หน้าหลัก ภาษาสยาม ผลงานส่วนตัว เรื่องสั้น..ร่มเงารัก
เรื่องสั้น..ร่มเงารัก PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย ภาษาสยาม   
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2010 เวลา 00:00 น.

 

ความงดงามที่ปรากฏเป็นตัวอักษร ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของสิ่งที่ปรากฏในหัวใจ
 
                                                                                                    
 
ดอกไม้สีชมพูร่วงหล่นจากต้นสูงริมตลิ่งปลิดปลิวลงสู่ผิวน้ำ แล้วจึงล่องลอยไปตามกระแสน้ำ
 
อันเชี่ยวกรากของฤดูน้ำหลาก ก่อนที่จะถูกมือเรียวของผู้ที่นั่งอยู่เหนือท่าน้ำเอื้อมลงไปหยิบมัน
 
มาวางไว้บนตัก ดวงตากลมโตเพ่งมองดอกสีชมพูฉ่ำน้ำคล้ายจะให้ทะลุไปถึงกางเกงยีนส์ที่ตน
 
สวมใส่อยู่ ความรู้สึกกระหวัดไปถึงความผูกพันที่มีต่อมัน..มาเนิ่นนาน
 
          “ ทำอะไรอยู่เหรอพี่ปิ่น ” เสียงกังวานใสของใครบางคนดังขึ้นเหนือประตูของบ้าน
 
ซึ่งสร้างเอาไว้ติดกับท่าน้ำ
 
          ปิ่นรดาเอี้ยวตัวกลับไปยิ้มเศร้า ๆ ให้น้องสาวก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสื่อถึงอารมณ์
 
ภายใน
 
          “ นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะทิพ แม่กลับมาหรือยัง
 
          ทิพรดามองพี่สาวพลางส่ายศีรษะ
 
          “ วันนี้แม่มีประชุมคงกลับเย็นหน่อยน่ะ แล้วพี่ปิ่นหิวหรือยังล่ะ
 
          “ ยังหรอก ” ผู้เป็นพี่ตอบก่อนจะหันกลับมามองสายน้ำดุจเดิม
 
          พื้นไม้ดังเอียดอาดปนเสียงรองเท้าแตะของทิพรดา ก่อนที่เด็กสาวจะทรุดนั่งลงข้างกาย
 
ผู้เป็นพี่ แล้วเอื้อมมือไปกอดเอวคอดกิ่วนั้นอย่างปลอบประโลม
 
          “ คิดถึงพี่ลิตอยู่หรือจ๊ะ
 
          ปิ่นรดานิ่งไปนานก่อนจะย้อนถาม
 
          “ ทำไมทิพคิดแบบนั้นล่ะ
 
          ผู้ถูกถามถอนใจเฮือกใหญ่พลางตอบตามตรง
 
          “ ก็เห็นดอกพันธุ์ทิพย์แล้วนึกถึงพี่เขาน่ะจ้ะ ก่อนนี้เวลาที่พี่ลิตมาที่นี่จะชอบมานั่งท่าน้ำนี้
 
แล้วเก็บดอกพันธุ์ทิพย์ให้พี่ปิ่นเสมอ ทิพจำได้
 
          ปิ่นรดาเม้มปากครุ่นคิดตามถ้อยคำของผู้เป็นน้อง ใบหน้างามจึงดูเคร่งขรึมหม่นเศร้า
 
          เมื่อครั้งที่เธอยังคงเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เกือบทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน
ลิลิตจะติดตามมาด้วยเสมอ และด้วยความที่คุณละไมมารดาของปิ่นรดาค่อนข้างแคร์สายตา
 
คนรอบข้าง ทุกครั้งจึงต้องมีเกวลินเพื่อนรักของเธอติดตามมาด้วย เหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น
 
เพราะคุณละไมเองก็รักลิลิตเสมือนลูกคนหนึ่ง แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตร   ในวันที่เกวลิน
 
ไปหาปิ่นรดาที่ห้องพักด้วยน้ำตานองหน้า
 
          “ เก๋ ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น ” เจ้าของห้องปราดเข้าไปโอบเพื่อนแล้วถามอย่าง
 
ห่วงใย
 
          เกวลินเงยหน้ามองเพื่อนด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วจึงใช้หลังมือป้ายน้ำตา
 
          “ ปิ่น ปิ่นต้องเข้าใจเก๋นะ ”
 
          ปิ่นรดาคลายวงแขนออก แล้วดันตัวเพื่อนพลางจ้องหน้า
 
          “ ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ
 
          เกวลินนิ่ง เม้มปากแน่น ก่อนจะโผเข้าไปกอดเพื่อนอีกครั้ง ปิ่นรดาโอบแขนกอดตอบ
 
แล้วลูบแผ่นหลังเนียนเรียบนั้นเบาๆ
 
          “ ปิ่นสัญญาว่าจะเข้าใจเก๋ บอกมาเถอะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน
 
          แขนเรียวของเกวลินรัดแน่นขึ้น พลางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เสมือนคมดาบนับพันเล่มที่คอย
 
กรีดใจของผู้ฟังให้แหลกยับ
 
          “ เก๋ ..เก๋เป็นของลิตแล้ว เก๋ไม่ตั้งใจทำร้ายปิ่นนะ แต่วันนั้นที่กลับมาจากบ้านของปิ่นที่
 
อยุธยา เก๋เวียนหัว ลิตก็เลยมาส่งที่ห้อง แล้ว..แล้ว ” ประโยคท้ายน้ำเสียงเกวลินขาดเป็นห้วง
 
ปิ่นรดาจึงตัดบท
 
          “ พอเถอะ ปิ่น เข้าใจแล้ว ” บอกพร้อมกับอ้อมแขนที่คลายลง
 
          “ เก๋ขอโทษ
 
          แม้สิ่งที่ได้รับรู้จะสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสแก่หัวใจ หากแต่ในวันนั้นหญิงสาวก็ทำ
 
ได้เพียงพยักหน้าตอบรับ แล้วเอ่ยเบา ๆ อย่างใจลอย
 
          “ ไม่เป็นไร
 
          ต่อเมื่อเกวลินออกไปจากห้องนั่นแหละ หยดน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้จึงไหลอาบสอง
 
แก้มนวล
 
 
 
          “ แม่มาแล้วพี่ปิ่น ”เสียงของน้องสาวทำให้ผู้ที่จ่อมจมอยู่ในภวังค์ชะงักงัน แล้วสูด
 
ลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง เพื่อขับไล่ความเจ็บปวดที่ทำท่าจะไหลออกจากตาอีกครั้ง ทำไม
 
หนอ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแต่เธอก็ไม่อาจลืมเขาได้สักที
 
          เท้าเปล่าเปลือยก้าวเดินจากท่าน้ำไปตามสะพานเล็ก ๆ ที่ทอดไปสู่ตัวบ้าน ก่อนที่กลีบ
 
ปากบางจะฝืนยิ้มให้มารดา คุณละไมยิ้มตอบก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำซึ่งจัดวางไว้
 
รอบโต๊ะอาหารอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
 
          “ ที่โรงเรียนเขาจะมีการประเมินก็เลยประชุมนานไปหน่อย หิวกันหรือยังลูก
 
          “ ยังเลยค่ะ แม่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะคะ” ทิพรดาตอบ
 
          “ อืม แม่ว่าทานข้าวก่อนดีกว่า ชักจะหิวตงิด ๆ แล้ว ปิ่นเป็นอะไรไปหรือเปล่าลูกดู
 
หน้าตาเจื่อน ๆ พิกล
 
          ปิ่นรดาเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้ง ๆ ให้มารดาพลางส่ายหัว
 
          “ ไม่มีอะไรค่ะแม่
 
          คุณละไมพยักหน้า แล้วทำท่านึกอะไรได้ จึงล้วงมือลงไปในกระเป๋าถือ ก่อนจะยื่นซอง
 
จดหมายสีชมพูให้แก่บุตรสาวคนโต
 
          “ เขาจ่าหน้าซองถึงหนูแต่ส่งมาที่โรงเรียนแม่ คงเป็นใครสักคนที่ไม่รู้ที่อยู่บ้านเรา แต่รู้
 
ว่าแม่ทำงานที่ไหนกระมัง
 
          “ คงจะอย่างนั้นแหละค่ะ ” ปิ่นรดาตอบมารดาพลางก้มลงแกะซองจดหมาย แล้วทำท่า
 
งง ๆ กับการ์ดสีชมพูหอมกรุ่นที่ซ่อนอยู่ด้านใน
 
          “ การ์ดแต่งงานของใครหรือจ๊ะพี่ปิ่น ” ทิพรดาชะโงกหน้ามาถาม
 
          ปิ่นรดาไม่ตอบ หากแต่หันด้านหน้าการ์ดให้น้องสาวดู ทิพรดาเบิกตาโพลงพลางเบะปาก
 
มีเสียง หึ ! ลอดออกมาเบาๆ
 
          “ นี่พี่เก๋ยังกล้าส่งการ์ดแต่งงานมาให้พี่ปิ่นอีกเหรอคะ
 
          ไม่มีเสียงตอบจากผู้ถูกถาม ขณะที่มารดานิ่ง แอบชำเลืองมองบุตรสาวคนโตอยู่เงียบๆ
 
          “ ขอทิพดูหน่อย ” สาวน้อยเอ่ยขอ แล้วยื่นมือไปดึงกระดาษสีชมพูจากมือพี่สาว
 
          “ เอ..เจ้าบ่าวไม่ใช่พี่ลิตนี่คะ
 
          ปิ่นรดาพยักหน้า เธอไม่รู้หรอกว่าหลังจากวันที่บอกเลิกกับลิลิต เขาและเกวลินจะเป็น
 
อย่างไร เพราะแค่พยุงชีวิตตนเองให้ก้าวเดินต่อไปได้ก็หนักหนาพออยู่แล้ว
 
          “ พี่ปิ่นคะมีจดหมายแนบมาด้วย ” ทิพรดายื่นกระดาษสีขาวที่พับเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
 
ให้พี่สาวโดยไม่เปิดออกอ่านตามมารยาทอันดีงามที่ถูกสั่งสอนมา
 
          ปิ่นรดายื่นมือไปรับจดหมายด้วยมือสั่น ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองมารดาและน้องสาว
 
          “ แม่กับทิพทานไปก่อนนะคะ ปิ่นขอตัวไปอ่านจดหมายก่อน
 
          เมื่อคุณละไมพยักหน้าอย่างเข้าใจ หญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันหลังกลับไปยัง
 
ทางเดิมที่จากมาอีกครั้งหนึ่ง
 
 
 
          แสงไฟสลัวที่ส่องลอดเข้ามาในห้องนอนขับไล่ความมืดให้เจือจางลง ปิ่นรดาพลิกตัวอีก
 
ครั้งหลังจากที่พลิกไปพลิกมานับครั้งไม่ถ้วน คืนนี้หญิงสาวพยายามข่มตาลงแต่ก็ไม่สามารถเข้า
 
สู่นิทราได้ เพราะความวุ่นวายภายในจิตใจอันเกิดจากข้อความในจดหมายฉบับนั้น
 
          จดหมายจากเพื่อนเก่าที่ชื่อ เกวลิน
 
          ‘ เก๋ไม่รู้ว่าคำไหนจะเหมาะสมในการขึ้นต้นมากกว่าคำขอโทษ ปิ่นช่วยอภัยให้แก่เพื่อน
 
เลว ๆ คนนี้อีกสักครั้งเถอะนะ ถึงเก๋จะเลวมาก แต่ในวันนี้ก็จะขอสารภาพบาปทั้งหมด แม้จะตอก
 
ย้ำว่าตัวเองเลวแค่ไหน ที่ทรยศเพื่อนดีๆอย่างปิ่นได้ลง ปิ่นจะด่าจะว่าเก๋ยังไง วันนี้เก๋ยอม
 
ทุกอย่าง แต่เก๋ขอให้ปิ่นเข้าใจลิต แล้วคืนดีกับเขา สมกับที่เขารักปิ่นมาตลอด ไม่เคย
 
เปลี่ยนแปลง
 
          ตอนนั้นเก๋เห็นแก่ตัวมากเกินไป เพราะความใกล้ชิดจึงทำให้เก๋แอบรักลิต ความรักมันทบ
 
ทวีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความเห็นแก่ตัวที่มีมากขึ้นทุกวัน ทำให้เก๋กุเรื่องทั้งหมดขึ้นเพื่อบีบให้
 
ปิ่นออกไปจากวงจรชีวิตของลิต เผื่อว่าเขาจะหันมารักเก๋บ้าง แต่ไม่เลย ตั้งแต่ปิ่นจากไป ลิตก็
 
เอาแต่เมามายแทบไม่เป็นผู้เป็นคน จนวันหนึ่งที่เขาถูกเกณฑ์ทหารถึงกลับมาเป็นลิตคนเดิมอีก
ครั้ง แต่เขาก็ทุ่มเทกับการเป็นรั้วของชาติโดยไม่มองใคร จวบจนได้ปลดประจำการเขาก็เลือกที่
 
จะอยู่ต่อ จากนั้นเก๋ก็ไม่ได้ข่าวเขาอีกเลย จนถึงวันที่ไปแจกการ์ดแต่งงาน เก๋ไปพบแม่ของเขาที่
 
บ้าน ท่านบอกว่าลิตสมัครไปประจำอยู่นราธิวาสเป็นปีแล้ว
 
          เก๋ผิดเองที่ใส่ร้ายลิต และทำร้ายจิตใจเพื่อนอย่างปิ่น กลับไปคบกับลิตเถอะนะ เขา
 
มั่นคงต่อปิ่นเสมอ..ตลอดมา
 
          ปิ่นรดาหลับตาลงอย่างอ่อนล้า นี่เธอเข้าใจเขาผิดมาตลอดสามปีเลยหรือนี่
 
          สายลมเบาบางพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่อยู่ฝั่งเดียวกับแม่น้ำ ฉุดดึงอารมณ์ของ
 
หญิงสาวให้กระเจิดกระเจิง ก่อนที่เธอจะตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนแล้วก้าวออกไปนอกตัวบ้าน
 
ผ่านสะพานไม้อันทอดไปสู่ท่าน้ำ
 
          ภายใต้ความสลัวและเสียงน้ำไหลรินมีเพียงร่างบอบบางที่นั่งกอดเข่าร่ำไห้อยู่เพียงลำพัง
 
 ราวกับจงใจมอบหยดน้ำตาที่รินไหลให้กับความรัก..ที่จากไปแสนไกล
 
 
 
          วันเวลาแต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า หากแต่ปิ่นรดาก็พยายามดำเนินชีวิตไป
 
ตามปกติ ขณะที่พยายามติดตามข่าวสามจังหวัดภาคใต้อย่างสม่ำเสมอ แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์
 
ที่หญิงสาวอยากจะสาปให้เลือนหายไปจากความเป็นจริงก็เกิดขึ้น
 
          เมื่อมารดาได้นำหนังสือพิมพ์มาให้อ่านพาดหัวข่าว
 
          ‘ บึ้มโรงเรียนวอดวาย ทหารเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสร่วมสิบนาย ‘
 
          กลิ่นอายของความเจ็บปวดคืบคลานเข้ามารายล้อมหัวใจหญิงสาวอีกครั้ง ปิ่นรดา
 
พลิกหน้าหนังสือพิมพ์เพื่ออ่านต่อด้วยหัวใจที่เต้นระรัวเช่นเดียวกับมืออันสั่นระริก
 
          “ ลิตเขาบาดเจ็บสาหัสน่ะลูก ” เมื่อเห็นอาการของบุตรสาวคนโตแล้วคุณละไมจึงดึง
 
หนังสือพิมพ์ไปเก็บไว้แล้วบอกเล่าออกไปแทน
 
          ผู้ฟังน้ำตาไหลพราก โผเข้ากอดมารดาแน่นราวกับเป็นเสาหลักหนึ่งเดียวให้ยึดเกาะ
 
จวบจนร้องไห้แทบสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว ปิ่นรดาจึงบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
 
          “ ปิ่นจะไปเยี่ยมลิตที่นราธิวาสค่ะแม่
 
          แม้จะห่วงเลือดในอกสักปานใด แต่ผู้เป็นแม่ก็รู้ดี ว่าความรักอันเป็นเพียงแค่นามธรรมนี้
 
จะปรากฏรูปชัดเจนได้ ในวันที่ชีวิตเปรียบเสมือนเรือที่กำลังใกล้อับปาง
 
 
 
 
          การเดินทางไปนราธิวาสอย่างรีบด่วนของปิ่นรดาทำให้หญิงสาวไม่สามารถไปงาน
 
แต่งงานของผู้ซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักได้ แต่เธอก็ฝากของขวัญผ่านทิพรดาซึ่งเป็นผู้นำไปมอบให้
 
แทน แต่การเดินทางอันเต็มไปด้วยความลำบากกลับต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อทาง
 
โรงพยาบาลบอกว่าชายหนุ่มถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯแล้ว หญิงสาวจึง
 
เปลี่ยนเป้าหมายมาที่กรุงเทพฯแทน แต่ด้วยความโรงพยาบาลเดิมไม่ได้สามารถตอบได้ว่า
 
 เขาถูกส่งมาที่ใด การตามหาของปิ่นรดาจึงประสบความล้มเหลว หากแต่สิ่งหนึ่งที่ยังฉายชัดอยู่
 
ในความทรงจำคือคำบอกเล่าของนางพยาบาล
 
          “ ทหารคนนั้นอาการสาหัสกว่าเพื่อนเลยค่ะ ทางเราก็เลยต้องรีบส่งไปกรุงเทพฯ ”
 
          ความรัก ความห่วงใยถาโถมเข้าสู่จิตใจของหญิงสาวอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่า
 
ตนเองลืมเลือนเขาไปนานแล้ว แต่กลับไม่ใช่ ความรักยังคงแทรกเจือไปทั่วทุกอณูของหัวใจ
 
ตลอดมา
 
 
 
สามเดือนผ่านไป
 
 
          แสงแดดตอนใกล้เที่ยงร้อนแรงจนร่างบางที่ยืนอยู่ด้านล่างบันไดที่ทอดตัวไปสู่เจดีย์
 
ใหญ่รูประฆังคว่ำขนาดมหึมาต้องยกมือเรียวขึ้นเพื่อบังแดดไปพลางเดินขึ้นบันไดไปพลาง
 
 
          พระปฐมเจดีย์คือศาสนสถานที่ปิ่นรดาจะต้องมานมัสการทุกปีในวันเกิด เหตุเพราะมารดา
 
เคยเล่าให้ฟังว่า ในตอนที่หญิงสาวยังเล็ก ๆ นั้นเธอเป็นเด็กที่เลี้ยงยากและไม่สบายบ่อยมากจน
 
ตัวเหลืองซีดไปหมด บิดาจึงมากราบขอพรจากองค์พระเจดีย์ให้ลูกสาวคนโตหายเป็นปกติ
 
นับแต่นั้นมาเด็กน้อยก็กลับกลายเป็นเด็กที่สมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปิ่นรดาจึงถือว่า
 
พระปฐมเจดีย์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไปโดยปริยาย
 
          เมื่อซื้อดอกไม้ธูปเทียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเดินอ้อมไปยังซุ้มพระด้านหนึ่ง
 
ของพระเจดีย์ ก่อนที่จะทรุดกายลงนั่ง แล้วพนมมือ ตั้งจิตอธิษฐาน
 
          เสียงสวบสาบดังขึ้นข้างตัว หากแต่ปิ่นรดาก็ยังคงแน่วแน่กับการเพ่งจิตไปยังซุ้มพระที่อยู่
 
ตรงหน้า กลิ่นควันธูปลอยมาปะทะจมูกเอื่อย ๆ หญิงสาวจึงหันมองไปยังผู้ที่นั่งพนมมืออยู่ข้าง
 
กาย แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ชะงักงัน เอ่ยชื่ออีกฝ่ายสุ้มเสียงสั่น
 
 
          “ ลิต มา..มาได้ยังไง ”
 
          ลิลิตปักธูปลงบนกระถางก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
 
          “ ผมตั้งใจมารอปิ่น ” เขาหยุดเล่าพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งนาน
 
          “ ตั้งแต่ปิ่นบอกเลิก ผมไปตามหาที่บ้านหลายครั้ง ก็ได้รู้เพียงแค่ว่าปิ่นไปทำงานอยู่ที่อื่น
 
แต่สิ่งหนึ่งผมจำได้ไม่มีวันลืม คือปิ่นจะมาที่นี่ในวันเกิดทุก ๆ ปี
 
          หญิงสาวนิ่งฟังน้ำตาเอ่อคลอ เขาจำได้..แม้สิ่งเล็กน้อยที่เธอปฏิบัติ
 
          “ ปิ่นไม่ได้มาสองปีแล้ว เพราะไปทำงานอยู่ภูเก็ต กลับมาไม่ได้ จนปีนี้แม่บอกให้กลับมา
 
อยู่บ้าน จึงมีโอกาสมาที่นี่อีกครั้ง
 
          “ ผมมารอปิ่นที่นี่ทุกปี
 
          หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ระหว่างเธอกับเขา มีเพียงเส้นบาง ๆ ที่กั้นขวาง
 
อยู่เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วความรักยังอยู่ข้างกายเสมอ จนถึงวันนี้..ที่เคยคิดว่าได้สูญเสียมันไป 
 
หากแต่รักก็ยังคงอยู่ ..ตลอดมา
 
          แสงแดดยังคงเต้นระริกอาบไล้ผิวกายให้ร้อนผ่าว หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นยืน โดยมี
 
ชายหนุ่มร่างสูงอยู่ข้างกาย หากสามารถทำได้..นับจากนี้เขาและเธอจะอยู่เคียงข้างกันตราบ
 
จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
 
อุปสรรคเป็นเครื่องพิสูจน์รักแท้..
 
..ไม่มีสิ่งใดที่จะก้าวล่วงอุปสรรคได้ หากมิใช่หัวใจรักที่แท้จริง..
 
 
 
                                                        น้ำฝน ทะกลกิจ ( พิรุณชล )
                                                          ลิขสิทธิ์เว็บไซต์ภาษาสยาม
 

Facebook Like Box

ออนไลน์

เรามี 3 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

ผู้เยี่ยมชม

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้203
mod_vvisit_counterเมื่อวาน171
mod_vvisit_counterอาทิตย์นี้488
mod_vvisit_counterเดือนนี้3826
mod_vvisit_counterทั้งหมด6426192