เรื่องสั้น..สายลม |
![]() |
![]() |
![]() |
เขียนโดย ภาษาสยาม |
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2010 เวลา 00:00 น. |
“ ลม ตื่นได้แล้ว ”
เสียงเรียกดังอยู่ใกล้ตัว ใกล้เสียจนวายุพรสะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นในทันใด ความหนาว
เย็นเลาะล้วงเข้ามาตามช่องว่างของผ้าห่ม หญิงสาวเสยผมแล้วขยี้ตาก่อนจะหันไปมองรอบ
กาย จริงสิ..ตอนนี้หล่อนนอนอยู่ในเต็นท์บนภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
“ ลม ตื่นหรือยัง เร็ว เดี๋ยวไม่ทันเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ” เสียงเดิมสำทับอีกครั้ง
“ ตื่นแล้วจ๊ะเต้ รอแป๊บนึงนะ ” หล่อนรีบตอบ
เมื่อพับผ้าห่มอย่างลวกๆแล้ว หญิงสาวจึงคว้ารองเท้าผ้าใบมาสวม ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
ยืน แต่แล้วอาการเวียนศีรษะก็ทำให้หล่อนถึงกับหมุนคว้างล้มลงไปกองกับพื้น ซึ่งมีเพียงที่
นอนปิกนิกผืนบางรองรับอยู่เท่านั้น
“ เป็นอะไรไป ” เตชินท์ลนลานเปิดเต็นท์เข้ามาด้วยความเป็นห่วง เขารู้ดีว่าระยะหลัง
สาวคนรักจะมีอาการผิดปกติทางร่างกายบ่อย แต่ก็ยังดึงดันจะขึ้นมากางเต็นท์นอนบนดอยอิน
ทนนท์ตามที่นัดหมายกันไว้ตามสัญญา
“ อยู่ดีๆก็ตาพร่า หน้ามืดล้มลงเฉยเลย ” หล่อนบอกเสียงอ่อย
“ ก็เต้บอกแล้วให้ลมรีบไปหาหมอ ” เขาบ่นแต่ก็พยายามคลึงขมับให้หล่อนเบาๆ
“ เอาไว้ถึงกรุงเทพฯแล้วลมจะรีบไปหาหมอทันทีเลยนะ ” หล่อนรับคำ
“ น่ารักมาก ” เขาชมแล้วยื่นหน้าไปจุมพิตหน้าผากกลมมนนั้นอย่างเอ็นดู
พอดีกับที่ประตูเต็นท์ถูกเปิดออก หญิงสาวหน้าสวยคมขำผู้มาใหม่หน้าซีดเผือดกับภาพ
ที่ได้เห็น ด้วยไม่คิดว่าเตชินท์จะอยู่ในเต็นท์ของเพื่อนรักในเวลาเช้าเช่นนี้
“ เอ่อ นิดมาชวนลมไปดูพระอาทิตย์ขึ้นน่ะ ไม่คิดว่าเต้จะอยู่ที่นี่ ” หล่อนออกตัว
“ พอดีลมไม่สบายเต้เลยเข้ามาดู ” บอกพลางหันไปถามวายุพรต่อ
“ ลม อาการดีขึ้นไหม ”
ถึงแม้จะรู้สึกพะอืดพะอมอยากอาเจียนสักเพียงใด แต่หญิงสาวก็ฝืนพยักหน้า เตชินท์
ยื่นมือออกไปให้หล่อนเกาะและดึงให้ลุกขึ้น
“ อุ๊บ ” อาการคลื่นไส้แทรกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับที่รู้สึกหายใจติดขัด วายุพรจึงตัดใจ
ปฏิเสธคนรักและเพื่อนซึ่งมองดูหล่อนอย่างห่วงใย
“ นิดไปกับเต้เถอะ ลมคงออกไปไม่ไหว ”
ผาณิตาส่ายหน้า
“ ไม่ได้ ไปด้วยกันสิจ๊ะลม มาถึงนี่แล้ว ”
“ แต่ผมว่าให้ลมพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวอาการแย่ไปกว่านี้จะลำบาก ” เตชินท์ตัดบท
“ งั้นเต้ไปเถอะ นิดจะอยู่ดูแลลมเอง ”
“ อย่าเลย ไปทั้งคู่น่ะแหละ ลมไม่เป็นอะไรมากหรอก พักนิดเดียวก็หายแล้วล่ะ ”
ครู่ใหญ่เตชินท์จึงเดินออกไปพร้อมกับผาณิตา ขณะที่ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในเต็นท์ก้มหน้าร้องไห้
เพราะเบื่อหน่ายกับความอ่อนแอของร่างกายตนเอง
หมอกสลัวโอบคลุมผืนป่าและยอดดอยสล้าง ครู่ใหญ่ลำแสงสีทองจึงค่อยๆแผ่รัศมีขึ้น
ทางทิศตะวันออก อากาศที่หนาวยะเยือกจึงอุ่นขึ้นตามลำดับ
“ นิดดูสิตะวันสวยจัง ” เตชินท์ชี้ชวนเพราะรู้สึกว่าผาณิตามีท่าทีนิ่งเฉยผิดปกติ
“ นิดจะกลับเต็นท์แล้ว ” หล่อนบอก
“ อ้าว นานๆจะได้ออกมารับอากาศสดชื่นแบบนี้สักที จะรีบไปไหนล่ะ ” เขาถามพลางดึง
ข้อมือของอีกฝ่ายไว้
“ หรือว่างอนผม ”
ผาณิตาค้อนขวับ
“ นิดมีสิทธิ์อะไรไปงอนล่ะ คนรักเขาจะสวีทกัน ”
เตชินท์ลอบยิ้มแล้วจึงดึงหล่อนเข้ามากอดหลวมๆ
“ โธ่ นิดก็รู้อยู่แก่ใจว่านิดมีสิทธิ์ ”
เขาและวายุพรคบกันฉันคนรักมาตั้งแต่เมื่อครั้งเรียนชั้นมัธยมปลาย เมื่อเข้าสู่รั้ว
มหาวิทยาลัย หญิงสาวก็มีผาณิตาเข้ามาเป็นเพื่อนสนิท เตชินท์จึงพลอยสนิทกับเพื่อนของคน
รักไปด้วย จนในระยะหลังที่วายุพรร่างกายไม่แข็งแรง ทำให้หญิงสาวต้องขอถอนตัวจากการ
นัดหมายหลายครั้ง แล้วปล่อยให้คนรักและเพื่อนออกไปด้วยกันตามลำพัง นานวันเข้าความ
ใกล้ชิดก็ทำให้ทั้งคู่แอบมีใจให้กันอย่างลับๆ และดูจะเพิ่มขึ้นมากทุกที
“ นิดรู้ว่าไม่ควรหึงหวง แต่นิดรักเต้นี่คะ จะให้ทำใจได้ยังไง ” หล่อนบอก
ชายหนุ่มรั้งร่างหญิงสาวเข้ามาใกล้มากขึ้น แล้วประทับริมฝีปากกับกลีบปากอ่อนนุ่มนั้น
เนิ่นนาน เมื่อผละออกจากกัน ผาณิตาจึงแก้มแดงเรื่อ ก้มหน้างุด
“ หายงอนหรือยังคนดี ” เขาถามยิ้มๆ
เย็นวันนั้นทั้งสามคนจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯโดยรถทัวร์ ประมาณตีสี่ครึ่งรถก็เข้าไป
จอดเทียบชานชาลาสถานีขนส่ง
“ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปส่งลมกันก่อนนะนิด ลมไม่ค่อยสบายผมอยากให้รีบพักผ่อน ”
เตชินท์บอก
ผาณิตาพยักหน้า ขณะที่วายุพรยิ้ม เขาอ่อนโยนเสมอ นับจากวันแรกจนถึงวันนี้
หญิงสาวจึงภูมิใจที่มีเขาเป็นคนรักอย่างยิ่งยวด เช้าวันนั้น ตลอดระยะทางที่นั่งอยู่บนรถหล่อน
จึงนั่งพิงอกกว้างแล้วหลับตาลงด้วยความไว้วางใจ จวบจนถึงบ้าน เตชินท์จึงปลุกให้ตื่นแล้ว
เดินเข้าไปส่ง ก่อนจะกลับมาขึ้นรถซึ่งมีหญิงสาวอีกคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
โครม ..
เสียงโครมครามและเสียงร้องโวยวายดังลั่นโสตประสาท แต่วายุพรก็ไม่สามารถลืมตา
ขึ้นมาดูได้ หญิงสาวอึดอัดหายใจไม่ออก ปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด ไม่นานสติสัมปชัญญะ
ทั้งมวลก็อันตรธานหายไป
“ อะไรนะครับ คุณหมอ ” คุณสินาทถามซ้ำเมื่อนายแพทย์สูงวัยวินิจฉัยอาการลูกสาว
คนเดียว
“ เส้นเลือดในสมองแตกครับ ” ผู้เป็นแพทย์ย้ำ
“ ลูกสาวดิฉันเพิ่งจะอายุ 20 เองนะคะคุณหมอ ” มารดาของวายุพรแย้งบ้าง
“ หนูวายุพรคงจะมีอาการความดันโลหิตสูงมานานแล้ว คุณลองสังเกตไหมครับว่า
เธอมักจะปวดหัว ตาพร่า แล้วก็ไม่มีแรงอยู่บ่อยๆ ”
บิดาและมารดาของหญิงสาวพยักหน้า
“ นั่นแหละครับอาการเบื้องต้น แต่เธอก็ไม่ยอมมาหาหมอ จนเป็นหนักถึงขั้นล้มฟาด
ในห้องน้ำ ”
“ แล้วตอนนี้ลูกของผมฟื้นหรือยังครับ ”
นายแพทย์เจ้าของไข้สั่นศีรษะ
“ แต่ผมจะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถนะครับ ” ผู้เป็นความหวังเดียวของ
ครอบครัวกล่าวแล้วจึงขอตัวเดินจากไป
สองเดือนผ่านไป
“ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ ” เตชินท์บอกพลางนั่งลงบนม้านั่งหินอ่อนข้างอาคารเรียน
“ ได้ยินว่าพักหลังคุณสนิทสนมกับเด็กนิติศาสตร์ ”
ผาณิตาหลบตาวูบ ตอบเสียงแผ่ว
“ ก็เป็นเพื่อนกันธรรมดานี่แหละค่ะ ”
“ แต่ที่ผมรู้ มันไม่ใช่ ”
เมื่อหมดความอดทน หญิงสาวจึงพรวดพราดลุกขึ้นแล้วตะคอกใส่หน้าเขา
“ แล้วไงล่ะ ทีคุณยังคบนิดพร้อมกับคนอื่นได้เลยนี่ ”
“ คุณก็รู้นี่ว่าลมเขามาก่อน อีกอย่างเขาไม่สบาย ”
ผาณิตาเบะปาก
“ เห็นแก่ตัว ห่วงกันนักก็กลับไปดูแลกันสิ จะมายุ่งกับนิดทำไม นิดรู้ว่ายังไงคุณก็ตัดลม
ไม่ขาด วันๆคุณเอาแต่ไปเฝ้าไข้ ทิ้งนิดไว้คนเดียวตลอดมา แล้วพอเจษเข้ามาในชีวิต คุณก็มา
ทำหึงหวงไม่พอใจ แล้วนิดล่ะคะ จะให้เป็นที่สองไปจนตายเลยหรือไง บอกสิว่าคุณไม่รักลม
แล้วเลิกยุ่งกับครอบครัวนั้นซะ นิดก็จะปฏิเสธเจษทันที ”
เตชินท์ถอนใจยืดยาว พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ ครับ.. คุณอา ” เขากรอกเสียงลงไป แล้วนิ่งฟังปลายสายอยู่พักใหญ่จึงโต้ตอบกลับ
“ อย่าเพิ่งนะฮะ คุณอารอผมไปถึงก่อน อย่าเพิ่งให้หมอถอดเครื่องช่วยหายใจ”
เมื่อวายสายแล้ว ชายหนุ่มก็พรวดพราดจากไป ทิ้งให้ผาณิตายืนมองด้วยแววตาอาฆาต
อยู่เบื้องหลัง สุดท้าย..เขาก็เลือกวายุพรจนได้
ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวครีม เตชินท์นั่งมองร่างซีดเซียวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วย
สายตาพร่ามัว หล่อนอยู่ในชุดสีขาวซึ่งทำให้ดูเผือดซีดต่างจากวายุพรที่เขารู้จักอย่างสิ้นเชิง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็รักหล่อน รักเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด 6 ปี
“ ลมฟื้นสิ หมอเขาจะถอดเครื่องช่วยหายใจแล้วนะ ฟื้นสิครับ ฟื้น ” น้ำเสียงสั่นเครือดัง
ขึ้นขณะที่เขาเขย่าแขนคนรักครั้งแล้วครั้งเล่า
หากแต่หล่อนยังคงนิ่ง..สงบ
ชายหนุ่มตัดสินใจถอดพระเครื่องที่สวมคออยู่ออกมาพร้อมกับพนมมือแน่น
“ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงดลบันดาลให้ลมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเถอะครับ ถ้าเป็นไปได้ จากนี้ไปผม
จะเป็นคนดี จะซื่อสัตย์ต่อเธอ จะทำทุกอย่างเพื่อเธอไปจนตาย ”
เนิ่นนานที่เขาเฝ้ารอ..แต่วายุพรยังคงนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จวบจนนายแพทย์
เจ้าของไข้ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมบิดามารดาของผู้ที่นอนอยู่บนเตียง คุณสินาทจึงเป็นฝ่ายพยุง
เขาออกมาจากเตียงของบุตรสาว
“ ทำไมเราไม่รออีกสองสามวันล่ะครับคุณอา ” ชายหนุ่มต่อรองทั้งน้ำตา
“ ยังไงๆ ลมก็ฟื้นขึ้นมาไม่ได้แล้ว ปล่อยไว้แบบนี้ทรมานเปล่าๆ อาสองคนก็เสียใจไม่
แพ้เต้หรอก หักใจเถอะลูก ”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ทุกสิ่งรอบกายจะเป็นอย่างไร
เขาก็ไม่รับรู้ทั้งสิ้น ตลอดช่วงงานศพของหญิงสาวก็เช่นกัน เตชินท์วางตัวประหนึ่งหุ่นยนต์
เขารับรู้ หากไร้จิตใจ วนคิดอยู่อย่างเดียว คือ วายุพรผู้น่ารัก แสนดี ไม่มีวันมายืนอยู่เคียงข้าง
ยิ้ม หัวเราะกับเขาอีกแล้ว ไม่มีวัน
ปัง...
ประตูห้องนอนปิดลงอย่างไม่ปรานีปราศรัย ทันทีที่อยู่ตามลำพัง เตชินท์ก็ปล่อยให้
หยดน้ำตารินไหลโดยไม่สามารถหักห้ามใจตนเองได้ เขาซุกตัวอยู่ข้างเตียงแล้วนั่งชันเข่าขึ้น
ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างไกลแสนไกล แล้วจู่ๆชายหนุ่มก็พรวดพราดลุกขึ้นเดินไป
เปิดลิ้นชักโต๊ะ ก่อนจะหยิบแผ่นเพลงขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
“ เต้ เอาไปเปิดฟังนะ แล้วจะรู้สึกว่ามีลมอยู่ข้างๆตลอดเวลา ” หล่อนบอกเขาใน
วันวาเลนไทน์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
เขาไม่เคยคิดจะเปิดฟัง เพราะรู้ดีว่าเป็นแนวเพลงแตกต่างจากที่ตนชอบ หากในวันนี้
เขาอยากซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นหล่อน หากย้อนเวลาได้ เขาจะทำให้ดีกว่านี้..แต่คงไม่มีวัน
น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอย่างสุดจะกลั้น ขณะที่บทเพลงบนเครื่องเล่นบรรเลงขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ เมื่อใดที่สายลมพัด จะมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน
ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน แม้มองไม่เห็น
แต่ฉันรู้สึกถึงเธอ ”
++++++++++++++++++++++++
น้ำฝน ทะกลกิจ ประพันธ์
ลิขสิทธิ์เว็บไซต์ภาษาสยาม
|