้อความให้รู้ชั้นของพระองค์เจ้านั้นด้วย แปลว่าท่านคือพระเจ้าปู่ท่าน พระเจ้าย่าท่าน แปลดังนี้ตลอดไป ท่านนั้นคือ เจ้าแผ่นดินองค์ใหญ่องค์เดียว เพราะทรงพระราชดำริเห็นว่า พระราชบุตร พระราชบุตรีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอ มาก่อนแล้ว ครั้นพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ก็จะต้องลดลงเป็นพระเจ้าหลานเธอ ศักดินาเสมอพระองค์เจ้าวังหน้า เห็นไม่สมควร จึงโปรดฯให้เป็นพระเจ้าราชวงศ์เธอ คงศักดินาเสมอพระเจ้าลูกเธอ เมื่อยังไม่ได้เป็นกรมศักดินา ๖,๐๐๐ เมื่อเป็นต่างกรมขึ้นก็ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ เท่าชั้นสามข้างบนทั้งพระเจ้าลูกเธอ แลพระราชวงศ์เธอ นับเป็นพระองค์เจ้าอย่างเอกทั้ง ๕ ชั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในปัจจุบันนี้ เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๔ เป็นพระเจ้าหลานเธอทั้งสองอย่าง เป็นพระประพันธวงศ์เธอ เพราะเป็นพระวงศ์ของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองฝ่าย หม่อมเจ้ายกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าก็ดี เป็นพระวงศ์เธอทั้งสิ้น ทั้งสองพระองค์เหล่านี้ เป็นพระสัมพันธวงศ์เธอ ในกฎหมายว่าจะเป็นศักดินาเท่าไรแน่ ดูเหมือนของเก่าจะใช้อย่างเช่นหลานเธอเสมอมา แต่ที่เคยใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นพระองค์เจ้าศักดินาคงอยู่ ๑,๕๐๐ ฤาไม่ใคร่จะพูดถึงศักดินาทีเดียว เรื่องที่ให้ศักดินา ๑,๕๐๐ นี้เห็นว่าไม่ถูก แต่เมื่อเป็นต่างกรมแล้วคงใช้ศักดินา ๑๑,๐๐ เท่าเจ้านายวังหน้า แลหลานเธอซึ่งว่ามาแล้วทั้ง ๗ ชั้น จึงเป็นการถูกทีเดียว พระองค์เจ้าชั้นนี้ ถ้าจะแยกออกจากวังหน้าก็เป็นชั้นที่ ๓ แต่เมื่อเป็นต่างกรมขึ้นแล้ว จะนับรวมกันเข้ากับเจ้านายวังหน้าก็ได้ ลงไปอีกกี่ชั้นกี่ชั่วก็คงเกิดคำนำพระนามนี้ขึ้น แผ่นดินละอย่างสองอย่างทุกชั้น แต่เจ้าฟ้านั้นก็คงใช้ตามลำดับพระวงศ์ เหมือนพระองค์เจ้า เติมแต่สมเด็จข้างหน้า เหมือนอย่างสมเด็จพระบรมอัยยกาเธอ เจ้าฟ้า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า เป็นต้น ใช้คังนี้ตลอดไป เรียกเป็นพี่เป็นน้องของในหลวงตามที่เป็นจริง แต่ที่เป็นบรมวงศ์เธอ ราชวงศ์เธอ วรวงศ์เธอ บวรวงศ์เธอ ประพันธวงศ์เธอ สัมพันธวงศ์เธอดังนี้ไม่ได้เป็นคำเรียกตรงว่าเป็นอะไรชัด เป็นแต่คำยกย่องว่าเป็นสายใหญ่บ้าง กลางบ้าง เกี่ยวพันบ้าง เป็นของเกิดขึ้นใหม่ เพราะใช่คำตรงๆไม่ เพราะเหมือนหนึ่งจะใช้ว่าเจ้าป้าเธอ พระเจ้าลุงเธอ จึ่งได้ยักเสียเป็น บรมวงศ์เธอ จึงได้ยักเรียกไปอย่างนั้นจะว่าโดยพวกวรวงศ์เธอ บวรวงศ์เธอ นั้นเล่า ยศบรรดาศักด์ก็เหมือนหลานเธอ แต่ถ้าจะเรียดหลายเธอก็ไม่ได้ เพราะพระวรวงศ์เธอทั้ง ๔ ชั้นก็เป็นพระวงศ์ผู้ใหญ่ ครั้นจะไปเรียกรวมกันเข้ากับเจ้านายวังหน้า ยศก็ผิกกันไป ต่างหมู่ต่างพวกไม่สมควร จึงได้ยกขึ้นเป็นชื่อเสียอย่างหนึ่งถึงประพันธวงศ์เธอ สัมพันธวงศ์เธอ ก็เหมือนกันคำซึ่งเรียกต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นแต่เลือกหาคำที่ เพราะที่สูงให้เป็นลำดับกัน แต่ต้องเข้าใจว่าที่เรียกพระอะไรเธอนั้น เป็นพระอะไรของพระเจ้าแผ่นดิน องค์เดียว เหมือนหนึ่งพระบุตร พระบุตรีวังหน้า จะเรียกพระเจ้าลูกเธอวังหน้าก็ไม่ได้ ผู้ซึ่งเรียกดังนี้ แต่ก่อนมาก็ทราบว่า มีความผิดทุกครั้ง ภายหลังมาเมื่อเราเป็นผู้รับฎีกา ได้เห็นมีผู้มาร้องฎีกา เรียกว่าพระเจ้าลูกเธอวังหน้า ก็ต้องรับพระราชอาญาเป็น ๒ คน ๓ คน การเรื่องนี้ตรงกัน กับธรรมเนียมใช้เลขทับศก ต้องใช้ปีราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวเหมือนกัน กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ซึ่งเป็นพระอัยกาฝ่ายพระมารดาของเรา ก็นับว่าเป็นพระอัยยิกาน้องข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นพระเจ้าราชวงศ์เธอ แต่พระองค์ท่านเป็นผู้ทำนุบำรุงเรามาแต่เล็กจนโต เหมือนเป็นพระชนนี จึงได้ย่อมให้เรียกเป็นพระอัยยิกาเธอ ตามทางพระมารดาของเราองค์หนึ่ง กับกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ถ้าจะนับก็เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๒ แต่ท่านได้อุปัชฌาย์ สั่งสอนเรามาก จึงได้ยอมยกให้เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอเหมือนหนึ่งกับอาของเรา มีแปลกอยู่ ๒ แห่งเท่านี้ พระองค์เจ้าซึ่งมารดาไม่ได้เป็นพระองค์เจ้าทุกๆชั้น ต้องเป็นหม่อมเจ้า มีศักดินา ๑,๕๐๐ลูกของหม่อมเจ้าเป็นหม่อมราชวงศ์ มีศักดินา ๕๐๐ ลูกของหม่อมราชวงศ์ลงไป เป็นหม่อมหลวงมีศักดินา ๔๐๐ ต่อนั้นเป็นนายตามธรรมเนียม ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ขี่ช้างค้ำปลายเชือก ขี่ม้า โขลงกระบือ เหล่านี้ถือศักดินา ๘๐๐ ธรรมเนียมโบราณเต็มที สำหรับไปทัพใกล้ พระองค์พระเจ้าแผ่นดิน แต่มาภายหลังตั้งไม่ใคร่จะเต็ม มีแต่คนหนึ่งสองคนไม่ได้เรียกว่าเจ้าในราชการ เปลี่ยนเป็นหม่อม เหมือนหม่อมกระต่ายราโชไทยหม่อมเทวาธิราชซึ่งยังอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ข้างนอกเขาเรียกกันว่า เจ้าต่าย เจ้าเทวหนึ่ง แต่ที่ไปเป็นขุนนางเสียทีเดียวก็มีบ้างตั้งแต่หม่อมราชวงศ์ลงมา เวลาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่ก่อนต้องนุ่งสมปักเหมือนขุนนาง แต่คนละอย่าง คาดผ้าขาว ไม่ใช่แพรสีแลนุ่งผ้ามีลายต่างๆสีต่างๆไม่ได้ เหมือนหนึ่งเจ้าที่ยังมียศเป็นเจ้าแท้ ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปในเจ้านาย ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปจะแต่งตัวอย่างไรๆมาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีความผิด |
แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2009 เวลา 18:08 น. |