บทที่๒
วัยเด็กของแม่
ในภาพคือพี่ๆน้องๆของหม่อนดี เริ่มจากคนยืนซ้าย หม่อนปัน หม่อนหนานนนท์ หม่อนดี หม่อนเฮือน
คนนั่ง คือ หม่อนต๋าและหม่อนลูน เป็นพี่น้องกัน ทั้งหมดเป็นลูกของหม่อนปวงและหม่อนสุ
ช่วงที่แม่เริ่มจำความได้วิถีชีวิตของทุกคนในครอบครัวเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์ “มนต์รักลูกทุ่ง”เราอยู่กับธรรมชาติ ทุ่งนาป่าเขา ช่วงปฐมวัยของแม่สังคมรอบตัวไร้การปรุงแต่ง ไร้เทคโนโลยี บ้านยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา เราตักน้ำจากบ่อน้ำมากินและใช้ บ่อน้ำที่ใสกินได้ใกล้ ๆ บ้าน คือ บ่อบ้านอุ๊ยมอญ ยังจำภาพเดิม ๆ ได้เสมอ บ้านอุ๊ยมอญกับบ้านเราอยู่ตรงข้ามกันโดยมีถนนกั้น ช่วงเช้าหรือเย็น ๆ น้าผู้หญิงจะใช้ไม้คานหาบคุไปตักน้ำที่ใช้ดื่ม ส่วนน้ำใช้สามารถตักที่บ่อน้ำบ้านเราได้ บ่อน้ำแต่ละบ่อไม่เหมือนกัน บางบ้านใสแจ๋วกินได้ บางบ้านใสพอที่จะซักผ้า ล้างจานได้ แต่กินไม่ได้ บางบ้านน้ำจะเป็นสีส้ม เราเรียกว่า น้ำฮาก น่าจะหมายถึงรากไม้
บ่อน้ำบ้านอุ๊ยมอญจะมีคนไปตักน้ำไม่ขาด เป็นที่พบปะพูดคุย สนุกสนาน แต่ถ้าตอนกลางคืนก็จะน่ากลัว เพราะบ้านอุ๊ยมอญพื้นที่กว้างขวาง มีบ้านอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนทางทิศใต้เป็นป่าบอนและต้นไม้อย่างอื่นดูอึมครึม ใกล้บ่อน้ำจะมีต้นมะม่วงเก่าแก่ซึ่งเป็นที่เล่าลือกันว่า ถ้าใครมาตักน้ำตอนกลางคืนอาจจะมีกิ่งไม้ถูกเขย่าทั้ง ๆ ที่ไม่มีคนอยู่แถวนั้นก็ได้ เช่นเดียวกับซอยเล็ก ๆ ตรงข้ามบ้านเราและฝายกั้นน้ำ ที่คนบ้านเราเรียกว่า ปุม ที่ถูกลือว่า ผีดุมาก แต่ปุมนี่แหละเป็นสถานที่โปรดของแม่ แม่ชอบเอายอไปจับปลาซิวที่นั่นบ่อย ๆ น้ำใต้ปุมจะไหลเอื่อย ๆ ตื้น ๆ และมักจะมีปลาซิวลอยทวนน้ำมาเป็นฝูง ๆ ช่วงไหนที่ปลาซิวขึ้นเราจะนำยอไปดักจับมัน หากเป็นหน้าแล้งแถวนั้นจะมีปลาหมอ ปลาช่อน ปลาดุก ให้งมอีกด้วย
หนูคงสงสัยว่าแม่งมปลาได้อย่างไร คืออย่างนี้ สมัยก่อนลำน้ำที่ไหลผ่านบ้านเราจะกว้างกว่านี้ เขาจะนำไม้มาปักเป็นแนวกันตลิ่งพัง จุดไหนเป็นสะพานถึงจะมีปูน ปลามันชอบหลบอยู่ตามซอกหลืบไม้เหล่านั้น เราสามารถใช้มือเปล่าสองข้างค่อย ๆ โอบเข้าหากัน ปลามันจะว่ายหนี เราก็ใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับมันได้ หรือถ้ามันอยู่ในแม่น้ำหรือแอ่งน้ำก็ใช้สุ่มดักมันก่อนจะใช้มือควานลงไป ตอนนั้นเน้นความสนุก ผลพลอยได้ก็คือเป็นอาหาร แม่ไปจับปลาโดยใช้มือเปล่าบ่อยจนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ถูกงูไซกัดมือ ถ้ามันเป็นงูเห่าแม่คงตายไปแล้วเพราะไม่กล้าบอกผู้ใหญ่ เนื่องจากถูกห้ามเสมอเรื่องจับปลา
นอกจากปุมก็จะมี โละ ที่ปลาชุกชุมมาก โละเกิดจากลำน้ำสองสายไหลที่ไหลมาบรรจบกันกลางเป็นทางสามแพร่ง ที่นี่สถานที่ต้องห้ามเพราะคนบ้านเราเชื่อว่า ที่นี่ผีกั่น หมายถึง มีความดุร้ายและหมอผีเอาชนะได้ยาก เนื่องจากที่จุดนี้เคยเป็นทั้งโบราณสถาน อนันตกาล ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองโบราณที่จมอยู่ใต้พื้นดิน เคยขุดกรุพระได้พระพุทธรูปและพระเครื่องโบราณจำนวน ๒ กรุ นอกจากนี้ยังเคยเป็นสถานที่รบกันระหว่างคนล้านนากับทัพพม่า มีคนตายเป็นจำนวนมาก บางคนก็ตายอย่างทรมาน เช่น ศัตรูที่ถูกจับมัดแล้วใช้ช้าง ม้า ลากจนขาดใจตาย ถึงจะมีความเชื่อแสนน่ากลัวแต่ที่นี่เป็นจุดโปรดของแม่ ถ้าไม่มาจับปลาก็มักจะมาเล่นอยู่คนเดียว ถ้าเราดูด้วยตามันก็ไม่ได้น่ากลัวหรอก น้ำตื้นแค่ข้อเท้า คนมักจะกลัวตำนานที่เล่าลือสืบต่อกันมานั่นแหละ สำหรับแม่นั้นไม่รู้สึกอะไร บางทีมันอาจจะจริงก็ได้นะ ที่มีคนทำนายทายทักว่าชาติที่แล้วแม่เคยเกิดที่นี่ ความฝันมันก็ผนวกกันเสียด้วยสิ เคยฝันถึงผู้ทรงศีล พญาเจ้าเมือง และผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ เป็นเรื่องราวที่นึกถึงแล้วชวนเพ้อฝันดีแต่แม่ไม่ได้สืบเสาะไปตามความเชื่อแต่อย่างใด แม่ถือว่า สิ่งใดที่พิสูจน์ไม่ได้ สิ่งใดที่ผ่านพ้นไปแล้ว คือหมดวาระ ไม่ควรนำมาเชื่อมโยงให้เป็นพันธะอีก ชีวิตคือวันนี้..อยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราเพ้อพกถึงอดีตชาติก็คงเหนื่อยมากเพราะไม่รู้ผ่านมากี่ชาติกี่ภพ เคยเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์มากี่ยุคกี่สมัย
ภาพนี้เป็นภาพใต้ถุนบ้านอุ๊ยดี (หม่อนดีของคำแก้ว)มุมขวาของภาพเป็นเล้าไก่ ไกลออกไปแสงจ้ามองเห็นไม่ชัดเป็นบ้านของหม่อนปัน
แม่ชอบเดินไปตามลำน้ำ เดินเรื่อย ๆ มาขึ้นท่าน้ำบ้านเรา เมื่อก่อนบ้านเรามีท่าน้ำทำด้วยไม้ ข้าง ๆ ท่าน้ำจะมีต้นมะกอกฝรั่งซึ่งเราเรียกมันว่า มะกุก กิ่งก้านสาขามันแผ่เต็มไปหมด ลูกของมันก็เยอะเช่นกัน หม่อนดีนั้นนอกจากจะชอบปลูกดอกไม้แล้วยังชอบปลูกผลไม้อร่อย ๆ หลายอย่าง ที่แม่ชอบที่สุดคือ มะพร้าว หม่อนปลูกห่าง ๆ ไว้รอบ ๆ เขตรั้วบ้าน ในช่วงหน้าร้อนเราจะขึ้นมะพร้าวมาผ่ากิน บางทีก็เอาทั้งน้ำและเนื้อมะพร้าวมารวมกัน เติมน้ำอ้อยหรือน้ำตาล แล้วใส่น้ำแข็งลงไป อร่อยชื่นใจมาก จริง ๆ คนที่ขึ้นมะพร้าวไม่ใช่คนในครอบครัวเราหรอก แกชื่อ ลุงปิน เป็นคนที่ปั่นจักรยานรับจ้างขึ้นมะพร้าวไปทั่วอำเภอ เป็นคนมีเอกลักษณ์นะ แกจะมีวิทยุหนึ่งเครื่องผูกไว้กับจักรยานและเปิดมันตลอดเส้นทางที่ปั่น ถ้าอยากกินมะพร้าวก็รอฟังเสียงเพลงได้เลย
เล่าย้อนกลับมาถึงการเดินมาที่ท่าน้ำบางทีมันก็มีปลิงเหมือนกันนะ แต่มันจะเห็นด้วยตาเปล่า เวลามันเข้ามาใกล้ตัวแม่จะรีบวิ่งหนี ที่น่ากลัวสุดคือปลิงควายที่ตัวมันใหญ่มาก แต่หน้าแล้งไม่ค่อยมีปลิงเพราะน้ำมันแห้งขอด ความทรงจำที่ท่าน้ำของแม่มีเยอะเหมือนกัน แม่ยังจำได้สมัยที่น้ายุ้ยกับน้าเบนเล็ก ๆ เราซักผ้าอ้อมกันที่นี่ หนูอาจจะสงสัยว่าทำไมซักในแม่น้ำมันไม่สกปรกหรือ มันเป็นวิถีชีวิตของพวกเรา น้ำไหลมาจากภูเขาไหลไปทางทิศใต้เรื่อย ๆ ถึงจะไม่ค่อยถูกสุขอนามัยแต่ทุกคนก็โตมาแบบนี้ แม่เองก็เช่นกัน
แม่เป็นเด็กที่ซนมาก หลายคนทายถูกที่ว่าคำแก้วซนเหมือนแม่ ฟังจากที่ผู้ใหญ่เล่าแล้วแม่คงซนกว่าพ่อ รอบ ๆ บ้านเราจะมีเด็กรุ่นพี่หลายคนซึ่งล้วนแต่เป็นญาติกัน แม่ชอบเล่นกับลุงหวัด ลุงนู ลุงสันต์ แต่ด้วยความที่เขาอายุห่างจากเราหลายปีเขาจึงเล่นซนได้เต็มที่ สนุกที่สุดคือ ช่วงน้ำนองเต็มคลองพวกลุง ๆ เขาจะตัดต้นกล้วยมาขี่ไหลไปตามน้ำ แหวกว่ายกันทั้ง ๆ ที่น้ำไหลแรงมาก หนึ่งในนั้นคือแม่ อันที่จริงรุ่นพี่ผู้หญิงใกล้บ้านก็มีป้าแรมกับป้าปูแต่เขาไม่มาเล่นกับพวกผู้ชายจึงมีแค่แม่คนเดียวที่เล่นแบบนั้น สรุปแม่เล่นกระโดดหนังยางไม่เป็น ไม่เคยเล่น แต่เล่น อีจ้ง ปีโป้ง หมากฮอส หมากเก็บ และเล่นเบี้ย ที่กล่าวมานี่ชำนาญมากเลย บางทีแม่ก็ตามแม่หล้าแสงเดือนไปไล่นกที่ทุ่งนา เขาจะเอาเชือกฟางมาผูกรอบ ๆ นาข้าวแล้วนั่งอยู่ในห้างนาดึงเชือกให้ขยับนกก็จะบินหนีไป ถ้ามันไม่บินเราก็ยิงด้วยก๋ง(หนังสติ๊ก) เหมือนได้เฝ้าไปเล่นไป แม่ไม่ได้มีแค่การเล่นซนอย่างเดียวนะ บางทีก็เอาผ้าห่มมาแขวนเป็นชั้น ๆ เหมือนฉากลิเกแล้วเล่นบทบาทสมมติอยู่คนเดียว ตัวละครอื่น ๆ ก็มโนเอา สนุกเหมือนกัน
ภาพนี้ถ่ายที่โละสมัยที่ยังไม่ได้ลาดซีเมนต์ในลำน้ำ
การเล่นซนของแม่จะเกิดขึ้นได้จากการหลบผู้ใหญ่ไปเล่นแต่โดยปรกติถ้าแม่ไม่ไปนาไปสวนกับอุ๊ยสมอุ๊ยซอนแล้วหม่อนดีก็จะเป็นคนดูแล ไม่ค่อยได้เล่นโลดโผนหรอก บางทีก็เล่นขายของเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปนี่แหละ เสียดายที่หม่อนทาถึงแก่กรรมตอนที่แม่อายุแค่ ๔ ขวบ แต่ก็ยังจำเหตุการณ์ตอนที่อยู่กับหม่อนได้นะ ที่จำฝังใจที่สุดคือตอนหม่อนแสง (แม่แสง สิทธิราช) ซึ่งเป็นพี่สาวหม่อนทาพาหม่อนทาไปถือศีลที่วัดสันทราย หม่อนนุ่งห่มสีขาวเหมือนแม่ชี แม่นั่งรอท่านอยู่ในศาลาบาตร ในอดีตวัดเรามีศาลาบาตรด้วย จะเป็นศาลายาว ๆ ขนาบไปกับกำแพงวัด เวลามีงานสลากภัตหรือปอยหลวง ศรัทธาต่างหมู่บ้านก็จะมานั่งกันที่นี่ ศาลาบาตรเป็นศาลาดั้งเดิมของทางล้านนาเรา น่าเสียดายที่ทุกอย่างถูกกลืนไปกับกาลเวลา เพราะความนิยมแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และความไม่รู้ว่าของเก่าแบบเบ้าโบราณมีค่าเพียงใด
ชีวิตวัยเด็กเล็กของแม่นอกจากอยู่กับหม่อนดีแล้ว ก็ยังมีหม่อนต๋า หม่อนปันที่เป็นน้องของหม่อนดีแล้วอยู่บ้านติดกัน ทำให้เราเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน ทำกับข้าวก็จะตักมาแบ่งกัน ในความรู้สึกของแม่นี่คือครอบครัวใหญ่ของเรา โดยมีหม่อนปวงเป็นเสาหลัก (หม่อนปวงคือเทียดของคำแก้ว) ทุก ๆ เช้า หม่อนปันจะพาแม่ซ้อนจักรยานไปตลาด แม่เคยไปทั้งตลาดสันปงและตลาดบ้านดง ตลาดเช้าเป็นอะไรที่ละลานตามาก มันก็เหมือนกาดหมั้วสมัยนี้นั่นแหละ มีของกินเยอะแยะ แม่มักจะได้กินขนมปาด ขนมครก และโอวัลติน หม่อนปันนั้นเปย์หลานได้เต็มที่เพราะภรรยาและลูกแยกไปอยู่ที่เมืองฝางกันหมด หม่อนปันอยู่คนเดียวและเลี้ยงชีพด้วยฝีมือการนำสังกะสีมาตัดแต่งเป็นของใช้ เช่น ลิตร หม้อนึ่งข้าวใหญ่ ๆ ที่เก็บน้ำ จ๊อบ ๆ เล็ก ๆ ของหม่อนปันก็คือ ซ่อมน้ำคุที่รั่ว บ้านหม่อนปันจะมีเสียงดังโป๊ก ๆ ป๊าก ๆ อยู่ทั้งวัน แต่เราก็ชินแล้ว เอกลักษณ์ของหม่อนปันก็คือ ชอบสูบยานัตถุ์ แต่ก็ไม่สูบบุหรี่นะ ถ้าจะสูบบุหรี่ต้องหม่อนต๋า รายนั้นสูบไปหัวเราะไป อารมณ์ดี
แม่อยู่บ้านที่สันทรายแต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับญาติทางบ้านสันผักฮี้ (ญาติทางอุ๊ยซอน) เพราะอุ๊ยซอนจะพาแม่ซ้อนรถเอนตาโร่ (เอนดูโร่) ไปบ้านหม่อนสุขกับหม่อนแต่มบ่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงปีใหม่เมืองแม่จะตามไปดำหัวญาติผู้ใหญ่ด้วยทุกครั้ง ปีใหม่เมืองสมัยก่อนสนุกกว่าเดี๋ยวนี้ ตามหมู่บ้านจะดักสาดน้ำหน้าบ้านตนเอง สาดได้โดยไม่โกรธกัน ยกเว้นเห็นคนใส่ชุดไปทำนาทำสวนกลับมาเราจะไม่สาดเพราะมันจะคัน แม่เองก็ถ้าไม่เล่นน้ำหน้าบ้านก็จะไปเล่นที่น้ำโยกคือ ปั๊มโยกน้ำบาดาล ซึ่งอยู่ริมถนนหน้าบ้านน้องไข่หวานนี่แหละ สะดวกดี
บ้านหม่อนสุขหม่อนแต่มที่ปัจจุบันเป็นมรดกตกทอดมาถึงแม่นั้น เมื่อก่อนหม่อนจะอาศัยอยู่ในบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง บ้านอยู่ทางทิศเหนือของพื้นที่ ทางทิศใต้ไว้เลี้ยงวัวควาย มีบ่อน้ำ ข้าง ๆ บ่อน้ำจะมีต้นมะเฟืองต้นหนึ่ง ทางทิศเหนือของบ้านเป็นข่วงสาธารณะของหมู่บ้าน เวลาที่แม่ไปเยี่ยมหม่อนก็ต้องแวะไปตามบ้านป้า ๆ ลุง ๆ ที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันจนครบถึงจะกลับบ้านได้ ถ้าไม่ไปก็จะมีคนงอน นี่เป็นข้อปฏิบัติที่แม่ทำมาจนถึงบัดนี้ ในความรู้สึกของแม่นั้นคำว่าญาติมีค่าเสมอ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเชื่อเสมอว่า “เลือดข้นกว่าน้ำ” ดังนั้นไม่ว่าเราจะเติบโตมาอย่างไร อยู่ไกลแค่ไหน เป็นญาติฝ่ายไหนแม่ก็ไม่เคยลืม มีเหมือนกันที่เราเสียความรู้สึกกับญาติบางคน เพราะถึงจะอยู่ไกลแต่ก็รู้ทุกเรื่อง แต่พอเวลาผ่านไปลมมันก็พัดความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นไปหมด ชีวิตสอนแม่ว่า กาลเวลาและบริบทชีวิตเปลี่ยนใจคนได้เสมอแต่หากเราปล่อยวางแล้วรักษาสัมพันธ์ดี ๆ เอาไว้ มิตรภาพก็ยังคงอยู่ แน่นอนเรื่องที่รู้มันอยู่ในความทรงจำแต่มันก็แค่ทำให้เรารู้ว่า “ใคร” ที่รักเราด้วยใจจริง
หม่อนสุขและหม่อนแต่ม พ่อและแม่ของอุ๊ยซอน
ในลิงก์ด้านล่างเป็น "โมเดลบ้านหนองอ้อ"ที่ทำออกมาสื่อถึงวิถีล้านนา วิถีชนบทดั้งเดิม ดูแล้วมีความสุขเหมือนย้อนอดีต
(ผู้สร้างโมเดล คือ ร.ต.ท.เสรี ศรีวิชัย เป็น ตชด. อยู่ กก.ตชด.๓๓)
https://www.facebook.com/NamfarRamink/v ... 4972672503