Re: ที่พัก อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียง

วัดพระธาตุกลางใจเมือง(สะดือเมือง)
วัดพระธาตุกลางใจเมือง สร้างขึ้นในสมัย พระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ แล้วได้ทรงประทานนามว่า “วัดสะดือเมือง” อันหมายถึงจุดศูนย์กลางของเวียงพร้าววังหิน แล้วก็มีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงพุทธศักราช ๒๑๐๑ ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า วัดพระธาตุสะดือเมืองก็ถูกปล่อยให้เป็นวัดร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นับเป็นเวลานานร่วม ๓๗๑ ปีทีเดียว
นานวันเข้าคนเดินผ่านไปผ่านมาก็จะมองเห็นองค์พระธาตุตระหง่านอยู่ จนมาถึงวันที่ ๒๔ ตุลาคม เดือนเกี๋ยงเหนือ ( เดือน ๑๑) แรม ๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๗๒ ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย แห่งสำนักบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ได้เดินทางมาพักที่ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว คณะศรัทธาพี่น้องอำเภอพร้าวทราบข่าว ท่านครูบาเจ้ามาพักที่ถ้ำเชียงดาวก็ได้พากันไปนมัสการทำบุญร่วมกับท่านเป็นจำนวนมาก พ่ออุ้ยคำตัน จันทร์จรมานิตย์ ก็ได้อาราธนานิมนต์ท่านมาอำเภอพร้าวท่านก็รับนิมนต์ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ท่านก็ออกเดินทางจากถ้ำเชียงดาว สมัยนั้นทางเข้าสู่อำเภอพร้าวไม่มีทางรถยนต์ ท่านต้องย้อนล่องใต้สู่ทางเดินเข้าอำเภอแม่แตง ผ่านมาทางบ้านช่อแล อำเภอแม่แตง มาทางแม่วะ แม่จวน ห้วยหินฝน มานอนค้างที่วัดแม่แพง อำเภอพร้าว เพราะเดินทางโดยเท้าขึ้นเขาลงห้วย มาพักฉันอาหารเช้าที่วัดแม่แวนหลวง อำเภอพร้าว มาถึงวัดสันทรายเวลา ๑๗ นาฬิกาของวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๒ มาพักที่วัดสันทราย ๑ คืน ตอนกลางคืนท่านก็เข้าวิปัสสนา พอรุ่งเช้าท่านก็บอกแก่คณะศรัทธาที่มาทำบุญเป็นจำนวนมากพร้อมกันกับพ่ออุ้ยคำตัน จันทร์จรมานิตย์ ที่ปฏิบัติใกล้ชิดท่าน ว่า “อาตมาจะสร้างวัด วัดที่อาตมาจะสร้างนั้น ไม่ใช่วัดสันทราย เมื่อคืนนี้มีรุกขเทวดามาอาราธนาให้สร้างวัดที่สำคัญยิ่งมาแต่อดีต อยู่ห่างจากวัดนี้ไปทางทิศตะวันออก...”
เมื่อฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว ท่านก็ออกเดินทางนำหน้าคณะศรัทธามุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออก พอมาถึงวัดร้าง ( วัดพระธาตุ ) ท่านก็บอกว่า วัดนี้ตรงกับที่รุกขเทวดามาบอก ท่านก็พาคณะศรัทธาค้นตามกองอิฐ ตามองค์พระธาตุซึ่งพังลงมาตามกาลเวลาอันนานแสนนาน ประมาณ ๒ ชั่วโมง ท่านก็ได้พบศิลาจารึก เป็นหินสีดำนิล ปรากฏว่ามีตัวหนังสือของภาคเหนือมีใจความว่า “วันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีชวด พ.ศ.๑๙๒๘ กือนาธรรมมิกราชา ( ผู้สร้าง ) วัดนี้ชื่อว่าสะดือเมือง “ พบของจำนวนมาก ท่านจึงมีผอบบรรจุพระธาตุ เทียนเงินเทียนทอง ส่วนหินสีดำนิลนั้นท่านครูบาว่าเป็นของมีค่ามาก บรรจุไว้ในองค์พระธาตุ ให้รักษาไว้กับวัดมีระฆังทองปนเงิน ๑ อัน สลักอักษรขอมโดยรอบ เสียงกังวานมาก ท่านสร้างพระธาตุ โบสถ์ พร้อมๆกันเป็นเวลาสองเดือนก็เสร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ได้ถวายทานและตั้งชื่อใหม่ว่า วัดพระธาตุกลางใจเมือง วัดนี้เป็นวัดวิเวกเพราะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ๑ ถึง ๒ กิโลเมตร เมื่อท่านสร้างเสร็จแล้วก็เดินทางกลับไปวัดบ้านปางและได้สร้างวัดสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน อีกเป็นจำนวนมากเมื่อท่านมรณภาพไป ทางคณะกรรมการก็ได้แบ่งอัฐิดูกแขนเบื้องขวา มาบรรจุไว้ที่วัดพระธาตุกลางใจเมือง ให้เป็นที่สักการบูชาแก่ทุกๆ คน
พี่น้องชาวอำเภอพร้าว และอำเภอใกล้เคียงจะมาสรงน้ำพระธาตุ และอัฐิของครูบาเจ้าทุกเดือน ๙ เหนือ ( เดือน ๗ไทย) ขึ้น๑๕ ค่ำ เป็นประจำทุกปี เป็นประเพณีที่พี่น้องชาวอำเภอพร้าวจะลืมเสียไม่ได้ พอเดือน ๙ เหนือ มาถึง วันขึ้น ๑๔ ค่ำ จะมีการสมโภชน์ตลอดคืน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ จะมีการจุดบอกไฟเป็นพุทธบูชาตลอดวัน
ประวัติย่อของไม้ศรีมหาโพธิ์ ๓ ต้นของ วัดพระธาตุกลางใจเมือง ตำบลสันทราย อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อสมัยพุทธกาลก่อนโน้น มีพระอรหันต์เจ้าชื่อโมคคัลลานะ ได้เดินทางเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้ามาสู่ล้านนาประเทศคือแคว้นล้านนาไทย ได้ผ่านมาอำเภอพร้าว มาทางทิศใต้ถึงบ้านโหล่งขอด สายบาตรของท่านทำท่าจะขาด จึงให้ท้าวมหายักษ์ไปขอด้ายจากชาวบ้านมาเย็บต่อสายบาตรของท่าน ปรากฏว่าไม่ได้ชาวบ้านบอกไม่มี ท่านจึงขอดสายบาตรของท่านที่นั่นจนปรากฏได้นามชื่อว่าขอดมาจนทุกวันนี้ ( ที่น่าอัศจรรย์ว่าชาวบ้านโหล่งขอดปลูกฝ้ายไม่มีดอกฝ้ายจนเท่าทุกวันนี้ ) ท่านได้เดินทางสู่ทิศเหนือ มาพักที่ถ้ำ ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่เชิงเขาด้านทิศตะวันออกของตัวอำเภอปัจจุบันห่างประมาณ ๗ กิโลเมตร จนได้ชื่อว่าถ้ำโมคคัลลานะมาจนทุกวันนี้ และท่านได้ผ่านมาทางวัดพระธาตุ ท่านได้ใช้ท้าวมหายักษ์เอากิ่งไม้ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งท้าวมหายักษ์ได้นำมาพร้อมกับท่าน ตัดออกเป็น ๓ ท่อน เอามาปลูกไว้เรียงไปทางทิศตะวันตก ๑ ๒ ๓ ตามลำดับจนปรากฏมาทุกวันนี้ ตามตำนานเมืองเหนือระบุว่าท่านได้เอาเสาอินทขิลมาฝังไว้ที่วัดพระธาตุ ท้าวมหายักษ์ก็เลยถวายดาบไว้ที่วัดพระธาตุด้วย ต่อจากนั้นท่านได้ไปสู่ดอยขุนโก๋น ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือตัวอำเภอพร้าวประมาณ ๘ กิโลเมตร ตำนานกล่าวมหายักษ์ได้กวนใจท่านจนท่านหนีมาอยู่ถ้ำดอกคำ ท้าวมหายักษ์ได้เอาดอกไม้คำมากับท่านที่ถ้ำจนได้ชื่อว่า ถ้ำดอกไม้คำ มาจนทุกวันนี้
ไม้ศรีมหาโพธิ์ต้นแรก ( ต้นที่ติดกับวัด ) เมื่อประมาณร้อยปีเศษ กลางคืนเกิดพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้ต้นไม่ศรีต้นแรก ซึ่งมีกิ่งก้านสาขางามนั้นล้มคลืนลงมาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นหลุมหนองน้ำ ตามคำบอกของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน บอกว่าสมัยวัดพระธาตุสร้างอยู่นั้นพอถึงฤดูฝนน้ำจะขัง ปลาชุมมาก ชาวบ้านใกล้เคียงชอบเอาไซ ( เครื่องดักปลา ) ไปดักไว้ตามกิ่งไม้ศรีมหาโพธิ์ซึ่งล้มลงมานั้นเป็นประจำ อยู่มาอีก ๒ ปี มีคืนหนึ่งเกิดฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ฟ้าร้องฟ้าผ่าตลอดคืน พอรุ่งเช้าชาวบ้านไปยกไซเอาปลา แต่ปรากฏว่าไม้ศรีมหาโพธิ์ได้ลุกขึ้นตั้งต้นดังเดิม โดยมีไซเครื่องมือดักปลาของชาวบ้านไปติดบนยอดไม้ศรีมหาโพธิ์หมด ชาวบ้านพากันแตกตื่นไปดู บางคนก็หาไม้ไปค้ำไว้สมัยนั้นบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดคือบ้านสันศรี มีพ่อต๊าวอาจ แม่แก้ว เป็นนายบ้าน ได้นำลูกบ้านไปแผ้วถางเอาไม้ค้ำ กลัวไม้ศรีมหาโพธิ์จะล้มลงมาอีก พ่อต๊าวอาจก็เลยเปลี่ยนชื่อบ้านสันศรีมาเป็นศรีค้ำ จนทุกวันนี้ พอไม้ศรีมหาโพธิ์ลุกขึ้นเองได้พอวันต่อมาเวลาบ่าย ตามคำบอกของผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุมากหลายคนในหมู่บ้านที่มีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่าจะมีควันออกจากต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ สีขาวพุ่งพวยขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นลำยาวอยู่ถึง ๗ วัน ๗ คืน ในขณะนั้นจะมีประชากรทั้งใกล้และไกล ก็พากันเอาน้ำอบ น้ำหอมมาสะสรงกราบไหว้บูชาเป็นจำนวนมาก พอถึงสงกรานต์เมืองเหนือ จะมีชาวบ้านในอำเภอ ต่างอำเภอ ต่างจังหวัดมาเที่ยวอำเภอพร้าว จะมากราบไหว้บูชาเป็นประจำทุกปี
ภาพ : Google Sites พระเพลิน
วัดพระธาตุกลางใจเมือง สร้างขึ้นในสมัย พระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ แล้วได้ทรงประทานนามว่า “วัดสะดือเมือง” อันหมายถึงจุดศูนย์กลางของเวียงพร้าววังหิน แล้วก็มีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงพุทธศักราช ๒๑๐๑ ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า วัดพระธาตุสะดือเมืองก็ถูกปล่อยให้เป็นวัดร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นับเป็นเวลานานร่วม ๓๗๑ ปีทีเดียว
นานวันเข้าคนเดินผ่านไปผ่านมาก็จะมองเห็นองค์พระธาตุตระหง่านอยู่ จนมาถึงวันที่ ๒๔ ตุลาคม เดือนเกี๋ยงเหนือ ( เดือน ๑๑) แรม ๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๗๒ ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย แห่งสำนักบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ได้เดินทางมาพักที่ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว คณะศรัทธาพี่น้องอำเภอพร้าวทราบข่าว ท่านครูบาเจ้ามาพักที่ถ้ำเชียงดาวก็ได้พากันไปนมัสการทำบุญร่วมกับท่านเป็นจำนวนมาก พ่ออุ้ยคำตัน จันทร์จรมานิตย์ ก็ได้อาราธนานิมนต์ท่านมาอำเภอพร้าวท่านก็รับนิมนต์ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ท่านก็ออกเดินทางจากถ้ำเชียงดาว สมัยนั้นทางเข้าสู่อำเภอพร้าวไม่มีทางรถยนต์ ท่านต้องย้อนล่องใต้สู่ทางเดินเข้าอำเภอแม่แตง ผ่านมาทางบ้านช่อแล อำเภอแม่แตง มาทางแม่วะ แม่จวน ห้วยหินฝน มานอนค้างที่วัดแม่แพง อำเภอพร้าว เพราะเดินทางโดยเท้าขึ้นเขาลงห้วย มาพักฉันอาหารเช้าที่วัดแม่แวนหลวง อำเภอพร้าว มาถึงวัดสันทรายเวลา ๑๗ นาฬิกาของวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๒ มาพักที่วัดสันทราย ๑ คืน ตอนกลางคืนท่านก็เข้าวิปัสสนา พอรุ่งเช้าท่านก็บอกแก่คณะศรัทธาที่มาทำบุญเป็นจำนวนมากพร้อมกันกับพ่ออุ้ยคำตัน จันทร์จรมานิตย์ ที่ปฏิบัติใกล้ชิดท่าน ว่า “อาตมาจะสร้างวัด วัดที่อาตมาจะสร้างนั้น ไม่ใช่วัดสันทราย เมื่อคืนนี้มีรุกขเทวดามาอาราธนาให้สร้างวัดที่สำคัญยิ่งมาแต่อดีต อยู่ห่างจากวัดนี้ไปทางทิศตะวันออก...”
เมื่อฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว ท่านก็ออกเดินทางนำหน้าคณะศรัทธามุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออก พอมาถึงวัดร้าง ( วัดพระธาตุ ) ท่านก็บอกว่า วัดนี้ตรงกับที่รุกขเทวดามาบอก ท่านก็พาคณะศรัทธาค้นตามกองอิฐ ตามองค์พระธาตุซึ่งพังลงมาตามกาลเวลาอันนานแสนนาน ประมาณ ๒ ชั่วโมง ท่านก็ได้พบศิลาจารึก เป็นหินสีดำนิล ปรากฏว่ามีตัวหนังสือของภาคเหนือมีใจความว่า “วันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีชวด พ.ศ.๑๙๒๘ กือนาธรรมมิกราชา ( ผู้สร้าง ) วัดนี้ชื่อว่าสะดือเมือง “ พบของจำนวนมาก ท่านจึงมีผอบบรรจุพระธาตุ เทียนเงินเทียนทอง ส่วนหินสีดำนิลนั้นท่านครูบาว่าเป็นของมีค่ามาก บรรจุไว้ในองค์พระธาตุ ให้รักษาไว้กับวัดมีระฆังทองปนเงิน ๑ อัน สลักอักษรขอมโดยรอบ เสียงกังวานมาก ท่านสร้างพระธาตุ โบสถ์ พร้อมๆกันเป็นเวลาสองเดือนก็เสร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ได้ถวายทานและตั้งชื่อใหม่ว่า วัดพระธาตุกลางใจเมือง วัดนี้เป็นวัดวิเวกเพราะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ๑ ถึง ๒ กิโลเมตร เมื่อท่านสร้างเสร็จแล้วก็เดินทางกลับไปวัดบ้านปางและได้สร้างวัดสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน อีกเป็นจำนวนมากเมื่อท่านมรณภาพไป ทางคณะกรรมการก็ได้แบ่งอัฐิดูกแขนเบื้องขวา มาบรรจุไว้ที่วัดพระธาตุกลางใจเมือง ให้เป็นที่สักการบูชาแก่ทุกๆ คน
พี่น้องชาวอำเภอพร้าว และอำเภอใกล้เคียงจะมาสรงน้ำพระธาตุ และอัฐิของครูบาเจ้าทุกเดือน ๙ เหนือ ( เดือน ๗ไทย) ขึ้น๑๕ ค่ำ เป็นประจำทุกปี เป็นประเพณีที่พี่น้องชาวอำเภอพร้าวจะลืมเสียไม่ได้ พอเดือน ๙ เหนือ มาถึง วันขึ้น ๑๔ ค่ำ จะมีการสมโภชน์ตลอดคืน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ จะมีการจุดบอกไฟเป็นพุทธบูชาตลอดวัน
ประวัติย่อของไม้ศรีมหาโพธิ์ ๓ ต้นของ วัดพระธาตุกลางใจเมือง ตำบลสันทราย อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อสมัยพุทธกาลก่อนโน้น มีพระอรหันต์เจ้าชื่อโมคคัลลานะ ได้เดินทางเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้ามาสู่ล้านนาประเทศคือแคว้นล้านนาไทย ได้ผ่านมาอำเภอพร้าว มาทางทิศใต้ถึงบ้านโหล่งขอด สายบาตรของท่านทำท่าจะขาด จึงให้ท้าวมหายักษ์ไปขอด้ายจากชาวบ้านมาเย็บต่อสายบาตรของท่าน ปรากฏว่าไม่ได้ชาวบ้านบอกไม่มี ท่านจึงขอดสายบาตรของท่านที่นั่นจนปรากฏได้นามชื่อว่าขอดมาจนทุกวันนี้ ( ที่น่าอัศจรรย์ว่าชาวบ้านโหล่งขอดปลูกฝ้ายไม่มีดอกฝ้ายจนเท่าทุกวันนี้ ) ท่านได้เดินทางสู่ทิศเหนือ มาพักที่ถ้ำ ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่เชิงเขาด้านทิศตะวันออกของตัวอำเภอปัจจุบันห่างประมาณ ๗ กิโลเมตร จนได้ชื่อว่าถ้ำโมคคัลลานะมาจนทุกวันนี้ และท่านได้ผ่านมาทางวัดพระธาตุ ท่านได้ใช้ท้าวมหายักษ์เอากิ่งไม้ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งท้าวมหายักษ์ได้นำมาพร้อมกับท่าน ตัดออกเป็น ๓ ท่อน เอามาปลูกไว้เรียงไปทางทิศตะวันตก ๑ ๒ ๓ ตามลำดับจนปรากฏมาทุกวันนี้ ตามตำนานเมืองเหนือระบุว่าท่านได้เอาเสาอินทขิลมาฝังไว้ที่วัดพระธาตุ ท้าวมหายักษ์ก็เลยถวายดาบไว้ที่วัดพระธาตุด้วย ต่อจากนั้นท่านได้ไปสู่ดอยขุนโก๋น ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือตัวอำเภอพร้าวประมาณ ๘ กิโลเมตร ตำนานกล่าวมหายักษ์ได้กวนใจท่านจนท่านหนีมาอยู่ถ้ำดอกคำ ท้าวมหายักษ์ได้เอาดอกไม้คำมากับท่านที่ถ้ำจนได้ชื่อว่า ถ้ำดอกไม้คำ มาจนทุกวันนี้
ไม้ศรีมหาโพธิ์ต้นแรก ( ต้นที่ติดกับวัด ) เมื่อประมาณร้อยปีเศษ กลางคืนเกิดพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้ต้นไม่ศรีต้นแรก ซึ่งมีกิ่งก้านสาขางามนั้นล้มคลืนลงมาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นหลุมหนองน้ำ ตามคำบอกของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน บอกว่าสมัยวัดพระธาตุสร้างอยู่นั้นพอถึงฤดูฝนน้ำจะขัง ปลาชุมมาก ชาวบ้านใกล้เคียงชอบเอาไซ ( เครื่องดักปลา ) ไปดักไว้ตามกิ่งไม้ศรีมหาโพธิ์ซึ่งล้มลงมานั้นเป็นประจำ อยู่มาอีก ๒ ปี มีคืนหนึ่งเกิดฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ฟ้าร้องฟ้าผ่าตลอดคืน พอรุ่งเช้าชาวบ้านไปยกไซเอาปลา แต่ปรากฏว่าไม้ศรีมหาโพธิ์ได้ลุกขึ้นตั้งต้นดังเดิม โดยมีไซเครื่องมือดักปลาของชาวบ้านไปติดบนยอดไม้ศรีมหาโพธิ์หมด ชาวบ้านพากันแตกตื่นไปดู บางคนก็หาไม้ไปค้ำไว้สมัยนั้นบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดคือบ้านสันศรี มีพ่อต๊าวอาจ แม่แก้ว เป็นนายบ้าน ได้นำลูกบ้านไปแผ้วถางเอาไม้ค้ำ กลัวไม้ศรีมหาโพธิ์จะล้มลงมาอีก พ่อต๊าวอาจก็เลยเปลี่ยนชื่อบ้านสันศรีมาเป็นศรีค้ำ จนทุกวันนี้ พอไม้ศรีมหาโพธิ์ลุกขึ้นเองได้พอวันต่อมาเวลาบ่าย ตามคำบอกของผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุมากหลายคนในหมู่บ้านที่มีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่าจะมีควันออกจากต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ สีขาวพุ่งพวยขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นลำยาวอยู่ถึง ๗ วัน ๗ คืน ในขณะนั้นจะมีประชากรทั้งใกล้และไกล ก็พากันเอาน้ำอบ น้ำหอมมาสะสรงกราบไหว้บูชาเป็นจำนวนมาก พอถึงสงกรานต์เมืองเหนือ จะมีชาวบ้านในอำเภอ ต่างอำเภอ ต่างจังหวัดมาเที่ยวอำเภอพร้าว จะมากราบไหว้บูชาเป็นประจำทุกปี
ภาพ : Google Sites พระเพลิน