เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

ทำสวนผสมผสานทั้งปลูกพืช ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และเลี้ยงสัตว์ ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » เสาร์ 22 เม.ย. 2017 1:26 pm

การเขียนลายลูกเมล่อน เพิ่มมูลค่าให้เมล่อนขายได้แพงขึ้น

๑.ใช้ปากกาลูกลื่น ที่หัวเสียแล้ว

๒.เริ่มเขียนลายลงบนเมล่อน ที่ มีขนาด เท่ากำปั้นหรือ เริ่มมีการแตกลาย เริ่มขูดๆเขียนๆ ให้มีน้ำยางไหลเยิ้มออกมาซิบๆ อีกสองสามวัน เขียนทับอีกที จะทำให้ลาย ชัดเจนขึ้น

๓.การเขียนลาย ควรคำนึง ถึงการตลาด ในขณะที่เขียน จะเกิดไอเดีย เองว่า จะขายให้ใคร หน้าคนนั้น จะ ลอยเข้ามาในหัวอัตโนมัติ

๔.การเขียน ชื่อ เพื่อการจอง ควร รับชำระเงินก่อน เพราะ เมื่อ ลูก ตัดแล้ว ไม่อาจเอาชื่อ คนนี้ไปขายให้คนอื่นได้

๕.ไอเดีย การ เขียน อาจมาจาก เรื่องใกล้ตัว เช่น การ์ตูน สติกเกอร์Line หรือ การ์ตูนญี่ปุ่น

-ไอเดีย ข้อความกวนๆ หรือ ข้อความประทับใจ เช่น คำอวยพร เป็นต้น




Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » จันทร์ 01 พ.ค. 2017 10:28 am

วิธีปลูกต้นผักบุ้งจีนอ่อน


16195719_374104386292883_381760545307843606_n-1.jpg
16195719_374104386292883_381760545307843606_n-1.jpg (112.93 KiB) เปิดดู 6483 ครั้ง



ขั้นตอนการเพาะเมล็ด

1.นำเมล็ดผักบุ้งไปล้างน้ำให้สะอาด จนน้ำใส จากนั้นแช่เมล็ดผักบุ้งในน้ำต่ออีก 12 ชั่วโมง


2. นำเมล็ดผักบุ้งที่ได้แช่น้ำมา 12 ชั่วโมงแล้ว มาเช็ดให้แห้ง และห่อด้วยผ้าเปียกต่ออีก 12 ชั่วโมง

3.เมล็ดผักบุ้งที่ผ่านการแช่น้ำ จะมีรากสีขาวงอกออกมา

ขั้นตอนการเตรียมดิน

1.นำดินละเอียด มาผสมกับแกลบดำ ผสมขุยมะพร้าวละเอียดด้วย ปริมาณ 1 ต่อ 1

2.นำดินเทใส่ภาชนะที่จะปลูก อาทิ ตะกร้า กะละมัง ใส่ดินสูง 1นิ้วครึ่ง

3.นำเมล็ดผักบุ้งโรยลงไปในดิน กะปริมาณให้พอดีกับภาชนะที่จะปลูก รดน้ำให้ชุ่ม หาตะกร้ามาวางทับบนดินอีกที เพื่อให้รากยั่งลึกลงดิน 2 วัน

4.วันที่ 3 เปิดตะกร้าที่วางทับบนดิน เพื่อให้ต้นอ่อนผักบุ้ง โดนแสงแดด รดน้ำ เช้า – เย็น ปลูกต่อไปอีก 7 วัน ก็สามารถตัดไปรัปประทานได้

ราคาเมล็ดผักบุ้ง 1 กิโลกรัม ท้องตลาดขาย 150 บาท เมล็ดผักบุ้ง 1 กิโลกรัม เพาะต้นอ่อน 4 กิโลกรัม



สำหรับหน้าที่ที่น้องภูริจะต้องทำ คุณแม่แอน บอกว่า ทำทุกขั้นตอน ตั้งแต่เพาะเมล็ด รดน้ำเช้า – เย็น ยกเว้นตอนตัด เพราะต้องใช้ของมีคม

ด้านสถานที่จำหน่ายผัก ปัจจุบันหญิงสาวนำไปขายที่ตลาดนัดในหมู่บ้าน และส่งตามออเดอร์ ราคาขาย เบบี้คะน้า ขีดละ 20 บาท ผักบุ้งอ่อนขีดละ 15 บาท ต้นอ่อนหัวไชเท้าขีดละ 20 บาท รายได้จากการจำหน่ายเฉลี่ย 1 หมื่นบาท

ที่มา เส้นทางเศรษฐี

14781747731478174898l.jpg
14781747731478174898l.jpg (151.87 KiB) เปิดดู 6483 ครั้ง



หมดปัญหาหอมเเดง-กระเทียม เชื้อราขึ้น ชมเคล็ดลับการเก็บให้อยู่นาน

ทุกคนคงเคยเจอปัญหาหอมเเดงเเละกระเทียมที่ซื้อมาเน่าเร็ว เเละเชื้อราขึ้น รวมไปถึงรากงอกออกจากหอมเเดง มาชมเคล็ดลับการเก็บง่ายๆ

ด้วยการนำถุงพลาสติกมาเจาะรูเเล้วใส่ถ่านลงไปในถุง นำไปวางไว้ในตะกร้าที่เตรียมไว้ เเล้วนำหอมเเดงหรือกระเทียมไปวางทับด้านบน เเค่นี้ก็หมดปัญหาเชื้อรา เเละยังเก็บไว้ทานได้นานขึ้นอีกด้วย

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » จันทร์ 01 พ.ค. 2017 10:32 am

วิธีตัดแต่งหน่อกล้วยอย่างไร เพื่อให้กล้วยเครือใหญ่

BN-25-การไว้หน่อในสวนกล้วยคุณคมกฤช-576x1024-1.jpg
BN-25-การไว้หน่อในสวนกล้วยคุณคมกฤช-576x1024-1.jpg (123.03 KiB) เปิดดู 6483 ครั้ง


การตัดแต่งหน่อกล้วย ให้มีจำนวนพอเหมาะ ไม่ไปแย่งอาหารต้นแม่ ซึ่งมีผลทำให้ขนาดของเครือเล็กลง เริ่มตั้งแต่ปลูกกล้วยไปแล้ว 5-6 เดือน ในระยะที่ต้นแม่ยังไม่ตกเครือ ให้ไว้หน่ออ่อนเพียง 2 หน่อ แต่ไม่ควรเกิน 3 หน่อ การไว้หน่อทั้ง 2 ดังกล่าว ให้อยู่ตรงกันข้ามโดยมีต้นแม่กั้นกลาง เพราะจะได้หน่อที่แข็งแรงที่สุด ส่วนหน่อที่เกิดตามมา เรียกว่า หน่อตาม ให้ตัดออกแล้วคว้านไส้ในทิ้ง ราดด้วยน้ำมันก๊าด หลังจากเก็บเกี่ยวผลแล้วให้ตัดต้นเดิมทิ้ง รักษาหน่อไว้ 1-2 หน่อ แทนต้นแม่ต่อไปได้อีก 3-4 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ทั้งนี้ ต้องตัดแต่งใบที่แห้ง หรืออมโรคเผาทำลาย เหลือไว้เพียง 7-8 ใบ จนถึงระยะใกล้ตกเครือ ตัดให้เหลือใบที่สมบูรณ์ไว้เพียง 4-5 ใบ ก็พอ

โรคตายพราย เกิดจากการเข้าทำลายของเชื้อราชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ ถ้าหากต้นไม้ในที่นี้หมายถึงต้นกล้วย เมื่ออ่อนแอ หรือสภาพแวดล้อมเหมาะสมสำหรับเชื้อโรค มันก็จะเข้าทำลายทันที อาการของโรคตายพรายของกล้วย ถ้าสังเกตให้ดีจะพบสีเหลืองอ่อนที่ก้านใบแก่ ต่อมาปลายใบหรือขอบใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วขยายออกไปอย่างรวดเร็ว จนเหลืองทั้งใบ ต่อมาใบอ่อนก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเช่นเดียวกัน คล้ายถูกน้ำร้อนลวก หรือตายนึ่ง ต่อมาใบจะหักพับลงที่บริเวณโคนก้านใบ และเหี่ยวตายในที่สุด หากเกิดการระบาดในระยะตกเครือ ผลจะเหี่ยว เนื้อฟ่าม ผลลีบเล็ก ขนาดไม่สม่ำเสมอ เมื่อตัดลำต้นตามขวาง พบว่า มีรอยช้ำสีน้ำตาลแดงให้เห็นอย่างชัดเจน อันเกิดจากการเข้าทำลายท่อน้ำท่ออาหารของต้นกล้วยจึงส่งน้ำและอาหารไปเลี้ยงส่วนบนไม่ได้ จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าว

วิธีป้องกันกำจัด เนื่องโรคตายพรายมักระบาดรุนแรงในกล้วยน้ำว้าและกล้วยหอมทอง ดังนั้น ควรปลูกสลับหมุนเวียนกับกล้วยไข่ หรือกล้วยหักมุกแทน ที่สำคัญควรระวังอย่าให้น้ำขังแฉะในแปลงปลูก โดยเฉพาะดินที่เป็นกรด จำเป็นต้องใส่ปูนขาวเพื่อลดความเป็นกรดลง อัตรา 800-1,200 กิโลกรัม ต่อไร่

และเมื่อพบว่า เริ่มมีการระบาดของโรค ต้องลดปริมาณการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนลง ต้นที่เกิดโรคแล้วให้ตัดและขุดโคนขึ้นมาเผาทำลาย แล้วโรยปากหลุมด้วยปูนขาว หรือยาฆ่าเชื้ออย่างใดอย่างหนึ่ง ประการสำคัญควรเลือกหน่อกล้วยจากแหล่งไม่มีโรคตายพรายมาเป็นพันธุ์ปลูกดีที่สุด

ที่มา เทคโนฯเกษตร
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » จันทร์ 01 พ.ค. 2017 10:34 am

เทคนิคติดหลอดไฟ! สูตรเด็ด เร่ง มะยงชิด-มะปรางหวาน ออกลูกดก

3-74-696x464.jpg
3-74-696x464.jpg (95.26 KiB) เปิดดู 6483 ครั้ง


ร.ต.ต. อำนวย หงษ์ทอง หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ดาบนวย” นายกสมาคมชาวสวนมะปรางจังหวัดนครนายก จะเป็นผู้เฉลยให้ฟัง ซึ่งตำรวจวัยเกษียณ อายุ 63 ปี รายนี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องมะปรางมะยงชิดขั้นเทพทีเดียว เพราะปลูกมานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยเป็นเจ้าของ “สวนนพรัตน์” ตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 10 ชุมชนบ้านดงละคร ตำบลดงละคร อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก เกือบ 50 ไร่ รวมกับอีกแปลงที่อยู่ตำบลสาลิกา อำเภอเมือง ถือเป็นเกษตรกรยุคแรกๆ ที่เริ่มปลูกมะปรางในจังหวัดนครนายก ซึ่งมีไม่กี่ราย



ดาบนวย เล่าว่า ปีนี้มะปรางและมะยงชิดจะยังคงมีขายไปจนถึงเดือนเมษายน เพราะช่วงปลายมีนาคมบางสวนลูกยังเขียวอยู่ อย่างที่สวนนพรัตน์คาดว่าจะมีผลผลิตขายได้ถึง 10 ตัน แต่เป็นช่วงปลายฤดู ไม่แน่ใจว่าขนาดลูกจะใหญ่เท่าชุดแรกหรือไม่ สาเหตุที่ทำให้มะปรางติดลูกดกปีนี้เพราะได้เรียนรู้เทคนิคบางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญ

“เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลอดไฟ ขนาด 40 วัตต์ ที่ติดไว้แถวโต๊ะม้าหินอ่อน เปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึงเช้า มีแสงสว่างไปถูกกิ่งพันธุ์ต้นมะปรางที่ตั้งทิ้งไว้ 10 กว่าต้น ทำให้ออกช่อ 1-2 กิ่ง ทั้งๆ ที่ช่อดอกจะออกตอนช่วงหน้าหนาว แต่ตอนนั้นเป็นหน้าฝน ปกติถ้าไม่หนาวมะปรางจะไม่ออกช่อ อุณหภูมิจะต้องต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ประมาณ 3-4 วัน จากนั้นอุณหภูมิจะขยับขึ้นมา 22-24 องศา หลังจากหนาวแล้วก็มาอุ่น มะปรางถึงจะแทงช่อ”

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ ช่วงปลายปี 2559 ลูกน้อง แขวนกิ่งต้นมะปรางไว้ที่แผงขายของ ตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่ม และช่วง ตี 4-6 โมงเช้า พอถึงหน้าฝน ยังไม่เข้าสู่ฤดูหนาว ปรากฏว่ามะปรางออกช่อเดียวอยู่ต้นเดียว และออกเฉพาะกิ่งที่ถูกแสงไฟ ทำให้รู้ว่า การออกช่อแบบนี้ผิดธรรมชาติ

จากนั้น ดาบนวย จึงเริ่มทดลองครั้งแรก จำนวน 20 ต้น โดยใส่ไฟตรงกลางต้นใหญ่ แต่ออกช่อไม่เยอะ มีอยู่ 8-9 ต้น ที่ออกช่อเต็มต้น และเริ่มทำอีกประมาณ 40 ต้น แต่ละต้นห่างกัน 8×8 เมตร โดยสลับแถวกัน ใช้เปิดไฟในบางแถว บางแถวไม่ใช้ไฟ ปรากฏว่าในส่วนมะปรางที่ใช้แสงไฟจะออกช่อทุกต้น ในขณะที่แถวมะปรางที่ไม่ใช้ไฟไม่ออกช่อ

ด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจว่า วิธีการใช้แสงไฟได้ผล ต่อมาทำอีกรุ่น ห่างกันประมาณไม่เกิน 7 วัน ใช้จำนวนหลอดไฟ 40 หลอด ในจำนวนมะปราง 20 ต้น ใช้ต้นละ 2 หลอด เพื่อให้แสงไฟส่องสว่างอย่างทั่วถึง และติดนานเป็นเดือน ส่งผลให้ออกช่อติดดีมาก ติดเกือบจะทุกกิ่ง

“วิธีติดดวงไฟ เพื่อให้มะปรางออกช่อดอก เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ และผมก็ได้ลองผิดลองถูก ทดลองอีก 3-4 รุ่น อย่างล่าสุด ทำเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ติดช่อแล้ว แต่ดูแล้วไม่น่าจะดี เพราะอากาศร้อนมาก ทำได้ 10 กว่าต้นที่ออกช่อ จากการสังเกต ปกติช่อดอกช่อหนึ่งจะออกลูก 2-3 ลูก แต่พอใส่ไฟ ทำให้ออกลูกติดผลเป็น 10 ลูกเยอะมากเกิน 3 เท่า ของการออกลูกปกติ ตอนแรกคิดว่าไม่น่าอยู่รอด แต่แม้จะร่วงก็ยังเยอะอยู่ ร่วงประมาณครึ่งหนึ่ง ได้ผลดกมาก กิ่งย้อยลงมา”

สำหรับรสชาตินั้น ดาบนวย ระบุว่า เท่าที่ชิมใช้ได้ และผิวสะอาดใส โรคหนอนและแมลงแทบจะไม่ค่อยมี

ปกติมะปรางมะยงชิด จะออกช่อหน้าหนาว พอแทงช่อแล้ว นับไปอีก 75 วัน จะเก็บผลได้ บวกลบไม่เกิน 5 วัน ถ้าหน้าหนาวจะเป็น 80 วัน หากอากาศร้อนลดลงไปเหลือ 70 วัน เพราะหน้าร้อนลูกจะสุกเร็ว ส่วนหน้าหนาวลูกจะสุกช้า



ทำนอกฤดูเหมือนมะม่วงไม่ได้

ดาบนวย เล่าว่า ช่วงหลายปีมานี้ ทั้งมะปรางและมะยงชิดที่นครนายกไม่ค่อยติดลูก จึงได้ไปปรึกษาขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) แต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากอากาศแปรปรวน นอกจากนี้ ยังเคยทดลองเพื่อให้ออกนอกฤดูแบบมะม่วงแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้


เดิมนั้นสวนของดาบนวยปลูกมะปราง 30% ปลูกมะยงชิด 70% รวมพันกว่าต้น ต่อมาเจอปัญหาไม่ค่อยออกลูกเลยโค่นมะยงชิดปลูกมะปรางแทน เพื่อให้ได้ 50% เท่ากัน โดยปลูกมะปรางพันธุ์ทองนพรัตน์และมะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า


ลูกดก
นายกสมาคมชาวสวนมะปรางฯ บอกว่า ได้แนะนำให้สมาชิกของสมาคมใช้หลอดไฟติดตรงต้นมะปรางเพื่อให้ออกลูกดก หลายรายทดลองไปทำก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ซึ่งเทคนิคนี้เป็นประโยชน์มากในการจัดงาน งานมะยงชิด-มะปรางหวาน ของจังหวัดนครนายก ในปีต่อๆ ไป เพราะสามารถกำหนดการจัดงานล่วงหน้าได้เป็นปี ตนเองมั่นใจว่า 90% ใช้ได้ผล นอกนั้นขึ้นอยู่กับภูมิอากาศ

อย่างเช่น กำหนดจัดงาน ช่วง วันที่ 10 มีนาคม ก็ให้นับย้อนหลังไป ประมาณ 80 วัน แล้วเปิดไฟพร้อมกัน เพื่อให้ได้ผลผลิตในช่วงเดียวกัน


มะปราง
ดาบนวย แนะนำว่า ควรจะทำเป็นรุ่นๆ เพื่อให้ดูแลได้ง่าย และมีผลผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปกติเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ฝนหมดแล้ว ก็ให้เริ่มติดหลอดไฟรุ่นแรก 100 ต้น ห่างอีก 1 เดือน ก็ทำอีก 100 ต้น โดยให้ติดประมาณ 25-30 วัน เน้นให้ทุกกิ่งได้รับแสงไฟอย่างทั่วถึง บางต้นอาจจะต้องติดมากกว่า 1 หลอด ซึ่งแม้จะต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้น แต่หากคำนวณกับจำนวนมะปรางที่ติดลูกและขายได้แล้ว ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะเสียค่าไฟหลักหลายพันบาท ขณะที่จะขายมะปรางมะยงชิดได้หลักหลายแสนบาท

สำหรับนครนายกนั้น ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งใหญ่ในการปลูกมะปราง-มะยงชิดหวาน ที่มีคุณภาพ โดยมีพื้นที่ปลูก 8,000 ไร่ แต่ละปีมีผลผลิตประมาณ 1,500-2,000 ตัน มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท ในส่วนขนาดลูกใหญ่สุด (เท่าไข่ไก่ เบอร์ 0) ไม่เกิน 13 ลูก ต่อกิโลกรัม ขายได้ในราคา กิโลกรัมละ 250-300 บาท บางปีขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 400-450 บาท ในปีที่มีปัญหาแล้งจัด ส่วนเบอร์รองลงมาประมาณ 10 ลูก ขายกิโลกรัมละ 200 บาท นอกจากนั้นราคากิโลกรัมละ 100-150 บาท ส่วนกิ่งพันธุ์ทั้งมะปรางและมะยงชิด ราคากิ่งละ 200-300 บาท ความสูงประมาIเมตรเศษๆ



เตือน 7-10 วัน อันตราย ช่วงแทงช่อ

ทั้งนี้ มะปรางพันธุ์ทองนพรัตน์ เป็นพันธุ์ที่เกษตรกรที่นครนายกนิยมปลูกกัน เพราะมะปรางหวานพันธุ์นี้มีจุดเด่น คือ ออกลูกง่าย ใช้เวลาปลูกเพียง 2 ปีเท่านั้น มีรสชาติหวาน และมีผลใหญ่เท่ากับมะยงชิด น้ำหนักเฉลี่ย ประมาณ 10-12 ลูก ต่อกิโลกรัม ทั้งยังมีความต้านทานโรคและแมลงได้ดี ขณะที่มะปรางพันธุ์ทั่วไปจะออกลูกช่วง 3-5 ปี

ดาบนวย แจกแจงว่า แม้จะติดหลอดไฟที่ต้นมะปรางเพื่อให้ออกช่อและออกลูกดกนั้น แต่ในการดูแลรักษาก็ต้องใส่ใจเหมือนเดิม ซึ่งมะปรางและมะยงชิดนับเป็นผลไม้ที่สร้างรายได้ดีและไม่ต้องดูแลมากเหมือนผลไม้อื่นๆ

กรณีผู้ซื้อกิ่งพันธุ์ที่ทาบกิ่งไปปลูก ปกติจะออกช่อประมาณ 3 ปี เขาแนะนำว่า ควรขุดหลุมประมาณ 50 เซนติเมตร ก็พอ จากนั้นใช้ดินผสมกับขี้วัวและแกลบฝังกลบหลุม ถัดมาอีก 3 เดือน ให้ปุ๋ยอีกรอบ หรือถ้าจะใช้ปุ๋ยเคมี ใช้สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ก็ได้ ซึ่งไม่ควรให้ปุ๋ยมากเกินไป เพราะจะทำให้ต้นเฉาตาย และถ้าแดดร้อนเกินไปจะทำให้ใบแห้งไหม้

ในเรื่องการรดน้ำนั้น ดาบนวย กล่าวว่า หากให้น้ำมากเกินไปจะแฉะ แต่ช่วงปีแรกในการปลูก ต้องให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ต้องดูดินอย่าให้แห้ง พอผ่านไปถึงปี 2 ปี 3 ถึง 7 วัน ก็ให้น้ำสักครั้ง แต่ช่วงปลูกใหม่ๆ ต้องคอยหมั่นดูแล โดยเฉพาะช่วงแตกใบอ่อน ซึ่งอาจจะแตกได้ทั้งหน้าฝนและหน้าแล้ง อาจจะเจอแมลงหรือหนอนมากินใบอ่อน ทำให้ใบโกร๋นและเติบโตช้า

นอกจากนี้ ตอนมะปรางออกช่อ อาจจะเจอปัญหาเพลี้ยไฟหรือหนอนลงมาทำลายช่อ ส่งผลให้ไม่ติดลูก ดังนั้น ต้องหมั่นดูแลช่อ ซึ่งช่วง 7-10 วัน ถือเป็นอันตราย ต้องสังเกตอย่างละเอียด หากเกิดปัญหาที่ว่าต้องใช้สารเคมีเข้าช่วย จะใช้พวกสารชีวภาพไม่ได้ผล อย่างไรก็ดี สามารถปรึกษาร้านขายปุ๋ยเคมีได้เลย เพราะใช้สารเคมีประเภทเดียวกับมะม่วง อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีกำจัดต้องใช้อย่างมีเหตุผล และรู้ระยะเวลาปลอดภัย

ส่วนเรื่องที่มีเกษตรกรและผู้คนทั่วไป ซื้อกิ่งพันธุ์ มะปราง-มะยงชิด จากนครนายก แล้วไปปลูกตามพื้นที่ต่างๆ นั้น ดาบนวย บอกว่า อย่างไรเสียรสชาติและคุณภาพก็คงไม่อร่อยเหมือนปลูกที่นครนายกแน่นอน เพราะอากาศและดินแตกต่างกัน เนื่องจากตำบลดงละคร มีระดับน้ำใต้ดินต่ำกว่า 10 เมตร นั่นเอง

สนใจไปชมสวนนพรัตน์ของ ดาบนวย (ร.ต.ต. อำนวย หงษ์ทอง) หรือซื้อกิ่งพันธุ์ มะยงชิด-มะปรางหวาน ติดต่อได้ที่ โทร. (081) 762-4082 หรือ (093) 113-2694

ที่มา เทคโนโลยีชาวบ้าน
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » พุธ 03 พ.ค. 2017 7:30 pm

วิธีกำจัดไรไก่ชนและขจัดกลิ่นเหม็นในเล้าไก่

พ่อพันธุ์ไก่บ้าน-650x439.jpg
พ่อพันธุ์ไก่บ้าน-650x439.jpg (47.28 KiB) เปิดดู 15277 ครั้ง



กำจัดไรไก่ด้วยเปลือกทุเรียน

เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองมักจะประสบปัญหาเรื่องไรไก่ และกลิ่นเหม็นในเล้าไก่ คุณสมศรี เพชรดง เกษตรกรบ้านโนนสมบรูณ์ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการกำจัดไรไก่และกลิ่นเหม็นในเล้าไก่ ด้วยวิธีการที่แสนง่ายดังนี้

เพียงนำเปลือกทุเรียนที่ยังไม่แห้งมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปตากแห้งประมาน 3 แดด พอแห้งได้ที่แล้วให้นำไปรองรังไก่ก่อนที่จะเอาเศษฟางใส่ทับอีกที วิธีการนี้ช่วยกำจัดไรไก่ได้อย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว

นอกกำจัดไรไก่แล้วเปลือกทุเรียนแห้งยังสามารถดับกลิ่นมูลไก่ตามเล้าไก่ได้อีกด้วย โดยนำเปลือกทุเรียนแห้งไปวางเป็นจุดๆตามเล้าไก่ สรรพคุณของเปลือกทุเรียนที่ตากแห้งแล้วเมื่อนำมาสูดดมจะมีกลิ่นจะหอมคล้ายยาจีน จึงสามารถดับกลิ่นมูลไก่ได้เป็นอย่างดี




วิธีกำจัดไรไก่ชนและขจัดกลิ่นเหม็นในเล้าไก่

วิธีการทำโดยนำใบตะไคร้หอม 3 กก.มาหั่นเป็นชิ้นๆและนำไปตากแห้งประมาณ 3 แดด หลังจากนั้นลองนำใบตะไคร้หอมมาสูดดมดูจะได้กลิ่นที่หอม นำใบตะไคร้หอมประมาณ 2 กำมือไปโรยในรังไก่ที่กำลังฟักไข่อยู่นั้น กลิ่นจากใบตะไคร้หอมแห้งนี้สามารถกำจัดไรไก่ที่เป็นปัญหาของเกษตรกรที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองได้อย่างดี และสามารถดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในเล้าไก่ได้โดยการนำใบตะไคร้หอมแห้งโรยตามเล้าไก่ กลิ่นของใบตะไคร้สามารถดับกลิ่นมูลไก่ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

วิธีนี้เป็นภูมิปัญญาของคุณพ่อสมพาส สุโลก เกษตรกรบ้านหันเทา ต.ปะโค อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เป็นวิถีการดำเนินชีวิตของชาวชนบทที่นำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับกิจกรรมในพื้นที่อย่างลงตัว

ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 21 พ.ค. 2017 4:24 pm

วิธีทำมะม่วงให้ออกตามจุดที่เราต้องการ

18527597_1324629987614834_8931115037950874059_n.jpg
18527597_1324629987614834_8931115037950874059_n.jpg (82.1 KiB) เปิดดู 15258 ครั้ง


การปฏิบัติ

1.เมื่อใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่เริ่ม "แผ่กาง" ให้เด็ดทิ้ง (เด็ดด้วยมือ) ทั้งหมด

2.เด็ดใบอ่อนทิ้งแล้ว เริ่มบำรุงทางใบด้วยสูตรสะสมตาดอก 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน.....ช่วงนี้งดการให้น้ำทางรากเด็ดขาด

3.สะสมตาดอกครบกำหนดแล้ว ให้เปิดตาดอกด้วย "ฮอร์โมนไข่ + 13-0-46 + ไธโอยูเรีย" (ฮอร์โมนไข่สูตรสเปน) 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน

ผลลัพธ์เมื่อไม่มี "ตุ่มตา" ที่ซอกใบปลายยอด เนื่องจากถูกเด็ดใบทิ้งแล้ว และพัฒนาขึ้นมาใหม่ไม่ทัน ต้นจะพัฒนาตาที่อยู่ใต้เปลือกบริเวณโคนกิ่ง (กิ่งแก่) หรือใต้เปลือกบริเวณลำต้นขึ้นมาแล้วกลายเป็นตุ่มตาที่มีดอกออกมาได้แทน

หลักการและเหตุผล :

1.มะม่วงเป็นไม้ผลประเภทออกดอกติดผลที่โคนใบปลายกิ่ง ผลจากการบำรุงด้วยสูตรสะสมอาหารเพื่อการออกดอก (สะสมแป้งและน้ำตาล) แล้วปรับ C/N เรโช ไม่ประสบความสำเร็จ กล่าวคือ ถ้าปรับ C/N เรโชแล้ว N ยังมากกว่า C (อาจเป็นเพราะ N จากน้ำฝน) เมื่อเปิดตาดอก มะม่วงต้นนั้นจะออกเป็นใบอ่อนแทนออกเป็นดอก

2.ผลจากการให้อาหารกลุ่มสร้าง C ที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งบำรุงด้วยสูตรสะสมตาดอกนั้น แม้มะม่วงต้นนั้นจะแตกใบอ่อนออกมา แต่สารอาหารกลุ่มนั้นบางส่วนยังคงเหลืออยู่ภายในต้น ซึ่งสารอาหารกลุ่มนี้ยังพร้อมที่จะส่งเสริมให้มะม่วงออกดอกชุดใหม่ได้
ประสบการณ์ตรง :

สวนมะม่วงที่ประสบความสำเร็จจากการปฏิบัติบำรุงตามแนวนี้ ได้แก่ สวนมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา
สวนมะม่วงน้ำดอกไม้-เขียวเสวย-ฟ้าลั่น ที่ อ.ไชโย จ.อ่างทอง ส่วนมะม่วงขาวนิยม ที่บางบอน กทม. และ สวนมะม่วงขาวนิยม ที่ อ.บางแพ จ.ราชบุรีออกดอกติดผลที่โคนกิ่ง ทั้งกิ่งอ่อน กิ่งแก่ กิ่งกลางอ่อนกลางแก่ และกลางลำต้นได้ดอกที่ออกมานี้เมื่อบำรุงตามขั้นตอนปกติ ก็สามารถพัฒนาเป็นผลระดับเกรด เอ. ได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจากลุงคิมภาพประกอบข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 21 พ.ค. 2017 8:27 pm

#การขยายพันธุ์ชมพู่

18519685_10203255808953325_3601433831771968422_n.jpg
18519685_10203255808953325_3601433831771968422_n.jpg (16.88 KiB) เปิดดู 15121 ครั้ง


1.ตัดยอดชมพู่(เลือกเอาที่ใบแก่ๆสีเขียวเข้ม)

2.แช่น้ำยาเร่งราก

3.เสียบใส่ก้อนโอเอซีส ถ้าไม่มีใช้เปลือกมะพร้าวแทนได้

4.รดน้ำนำไปชำในที่ร่มหรือเรือนเพาะชำจนออกราก

5.นำไปปลูกลงกระถางหรือถุงเพราะชำรอจนโตได้ที่แล้วค่อยนำไปปลูก
(#วิธีนี้ใช้ขยายพันธ์มะนาวก็ได้)

น้ำยาเร่งราก ทำเอง ประหยัดค่าใช้จ่าย มีสูตรไม่มาก

- กะปิ ยี่ห้อใดก็ได้

- เครื่องดื่มชูกำลัง ยี่ห้อใดก็ได้

- น้ำเปล่า

- กะปิเพียวๆ เพียงปลายนิ้ว เอามาพอกตรงกิ่งตอนแล้วพอกซ้ำด้วยขุยมะพร้าวชุ่มน้ำ มัดให้แน่น เร่งรากได้

- เครื่องดื่มชูกำลัง ผสมน้ำอัตราส่วน 1ต่อ5 แช่ขุยมะพร้าวสำหรับพอกกิ่งตอนให้ชุ่ม เร่งรากได้ดี

- กะปิ 1 เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ผสมเข้ากัน ใช้เป็นหัวเชื้อ นำไปผสมกับน้ำอีกในอัตรา 1 ฝาต่อน้ำ 5 ลิตร หรือหัวเชื้อ 2 ฝา ต่อน้ำ 5 ลิตร ทำน้ำยาเร่งรากได้ดีมาก

นำน้ำที่ผสมฉีดพ่นกล้วยไม้ เร่งรากได้ดี แช่กิ่งชำ หน่อสำหรับเพาะ เร่งรากได้ดี

18556427_10203255809633342_5343910635326354501_n.jpg
18556427_10203255809633342_5343910635326354501_n.jpg (37.72 KiB) เปิดดู 15121 ครั้ง


ติดตามข้อมูล: https://goo.gl/kdI7ro

Cr.ศูนย์รวมความรู้การเกษตร
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 23 ก.ค. 2017 3:25 pm

เด็กสิงห์บุรีลาออกจากงานมาดูแลพ่อป่วย ตัดสินใจเลี้ยงปูนา ด้วยทุนเพียง 1,000 บ. โกยรายได้เป็นล้าน

111.jpg
111.jpg (157.84 KiB) เปิดดู 15041 ครั้ง


หลังผู้เป็นพ่อพลัดตกต้นไผ่ความสูงเกือบ 2 เมตร แถมแม่ก็ป่วย ทำให้ “ปานศิริ ปาดกุล” หรือ ตูมตาม ลูกชายคนเดียวในวัยเพียง 22 ปี ต้องกลายเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว เคยลำบากแม้กระทั่งไม่มีเงินซื้อข้าวสารกิโลกรัมละ 33 บาท เคยเป็นหนี้นอกระบบ ต้องทำสารพัดอาชีพแต่สุดท้ายจับทางถูก หันมาเลี้ยงปูนา บังคับผสมพันธุ์ปีละ 3 ครั้ง ส่งขายร้านอาหาร บางเดือนสร้างรายได้หลักล้านบาท

คุณตูมตาม เล่าว่า หลังจบปริญญาตรี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ทำงานที่แรกในแผนกบัญชี บริษัทแห่งหนึ่ง จากนั้นย้ายไปอยู่โรงงานผลิตอะไหล่โทรศัพท์มือถือที่จังหวัดปทุมธานี ทำงานประจำได้ราว 5 เดือน ก็ลาออก เพราะต้องกลับบ้านเกิดที่จังหวัดสิงห์บุรีไปดูแลพ่อซึ่งประสบอุบัติเหตุขาหัก เดินไม่ได้

222.jpg
222.jpg (111.08 KiB) เปิดดู 15041 ครั้ง


“ผมทำงานประจำ รับเงินเดือน 2 หมื่นบาท อยู่ราว 5 เดือน พอรู้ว่าพ่อในวัย 60 ปี ประสบอุบัติเหตุตกต้นไผ่ความสูงกว่า 2 เมตร ก็เลือกที่จะลาออก แล้วกลับบ้านมาดูแล พร้อมกับแบ่งเบาภาระบุพการี ด้วยการเป็นเสาหลักหารายได้เลี้ยงปากท้อง 3 คน”

ในเบื้องต้นเด็กหนุ่มอนาคตไกลใช้เงินเก็บที่มีอยู่ซื้ออาหารและสิ่งจำเป็น ทว่าผ่านไปซักระยะ เงินเก็บเริ่มไม่พอ คราวนี้ต้องไปกู้เงินทั้งในระบบและนอกระบบ ตูมตามบอกว่า เนื่องจากพ่อเดินไม่ได้ ต้องกินอาหารผ่านสายยางอยู่ 5 เดือน แม่ก็ป่วย ขณะที่ทั้งบ้านเหลือเงินเพียง 1,000 บาท



เงินติดตัวเพียง 1,000 บาทสุดท้าย เด็กหนุ่มใช้วิธีนำไปลงทุนขายไก่ย่าง หมูปิ้ง เจ้าตัว บอกว่า ขายดี พอมีรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัว ทว่าขายไปสักระยะเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้น หนที่สุดจำต้องเลิกขาย แล้วหันมาใช้วิธีพรีออเดอร์สินค้า ผ่านเฟซบุ๊ก กินกำไรส่วนต่าง

“ผมเลิกขายหมูปิ้ง ไก่ย่าง แล้วหันมาใช้ประโยชน์จากเฟซบุ๊กด้วยการรับพรีออเดอร์สินค้าจำพวกผักสด ปลา เอากำไรกิโลกรัมละ 20 – 30 บาท”

ตูมตาม บอกว่า รายได้จากการพรีออเดอร์สินค้าจำพวกอาหารสดค่อนข้างดี มีเงินหมุนเวียนในครอบครัวแต่ละเดือนเป็นหมื่น แต่นานวันอยากหาความยั่งยืนให้กับชีวิต และแล้วจู่ๆ ก็คิดเลี้ยงปูนาขึ้นมา

“ในตลาดมีคนรับพรีออเดอร์สินค้ามากขึ้น ผมเลยคิดว่าอยากจะขยับขยายหาอาชีพอื่นที่มั่นคงกว่า ประกอบกับส่วนตัวชอบกินปูนามาก (ปูที่ใส่ส้มตำ) เคยไปหาตามท้องนา 5-6 ชั่วโมง ไม่สามารถหาได้ เลยเกิดความคิด จะเลี้ยงขาย”



ด้วยความชอบกินปูนา ตูมตาม บอกว่า ใช้เงินเก็บที่มีอยู่จากการรับพรีออเดอร์สินค้า 2 หมื่นบาท ลงทุนเลี้ยงปูนาในบ่อปูน บนที่ดินที่มีอยู่ 1ไร่ 44 ตารางวา สั่งปูนา คละไซส์มาจากหลายจังหวัด ครั้งแรกราว 4 ตัน

การเลี้ยงปูนาครั้งแรกของตูมตามนั้นไม่สำเร็จ เด็กหนุ่ม บอกว่า ตายหมดเลย 4 ตัน เนื่องจากว่าเลี้ยงในบ่อปูน ซึ่งมีความเย็น อีกทั้งใส่น้ำประปาลงไปอีกมีคลอรีน ปูนาปรับสภาพไม่ทัน ตายเกลี้ยง
ด้วยความไม่ยอมแพ้ และกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติม คราวนี้ตูมตามสั่งปูนามาเลี้ยงอีกครั้ง แต่เขาพัฒนาด้วยการเลือกซื้อพ่อแม่พันธุ์ปูนามาเลี้ยงแทนการซื้อตัวเล็ก เพราะปูนาตัวเล็กจะบอบบางตายง่ายกว่าพ่อแม่พันธุ์ ปัจจุบันเลี้ยงปู 2 สายพันธุ์ คือ ปูนาธรรมดา ตัวจะมีขนาดเล็ก และ ปูนาพันธุ์กำแพง ตัวใหญ่ รสชาติมัน



สำหรับวิธีการเลี้ยง เจ้าของฟาร์ม บอกว่า หลังจากได้ปูนาพ่อแม่พันธุ์มาแล้ว ให้เลี้ยงในบ่อดินเหนียว ใส่น้ำให้ดินแฉะๆ สร้างบรรยากาศตามธรรมชาติ เลี้ยงต่อไป จนปูนาเริ่มกินอาหารได้เอง ประมาณ 5 วัน ค่อยย้ายไปอยู่บ่อปูน บ่อปูนที่ใช้เลี้ยงปู มี 70 บ่อ ขนาดบ่อละ 2×3 เมตร 1บ่อเลี้ยงปูได้ประมาณ 10,000 ตัว

การให้อาหาร สำหรับพ่อแม่พันธุ์ เจ้าของฟาร์ม จะให้อาหารวันละ 2 มื้อ ช่วงเช้ามืด และช่วงค่ำ เป็นอาหารปลาดุกเม็ดเล็กโปรตีน 32 หรือจะเสริมด้วยรำข้าวก็ได้ วางตามพื้นดิน เมื่ออาหารเม็ดโดนน้ำและดินก็จะละลาย ช่วงกลางคืนและช่วงเช้ามืด ปูนาจะออกมากิน ส่วนอาหารของลูกปูนาลงเดิน จนถึงอายุ 3 เดือน เป็นไข่แดงต้มสุก ให้อาหารวันละ 1 มื้อช่วงเช้า



สำหรับเทคนิคบังคับผสมพันธุ์ปีละ 3 ครั้ง ตูมตามเผยว่า โดยปกติปูนาจะออกลูกเพียงปีละ 1 ครั้ง ช่วงประมาณต้นเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนแต่เพื่อให้มีปูจำหน่ายตลอดทั้งปี ผมบังคับให้ปูผสมพันธุ์และออกลูกได้ปีละ 2-3 ครั้ง วิธีการคือ หลังจากปูนาออกลูกไปแล้วในช่วงฤดูฝน ให้ปล่อยดินแห้งแตกระแหง จากนั้นให้ฉีดน้ำเข้าไปเต็มที่ ทำให้ปูนาคิดว่าเข้าฤดูฝนอีกครั้งก็จะออกมาผสมพันธุ์กันเอง

ด้านการตลาด เด็กหนุ่มคนเมืองสิงห์ บอกว่า ขายทั้งปูสด ปูดอง และนำปูมาแปรรูปเป็นน้ำพริกเผา กะปิปู ส่งขายร้านอาหาร บางเดือนสร้างรายได้หลักล้านบาท



ผมขายปูทั้งตัวเล็กที่ใช้ตำส้มตำกิโลกรัมละ 80-100 บาท ส่วนปูตัวใหญ่ที่กำลังลอกคราบ เรียกว่าปูนิ่มกิโลกรัมละ 1,200 บาท และก้ามปูกิโลกรัมละ 1,000 บาท ส่งตามร้านอาหาร ภัตตาคาร รวมถึงขายพ่อแม่พันธุ์ด้วยคู่ละ 100 บาท นอกจากนี้ยังมีการนำปูนามาเพิ่มมูลค่าเป็น ปูดอง กะปิปูนา น้ำพริกเผาปู”

ที่มา http://www.sarakdeeweb.com/2017/07/1000_21.html
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย บ้านเพียงพอ » ศุกร์ 06 ต.ค. 2017 1:12 pm

-ถั่วเน่าของคนเหนือ คือ ถั่วเหลืองที่เราท่านรู้จัก เห็ดถั่วเน่า คือ เห็ดชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นบนกาก ซาก ซัง ต้นเปลือกถั่วเหลืองที่สีเอาเมล็ดออกแล้ว และทิ้งให้แดดฝนย่อยสลาย

original_DS55.jpg
original_DS55.jpg (22.48 KiB) เปิดดู 14886 ครั้ง


-เห็ดถั่วเน่า เป็นเห็ดดอกเล็ก ต้น ใบ ขาวนวล ทานได้ยามดอกเล็ก หากปล่อยให้บานสีดำคล้ำไม่น่าทาน และรสแย่

-เห็ดถั่วเน่า นำมาทานอาหารได้หลายชนิด คุณสมบัติที่ดี คือ แม้ผ่านความร้อนเนื้อก็ยังนุ่ม เหนียว กรอบ สำคัญมีรสหวาน กลิ่นหอม คนต่างถิ่น ได้ชิมทานเกิดความกำซาบลิ้น พลันนึกว่าทานเห็ดโคนป่าที่ราคาแพง ด้วยความคารวะรสกล่มกล่อมลิ้นจึงเรียกว่า "เห็ดโคนน้อย" ทั้งที่จริงเห็นโคนป่า และ เห็ดถั่วเน่า ต่างเหล่ากอ สายพันธุ์ไกลลิบ

-เห็ดถั่วเน่า ขึ้นได้บนซากพืชหลายชนิดนอกเหนือจากถั่วเหลือง เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด กากถั่วเขียว แม้กระทั้งแฝก หรือ หญ้าที่กำลังเน่าเปลื่อย ราของเห็ดถั่วเน่า มีในธรรมชาติเส้นใยหยาบ ใหญ่ สีขาว มองเห็นได้ในห้วงที่พืชเริ่มย่อย และมีความร้อนในกองสูง จึงนับว่ามีประโยชน์ในการย่อยสลายซากพืชให้มีขนาดเล็กลงก่อนที่ราอื่นๆจะรับหน้าที่ต่อ


-ในเมืองไทยมีการเพาะเห็ดชนิดนี้เป็นการค้า ผลผลิตส่วนใหญ่ ต้ม ดองในน้ำเกลือบรรจุขวด หรือ กระป๋องเพื่อส่งออกต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน สิงค์โปร มาเลเซีย และญี่ปุ่น เป็นมูลค่าไม่น้อย

-เห็ดถั่วเน่าเพาะได้สองแบบ คือ แบบธรรมชาติ และแบบอุตสหกรรม(เพาะในโรงเรือน)



-การเพาะเห็ดถั่วเน่าในธรรมชาติ ทำได้ง่ายโดย

1.กองซากซัง เช่น กากถั่วเหลือง สูงประมาณ 1 คืบ โรยปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น 46-0-0 หรือ 21-0-0 แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

2.หากฝนตกชุกคลุมผ้าพลาสติก อบกองเชื้อให้ร้อน แต่ถ้าไม่มีฝนคลุมวัสดุพลางแสง เช่น ทางมะพร้าว หรือ สแลนพลาสติก แต่ต้องหมั่นรดน้ำไม่ให้กองแห้ง

3.ห้วง 3-5 วันแรก อากาศในกองวัสดุร้อน อาจมองเห็นไอร้อนจากกองวัสดุเป็นควัน เป็นเวลาที่เส้นใยราเจริญเติบโต จากนั้น 3-4 วัน เส้นใยหนาแน่นขึ้น เห็นเป็นสีขาวเต็มกอง และเริ่มเป็นตุ่มดอกเห็ดเกิดขึ้น จากนั้น 1-2 วันก็สามารถทยอยเก็บดอกเห็ดไปรับประทานได้ โดยต้องเก็บทุกวัน และควรเก็บเวลาบ่าย หากเก็บตอนเช้าจะต้องเก็บตอนเย็นอีกรอบเพราะเห็ดเจริญเติบโตไว(บานไว)

-เห็ดถั่วเน่า ออกดอกมาก ทานไม่ทัน อาจเก็บไว้ได้นานโดยวิธีง่าย แค่ เก็บมาตัดราก ทำความสะอาดโดยการล้างน้ำ วางให้สะเด็ดน้ำ แล้วใส่ถุง บรรจุในตู้เย็น ช่องแช่แข็งเก็บไว้ได้นานนับปีโดยไม่เสียรสชาดและความสด ส่วนเทคนิคในการประกอบอาหารคือ ปรุงเครื่องผัด หรือ เครื่องต้ม-แกงไว้ก่อน รอจนเดือด ใส่เห็ดถั่วเน่าที่แช่แข็งไว้โดยไม่ต้องนำมาละลายน้ำก่อน


-เห็ดถั่วเน่า นอกจากทานอร่อย ยังมีสรรพคุณทางยา เป็นที่ยอมรับ คือ มีวิตามิน หลากหลายชนิด และมีอนุมูลอิสระ ต่อต้านมะเร็ง ป้องกันเชื้อไวรัสในคน


-เห็ดถั่วเน่ามีราคาถูก และหาทานง่ายพอควรในฤดูกาลนี้ ลองทานดูสักครั้งซิครับ อาจติดใจจนลืมไม่ลง
โลกใบเก่าเหงาเหมือนเคย
ภาพประจำตัวสมาชิก
บ้านเพียงพอ
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 136
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 20 ก.ค. 2008 8:47 am

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 04 ก.พ. 2018 10:15 am

เคล็ดลับการทำให้ต้นบัวดินออกดอก

20180115_105638_resize.jpg
20180115_105638_resize.jpg (221.25 KiB) เปิดดู 14615 ครั้ง


หากต้องการให้ออกดอกควรงดให้น้ำ ๑ - ๒ เดือน จากนั้นให้รดน้ำติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วันติดกันก็จะทำให้บัวดินออกดอกตามช่วงเวลาที่เราต้องการ ส่วนการปลูกลงดินให้ใช้วิธี ขุดหัวบัวดินขึ้นมาผึ่งลมไว้ประมาณ ๖ - ๑๐ สัปดาห์จากนั้นนำไปปลูกใหม่ก็จะทำให้ออกดอกได้เช่นกัน
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: เทคนิคต่างๆในการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์

โพสต์โดย บ้านเพียงพอ » อังคาร 13 มี.ค. 2018 2:43 pm

จะไปซื้อวิตามินแพงๆมากินทำไม ๑๐ ผักพื้นบ้าน มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ต้านความจำเสื่อม ชะลอแก่

001.jpg
001.jpg (65.27 KiB) เปิดดู 14470 ครั้ง


ในผักมีวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารอื่นๆ สามารถป้องกันสมองเสื่อมได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ผักพื้นบ้านซึ้งหาได้ตามท้องถิ่นผักที่แนะนำทั้ง ๑๐ เป็นผักที่หาได้ง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว

ผักหวาน

ผักหวานมีรสชาติหวานสมชื่อ นิยมนำไปนึ่งแล้วจิ้มกับน้ำพริกแจ่วสารพัดชนิด นอกจากนี้ยังใช้ทำแกงได้อร่อยอีกต่างหาก คนอีสานนิยมนำไปแกงใส่ไข่มดแดง อันเป็น อาหารยอดฮิต หรือแกงใส่ปลาย่างผสมใบชะอม ทำเป็นแกงอ่อมก็อร่อยดี ทางเหนือนิยมแกงผักหวานใส่ปลาย่างกับวุ้นเส้น งบผักหวานใส่มดแดงสุดอร่อย และคนกรุง ยังนำผักหวานไปผัดกับน้ำมันร้อนๆ ปรุงด้วยซีอิ๊ว เหยาะเกลือนิดก็อร่อย

ประโยชน์ของผักหวาน

ป้องกันโรคเกี่ยวกับปราสาท และสมอง เช่น อัลไซเมอร์

ป้องกันโรคมะเร็ง

ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด

ป้องกันโรคเบาหวาน

ช่วยลดความอ้วน

ช่วยบำรุงร่างกาย

ต้านอนุมูลอิสระ

แก้ร้อนใน

ช่วยลดไข้

แก้น้ำดีพิการ

แก้อาการเบื่อเมา

บรรเทาอาการปวดมดลูก

แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

ใบ และน้ำยางจากใบนำมาเคี้ยวหรือกลั้วภายในปาก สำหรับแก้ลิ้นเป็นฟ้า

ใบ และยอดอ่อนนำมาต้มน้ำดื่ม ช่วยแก้กระหายน้ำ ป้องกันโรคปากนกกระจอก

ผักกูด

ผักกูดอร่อยต้องกินหน้าแล้งเพราะรสชาติไม่ฝาดเหมือนในฤดูอื่น ๆ อร่อยตรงจืดอมหวานเนื้อกรอบ ส่วนใหญ่นิยมกินยอดและใบอ่อน ผักกูดน้ำไม่นิยมกินสด มักเอา ไปต้มหรือเอาไปลวก นอกจากกินเป็นผักแนม ผักกูดน้ำยังใช้ ต้ม ยำ ทำแกงหรือผัดกับน้ำมันเฉยๆ ก็อร่อยเหลือหลาย เคล็ดลับการทำแกงส้มผักกูดควรใส่ปลาช่อนถึง จะเข้ากันได้ดี

ใบชะพลู

ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบดกหนา ชะพลูมีชื่อเรียกต่างๆ กัน ภาคเหนือเรียกว่าผักแค ผักปูนา พลูนก พลูลิง ภาคใต้เรียกว่าผักนมวา อีสานเรียกว่าผักอีเลิด ผักเล็ก ผักปูลม ใบชะพลูมีกลิ่นหอม รสเผ็ดอ่อนๆ เป็นผักสดที่นิยมกินกับอาหารรสแซบ เช่น ลาบ น้ำตก ปลาย่าง ร่วมถึงน้ำพริกชนิดต่างๆ เป็นเครื่องปรุงที่เสริมรสอาหารได้ดี อาทิ แกงแคของภาคเหนือ ส่วนภาคอีสานนิยมใส่ในแกงอ่อมต่างๆ แกงขนุนอ่อน แกงหัวปลี ภาคใต้ใช้แกงกะทิใส่ใบชะพลูกับหอยแครง ส่วนภาคกลางนิยมใส่แกงคั่วหอย ขม หรือกินกับข้าวมันส้มตำ และที่นิยมมากที่สุดคือกินเป็นใบห่อเมี่ยงคำที่ให้รสชาติเข้ากันอย่างดี กินแล้วช่วยบำรุงธาตุ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

บัวบก

คนไทยทั่วทุกภาคนิยมกินบัวบก แต่ชื่อที่เรียกจะแตกต่างกันไป ภาคเหนือและอีสานเรียก ผักหนอก ภาคใต้เรียกผักแว่น ใบบัวบกมีรสขมอ่อนๆ กลิ่นหอมและเป็นพืชที่ กินสดๆ ได้ทั้งก้านและใบ จึงเป็นผักแกล้มอาหารรสเข้มข้นจานต่างๆ ได้อร่อย เช่น แกล้มน้ำพริก ส้มตำ

นอกจากทำอาหารแล้วบัวบกยังนำมาคั้น ผสมน้ำตาลเล็กน้อย เป็นน้ำสมุนไพรดื่มให้รสหวาน หอม เย็นชุ่มคอ บัวบกช่วยระบายความร้อน แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง แก้ไมเกรน ชาวจีนเชื่อว่า บัวบกแก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจาย หายฟกช้ำเร็วขึ้น

ประโยชน์ของบัวบก

ใบบัวบกช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ย้อนอายุและวัย

ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ

ช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆในร่างกาย

ประโยชน์ของใบบัวบก ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ฟื้นฟูรอบดวงตา เพราะบัวบกมีวิตามินเอสูง

ช่วยรักษาอาการตาอักเสบบวมแดง ด้วยการใช้ใบบัวบกล้างน้ำสะอาด คั้นเอาแต่น้ำนำมาหยดที่ตา ๓-๔ ครั้ง

ต่อวัน

ช่วยบำรุงประสาทและสมองเหมือนใบแปะก๊วย

ช่วยทำให้ความจำดีขึ้นและทำให้มีปฏิภาณไหวพริบเพิ่มมากขึ้น

ช่วยเพิ่มความจำในผู้สูงอายุ

ช่วยเพิ่มสมาธิ แก้สมาธิสั้น

ช่วยเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจเฉพาะหน้า

ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ปวดศีรษะข้างเดียว

ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ

ช่วยผ่อนคลายความเครียด

ผักปลัง

ชาวเหนือเรียกผักปั๋ง กินอร่อยได้ทั้งยอดอ่อน ใบอ่อนและดอกอ่อน กินเป็นผักต้ม ลวกหรือนึ่งสุก จิ้มน้ำพริก ชาวเหนือนิยมกินกับน้ำพริกดำ น้ำพริกตาแดง เอาไปแกง กับถั่วเน่า จอ(แกงชนิดหนึ่งของชาวเหนือมีรสเปรี้ยวแต่ไม่เผ็ด)ผักปั๋งใส่มะนาว ดอกเอาจอกับแหนม ชาวเหนือกับอีสานเอายอดอ่อนกับดอกอ่อนไปแกงส้ม เคล็ดลับ ความอร่อย ควรใส่ผักปลังลงในหม้อเป็นสิ่งสุดท้ายหลังจากน้ำแกงเดือดเต็มที่ เวลาใส่ผักลงไปควรกดให้จม พอเดือดสักพักก็ปิดไฟ ไม่ควรรอให้เดือดนาน เพราะจะ ทำให้ผักปลังเละไม่น่ากิน ชาวเมืองกรุงทำเป็นผัดผักไฟแดง หรือผัดน้ำมันหอย ผักปลังช่วยในการระบาย จึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย

ไหลบัว

ไหลบัว คือ หน่ออ่อนของต้นดอกบัวหลวงที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำ ซึ่งต่างจากสายบัวที่เป็นส่วนก้านดอกของบัวสาย ไหลบัวมีความกรอบและรสชาติหวานมันจึงนิยมนำมากิน สด คนอีสานนิยมกินเป็นผักสดกับส้มตำ แต่คนภาคกลางนิยมนำไปแกงส้ม ผัด หรือไม่ก็กินสดๆ ปัจจุบันเป็นไหลบัวผัดกุ้งเป็นเมนูยอดนิยมในภัตตาคารจีน ถือเป็นยา เย็น ช่วยบำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลียและบำรุงหัวใจ

ผักแพว

ผักแพวหรือที่คนอีสานเรียกว่าผักแพ้ว ผักพริกม้า ส่วนคนเหนือเรียกผักไผ่ ความอร่อยของผักแพวอยู่ที่กลิ่นหอมและรสร้อนแรง จึงนิยมกินเป็นผักสดแนมกับ อาหารรสจัดแทบทุกชนิด และนำไปปรุงเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารประเภทลาบ และใส่แกงปลารสจัด เพื่อตัดกลิ่นคาวปลาพร้อมกับปรุงอาหารประเภทหอยเพื่อเสริม ความหอม กินแล้วช่วยขับลมในกระเพาะดีนัก

ประโยชน์ของผักแพว

ผักแพวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วย

ในการชะลอวัย (ใบ)

ช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง (ใบ)

ช่วยป้องกันโรคหัวใจ (ใบ)

ใบใช้รับประทานช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)

ช่วยบำรุงประสาท (ราก) รสเผ็ดของผักแพวช่วยทำให้เลือดลมในร่างกายเดินสะดวกมากขึ้น (ใบ)

ใบยอ

น่าอัศจรรย์ใจที่รสขมของใบยอ และกลิ่นเฉพาะตัวนี้ มีบทบาทอย่างมากในอาหารไทยทั่วทุกภาค ที่เด่นสุดคือ ภาค กลางใช้เป็นผักรองกระทงห่อหมก เพราะความ อร่อยของห่อหมกเข้ากันได้ดีกับใบยอ และยังไม่มีผักอื่นเข้ามาแข่งได้ ส่วนภาคอีสานนำไปทำแกงอ่อมใบยอ และภาคใต้ก็มีแกงรสเด็ดไม่แพ้กันคือ แกงเผ็ดปลาใส่ ขมิ้นใบยอ การกินใบยอให้อร่อยควรตัดเส้นกลางใบออกและลวกก่อนนำมาแกง จะช่วยลดความขมได้ ใบยอช่วยบำรุงร่างกาย แก้ปวดท้อง ท้องร่วง

ย่านาง

จัดเป็นพืชประจำครัวภาคเหนือและอีสาน ภาคเหนือเรียกว่า จ้อยนาง ครัวอีสานใช้ใบย่านางผสมกับข้าวเบือ (ข้าวสารที่ตำละเอียด ใช้ผสมกับน้ำแกงเพื่อให้น้ำแกง ข้น) มาทำแกงหน่อไม้ไผ่ป่า เป็นลักษณะต้มเปอะ คือแกงที่มีน้ำขลุกขลิก ใบย่านางทำให้เกิดรสกลมกล่อมอมหวาน อีกทั้งเพื่อกลบรสขื่นและขมนิด ๆ ของหน่อไม้สด นอกจากนี้ยังผสมซุปหน่อไม้ ใส่แกงขี้เหล็กแบบพื้นบ้าน แกงกับยอดหวาย ภาคเหนือใส่ในแกงพื้นเมืองที่คล้ายกัน ใบย่านางที่นำมาใช้ในการทำอาหารนั้นยิ่งใส่มาก เท่าไร ยิ่งทำให้อาหารจานนั้นอร่อยยิ่งขึ้น กินย่านางช่วยดับพิษร้อนถอนพิษไข้ได้

หัวปลี

ปลีกล้วยที่ใช้ทำอาหารส่วนใหญ่เป็นปลีกล้วยน้ำว้า เพราะฝาดน้อยและหาง่ายกว่ากล้วยพันธุ์อื่น ๆ หัวปลีสีแดงเมื่อแกะใบเลี้ยงออกจนถึงชั้นที่มีสีขาวนวล จะนำ มาผ่าปลีตามยาวเป็นส่วนๆ แล้ว ต้องนำไปแช่น้ำผสมน้ำมะขามเปียกหรือน้ำมะนาวก่อน เพื่อรักษาปลีกล้วยให้ขาวนวลน่ากิน อาหารไทยนิยมกินปลีกล้วยสดกับ เต้าเจี้ยวหลน กะปิคั่ว ผัดไทย ชุบแป้งทอด ปรุงเป็นแกงเลียง หัวปลีแก้โลหิตจาง ลดความดันโลหิต แก้ร้อนใน กระหายน้ำ

ประโยชน์ของหัวปลี

ปลีกล้วยมีสรรพคุณช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง และช่วยให้ฟันขาวสะอาด

ประโยชน์ของปลีกล้วยช่วยบำรุงน้ำนม สำหรับแม่ลูกอ่อน

ปลีกล้วยเป็นเกราะป้องกันกระเพราะ ช่วยแก้ปวดท้อง รักษาโรคกระเพราะอาหารอักเสบ

ปลีกล้วยใช้รักษาแผลสด ดูดหนอง และบรรเทาอาการบวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย

ปลีกล้วยสรรคุณดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

ปลีกล้วยช่วยบำรุงธาตุ บำรุงเลือด เพิ่มความเปล่งปลั่ง ดูมีเลือดฝาด

ปลีกล้วยดีต่อผู้ป่วยโลหิตจาง และยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดี

ปลีกล้วยมีสรรพคุณช่วยบำรุงลำไส้

ปลีกล้วยช่วยรักษาแผลในปากให้หายเร็วขึ้น ช่วยแก้ร้อนใน แผลปากเปื่อย

ปลีกล้วยช่วยให้หน้าอกเต่งตึง สมบูรณ์ ไม่หย่อนยาน

ประโยชน์ของปลีกล้วยช่วยเพิ่มธาตุเหล็กในร่างกาย

สรรพคุณปลีกล้วยช่วยบำรุงผิวพรรณให้นวลเนียน ดูมีน้ำมีนวล

ขอบคุณบทความจาก http://www.rak-sukapap.com
โลกใบเก่าเหงาเหมือนเคย
ภาพประจำตัวสมาชิก
บ้านเพียงพอ
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 136
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 20 ก.ค. 2008 8:47 am

โพสต์โดย น้ำฟ้า » จันทร์ 14 พ.ค. 2018 11:40 am

การปักชำ "พิทูเนีย"

ตัดยอดให้ยาวสัก ๑ นี้ว ใช้ ขุยมะพร้าว+ทรายเป็นวัสดุชำ ตามความเคยชิน..ที่เคยชำยอดดอกไม้มา ทุกคนมักจะรดน้ำทันทีเมื่อ ชำ ยอดดอกไม้เสร็จ....แต่..พิทูเนียจะทำแบบนั้นไม่ดี..ถึงทำไม่ได้ เพราะความชื้นจากน้ำจะทำให้ยอดเน่าไปก่อน...ในช่วงฤดูฝน...เราควร รดน้ำที่วัสดุชำให้เปียกก่อน...พอปักชำเสร็จห้ามรดน้ำตาม และควรหาพลาสติกใสมาคุลมไว้ตามในภาพ..เพื่อ ป้องกัน การคลายน้ำ ในยอดพันธ์ไปหมดก่อน

J7500316-1.jpg
J7500316-1.jpg (165.49 KiB) เปิดดู 13362 ครั้ง


ผ่านไป สัก ๕ วัน ต้องเปิดพาสสติก แง้มๆๆไว้นิดๆๆตามในภาพ หากเปิดหมดเลย จะทำให้ ยอดพันธ์คลายน้ำไปในทันที ต้องให้ยอดพันธุ์ค่อยๆๆปรับตัวไปก่อน

J7500316-2.jpg
J7500316-2.jpg (146.52 KiB) เปิดดู 13362 ครั้ง


ยอดใสๆๆในอาทิตย์แรกไม่ได้หมายความว่า มีราก...รากจะเกิด ตอน ที่ยอดชำเรี่มเข้าวันที่ ๑๐ - ๑๕ วันจึงจะมีราก อายุ ๒๐ วันขึ้นจึงจะแข็งแรง พอที่นำไปปลูกได้

ที่มา Handsome old
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง บ้านเพียงพอ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน

cron