เรื่องสั้น..ร่มเงารัก |
![]() |
![]() |
![]() |
เขียนโดย ภาษาสยาม |
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2010 เวลา 00:00 น. |
ความงดงามที่ปรากฏเป็นตัวอักษร ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของสิ่งที่ปรากฏในหัวใจ
ดอกไม้สีชมพูร่วงหล่นจากต้นสูงริมตลิ่งปลิดปลิวลงสู่ผิวน้ำ แล้วจึงล่องลอยไปตามกระแสน้ำ
อันเชี่ยวกรากของฤดูน้ำหลาก ก่อนที่จะถูกมือเรียวของผู้ที่นั่งอยู่เหนือท่าน้ำเอื้อมลงไปหยิบมัน
มาวางไว้บนตัก ดวงตากลมโตเพ่งมองดอกสีชมพูฉ่ำน้ำคล้ายจะให้ทะลุไปถึงกางเกงยีนส์ที่ตน
สวมใส่อยู่ ความรู้สึกกระหวัดไปถึงความผูกพันที่มีต่อมัน..มาเนิ่นนาน
“ ทำอะไรอยู่เหรอพี่ปิ่น ” เสียงกังวานใสของใครบางคนดังขึ้นเหนือประตูของบ้าน
ซึ่งสร้างเอาไว้ติดกับท่าน้ำ
ปิ่นรดาเอี้ยวตัวกลับไปยิ้มเศร้า ๆ ให้น้องสาวก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสื่อถึงอารมณ์
ภายใน
“ นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะทิพ แม่กลับมาหรือยัง ”
ทิพรดามองพี่สาวพลางส่ายศีรษะ
“ วันนี้แม่มีประชุมคงกลับเย็นหน่อยน่ะ แล้วพี่ปิ่นหิวหรือยังล่ะ ”
“ ยังหรอก ” ผู้เป็นพี่ตอบก่อนจะหันกลับมามองสายน้ำดุจเดิม
พื้นไม้ดังเอียดอาดปนเสียงรองเท้าแตะของทิพรดา ก่อนที่เด็กสาวจะทรุดนั่งลงข้างกาย
ผู้เป็นพี่ แล้วเอื้อมมือไปกอดเอวคอดกิ่วนั้นอย่างปลอบประโลม
“ คิดถึงพี่ลิตอยู่หรือจ๊ะ ”
ปิ่นรดานิ่งไปนานก่อนจะย้อนถาม
“ ทำไมทิพคิดแบบนั้นล่ะ ”
ผู้ถูกถามถอนใจเฮือกใหญ่พลางตอบตามตรง
“ ก็เห็นดอกพันธุ์ทิพย์แล้วนึกถึงพี่เขาน่ะจ้ะ ก่อนนี้เวลาที่พี่ลิตมาที่นี่จะชอบมานั่งท่าน้ำนี้
แล้วเก็บดอกพันธุ์ทิพย์ให้พี่ปิ่นเสมอ ทิพจำได้ ”
ปิ่นรดาเม้มปากครุ่นคิดตามถ้อยคำของผู้เป็นน้อง ใบหน้างามจึงดูเคร่งขรึมหม่นเศร้า
เมื่อครั้งที่เธอยังคงเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เกือบทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน
ลิลิตจะติดตามมาด้วยเสมอ และด้วยความที่คุณละไมมารดาของปิ่นรดาค่อนข้างแคร์สายตา
คนรอบข้าง ทุกครั้งจึงต้องมีเกวลินเพื่อนรักของเธอติดตามมาด้วย เหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น
เพราะคุณละไมเองก็รักลิลิตเสมือนลูกคนหนึ่ง แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตร ในวันที่เกวลิน
ไปหาปิ่นรดาที่ห้องพักด้วยน้ำตานองหน้า
“ เก๋ ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น ” เจ้าของห้องปราดเข้าไปโอบเพื่อนแล้วถามอย่าง
ห่วงใย
เกวลินเงยหน้ามองเพื่อนด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วจึงใช้หลังมือป้ายน้ำตา
“ ปิ่น ปิ่นต้องเข้าใจเก๋นะ ”
ปิ่นรดาคลายวงแขนออก แล้วดันตัวเพื่อนพลางจ้องหน้า
“ ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
เกวลินนิ่ง เม้มปากแน่น ก่อนจะโผเข้าไปกอดเพื่อนอีกครั้ง ปิ่นรดาโอบแขนกอดตอบ
แล้วลูบแผ่นหลังเนียนเรียบนั้นเบาๆ
“ ปิ่นสัญญาว่าจะเข้าใจเก๋ บอกมาเถอะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน ”
แขนเรียวของเกวลินรัดแน่นขึ้น พลางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เสมือนคมดาบนับพันเล่มที่คอย
กรีดใจของผู้ฟังให้แหลกยับ
“ เก๋ ..เก๋เป็นของลิตแล้ว เก๋ไม่ตั้งใจทำร้ายปิ่นนะ แต่วันนั้นที่กลับมาจากบ้านของปิ่นที่
อยุธยา เก๋เวียนหัว ลิตก็เลยมาส่งที่ห้อง แล้ว..แล้ว ” ประโยคท้ายน้ำเสียงเกวลินขาดเป็นห้วง
ปิ่นรดาจึงตัดบท
“ พอเถอะ ปิ่น เข้าใจแล้ว ” บอกพร้อมกับอ้อมแขนที่คลายลง
“ เก๋ขอโทษ “
แม้สิ่งที่ได้รับรู้จะสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสแก่หัวใจ หากแต่ในวันนั้นหญิงสาวก็ทำ
ได้เพียงพยักหน้าตอบรับ แล้วเอ่ยเบา ๆ อย่างใจลอย
“ ไม่เป็นไร ”
ต่อเมื่อเกวลินออกไปจากห้องนั่นแหละ หยดน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้จึงไหลอาบสอง
แก้มนวล
“ แม่มาแล้วพี่ปิ่น ”เสียงของน้องสาวทำให้ผู้ที่จ่อมจมอยู่ในภวังค์ชะงักงัน แล้วสูด
ลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง เพื่อขับไล่ความเจ็บปวดที่ทำท่าจะไหลออกจากตาอีกครั้ง ทำไม
หนอ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแต่เธอก็ไม่อาจลืมเขาได้สักที
เท้าเปล่าเปลือยก้าวเดินจากท่าน้ำไปตามสะพานเล็ก ๆ ที่ทอดไปสู่ตัวบ้าน ก่อนที่กลีบ
ปากบางจะฝืนยิ้มให้มารดา คุณละไมยิ้มตอบก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำซึ่งจัดวางไว้
รอบโต๊ะอาหารอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ ที่โรงเรียนเขาจะมีการประเมินก็เลยประชุมนานไปหน่อย หิวกันหรือยังลูก ”
“ ยังเลยค่ะ แม่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะคะ” ทิพรดาตอบ
“ อืม แม่ว่าทานข้าวก่อนดีกว่า ชักจะหิวตงิด ๆ แล้ว ปิ่นเป็นอะไรไปหรือเปล่าลูกดู
หน้าตาเจื่อน ๆ พิกล”
ปิ่นรดาเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้ง ๆ ให้มารดาพลางส่ายหัว
“ ไม่มีอะไรค่ะแม่ ”
คุณละไมพยักหน้า แล้วทำท่านึกอะไรได้ จึงล้วงมือลงไปในกระเป๋าถือ ก่อนจะยื่นซอง
จดหมายสีชมพูให้แก่บุตรสาวคนโต
“ เขาจ่าหน้าซองถึงหนูแต่ส่งมาที่โรงเรียนแม่ คงเป็นใครสักคนที่ไม่รู้ที่อยู่บ้านเรา แต่รู้
ว่าแม่ทำงานที่ไหนกระมัง ”
“ คงจะอย่างนั้นแหละค่ะ ” ปิ่นรดาตอบมารดาพลางก้มลงแกะซองจดหมาย แล้วทำท่า
งง ๆ กับการ์ดสีชมพูหอมกรุ่นที่ซ่อนอยู่ด้านใน
“ การ์ดแต่งงานของใครหรือจ๊ะพี่ปิ่น ” ทิพรดาชะโงกหน้ามาถาม
ปิ่นรดาไม่ตอบ หากแต่หันด้านหน้าการ์ดให้น้องสาวดู ทิพรดาเบิกตาโพลงพลางเบะปาก
มีเสียง หึ ! ลอดออกมาเบาๆ
“ นี่พี่เก๋ยังกล้าส่งการ์ดแต่งงานมาให้พี่ปิ่นอีกเหรอคะ”
ไม่มีเสียงตอบจากผู้ถูกถาม ขณะที่มารดานิ่ง แอบชำเลืองมองบุตรสาวคนโตอยู่เงียบๆ
“ ขอทิพดูหน่อย ” สาวน้อยเอ่ยขอ แล้วยื่นมือไปดึงกระดาษสีชมพูจากมือพี่สาว
“ เอ..เจ้าบ่าวไม่ใช่พี่ลิตนี่คะ”
ปิ่นรดาพยักหน้า เธอไม่รู้หรอกว่าหลังจากวันที่บอกเลิกกับลิลิต เขาและเกวลินจะเป็น
อย่างไร เพราะแค่พยุงชีวิตตนเองให้ก้าวเดินต่อไปได้ก็หนักหนาพออยู่แล้ว
“ พี่ปิ่นคะมีจดหมายแนบมาด้วย ” ทิพรดายื่นกระดาษสีขาวที่พับเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
ให้พี่สาวโดยไม่เปิดออกอ่านตามมารยาทอันดีงามที่ถูกสั่งสอนมา
ปิ่นรดายื่นมือไปรับจดหมายด้วยมือสั่น ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองมารดาและน้องสาว
“ แม่กับทิพทานไปก่อนนะคะ ปิ่นขอตัวไปอ่านจดหมายก่อน ”
เมื่อคุณละไมพยักหน้าอย่างเข้าใจ หญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันหลังกลับไปยัง
ทางเดิมที่จากมาอีกครั้งหนึ่ง
แสงไฟสลัวที่ส่องลอดเข้ามาในห้องนอนขับไล่ความมืดให้เจือจางลง ปิ่นรดาพลิกตัวอีก
ครั้งหลังจากที่พลิกไปพลิกมานับครั้งไม่ถ้วน คืนนี้หญิงสาวพยายามข่มตาลงแต่ก็ไม่สามารถเข้า
สู่นิทราได้ เพราะความวุ่นวายภายในจิตใจอันเกิดจากข้อความในจดหมายฉบับนั้น
จดหมายจากเพื่อนเก่าที่ชื่อ เกวลิน
‘ เก๋ไม่รู้ว่าคำไหนจะเหมาะสมในการขึ้นต้นมากกว่าคำขอโทษ ปิ่นช่วยอภัยให้แก่เพื่อน
เลว ๆ คนนี้อีกสักครั้งเถอะนะ ถึงเก๋จะเลวมาก แต่ในวันนี้ก็จะขอสารภาพบาปทั้งหมด แม้จะตอก
ย้ำว่าตัวเองเลวแค่ไหน ที่ทรยศเพื่อนดีๆอย่างปิ่นได้ลง ปิ่นจะด่าจะว่าเก๋ยังไง วันนี้เก๋ยอม
ทุกอย่าง แต่เก๋ขอให้ปิ่นเข้าใจลิต แล้วคืนดีกับเขา สมกับที่เขารักปิ่นมาตลอด ไม่เคย
เปลี่ยนแปลง
ตอนนั้นเก๋เห็นแก่ตัวมากเกินไป เพราะความใกล้ชิดจึงทำให้เก๋แอบรักลิต ความรักมันทบ
ทวีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความเห็นแก่ตัวที่มีมากขึ้นทุกวัน ทำให้เก๋กุเรื่องทั้งหมดขึ้นเพื่อบีบให้
ปิ่นออกไปจากวงจรชีวิตของลิต เผื่อว่าเขาจะหันมารักเก๋บ้าง แต่ไม่เลย ตั้งแต่ปิ่นจากไป ลิตก็
เอาแต่เมามายแทบไม่เป็นผู้เป็นคน จนวันหนึ่งที่เขาถูกเกณฑ์ทหารถึงกลับมาเป็นลิตคนเดิมอีก
ครั้ง แต่เขาก็ทุ่มเทกับการเป็นรั้วของชาติโดยไม่มองใคร จวบจนได้ปลดประจำการเขาก็เลือกที่
จะอยู่ต่อ จากนั้นเก๋ก็ไม่ได้ข่าวเขาอีกเลย จนถึงวันที่ไปแจกการ์ดแต่งงาน เก๋ไปพบแม่ของเขาที่
บ้าน ท่านบอกว่าลิตสมัครไปประจำอยู่นราธิวาสเป็นปีแล้ว
เก๋ผิดเองที่ใส่ร้ายลิต และทำร้ายจิตใจเพื่อนอย่างปิ่น กลับไปคบกับลิตเถอะนะ เขา
มั่นคงต่อปิ่นเสมอ..ตลอดมา ‘
ปิ่นรดาหลับตาลงอย่างอ่อนล้า นี่เธอเข้าใจเขาผิดมาตลอดสามปีเลยหรือนี่
สายลมเบาบางพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่อยู่ฝั่งเดียวกับแม่น้ำ ฉุดดึงอารมณ์ของ
หญิงสาวให้กระเจิดกระเจิง ก่อนที่เธอจะตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนแล้วก้าวออกไปนอกตัวบ้าน
ผ่านสะพานไม้อันทอดไปสู่ท่าน้ำ
ภายใต้ความสลัวและเสียงน้ำไหลรินมีเพียงร่างบอบบางที่นั่งกอดเข่าร่ำไห้อยู่เพียงลำพัง
ราวกับจงใจมอบหยดน้ำตาที่รินไหลให้กับความรัก..ที่จากไปแสนไกล
วันเวลาแต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า หากแต่ปิ่นรดาก็พยายามดำเนินชีวิตไป
ตามปกติ ขณะที่พยายามติดตามข่าวสามจังหวัดภาคใต้อย่างสม่ำเสมอ แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์
ที่หญิงสาวอยากจะสาปให้เลือนหายไปจากความเป็นจริงก็เกิดขึ้น
เมื่อมารดาได้นำหนังสือพิมพ์มาให้อ่านพาดหัวข่าว
‘ บึ้มโรงเรียนวอดวาย ทหารเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสร่วมสิบนาย ‘
กลิ่นอายของความเจ็บปวดคืบคลานเข้ามารายล้อมหัวใจหญิงสาวอีกครั้ง ปิ่นรดา
พลิกหน้าหนังสือพิมพ์เพื่ออ่านต่อด้วยหัวใจที่เต้นระรัวเช่นเดียวกับมืออันสั่นระริก
“ ลิตเขาบาดเจ็บสาหัสน่ะลูก ” เมื่อเห็นอาการของบุตรสาวคนโตแล้วคุณละไมจึงดึง
หนังสือพิมพ์ไปเก็บไว้แล้วบอกเล่าออกไปแทน
ผู้ฟังน้ำตาไหลพราก โผเข้ากอดมารดาแน่นราวกับเป็นเสาหลักหนึ่งเดียวให้ยึดเกาะ
จวบจนร้องไห้แทบสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว ปิ่นรดาจึงบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ ปิ่นจะไปเยี่ยมลิตที่นราธิวาสค่ะแม่ ”
แม้จะห่วงเลือดในอกสักปานใด แต่ผู้เป็นแม่ก็รู้ดี ว่าความรักอันเป็นเพียงแค่นามธรรมนี้
จะปรากฏรูปชัดเจนได้ ในวันที่ชีวิตเปรียบเสมือนเรือที่กำลังใกล้อับปาง
การเดินทางไปนราธิวาสอย่างรีบด่วนของปิ่นรดาทำให้หญิงสาวไม่สามารถไปงาน
แต่งงานของผู้ซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักได้ แต่เธอก็ฝากของขวัญผ่านทิพรดาซึ่งเป็นผู้นำไปมอบให้
แทน แต่การเดินทางอันเต็มไปด้วยความลำบากกลับต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อทาง
โรงพยาบาลบอกว่าชายหนุ่มถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯแล้ว หญิงสาวจึง
เปลี่ยนเป้าหมายมาที่กรุงเทพฯแทน แต่ด้วยความโรงพยาบาลเดิมไม่ได้สามารถตอบได้ว่า
เขาถูกส่งมาที่ใด การตามหาของปิ่นรดาจึงประสบความล้มเหลว หากแต่สิ่งหนึ่งที่ยังฉายชัดอยู่
ในความทรงจำคือคำบอกเล่าของนางพยาบาล
“ ทหารคนนั้นอาการสาหัสกว่าเพื่อนเลยค่ะ ทางเราก็เลยต้องรีบส่งไปกรุงเทพฯ ”
ความรัก ความห่วงใยถาโถมเข้าสู่จิตใจของหญิงสาวอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่า
ตนเองลืมเลือนเขาไปนานแล้ว แต่กลับไม่ใช่ ความรักยังคงแทรกเจือไปทั่วทุกอณูของหัวใจ
ตลอดมา
สามเดือนผ่านไป
แสงแดดตอนใกล้เที่ยงร้อนแรงจนร่างบางที่ยืนอยู่ด้านล่างบันไดที่ทอดตัวไปสู่เจดีย์
ใหญ่รูประฆังคว่ำขนาดมหึมาต้องยกมือเรียวขึ้นเพื่อบังแดดไปพลางเดินขึ้นบันไดไปพลาง
พระปฐมเจดีย์คือศาสนสถานที่ปิ่นรดาจะต้องมานมัสการทุกปีในวันเกิด เหตุเพราะมารดา
เคยเล่าให้ฟังว่า ในตอนที่หญิงสาวยังเล็ก ๆ นั้นเธอเป็นเด็กที่เลี้ยงยากและไม่สบายบ่อยมากจน
ตัวเหลืองซีดไปหมด บิดาจึงมากราบขอพรจากองค์พระเจดีย์ให้ลูกสาวคนโตหายเป็นปกติ
นับแต่นั้นมาเด็กน้อยก็กลับกลายเป็นเด็กที่สมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปิ่นรดาจึงถือว่า
พระปฐมเจดีย์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไปโดยปริยาย
เมื่อซื้อดอกไม้ธูปเทียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเดินอ้อมไปยังซุ้มพระด้านหนึ่ง
ของพระเจดีย์ ก่อนที่จะทรุดกายลงนั่ง แล้วพนมมือ ตั้งจิตอธิษฐาน
เสียงสวบสาบดังขึ้นข้างตัว หากแต่ปิ่นรดาก็ยังคงแน่วแน่กับการเพ่งจิตไปยังซุ้มพระที่อยู่
ตรงหน้า กลิ่นควันธูปลอยมาปะทะจมูกเอื่อย ๆ หญิงสาวจึงหันมองไปยังผู้ที่นั่งพนมมืออยู่ข้าง
กาย แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ชะงักงัน เอ่ยชื่ออีกฝ่ายสุ้มเสียงสั่น
“ ลิต มา..มาได้ยังไง ”
ลิลิตปักธูปลงบนกระถางก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ ผมตั้งใจมารอปิ่น ” เขาหยุดเล่าพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งนาน
“ ตั้งแต่ปิ่นบอกเลิก ผมไปตามหาที่บ้านหลายครั้ง ก็ได้รู้เพียงแค่ว่าปิ่นไปทำงานอยู่ที่อื่น
แต่สิ่งหนึ่งผมจำได้ไม่มีวันลืม คือปิ่นจะมาที่นี่ในวันเกิดทุก ๆ ปี ”
หญิงสาวนิ่งฟังน้ำตาเอ่อคลอ เขาจำได้..แม้สิ่งเล็กน้อยที่เธอปฏิบัติ
“ ปิ่นไม่ได้มาสองปีแล้ว เพราะไปทำงานอยู่ภูเก็ต กลับมาไม่ได้ จนปีนี้แม่บอกให้กลับมา
อยู่บ้าน จึงมีโอกาสมาที่นี่อีกครั้ง”
“ ผมมารอปิ่นที่นี่ทุกปี ”
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ระหว่างเธอกับเขา มีเพียงเส้นบาง ๆ ที่กั้นขวาง
อยู่เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วความรักยังอยู่ข้างกายเสมอ จนถึงวันนี้..ที่เคยคิดว่าได้สูญเสียมันไป
หากแต่รักก็ยังคงอยู่ ..ตลอดมา
แสงแดดยังคงเต้นระริกอาบไล้ผิวกายให้ร้อนผ่าว หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นยืน โดยมี
ชายหนุ่มร่างสูงอยู่ข้างกาย หากสามารถทำได้..นับจากนี้เขาและเธอจะอยู่เคียงข้างกันตราบ
จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
อุปสรรคเป็นเครื่องพิสูจน์รักแท้..
..ไม่มีสิ่งใดที่จะก้าวล่วงอุปสรรคได้ หากมิใช่หัวใจรักที่แท้จริง..
น้ำฝน ทะกลกิจ ( พิรุณชล )
ลิขสิทธิ์เว็บไซต์ภาษาสยาม
|