เรื่องสั้น...น้ำตาแม่ |
![]() |
![]() |
![]() |
เขียนโดย ภาษาสยาม |
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2008 เวลา 20:23 น. |
ผมยืนอยู่ข้างหน้าต่างกระจกของอาคารชั้นที่ ๒๐ เหม่อมองผู้คนใช้ชีวิตอยู่เบื้องล่าง
หลายๆคนทำงานหาเช้ากินค่ำ ดำรงชีวิตอยู่อย่างลำบาก ต่างกับผมที่เป็นผู้บริหารระดับสูง
ของบริษัทนำเข้าขนาดใหญ่ ทำงานอยู่ ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ และห้อมล้อมไปด้วยลูกน้องมากมาย
คนทั่วไปอาจจะคิดว่าชีวิตของผมนั้นแสนจะมีความสุข แต่ไม่เลย หัวใจของผมมีร่องรอย
บาดแผลเล็กๆที่ทำให้ เจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาที่มีอะไรมาสะกิด
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแม่แห่งชาติอีกแล้ว ใครจะรู้บ้างว่า ภาพที่คนอื่นถือดอกมะลิ
ไปกราบแม่ เปรียบเสมือนคมมีดนับพันเล่มที่ทิ่มแทงหัวใจผม หากกลับไปแก้ไขอดีตได้
คงดี ผมคงไม่ปล่อยให้ตนเองต้องมาจ่อมจมอยู่กับความรู้สึกผิดเช่นนี้
หากไม่บอกก็คงจะไม่มีใครรู้ว่าคนระดับผมจะมีพื้นเพมาจากครอบครัวยากจน หาเช้ากิน
ค่ำ ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในบ้านที่แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเป็นบ้าน เพราะเป็นเพียงเพิงหมา
แหงนที่นำไม้เก่าๆมาปะต่อๆกัน เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้อาศัยพอกันแดดกันฝน ผมเป็น
ลูกคนเดียวของพ่อซึ่งมีอาชีพกรรมกรก่อสร้าง และแม่ที่เป็นคนกวาดถนน แต่ท่านทั้งสองก็มุ
มานะให้ผมได้เข้าเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ลูกผู้ลากมากดีแห่กันมาเรียน
ผมมีเพื่อนที่เรียนเก่ง เพียบพร้อม และอยู่ในสังคมที่แตกต่างจากพ่อกับแม่ลิบลับ
" พ่อกับแม่ไม่มีเงินทองเป็นมรดกให้เก่ง ก็ได้แต่พยายามส่งเสียให้ลูกได้เรียนสูง ๆ จะ
ได้ไม่ลำบากเหมือนเราสองคน "พ่อบอกผมในวันหนึ่ง ซึ่งผมเพียงแค่ยิ้มรับ
ผมเป็นเด็กที่เรียนดีและตั้งใจเรียนมาก พ่อกับแม่จึงภูมิใจนักหนา และไม่เคยเกี่ยงงอน
ให้ผมทำงานใดๆเลย ผมเสียอีกที่ถึงแม้จะละอายใจอยู่ลึกๆ แต่ก็นั่งมองพ่อแม่ทำงานหนักอยู่
ทุกเมื่อเชื่อวัน เท่านั้นยังไม่พอ ในยามที่ครอบครัวของเราลำบากพ่อกับแม่จะเสียสละให้ผมเสมอ
" ไปอ่านหนังสือเถอะเก่ง เดี๋ยวแม่ล้างจานเอง " แม่จะไล่ผมไปอ่านหนังสือทุก
ครั้งที่ผมทำงานบ้าน
" แม่เหลือเงินแค่ ๒๐ บาทเก่งเอาไปโรงเรียนเถอะลูก "
" แล้วแม่ล่ะ " ผมเองก็ห่วงแม่ไม่น้อยไปกว่ากัน
" แม่เก็บผักบุ้งริมคลองมาผัดกินได้ เก่งเอาไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่ "
ผมรักและซาบซึ้งในพระคุณของพ่อและแม่มากครับ แต่ก็ไม่อาจบอกใครได้ นอกจาก
เก็บเอาไว้ในใจคนเดียว
" เก่งได้แสดงละครของโรงเรียนในวันแม่เหรอลูก " แม่ถามผมในวันหนึ่ง
" ใครบอกแม่เนี่ย " ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
" หนูพิมเขาเพิ่งบอกแม่เมื่อเช้านี้เอง ทำให้เต็มที่นะลูก แม่จะไปดู " แม่ยิ้มอ่อนโยน
ผมขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ และตัดสินใจเปิดอกบอกออกไปตามตรง
" อย่าไปนะแม่ ถ้าเพื่อนผมรู้ว่าแม่เป็นคนกวาดขยะจะต้องเลิกคบผมแน่ ในกลุ่ม
ผมมีแต่ลูกคนรวยทั้งนั้นเลย " แทนที่จะดีใจผมกลับเสียงดังใส่แม่
แม่หน้าเสีย และถ้าดูไม่ผิด หยดน้ำใสกำลังเอ่อท่วมดวงตาของแม่ แต่ก็ครู่เดียว
เท่านั้น แม่ผู้แข็งแกร่งของผมก็สลัดมันออกไปได้
" เก่ง .. เราต้องพอใจในสิ่งที่เรามีสิลูก เราต้องยอมรับว่าเรามาจากดิน "
" ไม่นะ ผมไม่อยากให้ใครมาดูถูก "
ผมจำได้ดีว่า หลังจากนั้นแม่ก้มหน้าร้องไห้ แต่ผมก็พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองว่า
ถ้าแม่ไม่ไปจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย เพราะแม่เองก็จะได้ไม่ลำบากและเสียเวลาทำงาน
แล้ววันงานก็มาถึง ในงานวันแม่ ผมร่วมแสดงละครกับเพื่อนๆโดยปราศจากสายตาของ
แม่ ในขณะที่ได้เห็นแม่ของคนอื่นมาร่วมงานกันพร้อมหน้า ทุกคนได้กราบ ได้กอด และบอกรัก
แม่ แล้วผมล่ะ..ผมได้แต่บอกในใจ...แม่ครับ..ผมรักแม่ที่สุด
" แม่คือปูชนียบุคคลที่ควรเคารพบูชา ความรักของแม่ที่ให้ลูกไม่เคยมีข้อแม้ใดๆ แม้ลูก
จะไม่สมประกอบหรือมีปัญหาด้านสติปัญญา แม่ก็ยังรัก และไม่มีวันทอดทิ้ง วันที่ลูกล้ม ลูกแพ้
อ้อมกอดแม่ยังคอยประคองและซับน้ำตาอยู่เสมอ อภัย..แม้ว่าลูกได้ทำสิ่งเลวร้ายสักปานใดก็
ตาม หากมีภัยใดๆมากล้ำกลายลูกแม่ก็ขอปกป้องลูกแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต...แม่ก็ยอม "
คำกล่าวของแม่ตัวอย่างในงานทำให้ผมคิดได้ แม่รักและเสียสละให้มาโดยตลอด แต่
ผมกลับอกตัญญู ผมทำผิดต่อแม่...ผู้ที่รักผมด้วยหัวใจบริสุทธิ์ ทำไมผมไม่นึกบ้างนะว่า แม่
ต้องลำบากแค่ไหน กับการทำงานหนักเพื่อส่งผมเรียนโรงเรียนดีๆแพงๆ แม่อดเพื่อให้ผมอิ่ม
แม่ให้อภัยลูกอกตัญญูคนนี้เสมอ แม้ลูกจะเคยพูดว่า อาย...ที่มีแม่เป็นคนกวาดถนนก็ตาม แม่
ครับ...เย็นนี้ผมจะเข้าไปกราบแม่ และจะบอกกับทุกคนว่า ผมภาคภูมิใจในแม่ของผมที่สุดใน
โลก ผมสัญญว่าจะตั้งใจเรียน เพื่อให้พ่อแม่สบายกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เย็นวันนั้นผมรีบกลับบ้านทันทีที่โรงเรียนเลิก ในมือผมกำดอกมะลิเอาไว้แน่น แม่ยังไม่
กลับบ้านทั้งบ้านจึงดูเงียบเหงา มีเพียงกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆเสียบอยู่ตรงประตู
“ เก่ง พ่อกับแม่อยู่โรงพยาบาล รีบมาด่วน ”
ใจของผมเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ใครเป็นอะไรไป ทำไมพ่อกับแม่จึง
ต้องไปที่โรงพยาบาล ผมกำดอกมะลิไว้แน่น วิ่งออกจากบ้าน แล้วเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้
พาไปยังโรงพยาบาลตามที่พ่อบอก
ทันทีที่ผมก้าวไปถึงโรงพยาบาล ป้านีผู้เป็นพี่สาวของแม่ก็เดินออกมารับด้วยสีหน้าเศร้า
สร้อย ผมจึงไม่กล้าซักถามกับป้า แต่ก็แอบคิดในใจว่าลุงอาจสามีของป้านีคงจะไม่สบายอย่าง
แน่นอน
แล้วผมก็ได้รู้ว่าตนเองเดาผิด เมื่อได้พบพ่อ
พ่อยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพียงลำพัง ทันทีที่เห็นผม พ่อก็โผเข้ามากอดในทันที พลางบอก
กับผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
" แม่จากเราไปแล้วนะเก่ง " ผมเงยหน้าขึ้นมองพ่อ น้ำตาของลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม
พ่อเล่าไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง
" เมื่อกลางวันตอนที่แม่กำลังกวาดถนน อยู่ๆคนขับ รถบรรทุกมันก็หลับใน พุ่งเข้าชนร่างของแม่
ก่อนตายแม่เพ้อถึงเก่งดังลั่น สั่งพ่อให้ดูแลเก่งดีๆ ให้ลูกมีอนาคต "
ดอกมะลิในมือผมร่างลงพื้น เช่นเดียวกับร่างที่ทรุดลงคุกเข่าพลางร้องไห้ ผมไม่มี
โอกาสได้กราบแม่อีกแล้ว
แต่ผมไม่เหลือโอกาสใดๆอีก แม่...จากผมไปแล้ว แม่ครับ ..ผมรักแม่
หลังจากนั้นในวันแม่ของทุกๆปี ผมก็ได้แต่ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน หลายๆคนคงคิดว่า ทำไม ไม่ทำเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ หากผมย้อนเวลาได้...ผมจะทำ..จะรัก และดูแลแม่ให้ดีที่สุด
หากย้อนเวลาได้ ...ผมจะไม่มีวันทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา แต่ผมไม่เหลือโอกาสนั้นอีกแล้ว
แล้วคุณล่ะ….ดูแลแม่ของคุณหรือยัง
น้ำฝน ทะกลกิจ ประพันธ์
ลิขสิทธิ์เว็บไซต์ภาษาสยาม
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2010 เวลา 08:34 น. |