อิเหนา พิมพ์
เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันเสาร์ที่ 06 กันยายน 2008 เวลา 14:38 น.
                                                                                       อิเหนา


ผู้แต่ง
                  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ลักษณะการแต่ง กลอนบทละคร

เรื่องย่อ

                  กษัตริย์วงศ์เทวัญซึ่งสืบเชื้อสายมาจากองค์ปะตาระกาหลาทรงครองเมือง ๔ เมือง คือ กุเรปัน ดาหา

กาหลัง และสิงหัดส่าหรี เป็นพี่น้องร่วมพระบิดาพระมารดาเดียวกัน ประเพณีของกษัตริย์วงศ์เทวัญนี้ถ้าประสูต

ิพระโอรส องค์ปะตาระกาหลาต้นตระกูลซึ่งเป็นเทวาในสวรรค์ จะลงมาประทานกริชสลักชื่อให้ ถ้าประสูติพระธิดา

ก็จะต้องอภิเษกกับโอรสวงศ์เทวัญด้วยกัน ท้าวกุเรปันมีโอรสชื่ออิเหนา ได้หมั้นหมายไว้กับธิดาท้าวดาหาชื่อ

บุษบา ส่วนสียะตราโอรสของท้าวดาหาได้หมั้นหมายไว้กับวิยะดา น้องสาวของอิเหนา เมื่ออิเหนาเจริญวัยขึ้น

ได้ไปช่วยในงานถวายเพลิงพระอัยกีที่เมืองหมันหยา ได้เห็นจินตะหราพระธิดาท้าวหมันหยาก็หลงรัก ไม่ยอมกลับ

เมือง เมื่อท้าวกุเรปันทรงทราบข่าวก็บังคับให้กลับ เพราะพระมารดาจะประสูติพระธิดา อิเหนาจำใจกลับ

แต่เมื่อพระมารดาเป็นปกติแล้วก็ทำอุบายทูลลาไปเที่ยวป่า แล้วปลอมเป็นโจรชื่อ ปันหยี ท่องเที่ยวไปจนถึงเมือง

หมันหยา ขณะท่องเที่ยวไป ได้รบพุ่งกับเมืองใหญ่น้อยได้เมืองเหล่านั้นเป็นเมืองขึ้นมากมาย เมื่อปันหยีเดินทาง

มาถึงเมืองหมันหยา ท้าวหมันหยาทรงทราบว่าเป็นอิเหนาก็ดีพระทัย ต้อนรับให้เข้าอยู่ในพระราชฐาน อิเหนา

ได้จินตะหราเป็นชายา ไม่ยอมกลับกรุงกุเรปันและปฏิเสธที่จะอภิเษกบุษบา ทำให้ท้าวดาหากริ้วมาก ถึงกับ

ตรัสว่า ถ้าผู้ใดมาสู่ขอบุษบาจะยกให้ทันที ระตูจรกาได้ทราบข่าวจึงขอให้ท้าวล่าสำผู้เป็นพี่ชายไปสู่ขอให้ ท้าวดาหา

จำใจต้องยกให้เพราะประกาศไปแล้ว ร้อนถึงองค์ปะตาระกาหลา เกรงว่าบุษบาจะต้องไปเกลือกกลั้วกับวงศ์ระตู

จึงบันดาลให้วิหยาสะกำโอรสท้าวกระหมังกุหนิง เก็บรูปวาดที่จรกาใช้ช่างไปลอบวาดได้ วิหยาสะกำหลงรัก

นางบุษบา ท้าวกะหมังกุหนิงจึงส่งทูตไปสู่ขอ เมื่อท้าวดาหาปฏิเสธเพราะได้ยกนางบุษบาให้กับระตูจรกาไปแล้ว

จึงทำให้เกิดศึกกะหมังกุหนิงขึ้น ท้าวกุเรปันบังคับอิเหนาให้ไปช่วยรบ เพมิเช่นนั้นจะตัดพ่อตัดลูก ทำให้อิเหนา

จำใจยกทัพไปช่วยท้าวดาหา การรบครั้งนี้ท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำตายในที่รบ เสร็จศึกแล้วม้าวดาหาเรียก

นางบุษบาออกมาไหว้อิเหนา เมื่ออิเหนาเห็นนางบุษบาก็เกิดหลงรักถึงกับไม่ยอมกลับเมืองหมันหยา ท้าวดาหา

เกรงจะเกิดเรื่องขึ้นจึงรีบจัดการอภิเษกบุษบากับจรกา อิเหนาจึงทำอุบายเผาเมือง แล้วลอบลักพาบุษบาไปไว้ในถ้ำ

องค์ปะตาระกาหลากริ้วอิเหนามาก ขณะที่อิเหนาเข้าไปแก้สงสัยในเมืองจึงทรงบันดาลให้ลมหอบบุษบาไปไว

้ท้ายเมืองประมอตัน ปลอมร่างให้เป็นชายให้ชื่อว่า อุณากรรณ และประสาทพรให้เก่งกล้าในการรบและสาบว่า

ให้จำกันไม่ได้จนกว่าพี่น้องทั้ง ๔ คือ อิเหนา วิยะดา บุษบา และสียะตราจะได้พบกันพร้อมหน้า อุณากรรณ(บุษบา)

ได้เดินทางเข้าเมืองประมอตัน ท้าวประมอตันเห็นก็มีความเอ็นดู รับเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม แต่อุณากรรณอยู่ใน

เมืองประมอตันไม่นาน ก็คิดถึงอิเหนา จึงทูลลาท้าวประมอตันไปท่องเที่ยว เพื่อออกติดตามอิเหนา และเข้าไปยัง

เมืองกาหลัง ท้าวกาหลังก็ทรงจำไม่ได้ว่าเป็นหลาน แต่ก็ทรงชักชวนให้อยู่ในเมืองนั้น อิเหนาได้เข้าไปแก้สงสัย

ในเมืองและได้พาวิยะดาออกมาด้วย ครั้นกลับมาถ้ำก็ไม่พบบุษบา ก็ปลอมตนเป็นโจร ออกติดตามจนกระทั่งถึ

งเมืองกาหลัง ได้พบอุณากรรณก็จำไม่ได้ แต่สังคามาระตาและประสันตามีความสงสัย อุณากรรณเกรงความจะ

แตก จึงลาท้าวกาหลังออกจากเมืองไปบวชเป็นชี สียะตราน้องชายบุษบาเห็นพี่สาวหายไปจึงลาพระบิดามารดา

มาเที่ยวป่าแล้วปลอมเป็นโจรชื่อ ย่าหรัน ออกติดตามหา จนเข้าไปในเมืองกาหลัง ได้เห็นวิยะดาก็เกิดความรัก

อิเหนาคิดว่าเป็นโจรก็โกรธ แต่สังคามาระตาจำได้และได้ช่วยย่าหรันลักพานางและพิสูจน์ให้อิเหนารู้ว่าย่าหรัน คือ

สียะตรา ปันหยี(อิเหนา ออกติดตามอุณากรรณ(บุษบา เมื่อไปพบนางชีบนภูเขาก็คลับคล้าย คลับคลา จึงหลอก

พามาเมืองกาหลัง ประสันตารับอาสาพิสูจน์ว่า นางชีหรืออุณากรรณคือนางบุษบา โดยการเชิดหนังเรื่องราวของ

ทั้งสองพระองค์ ความจริงปรากฏขึ้น และทั้งสี่ก็จำกันได้ ต่อมาสียะตราได้ทูลเชิญท้าวกุเรปันและท้าวดาหาไปยัง

กรุงกาหลัง เพื่อจัดงานอภิเษกอิเหนากับบุษบาและจินตะหรา ณ เมืองกาหลังนั้น

ข้อความบางตอน

                                           จะให้เชื่อพจมานหวานถ้อย             จะได้ไปเป็นน้อยชาวหมันหยา

                        เขาจะเชิดชื่อลือชา                                         ว่ารักสามีท่านกว่าความอาย

                        อันความอัปยศอดสู                                         จะติดตัวชั่วอยู่ไม่รู้หาย

                        ร้อนใจอะไรเล่าเจ้าเป็นชาย                              ไม่อับอายขายหน้าก็ว่าไป