ที่มาของกลอนสุนทรภู่ |
![]() |
เขียนโดย ภาษาสยาม |
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2008 เวลา 07:13 น. |
ต้นแบบ"กลอนสุนทรภู่"
สมัยกรุงธนบุรีปรับปรุงและตัดตอนจากหนังสือการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องอิทธิพลกลอนอ่าน
ในนิทานคำกลอนของสุนทรภู่ โดย ทิพวัน บุญวีระ กองวรรณกรรม และประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๔๑
แต่งขึ้นระหว่างสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยกรุงธนบุรี เนื่องจากผู้แต่งระบุวัน เดือน ปี ที่แต่ง และวันที่เขียน
ลงสมุดแล้วเสร็จบริบูรณ์ว่า "แต่งแล้ว เดือนเก้า ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีขาน เขียนแล้ว เดือน ๕ แรม ๑๔ ค่ำ ปีขาล
ฉอศก สักราช ๒๓๑๖ วาษา ปริยบูนน้านิถิตา" ต่อด้วยคำอธิษฐานของผู้แต่งซึ่งไม่ปรากฏนาม ศักราชที่
ปรากฏในต้นฉบับ ยืนยันได้ว่า ต้นฉบับสมุดไทย 4 เล่มนี้มีอยู่แล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๑๖ ในสมัยกรุงธนบุรี
และมีอยู่แล้วก่อนการแต่งนิทานคำกลอนเรื่องใดๆ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เป็นต้นว่าจันทโครบ, สุวรรณเศียร, นิทานสุภาษิต "หัวล้านนอกครู" , และเรื่องอื่นที่สันนิษฐานไม่ได้ เนื่องจากมีแต่ตอนเริ่มเรื่องแล้วต้นฉบับขาดหายไป ยังกรุงธนบุรีเพราะการย้ายถิ่นฐานจากหัวเมืองเข้ามา ณ กรุง ด้วยการย้ายถิ่นฐานคือการเคลื่อนที่ของวัฒนธรรม การโยกย้ายถ่ายเทคนครั้งใหญ่จากนครราชสีมาเข้ามายังกรุงธนบุรี ตอนต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คราวประดิษฐานพระราชวงศ์ขึ้นใหม่นั้น ทรงสถาปนาพระราชวงศ์ให้มี อิสริยศักดิ์สูงขึ้น เหตุการณ์นี้น่าพิจารณาว่าเป็นการย้ายถิ่นฐานครอบครัวจากนครราชสีมาเข้ามายังกรุงธนบุรี ทำให้มีการตั้งชุมชนย่านฝั่งธนบุรีขึ้นใหม่ ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า
กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ครั้นภายหลังเห็นว่ายศศักดิ์ยังไม่สมควรแก่ความชอบที่มีมาก จึงโปรดให้เลื่อนขึ้น
เป็น กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ฝ่ายหลัง รับพระราชบัญชาตั้งวังอยู่ที่สวนลิ้นจี่ ในเมืองฝากตะวันตก
ริมคลองบางกอกน้อย ดำรัสให้ข้าหลวงไปหาพระอภัยสุริยาราชนัดดา ลงมาแต่เมืองนครราชสีมา โปรดฯตั้ง
เป็น สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์ ให้เสด็จอยู่ ณ วังเก่าเจ้าตาก ตำแหน่งกรม
พระราชวังบวรสถานพิมุขนี้ คนทั่วไปเรียกว่า "วังหลัง" เหตุที่ตั้งวังบริเวณสวนลิ้นจี่ จึงมีชื่อเรียกวังของท่านว่า
"วังสวนลิ้นจี่" วังสวนลิ้นจี่มีความสำคัญในฐานะเป็นที่ประทับของเจ้านายคนสำคัญผู้มีบุญบารมีดังกล่าวใน
พงศาวดารข้างต้น จึงเป็นเรื่องแน่นอนว่าบริเวณวังของท่านต้องเป็นที่อาศัยของครอบครัวข้าราชบริพาร และ
คงมีบ้างที่ติดตามมาจากนครราชสีมา อนึ่งเจ้านายวังหลังโดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวัง
บวรสถานพิมุข นั้น ทรงสนพระทัยทางด้านอักษรศาสตร์อยู่มาก พระกรณียกิจด้านวรรณกรรมที่สำคัญคือ
เป็นแม่กองอำนวยการแปลพงศาวดารจีนเรื่องไซ่ฮั่น ในรัชกาลที่ ๑
บวรสถานพิมุข และได้เป็นแม่นมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขที่
ประสูติแต่พระอัครชายา ในการนี้ได้พาสุนทรภู่มาอาศัยอยู่ด้วย
(วัดศรีสุดาราม) ริมคลองบางกอกน้อย จนถึงรุ่นหนุ่มมีความปราดเปรื่องในวิชาอักษรศาสตร์ สามารถบอก
ดอกสร้อยสักวา แต่งกลอนสุภาษิต แต่งกลอนเพลงยาว และแต่งกลอนนิทาน จากสภาพแวดล้อมในวังหลัง
ที่ท่านเจ้าของวังทรงเอาพระทัยใส่ในทางหนังสือ จนถึงเป็นแม่กองแปลพงศาวดารจีนเรื่อง "ไซ่ฮั่น"
อาจเป็นเหตุจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้สุนทรภู่ได้ซึมซับสิ่งดีๆ จากวรรณคดี ปลูกฝังให้รักการอ่านเป็นอุปนิสัย
การสั่งสมข้อมูลอันเป็นวัตถุดิบในการประพันธ์นิทานคำกลอนของสุนทรภู่จึงบังเกิดจากการรับรู้และ
ประสบการณ์ที่ได้รับเมื่ออยู่ในวังหลัง
"พระอภัยมณี" ให้มีความชำนาญเพลงปี่ เรื่องนี้สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ใน
ตำนานหนังสือสามก๊ก ว่า
เป่าปี่ก็คือเอามาแต่เตียวเหลียงในเรื่องไซ่ฮั่น ข้อนี้ยิ่งพิจารณาดูคำเพลงปี่ของเตียวเหลียงเทียบกับ
คำเพลงปี่พระอภัยมณี ก็ยิ่งเห็นชัดว่าถ่ายมาจากกันเป็นแท้"
นิทานเรื่องต่างๆ เป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นต้นของการฝึกหัดแต่ง เป็นแน่ว่าต้องมีเรื่องนิทาน
ต้นแบบอยู่ก่อน
บทวิเคราะห์เปรียบเทียบโดยลำดับข้างต้น จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเด็นที่เป็นหัวข้อเรื่องได้แก่
อิทธิพลกลอนอ่านในนิทานคำกลอนของสุนทรภู่ นั้นเป็นสมมติฐานที่ชอบด้วยเหตุผล มิใช่เหตุบังเอิญ
เพราะการแต่งหนังสือของกวีย่อมมิใช่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นจากความคิดฝันโดยอัตโนมัติ แต่ต้องมีการรับรู้
มีการสะสมข้อมูลไว้ในใจ แล้วจึงมากลั่นกรองถ่ายทอดเป็นผลงาน
การแต่งกลอนนิทานเรื่องจันทโครบเป็นตัวอย่างอันดีในการใช้ข้อมูลเดิมจากกลอนอ่านทั้งเรื่อง นำมาทำเป็น
กลอนนิทานที่มีชีวิตชีวา จันทโครบกลอนอ่านได้นำเสนอเป็นเรื่องเล่า ซึ่งสุนทรภู่แต่งใหม่เป็นกลอนนิทาน
ให้ตัวละครทุกตัวมีชีวิต มีอารมณ์ มีความรู้สึก รัก โกรธ สมหวัง ผิดหวัง และแสดงความรู้สึกด้วยบทเจรจา
มีการพรรณนาความเปรียบ การพรรณนาธรรมชาติ มีการเดินทาง เป็นการเพิ่มเติมอรรถรส และเนื้อหาแก่
วรรณกรรมที่เกิดใหม่อย่างมากมาย
อันเป็นเจตนารมณ์ของเรื่องอย่างชัดเจน ว่าเป็นนิทานเพื่อสั่งสอนกุลบุตรให้ระมัดระวังในการเลือกคู่ การมี
คู่ก่อนเวลาอันสมควร (เปรียบจันทโครบเปิดผอบก่อนถึงเมือง) หรือการเลือกหญิงงามที่ปราศจากคุณสมบัติ
ไม่ได้รับการอบรมกิริยามารยาท (เปรียบนางโมราที่เกิดอยู่กลางป่า) เป็นภรรยานั้น นางจะไม่รู้จัก
รักนวลสงวนตัว ไม่รู้จักควบคุมความรู้สึกการแสดงอารมณ์ใคร่ย่อมเป็นไปตามความต้องการโดยปราศจาก
การยับยั้งชั่งใจซึ่งไม่เหมาะสม ในขณะที่ผู้อ่านวัดคุณค่าของผู้หญิงด้วยมาตรฐานอุดมคติ นางโมราจึงมีค่า
เท่ากับชะนีตัวหนึ่ง (ถูกสาปเป็นชะนี)
จริง เช่น ชื่อโคบุตรสุริยา และพระอภัยมณีนั้น เชื่อว่าตั้งชื่อตามบุคคลสำคัญผู้เป็นที่เคารพนับถือ คือ
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวังหลัง ซึ่งเดิมมีบรรดาศักดิ์ และราชทินนามว่า "พระสุริยอภัย"
กับเจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์ เจ้านายในพระราชวังเดิม ซึ่งเดิมมีบรรดาศักดิ์ และราชทินนามว่า
"พระอภัยสุริยา" จากชื่อทั้งสองนี้สะท้อนให้เห็นวิธีคิดของสุนทรภู่ในความถนัดใช้ข้อมูลใกล้ตัวแต่ง
กลอนนิทาน
เนื้อเรื่องจากนิทานดั้งเดิมมาผูกเป็นเรื่องใหม่ที่สนุกกว่าเก่า นับเป็นกลวิธีที่ชาญฉลาดอีกประการหนึ่ง
แต่ไม่อาจนำวิธีนี้ไปใช้ได้ตลอด นิทานคำกลอนของสุนทรภู่เรื่องถัดมาจึงมีเนื้อหาจากกลอนอ่านปรากฏ
อยู่น้อยลงตามลำดับ ตั้งแต่โคบุตร ลักษณวงศ์ สิงหไกรภพ จนถึงพระอภัยมณี
ผสมผสานกับความรอบรู้ของท่าน อิทธิพลกลอนอ่านเรื่องปาจิตกุมารที่ประจักษ์ชัดในนิทานเรื่องพระอภัยมณี
จึงปรากฏเพียงบทชมดาวเท่านั้น
ที่มา http://www.thaipoet.net/index.php?lay=s ... 15&Ntype=2 |