พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ข้อมูลความรู้ทั่วไปและการทำบุญ

Re: พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โพสต์โดย pasasiam » ศุกร์ 21 ต.ค. 2016 11:10 am

เรียงความ รางวัลชมเชย เรื่อง “ประชาธิปไตยใต้ร่มพระบารมี”

เรียงความเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปี จาก รัฐสภา วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๙

________________________________________________


of0omde8zKW49kV1jlv-o.jpg
of0omde8zKW49kV1jlv-o.jpg (167.76 KiB) เปิดดู 13553 ครั้ง


ประเทศไทยเรานั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เราดำรงความเป็นไทยมาจนทุกวันนี้ ด้วยพระปรีชาสามารถแห่งองค์พระประมุข ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวไทย นับเป็นระยะเวลา ๖๐ ปีแล้วที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเปรียบเสมือนร่มโพร่มไทรให้แก่ปวงชนชาวไทย ยามใดที่ประเทศชาติประสบกับปัญหาไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด พระองค์จะทรงเป็นผู้คอยแนะแนวทาง ทำให้ปัญหาต่างๆล้วนคลี่คลายไปในทางที่ดี ฉันจำไม่ได้แล้วว่าได้ยินพระของพระองค์ครั้งแรกเมื่อใด แต่เท่าที่รับรู้ขณะนี้คือ พระราชจริยวัตรของพระองค์เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจยิ่งนัก


ในความทรงจำที่ข้ามผ่านวันและคืนอันยาวนาน ฉันถือกำเนิดในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร อำเภอที่ฉันอาศัยอยู่มีภูเขาล้อมรอบจนเป็นเหมือนก้นกระทะ มองไปทางใดก็พบแต่ความเขียวขจี ประชากรส่วนใหญ่จะยึดอาชีพชาวนา ซึ่งถือว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ขณะนั้นความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ถนนยังเป็นฝุ่นคลุ้งในยามที่รถจักรยานยนต์วิ่งผ่าน ในยามค่ำคืนยังต้องพึ่งพาแสงสว่างจากตะเกียง ข่าวสารที่ได้รับรู้ก็มาจากวิทยุราคาร้อยกว่าบาท บ้านยังคงเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง ฉันจำได้ว่าใต้หิ้งพระข้างฝาบ้านจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวติดอยู่ ฉันเคยแหงนคอมองดูหลายครั้ง ก็จะได้เห็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯประทับอยู่ท่ามกลางราษฎร ที่มาเฝ้าฯรับเสด็จ พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรอย่างใกล้ชิด ฉันเคยถามแม่ว่า “ ทำไมในรูปยายคนนั้นจึงต้องร้องไห้ ” ก็ได้รับคำตอบว่า “ ยายเขาคงดีใจ ที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จมา เพราะตลอดชีวิตอาจจะหาโอกาสอันล้ำค่าเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว ” แม่บอกว่า “ พระองค์ คือ พระเจ้าแผ่นดิน ” นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินแม่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แม้จะยังไม่เข้าใจความหมายเท่าใดนัก แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงพระบารมีของพระองค์ในสายตาแม่..ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด


ภายใต้ความเขียวขจีของแมกไม้บนดอยสูง ยังมีชาวเขาที่ยังมีความเป็นอยู่อย่างลำบาก ยิ่งในฤดูฝนนั้นไม่สามารถเดินทางลงมาในเมืองได้ เพราะการเดินทางไม่สะดวก และอันตรายอันเกิดจากถนนลื่นและเต็มไปด้วยหุบเหวในสมัยที่ยังเป็นเด็ก ฉันมักจะได้ยินเสมอว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯจะเสด็จไปพระราชทานสิ่งของแก่ชาวเขาอย่างสม่ำเสมอ โดยมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามเสด็จไปด้วย เพื่อรับเอาคนป่วยเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมชาวเขาทางภาคเหนือแล้ว ได้ทอดพระเนตรเห็นการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกฝิ่น จึงมีกระแสพระราชดำรัสที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยราษฎร ฉันเชื่อว่าชาวเขาทุกคนล้วนสัมผัสได้ ต่อมาพวกเขาจึงเลิกปลูกฝิ่น แล้วหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นแทน นับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะนอกจากจะลดปัญหาด้านยาเสพติดแล้ว ยังทำให้ชาวเขาเลิกการตัดไม้ทำลายป่าอีกด้วย ไม่เพียงแต่ชาวเขาเท่านั้นแต่เป็นพสกนิกรทั้งหมดไม่ว่าภาคใดถิ่นฐานใด ไม่ว่าจะเกิดไฟไหม้ น้ำท่วม พายุใหญ่ หรือวิกฤตการณ์ใดๆ เราคนไทยต่างได้รับพระราชทานพระกรุณาจากพระองค์ตลอดมา ตราบจนถึงวันนี้นานหลายสิบปีแล้ว ที่พระองค์ยังทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแผ่กิ่งก้านสาขาเพื่อให้ความร่มเย็นแก่ปวงประชาราษฎร์


พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตามที่อับราฮัม ลินคอร์น ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ ประชาธิปไตย คือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ” พระองค์นั้นทรงกระทำตามแนวคิดนี้โดย ได้มอบอำนาจอธิปไตยให้เป็นของประชาชนโดยแท้จริง แต่ในยามใดที่บ้านเมืองประสบปัญหา พระองค์ก็จะทรงแนะแนวทางการแก้ปัญหาอย่างแยบยล “ เมื่อบ้านต้องมีเสาเอกฉันใด บ้านเมืองย่อมจะต้องมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจฉันนั้น ”


ในความคิดเห็นส่วนตัวนั้น ฉันเห็นว่าประเทศไทยมีรากฐานความเป็นประชาธิปไตยมาแต่โบราณ ในสมัยสุโขทัยนั้น “ ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า” แสดงถึงการให้สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ทำให้ฉันคิดเอาเองว่าเป็น “ ประชาธิปไตยแบบพ่อปกครองลูก” จนมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ชาวไทยจึงได้มีโอกาสอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ได้ทำการปฏิวัติสำเร็จ จึงนำพาประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยในปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้อำนาจแก่ประชาชนทุกคน โดยผ่านทางตัวแทนที่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยไม่แบ่งชนชั้น หรือเชื้อชาติ ทรงให้สิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมาจากเชื้อชาติใด เมื่อมาอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร พระองค์ก็ทรงถือว่าเป็นคนไทยทั้งสิ้น และแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นเมืองพุทธ แต่พระองค์ก็ทรงให้สิทธิ และเสรีภาพในการนับถือศาสนา และให้ความเสมอภาค ไม่ว่าจะนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามฯลฯต่างก็มีเสรีภาพในการเลือกนับถือ และปฏิบัติตามหลักคำสอนโดยเท่าเทียมกัน ทรงเป็นตัวอย่างของนักประชาธิปไตยที่ดี ฉันเคยอ่านพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยของพระองค์ว่า



“ ในบ้านเมืองนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครสามารถจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การปกครองบ้านเมืองให้เป็นปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่อยู่ที่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่ การส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ”


การดำเนินชีวิตในวิถีประชาธิปไตยนั้น หากมีผู้นำที่ดีบ้านเมืองก็จะประสบแต่ความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่การเลือกสรรคนดีเข้าไปบริหารประเทศนั้น ฉันมีความคิดเห็นว่า ควรให้ความรู้แก่ประชาชนให้ทั่วถึง เพื่อให้เขาสามารถวิเคราะห์และเลือกสรรคนดีเข้าไปบริหารประเทศได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา ดังจะเห็นได้จากโครงการสร้างโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารซึ่งเรียกว่า “ โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ ” แม้จะอยู่ในถิ่นห่างไกล และทุรกันดารเพียงใด การศึกษาก็ยังเข้าไปถึง “ พระองค์เปรียบดังดวงอาทิตย์ที่ไม่เลือกว่าเป็นสถานที่แห่งใดก็ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่ชนทุกผู้ทุกนามเสมอภาคกัน ”นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อเด็กไทย ผู้เป็นอนาคตของชาติ


เมืองไทยเป็นเมืองแห่งธรรมะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของพุทธศาสนิกชน ทรงยึดมั่นในหลักธรรมไม่ว่าจะเป็นทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ และละเว้นจากอคติทุกประการทรงได้รับการอบรมจากพระชนนี คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ให้เป็น “ คนดี มีเมตตา กรุณา ” สิ่งที่ฉันได้รับรู้ตลอดมา คือ พระองค์จะทรงตรากตรำทำงานอยู่ตลอดเวลา วันใดที่เปิดดูข่าวในพระราชสำนัก จะเห็นได้ว่าพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรไม่ว่าถิ่นฐานใด ไม่ว่าการเดินทางลำบากยากแค้นเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ทรงย่อท้อ พระเสโทที่รินไหลแสดงถึงน้ำพระทัยที่แน่วแน่ ที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาราษฎร์ สมดังที่ได้ตั้งพระราชสัตยาธิษฐานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า “ เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม ” ซึ่งพระองค์ได้ทรงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดทุกประการ


ในสายตาของฉันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯนับเป็นผู้มีอัจฉริยภาพทางความคิดพระองค์หนึ่ง พระองค์ทรงมีโครงการอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์มากมาย โดยเฉพาะโครงการหลวงซึ่งทำให้พระองค์ทรงได้รับรางวัลแม็กไซไซในฐานะองค์กรดีเด่น สาขาส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศในปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ ฉันเคยไปเยี่ยมชมโครงการหลวงดอยปุย จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการพัฒนาพันธุ์ไม้เมืองหนาว และนำไปแจกจ่ายแก่ประชาชนเพื่อใช้ในการเพาะปลูกเป็นอาชีพต่อไป นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีโครงการตามพระราชดำริอีกหลายโครงการที่ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาแหล่งน้ำและชลประทาน เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม พระองค์ทรงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาแหล่งน้ำซึ่งถือเป็นหัวใจของการเกษตรเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตชนชาวไทยในถิ่นทุรกันดารแล้ว ก็ยังถือเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจของเขาเหล่านั้น ว่าท่ามกลางความทุกข์ยาก พระองค์ก็ยังทรงมีน้ำพระทัยห่วงใยเขาอยู่เสมอ


“ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ ” เนื้อเพลงกราวกีฬาของท่านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีประโยคนี้ ช่างแสดงความสามารถของท่านผู้ประพันธ์ได้เป็นอย่างดี เป็นประโยคสั้นๆที่แสดงความหมายได้ชัดเจนอย่างยิ่ง นอกจากกีฬาจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังสามารถลดปัญหาทางสังคมได้อีกด้วย เพราะเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์วิธีหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯนั้นทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างไม่เป็นรองใคร ดังจะเห็นได้จากที่ทรงเป็นนักกีฬาเหรียญทอง จากการแข่งขันเรือใบในกีฬาเซ้าท์เอเซี่ยนเพนนินซูล่าเกม
ที่พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนไทย ในการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่หันไปพึ่งพายาเสพติด หรือเที่ยวเตร่กระทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร


สุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงจัดตั้งโครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน เช่น แพทย์หลวงเคลื่อนที่ สำหรับรักษาอาการป่วยของคนไข้ในถิ่นทุรกันการ ทรงเป็นที่พึ่งของผู้พิการพวกเขาเหล่านั้นได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ และทรงพระราชทานพระบรมราโชบายว่า “ เมื่อพวกเขาเหล่านั้นพิการทางกายแล้วก็ไม่ควรพิการทางใจอีก จะต้องให้เขารีบฟื้นฟูทางกายใจ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยไม่ต้องเป็นภาระของสังคม ” พระองค์ทรงมีโครงการตามพระราชประสงค์เพื่อค้นคว้า วิจัย และทดลองส่วนพระองค์ เพื่อศึกษาหาแนวทางและวิธีปฏิบัติที่ใช้ได้จริง เพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศต่อไป ฉันยังเคยมีความคิดว่า ในวันหนึ่งจะมีสักกี่นาทีที่พระองค์จะทรงผ่อนคลายพระอิริยาบถ ในเมื่อพระองค์ทรงงานหนักถึงเพียงนี้
ไฟล์แนป
kg(1).jpg
kg(1).jpg (102.76 KiB) เปิดดู 13553 ครั้ง
pasasiam
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 153
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:59 pm

Re: พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โพสต์โดย pasasiam » ศุกร์ 21 ต.ค. 2016 11:16 am

king24-blackwhite.jpg
king24-blackwhite.jpg (41.92 KiB) เปิดดู 13553 ครั้ง


ก่อนหน้านี้ฉันเคยมีความคิดว่า ผู้ที่เป็นนักวิชาการมักจะไม่มีอ่อนไหวพอที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะได้ แต่เมื่ออ่านพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วจึงพบว่าตนเองนั้นคิดผิดมาตลอด เมื่อพบว่านั้นทรงมีพระปรีชาสามารถทางศิลปะหลายแขนง สังเกตได้จากการที่ทรงพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” และพระราชนิพนธ์ เรื่อง “พระมหาชนก” ซึ่งมีคติสอนใจให้มีความเพียรพยายาม และทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงอีกหลายเพลง เช่น เพลงสายฝน ซึ่งเป็นบทเพลงที่ฉันได้ยินครั้งแรกขณะที่ยังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา นับเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะ และมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง


คนไทยทุกคนคงพอจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อนประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกต้องประสบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยเองนั้นค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาก จนเศรษฐีบางคนถึงกับต้องล้มละลาย ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงมีพระราชดำริ เรื่อง “ การเกษตรทฤษฎีใหม่”มาเป็นแนวทางช่วยแก้ปัญหา โดยส่วนตัวฉันเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เป็นอย่างยิ่งเพราะถ้าทุกคนพยายามจ่ายให้น้อยกว่ารายรับ และดำรงชีวิตอย่าง “ พออยู่พอกิน ”ทุกคนย่อมหมดปัญหาเรื่องหนี้สิน นับเป็นพระอัจฉริยภาพทางความคิดของพระองค์ที่ทรงสามารถปลูกจิตสำนึกคนไทยให้ลดความฟุ่มเฟือยลงได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมีความภาคภูมิใจยิ่งนักที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย และมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถ ยากที่จะหาผู้ใดจะเสมอเหมือน


ในด้านการปกครองนั้นแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงมอบอำนาจอธิปไตยให้แก่ปวงชนแล้วพระองค์ก็มิได้ทรงละเลย ในยามที่ประเทศชาติประสบปัญหา พระองค์ก็ทรงแก้ไขได้ทันท่วงที ดังจะยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ ซึ่งเหล่าวีรชนผู้มาร่วมเดินขบวนนั้น มีทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกังวลพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อการชุมนุมขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความรุนแรงขึ้น พระองค์ทรงมีพระบรมราโชวาทถึงประชาชนที่มาชุมนุม ฝูงชนเหล่านั้นจึงสลายตัวตามพระราชประสงค์ สิ่งที่น่าสังเกตคือ ทุกคนล้วนพร้อมใจกันทำตามพระราชประสงค์อย่างสงบ ฉันเชื่อว่าทุกคนกระทำตามด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับเหตุการณ์ “ พฤษภาทมิฬ”เมื่อวันที่ ๗-๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕ เมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงใช้พระบารมีคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พล.อ สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ เพื่อเตือนสติให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา ทั้งสองจึงหันหน้าเข้าหากัน และประชุมหารือเพื่อยุติปัญหา เหตุการณ์ครั้งนี้ช่วยสนับสนุนคำกล่าวที่ว่า “พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ”


ด้านหนึ่งพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงมีพระบารมีปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข แต่ฉันได้รับรู้ถึงอีกด้านหนึ่งของพระองค์ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมาก นั่นคือ การที่พระองค์ทรงปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้เป็นลูกได้อย่างน่าชื่นชม ฉันได้อ่านหนังสือเรื่อง “พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู” แล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงพระองค์ว่า “ในหลวงได้เสด็จจากวังสวนจิต..ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน เสด็จไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ ๕ วัน ทุกครั้งที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ในหลวงจะต้องเข้าไปกราบที่ตัก แล้วสมเด็จย่าก็จะดึงตัวในหลวงมากอด ” ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นระหว่างสองพระองค์ได้เป็นอย่างดี“ เป็นความรักบริสุทธิ์ระหว่างแม่กับลูก” จากหนังสือเล่มเดียวกันยังกล่าวอีกว่า“ คราวหนึ่งในหลวงป่วย สมเด็จย่าก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน..อยู่คนละมุมตึก ตอนเช้าในหลวงเปิดประตูออกมา พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลมอยู่พอดี ในหลวงนั้นพอเห็นแม่ก็รีบออกจากห้องมาแย่งพยาบาล เข็นรถ มหาดเล็กกราบทูลว่า ไม่เป็นไร..มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรับสั่งว่า“ แม่ของเรา ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น เราเข็นเองได้” เมื่ออ่านถึงตอนนี้ฉันตื้นตันใจยิ่งนัก พระองค์ทรงงานแทบไม่ได้พักผ่อน ทรงปกครองประเทศที่มีประชากรถึง ๖๒ ล้านคน แต่ก็ยังแสดงความกตัญญูต่อสมเด็จย่าได้อย่างไม่มีที่ติ ตัวฉันเองเป็นคนธรรมดาสามัญที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ถึงเสี้ยวธุลีของพระองค์ แต่ยังไม่สามารถปรนนิบัติและดูแลแม่ได้ถึงเพียงนั้น ไม่ผิดเลยหากจะกล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของลูกที่ดี และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในใจชาวไทยทั้งชาติ

เขียนโดย น้ำฟ้า นามปากกาของ น้ำฝน ทะกลกิจ
______________________________________________________________________
ที่มา หนังสือผลงานเรียงความที่ได้รับรางวัล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จประเจ้าอยู่หัว
ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปีหัวข้อ " ประชาธิปไตยใต้ร่มพระบารมี "
ไฟล์แนป
14690865_1285382614847105_1118171484293738891_n.jpg
14690865_1285382614847105_1118171484293738891_n.jpg (20.31 KiB) เปิดดู 13553 ครั้ง
pasasiam
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 153
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:59 pm

Re: พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 31 ต.ค. 2016 2:51 pm

รวมใจไทยเทิดไท้องค์ราชัน #สรรเสริญพระบารมี

ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 18 มิ.ย. 2017 1:02 pm

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมราษฎรภาคเหนือ ในปี พ.ศ.๒๕๐๑

312790_265507446823740_540028089_n.jpg
312790_265507446823740_540028089_n.jpg (80.74 KiB) เปิดดู 13354 ครั้ง
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

ย้อนกลับ

ย้อนกลับไปยัง ทั่วไป

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน

cron