“โรคซึมเศร้า”เคยก้าวผ่าน “ด้วยความบ้า” ในตัวมีจึงผ่านไปได้

- 20493_resize.jpg (96.87 KiB) เปิดดู 36330 ครั้ง
โรคซึมเศร้าเริ่มเป็นที่สนใจและเป็นที่รู้จักหลังจากมีดารานักร้องฆ่าตัวตายกันเยอะ หลายเดือนก่อนเคยสัญญากับเพื่อนๆในเฟซบุ๊กว่าจะเล่าประสบการณ์ให้ฟัง เอาละ วันนี้จะเล่าก่อนทำงาน
ชีวิตเข้าสู่ภาวะปัญหาในช่วงก่อนและหลังเรียนจบใหม่ๆ ปัญหาที่เข้ามาช่วงนั้นเยอะเหลือเกิน แล้วเป็นคนที่ไม่เล่าให้พ่อแม่ฟัง เกรงว่าท่านจะเป็นห่วง ปัญหาที่ว่ามีทั้งมีผลต่อสภาพจิตใจ ทรัพย์สิน รวมถึงความซวยที่ประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน อาทิ รถถูกขโมย พอยืมรถเพื่อนมาใช้ก็เอาไปชน หลังจากนั้นก็รถคว่ำอีก สภาพจิตใจนั้นก็ปัญหาวัยรุ่นทั่วไปประกอบกับการปรับตัวหลังเรียนจบ หางานยังไม่ได้ สับสนและปัญหาภายในเองก็รุมเร้า เกิดปฏิกิริยาทางกายคือ ชีวิตไม่มีความสุข มองไปทางใดก็มืดมน มองตนเองว่าไม่มีค่า ไร้ศักยภาพ มันทุกข์ ไม่อยากออกจากห้อง สมองวนเวียนแต่เรื่องที่ทำให้ต้องทุกข์ นอนไม่หลับ ข่มตานอนก็สะดุ้งตื่น หวาดผวา เป็นหนักมาก แต่ถึงกระนั้นเมื่ออยู่ในสังคมก็ยังยิ้ม หัวเราะ ได้ตามปกติ เพื่อนๆแทบไม่มีใครรู้
แก้ไขอย่างไร ตอนนั้นไม่รู้จักโรคซึมเศร้า แต่ยอมรับความจริงว่าตอนนี้สภาพจิตเรามันแย่ พยายามคิดว่าทำอย่างไรชีวิตจึงจะกลับมาสุขอีกครั้ง คำตอบที่ได้คือ ต้องเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนผู้คนรอบข้าง และต้องระบาย
บังเอิญพ่อบอกเราว่า เรียนจบใหม่ๆอยากเที่ยว อยากทำอะไรทำเลย เดี๋ยวต่อไปทำงานจะไม่มีเวลาแล้ว เราจึงตัดสินใจเดินทางไปอยู่กับน้าที่หาดใหญ่ ๒ เดือน อยู่กับน้าที่พัทยา ๒ เดือน ตลอดเวลาเราเล่นอินเทอร์เน็ต พวกโปรมแกรมสนทนา ได้พูดคุยกับคนมากมาย ได้มองเห็นอะไรแปลกตา ถามว่ามันดีขึ้นเลยหรือ ไม่ มันจะมีช่วงที่จิตตก แต่เราต้องเข้มแข็ง ต้องพยุงความรู้สึกตนเองให้ได้
นอกจากการเปลี่ยนบรรยากาศแล้วเรายัง “เขียน” เราเขียนระบายทุกอย่างลงในไดอารี่ ถ้าไม่เผาทิ้งไปนะ ตอนนี้คงได้สแกนมาให้อ่าน เราเขียนบันทึกว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง ความรู้สึกเป็นอย่างไร ความฝัน ความหวังไปในทิศทางไหน เขียน เขียน เขียน...จนเป็นนักเขียน ฮ่า..ไม่ช่ายยย แต่การเขียนบ่อยๆมันทำให้เกิดทักษะจริงๆนะ เราเป็นคนที่เล่นโปรแกรมแชทหนักมาก มีเพื่อนทั่วประเทศ เป็นเจ้าของห้อง ได้เรียนรู้การใช้อินเทอร์เน็ต ลงวินโดว ลงโปรแกรมเป็นก็เพราะเพื่อนๆในอินเทอร์เน็ตสอน เรามีหลักอย่างเดียวคือ “งดการไปมิตติ้ง” เพราะเพื่อนที่รู้จักผ่านตัวหนังสือ ถ้ายังไม่นานพอ เราจะไม่รู้ตัวตนของเขา หากไปมิตติ้งหรือไปพบกันมันเสี่ยงมากเกินไป
เราเป็นคนที่ไม่พูดทุกอย่างกับทุกคน แต่เป็นคนเปิดเผย ถ้าเรื่องไหนไม่กระทบใคร เราพูดได้หมด ไม่ได้มองว่าจะทำให้ตนเองไม่ดี อดีต วัย..มันเป็นฐานประสบการณ์ คนเราต้องยอมรับข้อผิดพลาดตนเอง และนำมันมาปรับใช้ แม้แต่ทุกวันนี้เราก็ยึดหลักนี้เสมอ และแน่นอน เราไม่ใช่คนที่ชอบระบาย สาวไส้ ดังนั้นจึงมีบางอย่างที่อัดอั้น เพราะเราเป็นคนที่รับภาระ แก้ปัญหาให้คนอื่นเยอะมาก จึงต้องมีวิธีการเฉพาะตัวในการปลดปล่อยความรู้สึก ปัจจุบันก็เขียนเล่าในเฟซบุ๊กเท่าที่เล่าได้ ไม่สร้างความเสียหายให้ใคร เพราะคนที่เกี่ยวข้องก็มีแต่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง นอกจากนี้ก็ใช้ธรรมชาติบำบัด การได้ไปที่ที่มีธรรมชาติ ทุ่งนา ป่าเขา สายน้ำ ทำให้หัวใจชุ่มชื่นไม่แห้งโหย หากไม่สามารถไปได้ แค่ภาพ..อย่างเช่นภาพในสวนที่พ่อแม่ส่งมาให้ ก็ทำให้รู้ดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
สิ่งเดียวที่เป็นหลักให้ชีวิตคือเหตุผล ปัญหาจากสภาพจิตใจนั้นเราวิเคราะห์ ถามตนเองว่า เราจะแพ้มันหรือ เราจะทุกข์เพราะเหตุนี้ไปจนตายหรือ เราต้องข้ามผ่านมัน อยู่เหนือมันให้ได้ ทุกๆครั้งที่ปัญหาเกิด ประดังเข้ามา..บางทีหลับตาลง พอตื่นมาหัวโล่งขึ้นพร้อมๆกับคำตอบ ถ้าช่วงนั้นออกกำลังกายเหมือนตอนนี้คงไม่ยาก เพราะการออกกำลังกายมันทำให้เหนื่อย เราวิ่งครั้งละ ๒.๕ กม. พอถึงเวลาจะเพลีย ง่วง หลับ โรคซึมเศร้าสำหรับเราไม่ต้องกินยา หมอเคยให้ยาคลายเครียดมากิน แต่ไม่นานเราก็หยุด แล้วใช้วิธี “ใจ” เยี่ยวยา “ใจ” เพราะใจเราเท่านั้นที่จะแก้ทุกๆปัญหาได้ หากเราเข้มแข็งโรคซึมเศร้าไม่มีวันเอาชนะเราได้แน่นอน “นี่คือความเชื่อของเรา”
เราโชคดีที่เมื่อผ่านพ้นกาลเวลาชีวิตก็เริ่มลงตัว ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการยอมรับมันทำให้เราเห็นคุณค่าในตนเอง ดังนั้นกำลังใจเล็กๆจากนักอ่าน หรือผู้ติดตาม มองว่าล้ำค่านัก ไม่เคยมองว่าให้ตามมารยาท แต่มันคือแรงขับจากใจดวงหนึ่งให้ใจอีกดวง คำทุกถ้อย ของขวัญทุกชิ้น ภาพทุกภาพ เราจึงเก็บไว้อย่างดี ของอย่างนี้บริบทชีวิตมันเป็นคนสร้าง มันเป็นคนทำ และตัวเราเป็นคนเลือก
น้ำฟ้า #เธอผู้ไม่แพ้