ตำนานวัดพระธาตุดอยสุเทพ พิมพ์
เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม 2009 เวลา 10:58 น.

       

                 พระธาตุดอยสุเทพตั้งอยู่บนดอยสุเทพ  จังหวัดเชียงใหม่ 

การขึ้นไปนมัสการในปัจจุบันนี้สะดวกสบายมาก  เพราะมีถนนซึ่งสร้างสำเร็จโดย

" ครูบาศรีวิชัย " พระคุณเจ้าได้เชิญชวนชาวบ้านในภาคเหนือทั้งหลาย  ให้ร่วมแรงร่วมใจกัน

ก่อสร้างถนนเวียนไปจนถึงยอดพระธาตุแห่งนี้

                ตำนานการสร้างพระธาตุดอยสุเทพกล่าวเอาไว้ว่า  กล่าวถึงพระมหาสุมนเถรเจ้าแห่งสุโขทัย

เกิดนิมิตฝันอันประหลาดว่า  พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า  ซึ่งพระเจ้าธรรมาอโศกราชให้อัญเชิญมาบรรจุไว้

พระเจดีย์เมืองปางจานั้น  บัดนี้พระเจดีย์นั้นหักพังเสียแล้ว  โดยข้างเจดีย์มีกอดอกเข็มกอหนึ่ง

มีลักษณะเป็นรูปม้านั่ง  เป็นที่สถิตของพระบรมธาตุ  ขอให้ท่านไปขุดเอาพระบรมธาตุองค์นี้มาเสีย

                รุ่งขึ้น  พระสุมนเถรก็นำความไปถวายพระพรแก่พระธรรมราชา  เจ้าเมืองสุโขทัย  ณ

เมืองศรีสัชนาลัย  แล้วถวายพระพรเรื่องความฝันนั้นแก่พระเจ้าลือไทยให้ทรงทราบทุกประการ 

พระองค์ทรงโสมนัสยิ่งนัก  ตรัสสั่งอนุญาตและพระราชทานคนช่วยขุดพระบรมธาตุ  พระสุมนเถรเจ้า

ก็พาคนไปยังเมืองปางจา  แล้วสร้างศาลเพียงตากระทำการสักการะบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนต่างๆ 

ตกกลางคืน  พระเถรเจ้าได้กระทำการบวงสรวงเทพเจ้าให้ขุดพระธาตุได้สมตามปรารถนา

พอสิ้นคำอธิษฐาน  พระบรมธาตุก็ทำปาฏิหารย์รุ่งโรจน์เป็นแสงรัศมีสุกใสสวยงามยิ่งนัก 

พระเถรเจ้าจึงได้เอาธงปักเป็นเครื่องหมายข้างกอดอกเข็มไว้

                ต่อมา  พระสุมนเถรเจ้า  จึงให้ผู้จะขุดพระบรมธาตุนั้นทุกคนสมาทานศีล ๕ และศีล ๘ ทุกคน

แล้วจึงลงมือขุดก็พบอิฐและศิลา  และในไม่ช้าผอบที่บรรจุพระบรมธาตุเป็นชั้นๆ คือ

                ชั้นแรก     เป็นผอบทองเหลือง

                ชั้นที่สอง  เป็นผอบเงิน

                ชั้นที่สาม  เป็นผอบทองคำ

                ชั้นที่สี่      เป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ  เป็นผอบแก้วประพาฬ  ขนาดโตเท่าลูกทับทิม

                เมื่อเหตุการณ์ประสบเช่นนี้แล้ว  จึงมีผู้สงสัยว่าจะใช่พระบรมธาตุจริงหรือ  พระสุมนเถรเจ้าจึงว่า

ไม่ใช่พระบรมธาตุ เป็นผอบแก้ว  และทำการสักการะบูชาและตั้งสัตยาธิษฐาน  จึงได้เห็นที่เปิด

พระเถรเจ้าจึงเปิดผอบก็เห็นพระบรมธาตุโตประมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว  มีพระรัศมีมีทองสุกปลั่ง

คนทั้งหลายได้เห็นดังนั้น  จึงพากันอนุโมทนา  และสรงน้ำชำระพระบรมธาตุด้วยความเลื่อมใสยิ่ง

เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงนำกลับมายังเมืองศรีสัชนาลัย

                 เมื่อพระเจ้าลือไทยทรงทราบข่าวนั้น  จึงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้นหลังหนึ่ง

เพื่อประดิษฐานพระบรมธาตุที่ได้มานี้  เพราะทรงเลื่อมใสและได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมธาตุแสดงปาฏิหารย์

อย่างน่าอัศจรรย์มาแล้ว  พระองค์ส่งข่าวไปถวายพระธรรมราชาเจ้าเมืองสุโขทัย  พระเจ้าธรรมราชาก็ทรง

ยินดียิ่ง  ทรงดำริว่าถ้าพระธาตุองค์นี้แสดงปาฏิหารย์ดังที่คนเล่าลือแล้วไซร้  เราจักสร้างเจดีย์ทองคำองค์หนึ่งในเมืองนี้

เพื่อประดิษฐานไว้เป็นที่สักการะบูชาให้จงได้  แต่พระบรมธาตุมิได้แสดงปาฏิหารย์ดังที่ได้ยิน จึงมิทรงเชื่อถือ

ถึงกับรับสั่งคืนพระบรมธาตุให้แก่พระสุมนเถรเจ้าตามเดิม

                ในสมัยพระเจ้ากือนา  แห่งราชวงศ์มังรายที่ ๖ ขึ้นครองนครเชียงใหม่  จุลศักราช ๗๒๙ พ.ศ. ๑๙๑๐

พระองค์มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  จึงให้ไปนิมนต์พระสุมนเถรเจ้า  มาประกาศศาสนาที่เมืองเชียงใหม่ตามลัทธิลังกา

ทางสุโขทัยก็ยินยอมให้พระสุมนเถรเจ้ามาพร้อมกับพระธาตุนั้นมาด้วย  ภายหลังพระเจ้ากือนาได้อัญเชิญไปบรรจุไว้

ณ  วัดบุปผารามสวนดอกไม้หลวง  พ.ศ. ๑๙๒๖

                 ส่วนอีกองค์หนึ่ง  พระองค์อธิษฐานเสี่ยงไป  โดยอัญเชิญพระบรมธาตุสถิตบนหลังช้างเผือก 

ช้างเผือกก็แผดร้องถึง  ๓ ครั้ง  แล้วบ่ายหน้าไปทางทิศเหนือ  เดินมาพักใหญ่ถึงภูเขาลูกหนึ่งแล้วหยุดบนภูเขาลูกหนึ่ง

แล้วจึงเดินต่อไปอีก  ภูเขาที่ช้างเผือกหยุดนั้น  ปัจจุบันเรียกว่า " ดอยช้างนอน " จนกระทั่งพักใหญ่ช้างเผือกจึง

หยุดบริเวณที่กว้างและราบเรียบ แล้วจึงเดินต่อไปอีก ปัจจุบันเรียกที่ราบนั้นว่า " ยอดดอยงาม "

ช้างเผือกเดินต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งลุถึงดอยสุเทพ จึงหยุดนิ่ง  พร้อมกับแผดร้องขึ้นถึง  ๓  ครั้ง 

 กระทำปทักษิณสถานที่นี้ถึง  ๓  ครั้ง  แล้วคุกเข่าทั้ง ๔ ลง  พระเจ้ากือนาทรงโสมนัสยิ่งนัก

รีบอาราธนาพระบรมธาตุลงจากหลังช้างเผือก  พอช้างเผือกลงจากหลังช้างเท่านั้น ช้างเผือกก็ถึงความตายทันที

                 พระเจ้ากือนาได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ในครั้งนี้  ก็ทรงนมัสการกราบไหว้พระธาตุ

ด้วยความเคารพยำเกรงยิ่ง  แล้วจึงรับสั่งให้ขุดสถานที่บนยอดดอยนั้นลึก  ๘  ศอก  ๑  วา  ๓  ศอก

แล้วให้เอาแท่งหินใหญ่  ๖  ศอก  มากระทำเป็นหีบหินใหญ่  ใส่ลงไปในหลุมนั้น  แล้วอาราธนาพระธาตุ

พร้อมทั้งผอบตั้งไว้ในหีบหิน  เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงโปรดให้สร้างเจดีย์สวมลงสถานที่ฝังพระบรมธาตุนั้นอีก

องค์หนึ่งสูง  ๕  วา

                 พระธาตุดอยสุเทพนั้น  มีเจ้านายเมืองเชียงใหม่ทุกๆพระองค์เคารพนับถือมาก 

และบูรณปฏิสังขรณ์กันมาตลอด  จนมาถึงท้าวอ้ายจึงให้สร้างเพิ่มเติมองค์พระเจดีย์ให้สูงขึ้นเป็น  ๑๑ วา 

ต่อมาท้าวชายได้สร้างเพิ่มเติม  และสร้างวิหารหน้าหลังและระเบียงรอบพระมหาธาตุ  สำเร็จเรียบร้อย

บริบูรณ์มาจนถึงปัจจุบันนี้

 

ที่มา   หนังสือประวัติเจดีย์และโบราณสถาน. อุดม เชยกีวงศ์ สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา

 

 

        ในสมัยก่อน การขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน เพราะไม่มีถนนสะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ทางเดินก็แคบๆ และ ไม่ราบเรียบ ต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพร และปีนเขาต้องใช้เวลายาวนานถึง ๕ ชั่วโมงกว่า จนมีคำกล่าวขานกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า ถ้าไม่มีพลังบุญและศรัทธาเลื่อมใสจริงๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้กราบไหว้พระธาตุดอยสุเทพ

          ในปี พ.ศ.๒๔๗๗  ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย มาจากวัดบ้านปาง จังหวัดลำพูน เป็นผู้เริ่มดำเนินการสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ โดยมีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สมัยนั้น เป็นผู้เริ่มขุดดินด้วยจอบเป็นปฐมฤกษ์ ตรงที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ปัจจุบัน ใกล้ๆ กับบริเวณน้ำตกห้วยแก้ว โดยเริ่มสร้างวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๗

          ครูบาศรีวิชัย เจ้าแก้วนวรัฐและพระภิกษุสงฆ์ ประชาชน ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่บันไดนาค เมื่อ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๘  เมื่อข่าวการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพได้แพร่สะพัดไปยังจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ ชาวพุทธผู้เลื่อมใสในครูบาศรีวิชัย ต่างทยอยกันมาจากทั่วสารทิศจนเต็มบริเวณเชิงดอยหมด เพื่อมาร่วมสละแรงงานช่วยสร้างถนน โดยไม่มีค่าจ้างใดๆ ทั้งสิ้น วันๆ หนึ่งจะมีประชาชนมาร่วมสร้างถนนประมาณ ๓-๔ พันคนจากทั่วทุกจังหวัดภาคเหนือ รวมไปถึงอุตรดิตถ์-พิษณุโลก ปริมาณคนงานที่มาช่วยมีมากเกินความต้องการครูบาศรีวิชัยจึงได้กำหนดให้สร้างถนนหมู่บ้านละ ๑๐ วาเท่านั้น และต่อมายังได้ลดลงอีกเหลือประมาณหมู่บ้านละ ๒ วา ๓ วา เพราะมีคนมาขอร่วมแรงงานสร้างมากขึ้นเรื่อยๆ

         นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่การสร้างถนนบนภูเขายาวถึง ๑๑ กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง ๕ เดือนกับอีก ๒๒ วัน ทั้งๆ ที่อุปกรณ์การสร้างทางมี เพียงจอบ และเสียม เท่านั้น อุปกรณ์ทันสมัย เช่นในปัจจุบันยังไม่มีพิธีเปิดใช้ถนนใหม่ได้เริ่มเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๘  โดยท่านครูบาศรีวิชัย เป็นคนแรกที่นั่งรถยนต์ขึ้นดอยสุเทพตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 01 กรกฏาคม 2013 เวลา 19:21 น.