บันทึกแห่งต้นฤดูร้อน ๒๕๖๒ อันเต็มไปด้วยหมอกควัน ช่วงนี้ไฟไหม้ดอยหลวงเชียงดาว ทำให้เมืองพร้าวความหนาแน่นของควันมากกว่าปกติ เนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้ๆกัน วันนี้ ๓ มีนาคม ๒๕๖๒ ไฟป่าดอยหลวงดับแล้ว หลังจากโหมไหม้อย่างยาวนานถึง ๕ วันเต็มๆ
#ไฟป่ากับภัยพิบัติหมอกควัน
ฤดูร้อนปีนี้เปิดฉากด้วยฝุ่นพิษ PM2.5 ที่เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและในภาคเหนือ กรุงเทพฯนั้นเกิดจากควันรถ+การก่อสร้าง+ของเสียจากโรงงาน ส่วนภาคเหนือมาจากทุกอย่างที่เกิดในกรุงเทพฯและผสมโรงด้วยควันจากไฟป่าในพื้นที่และควันจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่อากาศแย่ที่สุดในโลกย่างเข้าสัปดาห์ที่ ๔ แล้ว หลายคนมองว่าเป็นการเผาเพื่อหวังผลทางการเมือง แอดมินซึ่งเห็นการเผาป่ามาตั้งแต่เด็กๆ คิดว่าการเมืองเป็นประเด็นเล็กๆน้อย หากจะมีก็คงเป็นเพียงเศษเสี้ยว คนมักเผาป่าเพื่อให้ผักหวานป่าแตกยอด ให้เห็ดเผาะขึ้น และเผาเพื่อทำไร่ เป็นประจำทุกปี หากต้องการหยุดการเผาป่า รัฐต้องให้ความรู้ ส่งเสริมการเปลี่ยนอาชีพแก่ชาวบ้านที่ทำมาหากินกับป่า เมื่อมีการเผาป่าประกอบกับปีนี้เป็นปีที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญจึงส่งผลให้เกิดความรุนแรงทวีคูณ
เอลนีโญ คืออะไร มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่ออุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้นในบริเวณตอนกลางและฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ความร้อนที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลในวงกว้างรวมไปถึงมหาสมุทรอื่น และมีการถ่ายโอนความร้อนจากมหาสมุทรขึ้นชั้นบรรยากาศและค่อยๆ มีผลต่อโลก โลกที่ร้อนขึ้นแสดงให้เห็นถึงสภาพอากาศที่มีผลต่อการทำลายล้างและอันตรายแบบสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ไฟป่า ภาวะแห้งแล้ง น้ำท่วมและพายุที่รุนแรง ในปี ปี๒๕๖๑ มีพายุเฮอริเคนในบริเวณตอนเหนือของโลกถึง ๗๐ ลูก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว ๕๓ ลูก พายุที่มีความรุนแรงนี้ได้สร้างความเสียหายแก่ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี ตองกา ในสหรัฐอเมริกา พายุเฮอริเคนฟลอเรนซ์และไมเคิลได้สร้างความเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก รวมทั้งคร่าชีวิตคนจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์ของเอลนีโญและภาวะโลกร้อนจากการทำวิจัยในปี ๒๕๕๗ ซึ่งบ่งชี้ว่าเหตุภัยพิบัติจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เมื่อเอลนีโญทำให้เกิดความร้อน แล้ง ฝนตกน้อย ส่งผลต่อการเกิดไฟป่าไม่ว่าจะเป็นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือน้ำมือมนุษย์ หากไม่มีมาตรการในการควบคุมที่เข้มงวดก็ย่อมส่งผลรุนแรงกว่าปกติ บางทีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจากไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ หรือเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงไม่มีการวางแผน เตรียมการ จึงทำให้เกิดฝุ่นพิษจากควันที่รุนแรงและอันตรายมากกว่าทุกๆปี การจัดการที่ล่าช้าส่งผลให้ประชาชนต้องช่วยเหลือตนเอง พยายามสอดส่องเรื่องการเผา จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากหมอกควัน หน่วยงานทางการศึกษาจัดประชุมสัมมนาหาทางแก้ไข กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม ขอให้ปีนี้เป็นอุทาหรณ์เพื่อวางแผนสำหรับปีหน้า อย่าให้เกิดซ้ำอีก เพราะหมอกควันนั้นอันตรายต่อปอดของทุกคนเป็นอย่างมาก ดูแลตนเองกันเถิด...อย่าละเลย
ข้อมูลจาก Global Climate Risk Index 2019,nationalgeographic,theguardian,accuweatherkfm,tass