
เรื่องสั้น..สัญญาใจ |
![]() |
เขียนโดย ภาษาสยาม |
วันพฤหัสบดีที่ 09 ตุลาคม 2008 เวลา 07:25 น. |
![]()
นิราศร้างห่างเจ้า ดวงใจ
ตัวพี่จำจากไกล แน่งน้อง
มิอาจหักอาลัย ถึงแม่ นางเฮย
หลับตื่นใจกู่ก้อง ร่ำร้องครวญหา
เสียงอ่านโคลงดังก้องโสตประสาท ทำให้เฌอเอมซึ่งฟุบหลับอยู่บนมุมหนึ่งของโต๊ะ
ไม้ไผ่ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนนั้นที คนนี้ทีอย่างฉงน
“ ใครอ่านโคลง ” หล่อนถามด้วยเสียงอันดัง
เพื่อนที่นั่งอยู่โดยรอบหันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียว เพราะไม่มีใครได้ยินเสียงดังกล่าว
แม้แต่น้อย
“ โคลงอะไรหรือเอม ” ญาดาเพื่อนสนิทของหล่อนถามอย่างสงสัย
เฌอเอมส่ายหน้าแล้วตอบเพื่อน “ คงฝันไปน่ะ เมื่อกี้งีบหลับไป ”
ญาดาพยักหน้าแล้วชวนเพื่อนให้หันไปสนใจกับการแสดงของเด็กชาวเขา ที่เตรียมการ
มาต้อนรับคณะของหล่อนโดยเฉพาะ
“ โคโงส้าบ้า ส้าบ้าว้าโบห่าซา โคโงส้าบ้า ส้าบ้าว้าโบห่าซา เมอพาโยแลโลพามา
บ้าหลาน้าก็พาทาลา .............. ” เสียงเพลงที่เด็กๆร่วมร้องดังขึ้น
“ เพลงภาษาอีก้อหรือญา ” เฌอเอมสงสัย
เพื่อนที่นั่งถัดไปหัวเราะคิกคักแล้วตอบเสียเองว่า
“ เอมเคยได้ยินเพลงนี้มั้ย ..คนโง่สร้างบ้าน สร้างบ้านไว้บนหาดทราย .. นี่ก็เพลง
เดียวกันนั่นแหละ เด็กชาวเขาพูดไทยไม่ชัด ”
เฌอเอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดูความพยายามของเด็กๆ เด็กน้อยที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีล้วนแต่
จิตใจใสบริสุทธิ์ ป่าเขาอันกว้างใหญ่นี้ไม่มีสิ่งใดมาปรุงแต่งสิ่งเลวร้ายให้แก่พวกเขาได้เลย หญิง
สาวได้แต่ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป
เฌอเอมและเพื่อนๆเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯทุกคนเป็นสมาชิก
ชมรม พี่เพื่อน้อง ซึ่งเป็นชมรมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจน โดยจะจัดงานขึ้นในวันเด็ก
ของทุกๆปี สำหรับปีนี้ทุกคนลงมติกันว่าจะนำเครื่องใช้และทุนการศึกษามาช่วยเหลือเด็ก
ชาวเขาบนดอยผาคำ ซึ่งมีอาณาเขตติดกับประเทศพม่า
งานวันเด็กผ่านไปอย่างสนุกสนานและเรียบร้อย เมื่อทำความสะอาดสถานที่เสร็จแล้ว
ทุกคนจึงไปรวมตัวกันบนรถบรรทุกสิบล้อซึ่งเป็นพาหนะของชมรมในการเดินทางครั้งนี้
“ คืนนี้เราจะพักกันที่หมู่บ้านชายแดนไทย-พม่านะครับ ท่าน ส.จ. ของที่นี่ได้จัดอาหาร
มาเลี้ยงและจัดหาวงดนตรีร่วมสมัยมาเล่นให้พวกเราฟังด้วย ” ประธานชมรมกล่าว
คำบอกเล่าของเขาเป็นที่พออกพอใจของเหล่านักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่
กล่าวจบก็มีเสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นตามหลัง ครู่ใหญ่รถจึงเริ่มขับเร็วขึ้น ละอองฝุ่น
สีน้ำตาลแดงม้วนตัวเข้ามาคละคลุ้ง เหล่านักศึกษาจึงยุติการสนทนา เปลี่ยนมาเป็นการ
นั่งขัดสมาธิและนำผ้าคลุมหัวกันจ้าละหวั่น
ที่พักที่ท่านส.จ.จัดให้นั้นเป็นบ้านที่ปลูกสร้างแบบชาวจีน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เป็น
ชาวจีนฮ่อจึงมีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายคลึงกับชาวจีนมาก โดยช่วงเช้าด็กๆในหมู่บ้านจะต้องไป
เรียนโรงเรียนไทยภาคบังคับ ส่วนในช่วงเย็นนั้นทุกคนจะต้องไปเรียนภาษาจีนที่โรงเรียนอีก
แห่งหนึ่งเป็นกิจวัตร
เฌอเอมรีบอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่หัวค่ำ หญิงสาวยอมรับว่าไม่คุ้นเคยกับอากาศของที่นี่
เพราะแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ทุ่มกว่าๆแต่อากาศกลับหนาวเย็นและชื้นไปด้วยละอองน้ำค้างเสีย
แล้ว นักศึกษาชายจึงช่วยกันก่อไฟและหาเสื่อมาปูไว้โดยรอบเพื่อตระเตรียมสำหรับงานเลี้ยง
ที่ท่านส.จ.จัดต้อนรับ
กว่าเฌอเอมจะออกมาสมทบกับเพื่อนๆก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม วงดนตรีที่มาแสดง
กำลังขับขานบทเพลงเป็นที่ถูกอกถูกใจของเพื่อนๆนักศึกษา
“ เอมมานั่งด้วยกันนี่มา ” ญาดาออกมาต้อนรับ
เฌอเอมยิ้มและพยักหน้า แต่หล่อนกลับต้องขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นสุราโชยมา
“ นี่ญาดื่มเหล้าด้วยเหรอ ”
เฌอเอมไม่เคยลิ้มลองของมึนเมาทุกชนิด ในขณะที่ญาดาเป็นนักดื่มตัวยง เนื่องจาก
หล่อนมีลักษณะคล้ายทอมบอยจึงเข้ากับเพื่อนผู้ชายได้โดยง่าย
“ อากาศมันหนาวน่ะเอม เหล้ามันช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเราได้ ลองดูสักแก้วไหม
” ญาดาให้เหตุผล เฌอเอมส่ายหน้าปฏิเสธแต่ก็ยอมเดินตามไปนั่งข้างๆกองไฟอย่างง่ายดาย
คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ ดวงจันทร์กลมโตทอแสงฉาบฟากฟ้าให้เป็นสีทองระเรื่อ อีกทั้งยัง
ไม่ลืมแบ่งปันแสงสีนวลมายังพื้นโลก ทำให้ค่ำคืนนี้ไม่มืดมิดเกินไปนัก เฌอเอมมองบรรยากาศ
รอบตัวด้วยความตื่นเต้น บ้านทรงจีนเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืด ถัดจากตัวบ้านเคย
มองเห็นต้นโหระพาหลายต้นในตอนกลางวัน ในค่ำคืนนี้กลับเต็มไปด้วยหิ่งห้อยที่กระพริบแสง
พร่างพรายราวกับหมู่ดาวนับพันดวงที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าให้หญิงสาวได้ชื่นชม ญาดาชวน
เฌอเอมชิมอาหารหลายชนิดที่หล่อนไม่เคยรับประทานมาก่อน พร้อมกับร้องเพลงคลอไปกับวง
ดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนาน เช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับ
เสียงเพลงและบรรยากาศอันหนาวเหน็บ
“ เอม..เราว่าญาเมามากแล้ว เอมพาไปนอนก่อนดีไหม ” ประธานชมรมแอบมา
หล่อนในเวลาประมาณสี่ทุ่ม
จริงอย่างที่เขาบอก ญาดาเมามายจนแทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ หล่อนนั่งโยกไปโยกมา
ตามเสียงเพลงจนเกือบล้มฟุบไปหลายครั้ง
“ เดี๋ยวเอมพาไปเอง..เกดช่วยพยุงญาหน่อยได้ไหม ” ประโยคแรกหล่อนรับคำหัวหน้า
ชมรม ส่วนประโยคหลังนั้นหันไปขอความช่วยเหลือจากการะเกด เพื่อนหญิงที่นั่งอยู่ติดกัน
“ ได้จ๊ะ ” การะเกดรับปากอย่างเต็มใจ
หญิงสาวทั้งสองช่วยกันพยุงญาดาเข้าไปในบ้าน แล้วพาหล่อนขึ้นไปนอนบนที่นอนที่
ได้จัดเตียมไว้ เนิ่นนาน..หลังจากผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายรอบ ญาดาก็หลับไป
“ เกดว่าจะนอนแล้วล่ะเอม อากาศข้างนอกหนาวเหลือเกิน เอมรอให้เกดหลับก่อน
ค่อยออกไปข้างนอกได้ไหม เกดกลัวผี ” การะเกดขอร้อง เนื่องจากหล่อนเป็นคนขี้กลัว
อย่างมาก
“ ได้สิเกด เดี๋ยวเอมนอนพร้อมเกดเลยก็ได้ ” เฌอเอมรับปาก
หญิงสาวทั้งสองสวดมนต์เสร็จแล้วจึงพากันล้มตัวลงนอน ขณะที่เฌอเอมกำลังเคลิ้ม
หลับ หล่อนก็ต้องตกใจตื่น เมื่อญาดาผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหลับหูหลับตาเรียกเฌอเอมดังลั่น
“ เอมๆ..มาดูนี่ ”
เฌอเอมและการะเกดต่างลุกขึ้นนั่งมองดูเพื่อน ซึ่งทั้งสองเข้าใจว่าหล่อนกำลังละเมอ
“ ดูอะไรหรือญา ” เฌอเอมถามอย่างสงสัย
“ พี่ ... พี่เขานั่งอยู่บนขื่อ ” ญาดาตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้นการะเกดก็กระโดดโหยงเข้ามานั่งจนชิดเฌอเอม แล้วกอดแขนหล่อน
ไว้แน่น
“ ไม่ต้องกลัวหรอกเกด ไม่เห็นมีอะไรเลย เกดไม่เห็นหรือว่าญาเขาหลับหูหลับตาพูด
คงจะละเมอเท่านั้นเอง ” เฌอเอมปลอบเพื่อน
“ เอม..พี่เค้านอนอยู่ที่นี่เป็นร้อยๆปีแล้ว กว่าที่จะได้พบเอมอีกครั้งช่างยาวนานเหลือเกิน
”ญาดายังคงพูดไม่หยุด
เฌอเอมเริ่มสงสัยในสิ่งที่เพื่อนเล่า ญาดากำลังกล่าวพาดพิงถึงตัวหล่อน
“ พี่เขารักเอมนะ.. เขาจะไปส่งจนถึงกรุงเทพฯ ไม่ต้องกลัวหรอก เขาอยู่ข้างเอมเสมอ ”
“ ผีแน่ ๆ อยู่ไม่ได้แล้ว เกดออกไปก่อนนะเอม” พูดจบการะเกดก็รีบวิ่งพรวดพราดออก
จากบ้านไปอย่างหวาดกลัว สักพักคนอื่นๆก็วิ่งกรูกันเข้ามาในบ้านด้วยความห่วงใยเพื่อน
“ ญาเป็นอะไรไปหรือเอม ” ประธานชมรมถาม
“ ญาเพ้อ ” หล่อนปด เพราะจริงๆแล้วหล่อนเองก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่เพื่อนบอก
“ ใต้ต้นฉำฉาด้านซ้ายของก้อนหินใหญ่ ขุดลงไปให้ลึก พี่เขาบอกว่ามีของที่เขาจะให้แก่
สไบแพรอยู่ในนั้น ” ญาดาพูดเสียงดังขึ้น
“ไปขุดสิ ... ไป! ” ญาดาตะโกนลั่นเนื้อตัวสั่นเทา
“ เอาพระมาคล้องคอญาไว้ ” ประธานชมรมบอก
“ อย่านะ ! .. ไปทำตามที่บอกเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะพานังนี่ไปอยู่ด้วย..ไปซิ ” เสียงญาดาย้ำ
ขณะที่ทุกคนกำลังลังเลว่าจะทำอย่างไรดี เฌอเอมจึงตัดสินใจเสียเอง
“ ขอไฟฉายหน่อย เอมอยากรู้ว่าจะจริงอย่างที่ญาพูดหรือเปล่า”
ประธานชมรมพยักหน้าแล้วถามอย่างสงสัย
“ แล้วต้นฉำฉานี่หน้าตามันเป็นยังไง ”
“ ต้นก้ามปูไง ” เพื่อนคนหนึ่งบอก เขารู้จักเพราะเป็นคนทางภาคเหนือ
วงดนตรีหยุดเล่นไปนานแล้ว เพราะนักศึกษาพากันไปมุงอยู่ใต้ต้นก้ามปูต้นใหญ่แทน
ทุกคนต่างจ้องมองเพื่อนผู้ชายสองคนที่ใช้จอบขุดลงไปตามที่ญาดาบอก
ขุด..ขุด..ขุด..จนกลายเป็นหลุมกว้าง
“ ไม่เห็นมีอะไรเลย ” เขาเงยหน้าขึ้นมาบอกเสียงหอบ
“ แกร๊ง! ” เสียงจอบกระทบโลหะดังขึ้น
ทุกคนจึงหันไปสนใจกับวัตถุที่อยู่ในหลุม ไม่ช้ามันก็ถูกนำมาวางไว้ข้างๆกองไฟ
หีบเล็กๆที่มีสนิมเกาะเขรอะกำลังเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคน ญาดาเป็นคนเปิดหีบนั้น
ออก ภายในยังมีกล่องไม้ผุๆอีกกล่องหนึ่ง แล้วทุกคนก็ต้องผงะเมื่อหญิงสาวเปิดกล่องไม้ออก
สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้เป็นกำไลทองคู่หนึ่ง ลวดลายที่ปรากฏอยู่นั้นบ่งชัดว่าเป็นศิลปะของ
เมื่อหลายร้อยปีก่อน
“ นี่เป็นของที่จะมอบให้สไบแพร แต่เสียดายที่เขาไม่มีโอกาส รับไว้สิเอม.. พี่เขาให้ ”
ญาดาบอกพลางยื่นกำไลคู่นั้นให้แก่เพื่อนรัก
“ รับสิ ” ญาดาพูดเสียงเกือบตวาด
เฌอเอมยื่นมือออกไปรับ ฉับพลันญาดาก็ล้มตึงลงไปนอนแผ่หลาอย่างไร้เรี่ยวแรง
ค่ำคืนนั้นผ่านไปด้วยดี เมื่อรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว รถบรรทุกคันใหญ่ก็พา
ทุกคนออกมาจากหมู่บ้านเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ฝุ่นยังคงตลบตามหลังเช่นเดียวกับช่วงขา
มา จะต่างกันก็ตรงความรู้สึกของผู้จากไปเท่านั้น เนื่องจากช่วงเวลาสามวันที่อยู่บนดอย
แม่ลาผาทุกคนต่างรู้สึกผูกพันกับเมืองอันเงียบสงบ น้ำค้างยามเช้า และอากาศหนาวเหน็บ
ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้จากเมืองหลวง
รถแล่นลัดเลาะไปตามถนนแคบๆที่ทอดยาวไปตามแนวสันเขา เฌอเอมนั่งมองต้นสน
สองข้างทางที่โอนเอนไปตามแรงลม หมอกยังคงโปรยปรายลงไม่ขาดสาย ทำให้ยากต่อการ
มองเห็นทางในระยะไกล ในขณะที่หลายๆคนเริ่มตาปรือด้วยความง่วง วินาทีนั้นคนขับรถกลับ
กะระยะในการเลี้ยวผิด รถทั้งคันเสียหลักถลาลงไปตามไหล่เขา เสียงคนหวีดร้องด้วยความ
ตกใจดังลั่นป่า ไม่นานนักมันก็หยุดนิ่งเมื่อพุ่งชนเข้ากับต้นสักต้นใหญ่ โชคดีที่รถแล่นด้วย
ความเร็วไม่มากนักจึงไม่พลิกคว่ำ แต่กระนั้นหลายๆคนก็ได้รับบาดเจ็บ
“ เอมๆเป็นอะไรไป ” ญาดาร้องเรียกเพื่อนที่นอนแน่นิ่ง ทั้งๆที่ตนเองก็เลือดไหล
อาบแก้ม
เงียบ..ไม่มีเสียงตอบจากเฌอเอม
หญิงสาวดำดิ่งไปสู่ความทรงจำที่ถูกลืมแต่กลับฝังลึกในจิตวิญญาณ
“ พี่แสงจักไปนานสักเท่าใด ” หญิงสาวผู้มีดวงตาเศร้าสร้อย เอ่ยถามชายคนรัก
ยามใกล้ถึงเวลาต้องจากกัน
“ พี่ตอบเจ้ามิได้ดอกสไบแพร แต่สัญญาว่าหากรู้แพ้รู้ชนะวันใด พี่จะรีบกลับมาหาเจ้า ”
ขุนแสงตอบโดยกลั้นความรู้สึกสะเทือนใจเอาไว้อย่างยิ่งยวด
การตามเสด็จเจ้าเหนือหัวไปรบครานี้หนักหนานัก เมื่อฝ่ายพม่ามีกำลังมากกว่าชาว
กรุงศรีอยุธยาหลายเท่าตัว ถึงกระนั้นเขาก็อยากปลอบหญิงคนรักให้คลายกังวล
“ พี่ไปรบเพื่อรักษาบ้านเมืองของเรา เจ้าเหนือหัวเคยอยู่เมืองพม่ามาก่อน ย่อมรู้
แผนการรบของข้าศึกดี เจ้ามิต้องกลัวดอก อย่างไรเสียพี่เชื่อว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายมีชัย ”
“ ข้าจักรอพี่แสงอยู่ที่นี่ ” นางบอก
ขุนแสงยิ้มปลอบใจหญิงคนรักพลางเอ่ยถาม
“ สไบแพรอยากได้กำไลทองอย่างนั้นฤา แล้วพี่จักหากำไลจากเมืองเชียงใหม่มากำนัล
เจ้า ”
“ ข้าจะรอ ” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งๆที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
ความดำมืดครอบคลุมความนึกคิด แล้วจึงมองเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมาแทนที่
ฝุ่นลอยคละคลุ้งอยู่เหนือสมรภูมิรบ ยากที่จะแยกออกว่าฝ่ายใดคือทหารจาก
กรุงศรีอยุธยาหรือทหารของพม่า ขุนแสงพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง ในใจนึกถึงบ้านเมืองและ
นางอันเป็นที่รักเขาไม่เคยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้ ไม่ว่าจะอย่างไรคำสัญญาของเขาจะต้องคง
เสมอ ด้วยเหตุนี้ก่อนออกรบเขาจึงฝากฝังขุนเรืองผู้เป็นสหายรัก
“ ข้าได้ฝังของที่จะมอบให้สไบแพรไว้ข้างก้อนหินใหญ่ที่อยู่ติดกับค่าย หากบุญ
ข้าหาไม่แล้ว ขอให้เจ้านำมันไปมอบให้แก่นางแทนข้าด้วย ” ขุนเรืองรับคำเพื่อน
แล้วจึงก้าวลงสู่สนามรบเช่นเดียวกัน
ขุนแสงเป็นทหารเอกผู้หนึ่งของเจ้าเหนือหัว ซึ่งมีหน้าที่คอยคุ้มกันพระองค์ให้รอดพ้น
จากภยันตราย แต่แล้วเมื่อแม่ทัพพม่าง้างคมดาบมาทางพระองค์ เขาจึงใช้ร่างของตนรับคมดาบ
นั้นแทน การรบครั้งนี้จบลงด้วยการที่กรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายมีชัยเหนือข้าศึก แต่กลับต้อง
สูญเสียทหารกล้าไปถึงสองคน คือขุนแสงและขุนเรือง บรรพชนภาคภูมิใจเสมอที่ได้สละชีพเพื่อ
แลกกับแผ่นดิน จักเสียดายเพียงประการเดียวเท่านั้น คือมิอาจอยู่เคียงข้างนางอันเป็นที่รักได้
อีกต่อไป
“ เฮ้ยๆ..เอมฟื้นแล้ว ” ญาดาตะโกนอย่างยินดี
ทุกคนได้รับบาดเจ็บคนละเล็กละน้อย ยกเว้นเฌอเอมที่สลบไป ทั้งๆที่ปราศจาก
บาดแผลใดๆ เพื่อนจึงพากันเป็นห่วงหล่อนเหลือเกิน
“ ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้แล้ว อีกชั่วโมงหนึ่งตำรวจจะมาถึง ” ประธานชมรมบอกอย่างยินดี
ก่อนที่จะหันมาถามผู้ที่เพิ่งฟื้น
“ เอมล่ะ..เป็นยังไงบ้าง ”
“ ไม่เจ็บตรงไหนเลยค่ะ นอกจากรู้สึกว่าแขนจะเคล็ดนิดหน่อย ” หล่อนตอบเสียงสั่น
หญิงสาวเดินเลี่ยงไปหยิบกระเป๋าสะพาย พลางล้วงมือเข้าไปหยิบกำไลทองคู่นั้นขึ้นมา
น้ำตาเฌอเอมรื้นดวงตา ในขณะที่มือกำกำไลทองคู่นั้นไว้แน่น หล่อนยังจำเสียงกระซิบจากเขา
ได้ดี
“ มิต้องกลัวดอก พี่ไม่มีวันยอมให้เจ้าเป็นอันตราย คำสัญญาของชายชาตินักรบจะไม่มี
วันกลับคำ พี่จะรอสักวันที่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าอีกครา ”
กำไลทองคู่นี้ แทนใจ
จำห่างร้างอาลัย ห่วงเจ้า
แม้นต้องจากพรากไป เหมือนอยู่ คู่เฮย
ตัวพี่นี้ยังเฝ้า ห่วงน้องนางเดียว
|
แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 01 กันยายน 2021 เวลา 18:46 น. |