หน้าหลัก ภาษาสยาม ผลงานส่วนตัว เริ่องสั้น " ต้นไม้ของพ่อ "
เริ่องสั้น " ต้นไม้ของพ่อ " PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม 2009 เวลา 21:52 น.

 

 

 

เรื่องสั้น “ ต้นไม้ของพ่อ ”
 
 
เรื่องสั้นรางวัล รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง  ในการประกวดเรื่องสั้น " พลิกผืนป่าด้วยพระบารมี "
 
 
โดยกองทัพบก และสถานีวิทยุกองทัพ
 
 
**************************************************************************************************************************
ทุกๆเช้าฉันมักจะเห็น    “ เด็กคนนั้น ”    วิ่งไปตามถนนสายเล็กๆอันเต็มไปด้วยดอกหญ้าสีขาวทอดยาว ไปจนจรดลำธารใส  ที่ไหลรินมาจากน้ำตกที่อยู่บนดอยอีกลูกหนึ่ง   แล้วจึงกลับมาเข้าแถวเคารพธงชาติ ด้วยใบหน้าที่อิ่มเอมไปด้วยความสุข
ฉันเพิ่งได้รับคำสั่งบรรจุเป็นครูบนดอยแม่ลาผาเมื่อครึ่งเดือนก่อน  จึงยังไม่รู้จักเด็กคนนั้นเท่าไรนัก    แต่เมื่อซักถามครูรุ่นพี่ก็ได้คำตอบกลั้วหัวเราะว่า
                “  เขาชื่ออาหู่  เป็นเด็กกำพร้า  เรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก  วันๆเอาแต่วิ่งไปบนดอยลูกโน้น  บอกว่าตัวเองต้องดูแลต้นไม้ของพ่อหลวง ”
                “ พ่อหลวงหมายถึง ?  ...”  ฉันถามต่อ
                “ ก็หมายถึงในหลวงนั่นแหละ  น้องนิตยาไม่ต้องไปสนใจหรอก  ”
                ถึงแม้รุ่นพี่จะบอกว่าไม่ต้องสนใจหรอก  แต่ฉันกลับรู้สึกสนใจเรื่องราวของอาหู่อยู่ครามครัน  แต่อย่างไรก็ดี  ภาระงานของฉันกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน  จึงทำให้ค่อยๆลืมเลือนเรื่องราวของอาหู่ไป 
 
               แล้วเรื่องราวของเด็กน้อยก็เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของฉันในวันหนึ่ง
 
 
                เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงหนึ่งปี  มีการจัดชั้นเรียนขึ้นใหม่  ฉันได้เป็นครูประจำชั้นที่อาหู่เรียนอยู่  เขามีพฤติกรรมเหมือนที่รุ่นพี่ได้บอกไว้ไม่มีผิดเพี้ยน  อาหู่เป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ช้ากว่าเพื่อนๆ  ฉันจึงต้องนัดให้เขามาฝึกอ่านเป็นการส่วนตัวในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน
                “ ไม่ได้หรอกครู  ตอนเช้าผมต้องไปดูแลต้นไม้ของพ่อหลวง ” เด็กชายดวงตายาวรีค้านด้วยสำเนียงแปร่งๆตามประสาชาวเขาที่พูดไทยไม่ชัด
                  ฉันขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง  การที่ฉันเสียเวลาส่วนตัวมาสอนเขานั้น  ทำให้ฉันต้องทำงานบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน  ซึ่งเป็นเวลาที่อากาศบนดอยนั้นหนาวเย็นเหลือเกิน  แต่เขากลับปฏิเสธความหวังดีเสียดื้อๆ ฉันจึงยอมไม่ได้เป็นอันขาด
                “ ต้นไม้อะไรของเธอ  เธอไม่รู้หรืออาหู่  ว่าตัวเองเรียนไม่ทันเพื่อน  ยังไงๆเธอก็ต้องมาเรียนกับครูทุกๆเจ็ดโมงเช้า แล้วก็หลังเลิกเรียน ”
                ฉันจำได้ว่าวันนั้นอาหู่มีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด  แต่เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นเด็กชายก็มาตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ จนนานวันเข้า.....การเรียนของอาหู่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  เพราะการทบทวนซ้ำหลายๆครั้ง  ทำให้เขาเกิดความเข้าใจ แต่แล้ววันหนึ่งอาหู่กลับไม่มาโรงเรียน  อาลีซึ่งอยู่ข้างบ้านเป็นคนมาบอกฉันว่าเขาลาป่วย
                “ อาหู่เป็นอะไรไปอาลี ” ฉันถามอย่างห่วงใย
                “ เขาเป็นไข้มาหลายวันแล้วค่ะครู ”    
    “ แล้วใครดูแลเขาล่ะตอนนี้ ”
                “  แม่ของเขาไปทำงานที่ไร่  เขาก็เลยนอนอยู่บ้านคนเดียวค่ะ ”
                เด็กน้อยพูดจบแล้วทำท่าจะผละไป
                “ อาลี  หลังเลิกเรียนพาครูไปเยี่ยมอาหู่ที่บ้านได้ไหม ”
                เด็กหญิงอาลีมองหน้าของฉันด้วยดวงตาใสแจ๋ว  แล้วจึงพยักหน้าหงึกหงัก 
                “ ได้ค่ะ  แล้วหนูจะมาหาครูนะคะ ”
                ฉันมองตามร่างเล็กๆ ในชุดนักเรียนขะมุกขะมอม  ซึ่งวิ่งหายไปในสายหมอกที่โรยตัวลงมาอย่างหนาตา บนดอยสูงแห่งนี้กว่าลำแสงแรกของดวงอาทิตย์จะแหวกหมอกหนาออกมาได้  ก็กินเวลาเกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว 
 
                ฉันเดินตามอาลีไปบนถนนแคบๆที่มีดอกหญ้าสีขาวขึ้นอยู่ประปราย  แม้ท้องฟ้าจะยังมีแสงสีทองระเรื่อฉาบเหนือเทือกเขาลูกถัดไป  แต่ความเย็นชื้นๆของน้ำค้างก็เริ่มแผ่ตัวเข้ามาอย่างช้าๆ
 
                บ้านของอาหู่เป็นบ้านหลังเล็กๆยกพื้นขึ้นมาราวครึ่งเมตร  เมื่อก้าวขึ้นบันไดที่มีเพียงสามขั้นแล้วก็จะต้องผ่านห้องครัวที่เป็นเพียงชานโล่งๆมีเครื่องครัววางอยู่ระเกะระกะก่อน  จึงได้พบร่างของเด็กชายนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มสีเทาที่มีกลิ่นอับๆโชยมา  ฉันทรุดลงนั่งตามอาลี  เด็กหญิงใช้มือเขย่าแขนของเพื่อนเบาๆ โดยที่ฉันห้ามไม่ทัน
                อาหู่ค่อยๆปรือตาขึ้น  เมื่อเห็นหน้าฉันเขาจึงยกมือไหว้แล้วพยายามลุกขึ้นจากที่นอน
                “ ไม่ต้องหรอกอาหู่  นอนลงเถอะครูได้ยินว่าเธอไม่สบายก็เลยมาเยี่ยม ”
                “ ขอบคุณครับครูนิตยา ”  น้ำเสียงของเด็กชายแหบพร่า
                เสียงคนวางของดังโครมครามอยู่หลังบ้าน  ไม่นานหญิงวัยกลางคนแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงชาวอาข่าโดยทั่วไปก็ก้าวขึ้นมาบนบ้าน  อาลีจึงชิงแนะนำขึ้นก่อน
                “ ป้าอายอนี่ครูนิตยา  ครูเขามาเยี่ยมอาหู่ ”
                 อายอพยักหน้ารับรู้แล้วจึงนั่งลงข้างๆฉัน 
    อาหู่หลับไปแล้ว   ความเงียบครอบคลุมทั่วบริเวณ  แต่เมื่อผ่านไปราวสิบนาทีอายอก็กล่าวขึ้นมาก่อน
                “ อาหู่มันตัวร้อนมาหลายวันแล้วนะครู  เฮาก็เลยให้มันหยุดเรียน”
                “ ไม่เป็นไรหรอกอายอ  ถ้าหายดีค่อยไปเรียนก็ได้  แล้วนี่ทำไมอาหู่ถึงเป็นไข้หนักแบบนี่ล่ะ  กินยาไปหรือยัง ”
“ กินยาแล้วแต่ยังไม่หาย  ตอนแรกก็เป็นไม่เยอะหรอกครู  แต่ทุกเช้าอาหู่ก็ยังไปรดน้ำต้นไม้บนดอยลูกโน้น  ก็เลยเป็นหนัก ”  อายอเล่าพลางถอนใจ
                ฉันหันหน้าไปมองใบหน้าขาวซีดของผู้พูด  แล้วย้อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
                “ ครูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอาหู่ถึงใส่ใจต้นไม้ต้นนั้นนัก  อายอพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม "
                หญิงกลางคนพยักหน้า
                “เมื่อห้าปีก่อน  พ่อหลวงกับพระราชินีท่านมาที่หมู่บ้านของเฮา ” อายอเล่าด้วยภาษาชาวบ้าน
                “ ตอนนั้นอาผ่าพ่อของอาหู่ไม่สบาย  พ่อหลวงท่านก็เลยให้หมอมารักษา  อาผ่าบอกว่าเขาโชคดีที่ได้เห็นพ่อหลวงกับพระราชินีใกล้ๆ  เพราะเขาเทิดทูนบูชาท่านมาก  ”
น้ำใสๆเอ่อคลอสองตาของผู้เล่า
“ อาผ่าบอกว่าท่านใส่ใจกับทุกอย่างบนแผ่นดินนี้  วันนั้นท่านเห็นฝักก้ามปูตกอยู่  อาผ่าอยู่ใกล้ๆท่านก็เลยยื่นให้  แล้วบอกว่า  ‘ในฝักนี้เป็นต้นกำเนิดของต้นไม้อีกหลายต้น  ที่จะทำให้บ้านเมืองของเรามีป่าไม้ไว้ให้ลูกหลาน ’ อาผ่ารับฝักนั้นมาอย่างยินดี  เขาเพาะมันจนกลายเป็นต้นกล้าเล็กๆ  แล้วชวนอาหู่ไปปลูกไว้ที่ดอยลูกโน้น  สองพ่อลูกดูแลมันอย่างดีตลอดมา  ตอนหลังเมื่ออาผ่าตาย  อาหู่ก็เลยดูแลต้นก้ามปูแทนพ่อ ”
                เมื่อเล่าจบอายอก็ยกมือไหว้ท่วมหัว  ฉันเข้าใจดีว่า  อายอมีความรู้สึกเช่นไร
                “ ครูเข้าใจแล้วล่ะอายอ  ว่าทำไมอาหู่ถึงใส่ใจก้ามปูต้นนั้นนัก  ”
                ฉันหันไปมองอาลีซึ่งนั่งฟังตาแป๋ว  แล้วยิ้ม
                “ อาหู่เป็นตัวอย่างที่ดี  ต่อไปก้ามปูต้นนั้นก็จะเติบโต  แล้วเป็นต้นกำเนิดของก้ามปูต้นอื่นๆ อีกหลายต้น  ในหลวงท่านทรงมีพระอัจฉริยภาพในการพัฒนาทุกๆด้าน  โดยเฉพาะทรงอนุรักษ์ป่าไม้  ซึ่งเป็นประโยชน์อเนกอนันต์ต่อประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศของเรา  และทรงเสียสละทุ่มเทอย่างยากที่จะมีพระมหากษัตริย์ของชาติใดเสมอเหมือน ”
                อาลียิ้มตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย
                “ หนูจะเริ่มอนุรักษ์ป่าไม้ตั้งแต่วันนี้เลยค่ะครู  ในหลวงท่านจะได้ภูมิใจ ”
 
                ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่ปลื้มใจในคำพูดของเด็กน้อย  หากคนไทยทุกคนได้รับรู้ว่าเด็กสิบขวบมีจิตสำนึกที่ดีงามเช่นนี้  ฉันเชื่อว่าทุกคนก็ต้องภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน
 
                
                แดดจางๆดูดกลืนหมอกขาวโพลนให้เลือนหายไป  ทิ้งไว้เพียงหยดน้ำที่ค้างอยู่ในกลีบดอกไม้และยอดหญ้า ฉันกำลังใช้บัวรดน้ำขนาดเล็กรดน้ำต้นพริกที่ปลูกไว้ข้างโรงอาหาร  แต่เสียงรองเท้าวิ่งมาตึงตังก็ทำให้ฉันต้องหันหลังไปดู
                “ ครูคะไปกับหนูก่อนค่ะ ”
                อาลีบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  ทั้งที่อยู่ในอาการหอบแฮ่กๆ
                “ ไปไหนอาลี ” 
                เด็กหญิงไม่ตอบ  แต่กลับดึงแขนของฉันเบาๆให้ก้าวตามไป  ฉันจึงวางบัวรดน้ำไว้บนชั้นวางแล้วเดินแกมวิ่งตามเด็กน้อยที่วิ่งปรื๋อไปอย่างรวดเร็ว
                อาลีวิ่งไปตามทางลาดชันเต็มไปด้วยหินขรุขระ  ฉันจึงต้องค่อยๆเดินเพราะยังไม่ชิน  ครู่ใหญ่เด็กน้อยก็ไปยืนโบกมือหยอยๆใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่นคู่กับเด็กอีกคนหนึ่ง  ฉันจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปหา
                “ อาหู่ ”
                อาหู่นั่นเองที่ยืนอยู่กับอาลี  ใบหน้าของเด็กชายยิ้มละไมและเต็มไปด้วยสีเลือดฝาด  แสดงว่าเขาคงหายจากอาการไข้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
                ฉันยืนหอบอยู่พักใหญ่ก่อนจะย้อนถามเด็กทั้งสอง
                “ ทั้งสองคนพาครูมาที่นี่ทำไม ”
                อาลีหันไปยิ้มให้เพื่อน  อาหู่จึงเป็นผู้ตอบเสียเอง
                “ นี่ไงครับครู ต้นก้ามปูของพ่อหลวง  ผมกับอาลีพาครูมาดูดอกก้ามปูดอกแรก  ที่เพิ่งออกดอกเมื่อวานนี้ ครูเงยหน้าขึ้นไปมองสิครับ ”
                ฉันทำตามอย่างว่าง่าย  ก้ามปูต้นใหญ่สีเขียว  แผ่กิ่งก้านสาขาสล้างไปทั่วบริเวณ  เมื่อมองเลยขึ้นไป พบว่าบนกิ่งกิ่งหนึ่งกำลังออกดอกสีขาวขลิบแดงสดใสน่ามอง  ฉันจึงหันมายิ้มให้ทั้งสองคน
                “ อาหู่กับพ่อเก่งจังเลยนะอาลี ”
                “ ใช่ค่ะครู ” อาลีเห็นด้วย
                “ ต่อไปทั้งสองคนต้องไปเชิญชวนเพื่อนๆให้ปลูกต้นไม้กันเยอะๆนะ..รู้มั้ย  ต้นไม้มีประโยชน์มากมาย อีกทั้งยังช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย  ถ้าเด็กๆทุกคนมีจิตสำนึกรักษ์ป่า  ต่อไปโลกของเราก็จะเป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีเขียว  สมดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงตั้งพระทัยเอาไว้ยังไงล่ะ  แต่ตอนนี้เด็กๆต้องรีบกลับไปเข้าแถวแล้ว ”
             เสียงระฆังเข้าเรียนดังมาจากดอยอีกลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน  เราทั้งสามคนวิ่งลงดอยอย่างทุลักทุเล  แต่ในหัวใจนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข  ที่ได้เห็นความงดงามจากสีเขียวของต้นไม้
 
+++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

 

 

 

  

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2010 เวลา 11:08 น.
 

Facebook Like Box

ออนไลน์

เรามี 2 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

ผู้เยี่ยมชม

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้44
mod_vvisit_counterเมื่อวาน171
mod_vvisit_counterอาทิตย์นี้329
mod_vvisit_counterเดือนนี้3667
mod_vvisit_counterทั้งหมด6426033