เรื่องสั้น..นกกระดาษ พิมพ์
เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน 2008 เวลา 19:37 น.

นกกระดาษ

 

 

ผลงานเข้ารอบ ๑๐ คนสุดท้าย"วรรณกรรม ๓๐  ปี ๖  ตุลา"ปี ๒๕๕๐

 ______________________________________________ 

 

         

เรื่องสั้น “นกกระดาษ”

 

อากาศยามบ่ายช่างอบอ้าวเหลือเกิน เปลวแดดนอกหน้าต่างยังคงเต้นระริก ร้อนจนไมยราบต้นเล็กๆที่ขึ้นเป็นแนวข้างรั้วบ้านหุบตัวแบนราบขนานไปกับพื้นดิน เสียงพัดลมตัวเก่าดังเอี๊ยดอ๊าดแข่งกับเสียงเพลงลูกทุ่งพื้นบ้านที่เปิดแค่พอได้ยิน เพราะเจ้าของบ้านกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับสมุดกองโตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน

 

 ประตูห้องถูกผลักเข้ามาเบาๆ ผู้มาใหม่เป็นชายร่างสูง ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครา บนศีรษะสวมหมวกสีขาว โสร่งของเขาเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ฟาลิดมักจะแต่งกายเรียบร้อยเสมอแม้ในยามที่อยู่กับบ้านเช่นนี้

 ดาหวันเงยหน้าขึ้นยิ้มทักทายสามี ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

บังหิวหรือยังจ๊ะ นี่ก็เกือบบ่ายโมงแล้ว

 “ หิวสิ..เพิ่งจะละหมาดเสร็จ บังกำลังจะชวนดาหวันไปทานข้าวผู้เป็นสามีตอบ

 ฟาลิดหันไปมองรอบห้องทำงานของภรรยา ห้องนี้น่าจะเรียกว่าห้องสมุด

 มากกว่า เพราะเต็มไปด้วยหนังสือหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเรียน เพราะดาหวันเป็นครูสอนอยู่ในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน สายตาของเขาปะทะกับสิ่งหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้ความไม่พอใจก่อตัวขึ้นมา จนต้องเอ่ยถามภรรยา

นี่ดาหวันยังเก็บเจ้านกกระดาษนี่ไว้อีกหรือ บังไม่เข้าใจว่ามันมีค่าอะไร ก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นเองน้ำเสียงมีร่องรอยไม่พอใจเด่นชัด

มันมีค่าต่อความรู้สึกน่ะค่ะ คนพับเขาตั้งใจทำเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่พวกเรา..ชาวใต้ ”ดาหวันตอบ สามีด้วยเสียงเรียบๆ

 หล่อนไม่ใช่คนช่างพูดนัก แต่ด้วยลักษณะของความเป็นครู ถ้ามีสิ่งใดที่หล่อนมองว่าไม่ถูกต้อง ก็จะไม่ปล่อยให้ผ่านไปได้โดยง่าย

หึ! ” ฟาลิดทำเสียงขึ้นจมูกพวกนั้นจะรู้อะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกชาวพุทธ

ดาหวันหันขวับไปมองหน้าสามีแล้วดาหวันล่ะบัง ดาหวันก็เป็นพุทธ เพิ่งจะมาเป็นอิสลามตอนแต่งงานกับบังนี่ไม่ใช่หรือ แล้วพ่อกับแม่ก็ยังเป็นพุทธ บังจะมาเหยียดหยามศาสนาอื่นแบบนี้ไม่ได้ แนวปฏิบัติของแต่ละศาสนาต่างกัน แต่แท้จริงแล้วต่างมีจุดหมายเดียวกัน

คำพูดของภรรยาทำให้ฟาลิดรู้สึกตัว เขาเดินไปโอบไหล่ของหล่อนหลวมๆแล้วปลอบใจ

ไม่ใช่อย่างที่ดาหวันเข้าใจหรอก บังไม่ได้ลามปามถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าทุกศาสนาสอน ให้เป็นคนดี ทีนี้จะไปทานข้าวได้หรือยังจ๊ะ หิวจะแย่แล้ว”

ผู้เป็นภรรยาค้อนขวับ แต่ก็ยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่โดยดี หล่อนเคยชินเสียแล้วสำหรับการถกเถียงทำนองนี้ เพราะต่างมองคนละมุม บางครั้งหล่อนก็แอบนินทาสามีในใจ..ว่าเขาช่าง“ใจแคบ ” เหลือเกิน

 ฟาลิดเป็นผู้ที่คนทั้งหมู่บ้านให้ความนับถือ ตั้งแต่เขาเรียนจบจากกรุงไคโรประเทศอียิปต์ ก็ทำหน้าที่ครูสอนศาสนามาโดยตลอด ระยะหลังที่สามจังหวัดภาคใต้ประสบปัญหาผู้ก่อการร้ายคุกคาม เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ชาวบ้านมาขอคำปรึกษา ว่าควรจะวางตัวอย่างไรดี ซึ่งเขาเองก็ลำบากใจไม่น้อย เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายนั้นล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกันมาก่อน ตั้งแต่จำความได้เขาถูกปลูกฝังให้เทิดทูนศาสนาเหนือทุกสิ่ง จึงเป็นเหตุให้หลายต่อหลายครั้งเขาได้ให้ความช่วยเหลือผู้ก่อการร้ายในการกระทำความผิด

เหตุการณ์สามจังหวัดภาคใต้ยังคงน่าเป็นห่วง เมื่อค่ำวานนี้ได้มีผู้ร้ายไม่ทราบจำนวน ถือโอกาสลอบยิงทหารที่กำลังลาดตระเวน...........” เสียงจากโทรทัศน์เป็นเหตุให้ดาหวันนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

“ เดี๋ยวนี้..พวกนั้นเริ่มฆ่าผู้บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะคะบัง ” หล่อนแสดงความคิดเห็น

เราจะรู้ได้ยังไงเล่าดาหวัน ว่าเหยื่อเหล่านั้นบริสุทธิ์ กลุ่มผู้ก่อการร้ายเขาอาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้ เพียงแต่เราไม่เข้าใจผู้เป็นสามีคัดค้าน

 ดาหวันละสายตาจากจอโทรทัศน์มามองหน้าสามี

“บัง..คนแก่กำลังจะไปกรีดยาง หรือทหารคุ้มกันชาวบ้านเนี่ยนะ มีเหตุผลอะไรที่ไปฆ่าเขา

 “ ช่างเถอะน่ะ..อย่าสนใจเลย พวกนั้นไม่เกี่ยวกับเราหรอก” นี่คือเหตุผลของเขา แต่เป็นสิ่งที่หล่อนไม่เห็นด้วยเลยสักนิด

“ช่างเถอะ..อย่างนั้นหรือคะ แล้วถ้าคนที่ถูกฆ่าเป็นญาติพี่น้องของเรา บังจะรู้สึกยังไง ”ผู้เป็นภรรยาย้อนถาม

 ฟาลิดนิ่งเงียบ..เขาคิดตามคำพูดของหล่อน ถ้าคนในครอบครัวของเขาต้องตกเป็นเหยื่อ เขาจะรู้สึกเฉยๆ และกล่าวคำว่าช่างเถอะได้หรือไม่นะ

 

 

 

 วันนี้ฟาลิดตื่นสายกว่าทุกวัน เพราะเขากลับไปนอนหลังจากละหมาดเสร็จตอนตีห้าครึ่ง ดาหวันไปทำงานตั้งแต่เช้า บ้านทั้งบ้านเงียบเชียบ มีเพียงเจ้าอารีมแมวที่เลี้ยงไว้เท่านั้นซึ่งมักจะวิ่งจับหนูเสียงดังโครมคราม

บังฟาลิดๆ” น้ำเสียงของคนเรียกดูร้อนรน

 ฟาลิดรีบเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน พบหญิงสาววัยไล่เลี่ยกับภรรยายืนรออย่างกระสับกระส่าย

นิซะห์ มีอะไรหรือ ถึงได้มาเรียกแต่เช้า ดาหวันไปโรงเรียนแล้วนี่เขาตะโกนถาม

“ บัง..ไปดูดาหวันหน่อย..ดาหวันแย่แล้ว ” นิซะห์บอกอย่างตะกุกตะกัก

 พอได้ยินชื่อภรรยา ฟาลิดเองก็รู้สึกใจคอไม่ดี มือของเขาเย็นเฉียบ ขณะที่พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เพราะท่าทีของนิซะห์ในวันนี้ ชวนให้คิดเหลือเกิน ว่าอาจจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับภรรยาของเขา

“ดาหวัน..เป็นอะไรไปนิซะห์..บอกบังมาเร็ว”เขาพรวดพราดลงจากบันไดแล้วถามอย่างคุมสติไม่อยู่

“ดาหวันถูกยิงนะบัง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล

คำตอบที่ได้ยิน ทำให้ฟาลิดตัวชา อนิจจา..ดาหวัน ทำไมพวกมันถึงยิงหล่อน

 

 

 

 ดาหวันนอนสงบอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาว ร่างของหล่อนเต็มไปด้วยเลือด ฟาลิดโผไปกอดร่างไร้วิญญาณแล้วร่ำไห้

“ ดาหวัน..ตื่นมาคุยกับบัง..ตื่น ” เขาพล่ามดังคนเสียสติ

หักใจเถอะบัง ดาหวันไปดีแล้วนิซะห์ปลอบทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม

 บริเวณโรงพยาบาลเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนและชาวบ้าน ทุกคนต่างอยู่ในอาการเศร้าโศก เด็กนักเรียนต่างร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ที่ครูของพวกเขาต้องจากไปต่อหน้าต่อตา

 ตอนนั้น..ดาหวันกำลังยืนคุมแถวอยู่หน้าเสาธง จู่ๆเสียงปืนก็ดังขึ้น ทุกคนหันมามอง..ร่างของหล่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เพื่อนครูช่วยกันพาหล่อนมาส่งโรงพยาบาล แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ขณะที่คนร้ายล่องหนไปอย่างไร้ร่องรอย

 ฟาลิดกอดร่างไร้วิญญาณของภรรยาด้วยความปวดร้าว ทำไมคนดีอย่างหล่อนต้องมารับเคราะห์กรรมเช่นนี้ เขาถามตนเองซ้ำๆ ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

 

 

 

 พิธีศพของดาหวันผ่านไปอย่างรวดเร็วตามหลักศาสนา หลังจากนั้นฟาลิดยังคงเก็บตัวเงียบในบ้านตามลำพัง ความสูญเสียช่างเจ็บปวดนัก คงเป็นดังคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่า

ไม่มีใครหนีผลการกระทำของตนเองได้พ้นดาหวันมักพูดให้ฟังเสมอว่ามันเป็นกรรมซึ่งเขาเคยค้านอยู่ในใจเสมอ แต่ในวันนี้เขากลับซาบซึ้ง จริงสินะ..เขาเคยช่วยเหลือผู้ก่อการร้าย แล้วมันก็ฆ่าคนที่เขารัก ทั้งๆที่หล่อนไม่ได้มีความผิดสักนิด

 ฟาลิดเดินเข้าไปในห้องทำงานของภรรยา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม หนังสือยังคงวางอยู่บนชั้น บนโต๊ะยังมีสมุดกองโต “ นกกระดาษ ” ก็ยังวางอยู่ที่เดิม เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมาแล้ววางไว้ในอุ้งมือ

“ ดาหวัน..มันคือกำลังใจใช่ไหม ” เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย

“ มันเป็นตัวแทนของสันติภาพใช่ไหม ” เอ่ยได้เพียงเท่านี้เขาก็ร้องไห้

 หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะเชื่อหล่อน ดาหวันผู้รักสงบ หล่อนมาจากครอบครัววิถีพุทธ หล่อนเชื่อว่าควรมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก การทำลายผู้อื่นนั้นเป็นการสร้างเวรต่อกันไม่มีสิ้นสุด “ ความรัก ” เป็นสิ่งเดียวที่จะหล่อหลอมใจทุกดวงให้เป็นดวงเดียว ทำไมก่อนหน้านี้เขาคิดไม่ถึง ต้องเกิดการสูญเสียก่อนหรือ..จึงจะทำให้ทุกคนคิดได้

 นกกระดาษที่แขวนอยู่หน้าประตูแกว่งไกวไปตามแรงลม ผ่านวัน..เป็นเดือน..เป็นปี..จนสีของมันซีดจาง แล้วเมื่อใดกันนะ “ สันติสุข ”จะกลับคืนมาสักที ความแตกแยกทำให้เกิดการสูญเสีย “ความสามัคคี ” เท่านั้นที่จะนำพาความสงบสุขกลับคืนมา..อีกครั้ง

 

 

 นกกระดาษ ผลงานเข้ารอบ ๑๐ คนสุดท้าย"วรรณกรรม ๓๐ ปี ๖ ตุลา"ปี ๒๕๕๐       
          

                                           น้ำฝน  ทะกลกิจ ประพันธ์

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2014 เวลา 15:11 น.