วัดอินทขีลสะดือเมือง เชียงใหม่ พิมพ์
เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2012 เวลา 19:13 น.

 

วัดอินทขีลสะดือเมือง

 

 

 

 

 

         หลังเขียนนวนิยายบุพนิวาสจบ จึงมีเวลาไปกราบนมัสการหลวงพ่ออุ่นเมือง วัดอินทขีลเชียงใหม่ เพื่อบอกกล่าว ขออนุญาตเขียนอ้างอิงถึงในนวนิยาย  และเก็บภาพบรรยากาศภายในวัดมาให้ชมกันค่ะ จากนั้นจึงมานั่งเขียนประวัติวัดสำคัญที่ปรากฏใน"บุพนิวาส"แห่งนี้ "วัดอินทขีลสะดือเมือง"

 

        ปีพุทธศักราช ๑๘๓๘  พญามังรายปฐมกษัตริย์แห่งล้านนาได้เสด็จมาพบซากเสาอินทขีลและรูปกุมภัณฑ์บริเวณเมืองนพบุรีซึ่งป็นเมืองร้าง  จึงมีรับสั่งให้ขุนนางชื่อ สรีกรชัย  แต่งเครื่องบรรณาการไปถวายพญาลัวะซึ่งอยู่บนดอยสุเทพ พญาลัวะจึงถวายคำแนะนำว่า  หากทรงมีพระประสงค์ที่จะสร้างเมืองขึ้นใหม่และอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขก็จงบูชากุมภัณฑ์และเสาอินทขีล 

        ต่อมาเมื่อพญามังรายทรงสร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่แล้ว  จึงทรงโปรดให้นำเสาอินทะขีลไปประดิษฐานไว้ในบริเวณวัดสะดือเมือง  ต่อมาจึงเรียกว่า วัดอินทขีล  ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงใหม่นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทว่าเป็นที่น่าเสียดาย  เมื่อหลังจากล้านนาตกเป็นของพม่าในปี พุทธศักราช ๒๑๐๑ แล้ว  วัดอินทขีลจึงกลายเป็นวัดร้างไปในที่สุด

        ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๓๔๓ พระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในราชวงศ์พระเจ้าเจ็ดตนได้รับการช่วยเหลือจากเมืองสยามจนสามารถขับไล่พม่าออกไปจากดินแดนล้านนาและฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ขึ้น  และย้ายเสาอินทขีลมาประดิษฐานอยู่วัดเจดีย์หลวง  พร้อมกับสร้างพระวิหารคร่อมฐานเดิม  และอัญเชิญหลวงพ่ออุ่นเมือง หรือหลวงพ่อขาวมาเป็นพระประธาน

        หลักฐานทางโบราณคดีของวัดอินทขีลที่เหลือในปัจจุบัน  หลวงพ่ออุ่นเมือง  พระวิหาร  องค์พระเจดีย์สี่เหลี่ยม  และองค์พระเจดีย์แปดเหลี่ยม บริเวณองค์พระเจดีย์แห่งนี้นั้น  เชื่อกันว่า เป็นบริเวณที่พญามังรายทรงต้องอัสนีบาตสวรรคต  ต่อมาพระไชยสงคราม  พระราชโอรสได้ทรงสร้างพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิเอาไว้

        ปัจจุบันวัดอินทขีลสะดือเมืองได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่  ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ ๘๐ พรรษา จึงทำให้วัดอิลทะขีลอันเป็นเสาหลักของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงใหม่ได้กลับมาเป็นศรีสง่าแห่งเมืองอีกครั้ง

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2013 เวลา 07:58 น.