เรื่องสั้น...ใต้เส้นขอบฟ้า พิมพ์
เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน 2008 เวลา 20:24 น.

 

 

เรื่องสั้น...ใต้เส้นขอบฟ้า 

 

 

         แดดอ่อนๆกำลังทอดลำแสงอยู่เหนือต้นจำปูน ลมทะเลพัดเอากลิ่นหอมสดชื่นโชยมาแต่ไกลอากาศยังคงเย็นสบาย ท้องฟ้าทิศตะวันออกฉาบแสงสีแดงระเรื่อ ราวจะส่งสัญญาณให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

           “ เด็กชายพิสิษฐ์ ”   เสียงเรียกจากหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆเป็นเหตุให้กลุ่มเด็กชายหญิงที่กำลังวิ่งเล่นกันโครมครามสงบลง พร้อมๆกับที่เด็กชายตัวโตผิวขาวก้าวออกมา

           “ ครับผ้มเสียงขานรับมีร่องรอยของภาษาถิ่น

          “ วันนี้ตะวันไม่มาเรียนอีกแล้วหรือน้ำเสียงแสดงความเหนื่อยหน่าย

          “ วั่นไปกับเรือลุงทอนครับครูเด็กชายมักจะเรียกชื่อเพื่อนด้วยภาษาใต้

          ลิลินนึกถึงเด็กชายร่างเล็กผมหยักศกแล้วรู้สึกเป็นห่วง ระยะแรกที่เธอมาทำงานที่นี่รู้สึกหนักใจมาก เพราะตะวันเป็นเด็กที่ค่อนข้างซน และชอบแกล้งเพื่อน

 

          "ครูคะ ตะวันเอาหมูมาใส่จานข้าวของหนู

          เด็กหญิงดาหวันมักจะมาฟ้องเธออยู่เสมอตะวันชอบแกล้งเพื่อนคนนี้ เพราะเธอนับถือศาสนาอิสลาม จึงมีช่องโหว่ที่ทำให้ถูกแกล้งได้ง่ายกว่าใครๆ ครั้งนั้นเธอเรียกเด็กชายมาตักเตือน ก่อนจะกล่าวสำทับ

       “ ที่ครูไม่ตีไม่ใช่เพราะเธอไม่ผิดนะตะวัน ในโลกนี้มีอะไรมากมายที่เราไม่เคยสัมผัส เธอกำลังคิดว่า สิ่งที่เขาเป็นอยู่คือปมด้อย นั่นเพราะเธอไม่เข้าใจต่างหาก ทุกครั้งที่ครูดุเธอไม่ใช่เพราะโกรธหรือเกลียด แต่ที่ดุเพราะครูรักเธอต่างหาก ครูอยากให้เธอเป็นคนดี ไม่มีอะไรเลวร้ายไปทุกอย่างหรอกตะวัน

          ระยะหลังๆแม้ตะวันจะยังคงขาดเรียนบ่อยๆ แต่เธอก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาแกล้งใครอีกเลย

          เลิกเรียนแล้วลิลินตั้งใจจะไปเยี่ยมยายของตะวัน บ้านของเขาเป็นบ้านหลังเล็กๆข้างโรงเรียน พอเธอเดินไปถึง พบว่าบ้านของเขาเงียบเชียบ ตะวันมักจะออกไปกับเรือประมงอยู่เสมอ เพื่อแลกกับค่าจ้างและปลาที่เหลือจากส่งขายพ่อค้าปลา

        “ ปลาหมึก เพิ่งได้มา ”  บ่อยครั้งที่ตะวันมักจะนำของทะเลมาให้เธอเสมอ เป็นความรู้สึกประทับใจที่หาได้ยากนักในกรุงเทพฯ

         “ ถึงแม้จะขัดสนจนเงิน แต่ที่มีมากเกินคือน้ำใจ ”เธอเดินลัดผ่านสวนยางเล็กๆมายังบ้านพักครู เมื่ออาบน้ำแต่งตัวใหม่เสร็จแล้ว   เธอก็นั่งตรวจงานที่ค้างอยู่     พระอาทิตย์กำลังใกล้จะตกดิน พิมลเพื่อนครูรุ่นพี่กลับมาถึงแล้ว เธอจึงวางปากกา คิดว่าจะชวนกันทำกับข้าว

           “ อ้าว! ตะวันลิลินอุทานอย่างดีใจ เมื่อหันมาเห็นเด็กชายตัวดำผมหยักศกยืนยิ้มอยู่หน้าประตูห้อง

             “ เอาปลามาให้สิ่งที่เธอคอยเตือนเด็กชายอยู่เสมอคือ พูดจาให้ไพเราะ และมีหางเสียงแต่บ่อยครั้งที่เด็กชายลืม

             ในถุงมีปลากระพงขาว และปลาทรายแดงตัวยาวที่ยังหายใจระรวย ลิลินเป็นคนใจอ่อน     ถ้าจะทำอาหารเธอคงต้องรอให้มันตายก่อน หรือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพิมล

            “ ยายกินข้าวหรือยังตะวันหญิงสาวยังคงห่วงใยผู้เป็นยายของตะวัน

            “ ยายไปช่วยแม่เลี้ยงน้องที่กรุงเทพฯ จะกลับมาปีใหม่ผู้เป็นครูจับความรู้สึกของตะวันไม่ได้ ว่าเขารู้สึกอย่างไร ตั้งแต่บิดาของเขาตายจากไป ตะวันก็อยู่กับยายมาตลอด แม่ของเขาไปทำงานได้ไม่นานก็มีครอบครัวใหม่ นานๆครั้งจึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน

           “ กินข้าวกับครูนะตะวัน แล้ววันอาทิตย์ก็มาเรียนซ่อมที่ไม่มาด้วย เราน่ะเรียนไม่ทันเพื่อนแล้ว วันเสาร์จะปล่อยให้ไปคริสต์มาสที่บ้านพิสิษฐ์ก่อน”

          “ ครับเด็กชายชำเลืองมองผู้เป็นครูแล้วกล่าวต่อ

           “ ช่วงนี้ได้ปลาเยอะเลยครู    ลุงทอนบอกว่าบางตัวไม่เคยเห็นมาก่อน บางตัวก็มีหางแปลกๆ ลุงเขาว่ามันมาจากท้องทะเลลึกป็นปลาโบราณ

            “ แล้วมันมาให้จับได้ยังไงลิลินให้ความสนใจ

              “ ก็มันมาเอง ลุงทอนว่ามันแปลก น้ำทะเลก็สีขุ่นๆ อยู่ดีๆมันมาเกยตื้นเหมือนหนีอะไรมา”

              ประตูห้องเปิดออก พิมลแทรกตัวเข้ามา  “ หิวแล้วเธอกล่าวยิ้มๆ

              “ ไปช่วยกันทำกับข้าวเถอะ”

               แล้วเรื่องที่สนทนาค้างอยู่ก็ถูกลืมเลือนไป ทั้งสามช่วยกันทำอาหารอย่างขะมักเขม้น ความมืดโรยตัวเข้ามาแล้ว เสียงจิ้งหรีดร้องระงม ลมทะเลโชยมาเหมือนจะบอกลาวันวาน

                แสงสีทองส่องทะลุผ้าม่านสีน้ำทะเลเข้ามาในห้องนอน ลิลินค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ เธอรู้สึกตกใจที่เห็นฝูงมดกำลังไต่เปะปะอยู่เต็มผนังห้อง แปลกจริง...มดเป็นสัตว์ที่มีวินัย มันจะเดินเรียงแถวเป็นระเบียบ แปลก...ทำท่าเหมือนหนีอะไรมา อีกแล้วเหมือนหนีอะไรมาระยะนี้คำๆนี้ติดอยู่ในความรู้สึกของเธอ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า..ทำไม

                กริ๊ง ๆๆ! เสียงโทรศัพท์แผดเสียงฝ่าความเงียบขึ้นมา หญิงสาวกรอกเสียงลงไป

               “ สวัสดีค่ะ คุณพ่อเหรอคะน้ำเสียงตื่นเต้นที่บิดาติดต่อมา

             “ ลินสบายดีหรือเปล่าลูก แม่เขาเป็นห่วงมารดาของเธอมีบุตรสาวคนเดียวจึงห่วงใยมากเป็นพิเศษ

                 “ พ่อหาโรงเรียนที่จะให้หนูย้ายมาได้แล้วนะ ถ้าหนูพร้อมเมื่อไหร่ค่อยไปติดต่อเขาอีกทีแม่เขาดีใจใหญ่ที่ลูกจะได้กลับมาอยู่บ้าน”

               บิดากล่าวถึงสาเหตุที่ต้องรีบโทรศัพท์มาหาบุตรีแต่เช้าคุณพิศาลเป็นคนรักครอบครัว มักจะคอยใส่ใจความรู้สึกของสองแม่ลูกเสมอ ตอนที่ลิลินยังเรียนหนังสือ ในวันหยุดเขามักจะพาครอบครัวไปพักผ่อนต่างจังหวัดเสมอหญิงสาวดีใจที่จะได้กลับไปสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง

              “ เดี๋ยวปีใหม่เจอกันนะคะคุณพ่อ ลินจะรีบกลับตั้งแต่เย็นวันที่สามสิบเลยลิลินบอกบิดาด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงบนแป้นช้าๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง

                เมื่อต้นปี 2545 ลิลินถูกเรียกให้มาบรรจุเป็นครูที่นี่ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของบิดามารดา และอธิปชายหนุ่มที่คบหากันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย  โดยเฉพาะอธิป เขาโกรธมากที่เธอเลือกจะมาสอนต่างจังหวัด เพราะคิดว่าเธอพยายามตีจาก แต่หญิงสาวก็พยายามอธิบายกับเขาจนเข้าใจ

              ในระยะแรกที่มาทำงานลิลินต้องปรับตัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวกับวิถีชีวิตที่ไม่คุ้นเคยปรับตัวให้เข้ากับนักเรียนที่มาเรียนบ้างขาดบ้าง บ่อยครั้งที่ต้องนัดให้มาเรียนเพิ่มในวันหยุด จนเธอเริ่มชินกับวิถีชีวิตชาวเล เป็นเหตุให้อธิปทนรอไม่ไหว เขาพบรักใหม่กับสาวสังคมในกรุงเทพฯ เธอเสียใจอยู่พักใหญ่แต่ก็ได้พิมล และเด็กชายตะวันที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีค่า โดยเฉพาะเด็กชายที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นครูที่ดี

 

 

 

 

            อากาศหลังวันคริสต์มาสดูหม่นมัว ลมทะเลที่พัดเข้าฝั่งแรงกว่าทุกวัน ลิลินรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมารอสอนซ่อมให้นักเรียน เธอนั่งมองใบไม้ที่พลิ้วตามแรงลมแล้วละห้อยหา อีกไม่นานเธอจะต้องจากที่นี่ไป จากท้องทะเลอันดามันกว้างใหญ่ ไปสู่ความเจริญของเมืองหลวงเวลาสองปีอาจจะไม่นานนักแต่ก็นานพอที่ทำให้เธอรู้สึกรักที่นี่ เสียงฝีเท้าคนทำให้ลิลินหันไปมอง

 

          “ มาแต่เช้านะตะวัน เดี๋ยวรอพิสิษฐ์กับภาวัตก่อนนะ เมื่อวานคงเหนื่อยกับงานคริสต์มาสเลยตื่นสายพูดจบก็เลื่อนเก้าอี้ให้เด็กชาย

           “ เมื่อวานตอนเย็นผมเอาปลาไปส่งที่แพ มองไปทางทะเลทำไมท้องฟ้าเป็นสีแดงครับครูพวกคนแก่บอกว่าให้ระวังจะเกิดเรื่องไม่ดี ”เด็กชายเล่า

            “ แต่ครูว่าน่าจะเป็นพายุนะตะวัน ไม่มีอะไรหรอกลิลินบอกเด็กชายตามหลักการที่

 

เคยเล่าเรียนมา

             ครืน.....อาคารเรียนไหวยวบจนรู้สึกได้ ทั้งๆที่เป็นเพียงชั้นสอง การเกิดแผ่นดินไหวเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่นี่ แต่กับลิลินแล้วเธอรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ที่จะอยู่ในอาคารเวลาที่แผ่นดินไหว

            “ ลงไปข้างล่างก่อนเถอะตะวัน กันไว้ก่อนแล้วทั้งคู่ก็รีบเดินลงจากอาคารเรียน

            “ ครูคร้าบ” พิสิษฐ์ยานคางเรียกมาแต่ไกลเจ้าวัตกับเจ้ามัสมันอยู่ที่ชายหาด มันกำลังดูน้ำลงกันอยู่ น้ำทะเลลดลงไปเป็นร้อยๆเมตรเลยนะครับครูพิสิษฐ์เล่าถึงสาเหตุที่เพื่อนมาช้า

            “วั่นไปดูหม้ายเด็กชายชวนเพื่อนด้วยภาษาที่ชินปาก

             ตะวันพยักหน้า แล้วเดินตามพิสิษฐ์ไป ลิลินเดินตามสองเด็กชายออกไปทางชายหาด  แต่ในใจคิดว่าช่วงนี้มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นมากมาย

             “ นั่นๆ อะไรพิสิษฐ์ละล่ำละลักชี้ไปทางชายหาด ลิลินและตะวันหันไปมองตามเงาทะมึนปรากฏขึ้นตรงโพ้นทะเล ใต้เส้นขอบฟ้านั้นเหมือนมีภูเขากำลังเคลื่อนที่เข้ามาลิลินไม่สามารถตอบลูกศิษย์ได้ว่ามันคืออะไร ด้วยยากแก่การคาดเดา แต่ที่รู้คือมันเป็นสัญญาณอันตราย ที่กำลังคืบคลานเข้ามาสู่ชายหาด

           “ วิ่งไปให้ไกลจากทะเล มาทางนี้เร็วๆหญิงสาวใจคอไม่ดี แต่ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเธอต้องเป็นหลักให้สองเด็กชายทั้งสามต่างพยายามวิ่งจนสุดฝีเท้า เสียงผู้คนหวีดร้อง และเสียงสิ่งก่อสร้างพังทลายดังมาจากเบื้องหลัง เลือดฉีดพล่านไปทั่วทุกขุมขน แต่ไม่มีใครกล้าหันไปมอง ลิลินฉุดแขนเด็กชายทั้งสองให้วิ่งตาม ละอองฝุ่นคลุ้งมาตลบใหญ่ หญิงสาวพยายามหลับตา

            พรึ่บ ! ซ่า... กรี๊ด! เสียงของใครต่อใครที่ดังขึ้นเซ็งแซ่ ยากที่จะบอกว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีที่ผ่านไป เธอรู้สึกตัวเบาหวิว ม่านตาพร่าไปชั่วขณะ เหมือนโทรทัศน์ปิดตัวเองในขณะที่ไฟฟ้าดับ เธอจำได้ว่าได้ยินเสียงตะวันร้องเรียก

           “ ครู....” ยังไม่จบประโยค เสียงของเด็กน้อยก็ถูกน้ำทะเลกลืนหายไป เพราะท่อนซุงท่อนใหญ่ที่ถูกน้ำซัดมากระแทกตัวเขา ทำให้มือของทั้งสามหลุดจากกัน ลิลินเองก็จุกด้วยกระแสน้ำพัดกระแทกลำตัว โชคดีที่เธอเกาะต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ได้ จึงทำให้หลุดพ้นจากแรงดูดจากสายน้ำ ที่กำลังไกลกลับสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว ลิลินพยายามหลับตาไต่ลงจากต้นไม้ เธอเคยกลัวความสูงอย่างที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าจะข่มใจตนเองได้ หญิงสาวบอกกับตนเองว่าสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ เมื่อถึงพื้นดินที่เฉอะแฉะไปด้วยโคลน เธอรู้สึกเจ็บที่ขาซ้าย แต่ยังพยายามปีนขึ้นไปบนเขาสูงให้ได้ ขณะเดียวกันก็พยายามเรียกหาพิสิษฐ์และตะวัน เงียบ...ไม่มีเสียงของเด็กน้อยทั้งสอง

           เวลาผ่านไปราวสิบห้านาที เสียงผู้คนอื้ออึงอีกครั้ง ลิลินหันกลับไปมองชายหาด นี่มันอะไรกัน มันมาอีกแล้ว มัจจุราชดำทะมึนกำลังม้วนตัวเข้ามาสู่ฝั่งอย่างรวดเร็ว เธอข่มความเจ็บปีนขึ้นสู่ที่สูง ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ก็สัญญากับตัวเองว่าฉันจะกลับไปหาทุกคนให้ได้

          คลื่นลูกนี้สูงกว่าลูกแรก มันสูงราวๆสักสิบเมตร แต่โชคดีที่มาไม่ถึงบริเวณที่ลิลินอยู่‘ มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ลิลินยังคงระแวงกับเหตุการณ์เลวร้าย ความหวาดผวายังแทรกตัวอยู่ในจิตสำนึก มือของเธอเย็นเฉียบ เธอค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้น เจ็บจี๊ดที่ขาซ้าย..เลือดยังไหลไม่หยุด เธอไม่สนใจเพราะกังวลที่หาสองเด็กชายไม่พบ จิตใจมันอัดอั้นเหลือจะกล่าวเธอ

ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเป็นน้ำตาดังทำนบพัง

           เวลาผ่านราวชั่วโมงกว่าก็มีเจ้าหน้าที่มาค้นหาผู้รอดชีวิต หญิงสาวจึงลงไปพร้อมกับหลายคนที่หนีตายขึ้นมาบนเขา เธอรวบรวมความกล้าที่จะลงไปเผชิญกับความจริง....ที่แสนจะโหดร้าย

           สภาพเมืองที่เธอเคยอาศัยราบเป็นหน้ากลอง บ้านเรือนของชาวประมงที่อยู่ใกล้ๆชายหาดหายไปหมด แม้แต่ต้นไม้ที่เคยขึ้นเขียวชอุ่มก็ไม่เหลือหลอ สิ่งที่หลงเหลือคือซากปรักหักพังที่จมอยู่ใต้โคลนหนา คงจะมีร่างไร้วิญญาณของใครหลายคนถูกซากเหล่านั้นทับเอาไว้ เจ้าหน้าที่ทำงานขะมักเขม้น แต่เธอยังหาลูกศิษย์ทั้งคู่ไม่พบ

           “ ครูครับ เชิญทางนี้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาตามเธอมีคนบอกว่าพบคนที่คุณตามหา”หญิงสาวเดินตามเขาไปจนถึงบริเวณใกล้ๆซากรถยนต์ที่นอนตะแคงข้างอยู่ คุณพระช่วย!หัวใจเธอแทบหยุดเต้น ร่างของพิสิษฐ์นอนอยู่ตรงนั้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยโคลนเกรอะกรังเธอเดินไปใกล้ๆร่างของเด็กชาย เอื้อมไปจับมือของเขาไว้ มือของเขาเย็นเฉียบ

เธออยากร้องไห้แต่น้ำตาก็ไม่ยอมไหลออกมา หรือว่ามันเอ่อล้นไปทั้งใจแล้ว

 

 

 

           “ หนาว..อยากกลับบ้าน ” เสียงเหมือนแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล เงาลางๆเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วทำท่าจะเดินจากไป หญิงสาวรู้สึกว่าวิ่งจนสุดฝีเท้าก็ยังตามไม่ทัน

 

           “ ตะวันลิลินแผดเสียงดังลั่นห้อง

          “ ลิน ตื่นลูกตื่นมารดากอดหล่อนเอาไว้ทำใจดีๆไว้ลูก ทุกอย่างมันจบลงแล้ว

               ลิลินฝันซ้ำๆอย่างนี้ทุกคืน นานนับเดือนที่ไร้ร่องรอยของเด็กชาย แต่เธอก็ยังหวังว่าตะวันจะต้องอยู่ที่ใดสักแห่งที่ติดต่อไม่ได้ แล้วสักวันเขาจะกลับมา เหมือนในละครที่เธอเคยดู 

         “ ลินต้องเข้มแข็งนะลูก ลินจะต้องผ่านมันให้ได้ ลูกจะต้องยอมรับว่าทุกอย่างมันเป็นไปแล้ว” บิดาซึ่งเดินตามเข้ามาเอ่ยเตือน

           “พ่อคงไม่ให้ลูกกลับไปทำงานที่นั่นอีก จำโรงเรียนที่พ่อบอกได้ไหม ถ้าหนูพร้อม พ่อจะไปพบผู้อำนวยการ”

          หญิงสาวมองหน้าบิดาและมารดาแล้วกราบลงกับที่นอนหนึ่งครั้ง

          “คุณพ่อคุณแม่คะขอให้ฟังความในใจของลูกสักครั้ง ที่นั่นทำให้ลูกเข้มแข็ง ทำให้ลูกค้นพบตัวเอง และที่สำคัญมันคือความทรงจำค่ะ ลินตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก ลินจะกลับไปค่ะ ”

        คุณพิศาลและภรรยายอมทำตามความต้องการของบุตรี ทั้งคู่มาส่งลิลินกลับสู่พังงาอีกครั้ง แล้วพักอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวเป็นเวลาสองวันจึงเดินทางกลับ

          หลังจากส่งบิดาและมารดากลับกรุงเทพฯแล้ว หญิงสาวยังไม่กลับไปที่พัก เท้าของเธอพาเดินมาที่ชายหาด เธอเหลียวไปมองรอบกาย ที่นี่เคยมีต้นไม้ร่มครึ้มแต่บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า เธอเดินทอดน่องช้าๆทอดถอนใจเบาๆ ก่อนจะนั่งลงและกล่าวกับคลื่นที่ซัดเข้ามา

          “ ทะเลสงบช่างน่าอภิรมย์ หากในยามทะเลคลั่งมันกลับทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตาตะวันรักทะเล เขามักจะมาขลุกอยู่ที่นี่ ณ วันนี้เขาก็ได้อยู่กับทะเล หลับเถิดนะศิษย์รักชีวิตของเธอไม่ต้องดิ้นรนอะไรแล้ว ครูขอสัญญาว่าชีวิตที่เหลือ จะนำความรู้ที่มีเป็นวิทยาทานบุญกุศลใดที่ทำขอให้ตกแก่ตะวัน พิสิษฐ์ และทุกๆคนที่ต้องสูญเสียด้วยเถิด ”

          ลมทะเลพัดมาปะทะใบหน้าของลิลินวูบใหญ่ ราวกับเสียงหัวเราะสดใสของใครบางคน

                ‘เธอมาทักทายครูใช่ไหมตะวัน’

 

 
                                         น้ำฝน ทะกลกิจ ประพันธ์

                                         ลิขสิทธิ์เว็บไซต์ภาษาสยาม




               

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2014 เวลา 15:10 น.