บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.๔

เรื่องสั้น บทความ ต่างๆ

บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.๔

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 19 เม.ย. 2018 8:20 am

เผยแพร่ผลงาน แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔


บทคัดย่อ


การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่
งานเขียนบันเทิงคดี รายวิชาการเขียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2)เพื่อหาประสิทธิภาพแบบฝึก
เสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียนบันเทิงคดี รายวิชาการเขียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องการสร้างจินตนาการสู่งานเขียนบันเทิงคดี4) เพื่อเปรียบเทียบอัตมโนทัศน์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการ
สู่งานเขียนบันเทิงคดี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/7
โรงเรียนปากเกร็ด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 52 คน เครื่องมือที่ใช้
ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การเขียนบันเทิงคดี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 จำนวน 10 แผน เวลา 18 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การเขียนบันเทิงคดี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แบบอัตนัย จำนวน 6 ข้อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน
บันเทิงคดี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 26 ชุด แบบสอบถามอัตมโนทัศน์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย t–test


ผลการศึกษาปรากฏ ดังนี้


1. แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียนบันเทิงคดีกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.73/ 80.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้


2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องการสร้าง
จินตนาการสู่งานเขียนบันเทิงคดี มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0. 5 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้


3. อัตมโนทัศน์ของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน
บันเทิงคดีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0. 5 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:17 am

เรื่องสั้น “ ต้นไม้ของพ่อ ” เขียนโดย น้ำฝน ทะกลกิจ รางวัล รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ในการประกวดเรื่องสั้น " พลิกผืนป่าด้วยพระบารมี " โดยกองทัพบก และสถานีวิทยุกองทัพ


1405380264-51-o.jpg
1405380264-51-o.jpg (127.3 KiB) เปิดดู 21439 ครั้ง



ทุกๆเช้าฉันมักจะเห็น “ เด็กคนนั้น ” วิ่งไปตามถนนสายเล็กๆอันเต็มไปด้วยดอกหญ้าสีขาวทอดยาว ไปจนจรดลำธารใส ที่ไหลรินมาจากน้ำตกที่อยู่บนดอยอีกลูกหนึ่ง แล้วจึงกลับมาเข้าแถวเคารพธงชาติ ด้วยใบหน้าที่อิ่มเอมไปด้วยความสุข

ฉันเพิ่งได้รับคำสั่งบรรจุเป็นครูบนดอยแม่ลาผาเมื่อครึ่งเดือนก่อน จึงยังไม่รู้จักเด็กคนนั้นเท่าไรนัก แต่เมื่อซักถามครูรุ่นพี่ก็ได้คำตอบกลั้วหัวเราะว่า

“ เขาชื่ออาหู่ เป็นเด็กกำพร้า เรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก วันๆเอาแต่วิ่งไปบนดอยลูกโน้น บอกว่าตัวเองต้องดูแลต้นไม้ของพ่อหลวง ”

“ พ่อหลวงหมายถึง ? ...” ฉันถามต่อ

“ ก็หมายถึงในหลวงนั่นแหละ น้องนิตยาไม่ต้องไปสนใจหรอก ”

ถึงแม้รุ่นพี่จะบอกว่าไม่ต้องสนใจหรอก แต่ฉันกลับรู้สึกสนใจเรื่องราวของอาหู่อยู่ครามครัน แต่อย่างไรก็ดี ภาระงานของฉันกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จึงทำให้ค่อยๆลืมเลือนเรื่องราวของอาหู่ไป


แล้วเรื่องราวของเด็กน้อยก็เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของฉันในวันหนึ่ง


เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงหนึ่งปี มีการจัดชั้นเรียนขึ้นใหม่ ฉันได้เป็นครูประจำชั้นที่อาหู่เรียนอยู่ เขามีพฤติกรรมเหมือนที่รุ่นพี่ได้บอกไว้ไม่มีผิดเพี้ยน อาหู่เป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ช้ากว่าเพื่อนๆ ฉันจึงต้องนัดให้เขามาฝึกอ่านเป็นการส่วนตัวในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน

“ ไม่ได้หรอกครู ตอนเช้าผมต้องไปดูแลต้นไม้ของพ่อหลวง ” เด็กชายดวงตายาวรีค้านด้วยสำเนียงแปร่งๆตามประสาชาวเขาที่พูดไทยไม่ชัด

ฉันขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง การที่ฉันเสียเวลาส่วนตัวมาสอนเขานั้น ทำให้ฉันต้องทำงานบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นเวลาที่อากาศบนดอยนั้นหนาวเย็นเหลือเกิน แต่เขากลับปฏิเสธความหวังดีเสียดื้อๆ ฉันจึงยอมไม่ได้เป็นอันขาด

“ ต้นไม้อะไรของเธอ เธอไม่รู้หรืออาหู่ ว่าตัวเองเรียนไม่ทันเพื่อน ยังไงๆเธอก็ต้องมาเรียนกับครูทุกๆเจ็ดโมงเช้า แล้วก็หลังเลิกเรียน ”

ฉันจำได้ว่าวันนั้นอาหู่มีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นเด็กชายก็มาตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ จนนานวันเข้า.....การเรียนของอาหู่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะการทบทวนซ้ำหลายๆครั้ง ทำให้เขาเกิดความเข้าใจ แต่แล้ววันหนึ่งอาหู่กลับไม่มาโรงเรียน อาลีซึ่งอยู่ข้างบ้านเป็นคนมาบอกฉันว่าเขาลาป่วย

“ อาหู่เป็นอะไรไปอาลี ” ฉันถามอย่างห่วงใย

“ เขาเป็นไข้มาหลายวันแล้วค่ะครู ”

“ แล้วใครดูแลเขาล่ะตอนนี้ ”

“ แม่ของเขาไปทำงานที่ไร่ เขาก็เลยนอนอยู่บ้านคนเดียวค่ะ ”

เด็กน้อยพูดจบแล้วทำท่าจะผละไป

“ อาลี หลังเลิกเรียนพาครูไปเยี่ยมอาหู่ที่บ้านได้ไหม ”

เด็กหญิงอาลีมองหน้าของฉันด้วยดวงตาใสแจ๋ว แล้วจึงพยักหน้าหงึกหงัก

“ ได้ค่ะ แล้วหนูจะมาหาครูนะคะ ”



ฉันมองตามร่างเล็กๆ ในชุดนักเรียนขะมุกขะมอม ซึ่งวิ่งหายไปในสายหมอกที่โรยตัวลงมาอย่างหนาตา บนดอยสูงแห่งนี้กว่าลำแสงแรกของดวงอาทิตย์จะแหวกหมอกหนาออกมาได้ ก็กินเวลาเกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว




ฉันเดินตามอาลีไปบนถนนแคบๆที่มีดอกหญ้าสีขาวขึ้นอยู่ประปราย แม้ท้องฟ้าจะยังมีแสงสีทองระเรื่อฉาบเหนือเทือกเขาลูกถัดไป แต่ความเย็นชื้นๆของน้ำค้างก็เริ่มแผ่ตัวเข้ามาอย่างช้าๆ



บ้านของอาหู่เป็นบ้านหลังเล็กๆยกพื้นขึ้นมาราวครึ่งเมตร เมื่อก้าวขึ้นบันไดที่มีเพียงสามขั้นแล้วก็จะต้องผ่านห้องครัวที่เป็นเพียงชานโล่งๆมีเครื่องครัววางอยู่ระเกะระกะก่อน จึงได้พบร่างของเด็กชายนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มสีเทาที่มีกลิ่นอับๆโชยมา ฉันทรุดลงนั่งตามอาลี เด็กหญิงใช้มือเขย่าแขนของเพื่อนเบาๆ โดยที่ฉันห้ามไม่ทัน

อาหู่ค่อยๆปรือตาขึ้น เมื่อเห็นหน้าฉันเขาจึงยกมือไหว้แล้วพยายามลุกขึ้นจากที่นอน

“ ไม่ต้องหรอกอาหู่ นอนลงเถอะครูได้ยินว่าเธอไม่สบายก็เลยมาเยี่ยม ”

“ ขอบคุณครับครูนิตยา ” น้ำเสียงของเด็กชายแหบพร่า

เสียงคนวางของดังโครมครามอยู่หลังบ้าน ไม่นานหญิงวัยกลางคนแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงชาวอาข่าโดยทั่วไปก็ก้าวขึ้นมาบนบ้าน อาลีจึงชิงแนะนำขึ้นก่อน

“ ป้าอายอนี่ครูนิตยา ครูเขามาเยี่ยมอาหู่ ”

อายอพยักหน้ารับรู้แล้วจึงนั่งลงข้างๆฉัน

อาหู่หลับไปแล้ว ความเงียบครอบคลุมทั่วบริเวณ แต่เมื่อผ่านไปราวสิบนาทีอายอก็กล่าวขึ้นมาก่อน

“ อาหู่มันตัวร้อนมาหลายวันแล้วนะครู เฮาก็เลยให้มันหยุดเรียน”

“ ไม่เป็นไรหรอกอายอ ถ้าหายดีค่อยไปเรียนก็ได้ แล้วนี่ทำไมอาหู่ถึงเป็นไข้หนักแบบนี่ล่ะ กินยาไปหรือยัง ”

“ กินยาแล้วแต่ยังไม่หาย ตอนแรกก็เป็นไม่เยอะหรอกครู แต่ทุกเช้าอาหู่ก็ยังไปรดน้ำต้นไม้บนดอยลูกโน้น ก็เลยเป็นหนัก ” อายอเล่าพลางถอนใจ

ฉันหันหน้าไปมองใบหน้าขาวซีดของผู้พูด แล้วย้อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ ครูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอาหู่ถึงใส่ใจต้นไม้ต้นนั้นนัก อายอพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม "

หญิงกลางคนพยักหน้า

“เมื่อห้าปีก่อน พ่อหลวงกับพระราชินีท่านมาที่หมู่บ้านของเฮา ” อายอเล่าด้วยภาษาชาวบ้าน

“ ตอนนั้นอาผ่าพ่อของอาหู่ไม่สบาย พ่อหลวงท่านก็เลยให้หมอมารักษา อาผ่าบอกว่าเขาโชคดีที่ได้เห็นพ่อหลวงกับพระราชินีใกล้ๆ เพราะเขาเทิดทูนบูชาท่านมาก ” น้ำใสๆเอ่อคลอสองตาของผู้เล่า

“ อาผ่าบอกว่าท่านใส่ใจกับทุกอย่างบนแผ่นดินนี้ วันนั้นท่านเห็นฝักก้ามปูตกอยู่ อาผ่าอยู่ใกล้ๆท่านก็เลยยื่นให้ แล้วบอกว่า ‘ในฝักนี้เป็นต้นกำเนิดของต้นไม้อีกหลายต้น ที่จะทำให้บ้านเมืองของเรามีป่าไม้ไว้ให้ลูกหลาน ’ อาผ่ารับฝักนั้นมาอย่างยินดี เขาเพาะมันจนกลายเป็นต้นกล้าเล็กๆ แล้วชวนอาหู่ไปปลูกไว้ที่ดอยลูกโน้น สองพ่อลูกดูแลมันอย่างดีตลอดมา ตอนหลังเมื่ออาผ่าตาย อาหู่ก็เลยดูแลต้นก้ามปูแทนพ่อ ”

เมื่อเล่าจบอายอก็ยกมือไหว้ท่วมหัว ฉันเข้าใจดีว่า อายอมีความรู้สึกเช่นไร

“ ครูเข้าใจแล้วล่ะอายอ ว่าทำไมอาหู่ถึงใส่ใจก้ามปูต้นนั้นนัก ”

ฉันหันไปมองอาลีซึ่งนั่งฟังตาแป๋ว แล้วยิ้ม

“ อาหู่เป็นตัวอย่างที่ดี ต่อไปก้ามปูต้นนั้นก็จะเติบโต แล้วเป็นต้นกำเนิดของก้ามปูต้นอื่นๆ อีกหลายต้น ในหลวงท่านทรงมีพระอัจฉริยภาพในการพัฒนาทุกๆด้าน โดยเฉพาะทรงอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งเป็นประโยชน์อเนกอนันต์ต่อประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศของเรา และทรงเสียสละทุ่มเทอย่างยากที่จะมีพระมหากษัตริย์ของชาติใดเสมอเหมือน ”

อาลียิ้มตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ หนูจะเริ่มอนุรักษ์ป่าไม้ตั้งแต่วันนี้เลยค่ะครู ในหลวงท่านจะได้ภูมิใจ ”



ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่ปลื้มใจในคำพูดของเด็กน้อย หากคนไทยทุกคนได้รับรู้ว่าเด็กสิบขวบมีจิตสำนึกที่ดีงามเช่นนี้ ฉันเชื่อว่าทุกคนก็ต้องภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน



แดดจางๆดูดกลืนหมอกขาวโพลนให้เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงหยดน้ำที่ค้างอยู่ในกลีบดอกไม้และยอดหญ้า ฉันกำลังใช้บัวรดน้ำขนาดเล็กรดน้ำต้นพริกที่ปลูกไว้ข้างโรงอาหาร แต่เสียงรองเท้าวิ่งมาตึงตังก็ทำให้ฉันต้องหันหลังไปดู


“ ครูคะไปกับหนูก่อนค่ะ ”

อาลีบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่อยู่ในอาการหอบแฮ่กๆ

“ ไปไหนอาลี ”

เด็กหญิงไม่ตอบ แต่กลับดึงแขนของฉันเบาๆให้ก้าวตามไป ฉันจึงวางบัวรดน้ำไว้บนชั้นวางแล้วเดินแกมวิ่งตามเด็กน้อยที่วิ่งปรื๋อไปอย่างรวดเร็ว

อาลีวิ่งไปตามทางลาดชันเต็มไปด้วยหินขรุขระ ฉันจึงต้องค่อยๆเดินเพราะยังไม่ชิน ครู่ใหญ่เด็กน้อยก็ไปยืนโบกมือหยอยๆใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่นคู่กับเด็กอีกคนหนึ่ง ฉันจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปหา

“ อาหู่ ”

อาหู่นั่นเองที่ยืนอยู่กับอาลี ใบหน้าของเด็กชายยิ้มละไมและเต็มไปด้วยสีเลือดฝาด แสดงว่าเขาคงหายจากอาการไข้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ฉันยืนหอบอยู่พักใหญ่ก่อนจะย้อนถามเด็กทั้งสอง

“ ทั้งสองคนพาครูมาที่นี่ทำไม ”

อาลีหันไปยิ้มให้เพื่อน อาหู่จึงเป็นผู้ตอบเสียเอง

“ นี่ไงครับครู ต้นก้ามปูของพ่อหลวง ผมกับอาลีพาครูมาดูดอกก้ามปูดอกแรก ที่เพิ่งออกดอกเมื่อวานนี้ ครูเงยหน้าขึ้นไปมองสิครับ ”

ฉันทำตามอย่างว่าง่าย ก้ามปูต้นใหญ่สีเขียว แผ่กิ่งก้านสาขาสล้างไปทั่วบริเวณ เมื่อมองเลยขึ้นไป พบว่าบนกิ่งกิ่งหนึ่งกำลังออกดอกสีขาวขลิบแดงสดใสน่ามอง ฉันจึงหันมายิ้มให้ทั้งสองคน

“ อาหู่กับพ่อเก่งจังเลยนะอาลี ”

“ ใช่ค่ะครู ” อาลีเห็นด้วย

“ ต่อไปทั้งสองคนต้องไปเชิญชวนเพื่อนๆให้ปลูกต้นไม้กันเยอะๆนะ..รู้มั้ย ต้นไม้มีประโยชน์มากมาย อีกทั้งยังช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย ถ้าเด็กๆทุกคนมีจิตสำนึกรักษ์ป่า ต่อไปโลกของเราก็จะเป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีเขียว สมดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงตั้งพระทัยเอาไว้ยังไงล่ะ แต่ตอนนี้เด็กๆต้องรีบกลับไปเข้าแถวแล้ว ”



เสียงระฆังเข้าเรียนดังมาจากดอยอีกลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน เราทั้งสามคนวิ่งลงดอยอย่างทุลักทุเล แต่ในหัวใจนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ที่ได้เห็นความงดงามจากสีเขียวของต้นไม้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:19 am

หนึ่งฝันวันวาน เขียนโดย น้ำฟ้า

จากหนังสือ "ตราบแผ่นดินไม่สิ้นรัก" รายได้มอบแก่เจ้าหน้าที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้






ความรักอาจเกิดขึ้นได้หลายครั้ง ทว่า...รักแท้นั้นมีได้แค่ครั้งเดียว และต้องเป็น เธอ คนเดียวเท่านั้น..


มือเรียวไล้ปกสมุดบันทึกสีชมพูซีดจางอย่างเบามือ พลางจ้องมองราวกับจะให้ทะลุไปยังแผ่นกระดาษที่อยู่ด้านใน อันเป็นกระดาษสีขาวหม่นตามอายุของการใช้งาน ซึ่งถ้าจะดูตามวันเวลาที่ระบุไว้บนหน้าปกนั้น สมุดบันทึกเล่มนี้อายุแก่กว่าเธอถึงสามสิบกว่าปี ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก ในเมื่อผู้เป็นเจ้าของมันก็ล่วงเลยวัยกลางคนไปแล้ว หากแต่ใบหน้าขาวเนียนนั้นยังคงเค้าความงามในอดีตไว้ได้อย่างพร้อมสรรพ


‘ฉันขอให้หนูใส่มันลงไปตอนเผาศพคุณอาด้วยเถอะ ฉันอยากให้ความทรงจำดีๆของเราอยู่กับเขาตลอดไป‘ คุณกุลธิดา เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้ยื่นมันให้เธอในงานศพของคุณอาทัพน้องชายคนเดียวของบิดา


ในวันนั้นหญิงสาวเพียงแค่รับคำโดยไม่ถามต่อ แม้จะรู้สึกสงสัยอยู่ครามครันว่า สตรีผู้มีใบหน้างามและมีความเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วผู้นี้ คือใคร


“หนูแพร ทำความสะอาดห้องคุณอาเสร็จหรือยังลูก” จู่ๆเสียงมารดาก็ดังขึ้นทำให้หญิงสาวหลุดออกมาจากห้วงภวังค์โดยฉับพลัน


“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ คุณแม่”


“เสร็จแล้วรีบลงมาทานข้าวนะลูก จะได้ไปวัดกัน”


“ค่ะคุณแม่” รับคำแล้วหญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปยังตู้หนังสือของคุณอาผู้ล่วงลับ ก่อนจะลงมือปัดฝุ่นและจัดเรียงหนังสือให้เป็นระเบียบ แล้วสายตาของเธอก็สะดุดกับสมุดปกแข็งอันคุ้นตาที่วางอยู่ปะปนกับหนังสือเล่มหนาชั้นบนสุด พรรัมภาจึงรีบดึงมันออกมาด้วยความตื่นเต้น


สมุดบันทึกสีชมพูเก่าซีดเล่มนี้เป็นแบบเดียวกันกับที่วางอยู่บนโต๊ะ อีกทั้งวันเวลาที่ระบุบนหน้าปกก็ยังเป็นวันเดียวกัน ความสงสัยปะทุขึ้นในใจของหญิงสาวทันที เธอจึงรีบสาวเท้าไปยังโต๊ะไม้ข้างหน้าต่าง พลางวางสมุดบันทึกของผู้เป็นอาเทียบกับเล่มก่อนหน้า ก่อนจะคลี่เปิดมันออกอย่างเบามือราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า


จากนั้นภาพความหลังจากปลายปากกาจึงปรากฏขึ้นในจินตนาการของเธอ...
ไฟล์แนป
IMG_2590-tile-tile.jpg
IMG_2590-tile-tile.jpg (152.64 KiB) เปิดดู 21439 ครั้ง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:20 am

...บ่ายคล้อย ดวงอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนตัวลับหายไปหลังทิวไม้ ความร้อนอบอ้าวจึงค่อยจางหายไป สายลมเย็นจากแม่น้ำกว้างใหญ่พัดโชยมาแทนที่ เด็กชายในชุดนักเรียนม.ต้นเดินอุ้มลูกนกอ่อนแรงเข้ามาในศาลาท่าน้ำ ก่อนจะวางมันลงบนพื้นอย่างเบามือ แล้วจึงหันหลังกลับ เดินไปยังดงไม้ข้างรั้วเพื่อหาหนอนเล็กๆให้มันประทังชีพ


“อะ กินซะเจ้าตัวเล็ก จะได้มีแรง“ เขาบอกอย่างอ่อนโยน


นกน้อยใช้ปากเขี่ยตัวหนอนแล้วจึงจิกกินทีละตัว โดยมีหนุ่มน้อยหน้าตาคมสันนั่งขัดสมาธิมองอยู่ด้วยความเวทนา


“หาน้ำให้มันกินด้วยสิเธอ เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก“ เสียงใสๆของใครคนหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง


แม่ทัพหันขวับ


สาวน้อยดวงตากลมโตรับกับใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เธอนั่งอยู่บนชิงช้าใต้ซุ้มชมนาดที่เลื้อยพันโครงไม้จนดูคล้ายเป็นหลังคา


“เธอรู้จักที่นี่ได้ยังไง“ แทนที่จะยินดีแต่เด็กหนุ่มกลับย้อนถามด้วยความแปลกใจ


“เราเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่“ บอกพลางชี้ไปยังคฤหาสน์สีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ถัดไป


“อ้อ...ลูกสาวเศรษฐีบ้านนั้นน่ะเอง” หนุ่มน้อยพึมพำ


“เราชี่อกุลธิดา เรียกว่ากุ้งก็ได้ แล้วเธอล่ะ“


“เราชื่อแม่ทัพ...เดี๋ยวหาน้ำมาให้นกก่อนนะ“


กุลธิดาลุกจากชิงช้าก้าวเข้ามาในศาลาท่าน้ำพลางนั่งลงใกล้นกน้อย เมื่อแม่ทัพตักน้ำมาแล้ว เขาจึงนำใบไม้มาม้วนเป็นทรงกรวยใส่น้ำ โดยมีกุลธิดาคอยอุ้มลูกนกขึ้นเพื่อให้เขาป้อนน้ำใส่ปากมันได้ถนัดถนี่


“กินน้ำแล้ว เดี๋ยวคงมีแรงมากขึ้น“ เด็กสาวคะเน


“แล้วจะทำยังไงกับมันดีล่ะ” แม่ทัพถาม


“ตรงซุ้มเหนือชิงช้ามีรังนกเก่าๆอยู่รังหนึ่ง เราเอามันไปไว้บนนั้นก่อนดีไหม ถ้ามันแข็งแรงดีแล้วก็คงจะบินกลับไปหาแม่มันเอง” กุลธิดาแนะ


แม่ทัพจึงนำนกน้อยไปวางไว้ในรัง แล้วคอยหาอาหารมาให้มันทุกเช้าเย็น โดยมีเพื่อนใหม่เป็นผู้ช่วยเหลือ


ราวหนึ่งสัปดาห์เมื่อนกน้อยแข็งแรงขึ้นแล้วมันจึงบินจากไป หลงเหลือไว้เพียงมิตรภาพระหว่างคนสองคนที่เริ่มผลิดอกออกช่อไปตามกาลเวลา
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:21 am

กุลธิดาเพ่งมองผ่านกระจกสีทึมออกไปยังท้องถนนซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรถราขวักไขว่ สองมือกอดกระเป๋านักเรียนเอาไว้กับอก บทเพลงสากลดังมาจากตอนหน้าของรถเบาๆ เด็กสาวโคลงศีรษะไปตามเสียงเพลงอย่างช้าๆ หากไม่ยอมละสายตาไปจากบริเวณข้างทางซึ่งเป็นประตูด้านหน้าของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง


“ลุงขับเร็วขึ้นได้หรือยังครับ ไม่เห็นมีเพื่อนคุณหนูอยู่เลยนี่ครับ”ลุงสอนผู้เป็นคนขับรถถามขึ้น เมื่อเห็นว่าตนขับเลยบริเวณที่มีคนพลุกพล่านออกมาแล้ว


ดวงตากลมโตของสาวน้อยในชุดนักเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังกวาดมายังจุดเดิมอีกครั้งก่อนเอ่ยอนุญาต “ได้ค่ะ ลุงสอน”


รถยุโรปคันหรูเพิ่มระดับความเร็วขึ้นราวเท่าตัว แต่แล้วเมื่อชายสูงวัยขับมาถึงบริเวณหน้าปากซอยบ้านของเธอเอง สาวน้อยผู้นั่งตอนหลังของรถก็ชะโงกหน้าเข้ามาหาและบอกรัวเร็ว “ลุงสอนคะ จอดรถด้วยค่ะ”


ชายสูงวัยทำตาม ชั่วครู่จึงเอี้ยวตัวกลับไปมองเจ้านายคนเล็กอย่างฉงน “จอดทำไมครับ”


กุลธิดาขยับเรียวปากขึ้นยิ้มเก๋ไก๋ แต่กลับไม่ยอมตอบคำถาม “ลุงเอารถไปเก็บก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวกุ้งเดินกลับเอง”


นายสอนมองนายสาวสลับกับการสังเกตด้านนอกตัวรถ ใจก็นึกกังวล“แต่ว่า...”


สาวน้อยยังคงยิ้ม“คนที่เดินอยู่นั่นน่ะเพื่อนกุ้งเอง ลุงสอนไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับใครนะคะ กุ้งขอร้อง”


“เอ่อ แต่เด็กคนนั้นเป็นผู้ชายนะครับ ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ท่านคง...”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เขาไว้ใจได้”


“เอ่อ...คุณหนูครับ ลุง...ว่า”


กุลธิดาไม่ยอมฟัง รีบวางกระเป๋าลงบนเบาะรถแล้วเปิดประตูผัวะ “ลุงไม่ต้องว่าอะไรทั้งนั้นแหละ ถึงบ้านแล้วให้น้อมเอากระเป๋าไปเก็บให้กุ้งด้วยนะคะ”


พูดจบสาวเจ้าก็ก้าวลิ่วๆลงจากรถ วิ่งเข้าไปหาหนุ่มน้อยในชุดนักเรียนที่กำลังเดินเข้าไปในซอยตามลำพัง “ทัพ รอกุ้งด้วยสิ”


นายสอนมองตามคนทั้งสองอย่างใคร่รู้


หนุ่มน้อยผู้นั้นหันมองผู้ที่วิ่งตามมาพลางนิ่วหน้า แต่เมื่อเห็นกุลธิดายิ้มและชี้ให้เขามองดูดอกปีบข้างทางที่ร่วงกราวลงมาราวกับหิมะโปรยปราย เขาจึงยิ้มตอบบ้าง


เพียงแค่นั้นผู้ผ่านวันผ่านวัยมายาวนานอย่างนายสอนก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ จึงได้เคลื่อนรถหรูเข้าไปสู่คฤหาสน์หลังใหญ่ตามคำบัญชาของผู้เป็นนายไปอย่างช้าๆ




กุลธิดาย่อตัวลงเก็บดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆที่ตกอยู่บนถนนขึ้นมาแตะปลายจมูก “ดอกไม้นี่หอมดีนะ ดอกอะไรเหรอ”


“ดอกปีบไงล่ะ”


ตอบแล้ว แม่ทัพจึงยื่นมือขวาออกไปให้เธอยึดเกาะ พร้อมทั้งออกแรงดึง “ลุกขึ้นเร็ว กุ้ง เดี๋ยวรถก็ชนหรอก”


เธอหัวเราะคิกคัก ทว่ายอมทำตามแต่โดยดี “ทัพไม่ยอมให้รถชนกุ้งหรอกน่า กุ้งรู้”


คำพูดโดยไม่คิดของกุลธิดาทำให้ใบหน้าของแม่ทัพเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัด เขาจึงหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาคมที่จ้องมองมา และเปลี่ยนเรื่อง “แล้วกุ้งจะลงจากรถมาทำไมเนี่ย ร้อนก็ร้อน”


“ไม่เห็นจะร้อนตรงไหนเลย ต้นไม้แถวนี้ขึ้นครึ้มไปหมด กุ้งคิดว่าเดินกลับบ้างก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ออกกำลังกายไปในตัว เออ จริงด้วย วันนี้กุ้งเรียนเลขไม่ค่อยเข้าใจเลยล่ะ”


“งั้นเดี๋ยวตอนไปที่ท่าน้ำ เราจะช่วยอธิบายให้ฟัง”


“ทัพนี่เก่งจริงๆเลยนะ”


คนถูกชมส่ายหัว “ไม่เก่งหรอก ครูเขาสอนดีต่างหากล่ะ”


กุลธิดาอมยิ้ม “งั้นก็เก่งทั้งครูทั้งนักเรียนเลยก็แล้วกัน เอ๊ ขอให้คุณพ่อย้ายกุ้งไปเรียนที่โรงเรียนเดียวกับทัพบ้างดีกว่า”


“เหลวไหลน่า”อีกฝ่ายทำเสียงดุ


กุลธิดายักไหล่ แล้วจึงเงียบไปจนเดินมาถึงประตูหน้าบ้านของตน จึงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “เข้าบ้านก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันที่ท่าน้ำ”


แม่ทัพเตือนความจำ “อย่าลืมเอาหนังสือคณิตศาสตร์มาด้วยล่ะ”


“โอเค” สาวน้อยทำมือเป็นสัญลักษณ์ตามที่พูด แล้วจึงเดินผ่านประตูเล็กเข้าไปในบ้านอย่างร่าเริง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:21 am

สามปีผ่านไป


ค่ำแล้ว แต่กุลธิดายังคงนั่งอยู่บนชิงช้าใต้ซุ้มชมนาดอย่างเหงาหงอย เสียงหมู่นกบินกลับรังดังเจื้อยแจ้ว สายลมจากแม่น้ำพัดโชยแผ่ว แต่สาวน้อยก็มิได้ใส่ใจกับสิ่งรอบตัว ดวงตากลมโตมองทอดไปยังท้องฟ้าสีส้มเรื่อเรืองอย่างเหม่อลอย


วันนี้เป็นวันเกิดของแม่ทัพ แต่เขากลับไม่มาที่ซุ้มชมนาดเหมือนทุกๆวัน เธอจึงนั่งรอและหวังว่าเขาจะต้องมา แต่จนบัดนี้ ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาหนาตา ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา หยดน้ำตาแห่งความน้อยใจเริ่มเอ่อคลอสองตางาม เด็กสาวก้มตัวซบหน้าลงบนเข่า ปล่อยน้ำตาให้ไหลริน


“วันนี้อยู่เย็นจังเลยกุ้ง นึกว่าจะไม่เจอเสียแล้ว” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น กุลธิดาจึงเงยหน้าขึ้นมอง


ผู้มาใหม่ชะงักเมื่อเห็นน้ำตาของเธอ“กุ้งเป็นอะไรไป”


กุลธิดาเม้มปาก สะบัดหน้าหนี


“โกรธเราหรือไง”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่ง แม่ทัพจึงพยายามอธิบาย “วันนี้พี่ชายเราไม่สบาย พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับ เราต้องหาข้าวให้พี่กินก่อน พอเสร็จก็รีบวิ่งออกมานี่แหละ” เขาหยุดเล่าขณะที่หญิงสาวหันมา เรียวปากสีสดยิ้มให้เธอแล้วพูดต่อ“เรารู้ว่าวันนี้กุ้งต้องมารอ”


ถ้อยคำของเขา ทำให้เธอยิ้ม...ทั้งน้ำตา เขาเป็นคนเดียวที่รู้ใจแม้ไม่ต้องอธิบายคำใดๆเลยสักคำ


“สุขสันต์วันเกิดทัพ กุ้งมีของขวัญให้ด้วย” เธอบอกพลางก้มลงไปหยิบสมุดบันทึกสีชมพูที่วางอยู่บนชิงช้ายื่นให้กับเขา


แม่ทัพยื่นมือไปรับแล้วขมวดคิ้ว “ทำไมให้สีชมพูล่ะ เราไม่ใช่กะเทยสักหน่อย”


กุลธิดาหน้าแดงเรื่อ แต่ก็พยายามกลบเกลื่อน


“คือ เอ่อ...อ้อ..คุณแม่ซื้อมาฝากกุ้งสองเล่มน่ะ ก็เลยแบ่งให้ทัพเล่มหนึ่ง” เด็กสาวปด เพราะแท้จริงแล้วเธออยากให้เขาได้ใช้ของคู่กันกับของตนเองต่างหาก “สวยไหม”


ผู้ถูกถามพยักหน้าพลางจ้องหน้างามใต้ความสลัว


“สวยมาก”


“เราจะเขียนความรู้สึก ความคิดที่ไม่อยากบอกใครลงไป แล้ววันหนึ่งเราก็จะเอามาแลกกันอ่าน”


“ไม่อยากบอกใครแล้วทำไมต้องแลกกันอ่านด้วยล่ะ” เขาย้อนถาม


“ก็...เราไม่เคยมีความลับต่อกันนี่นา” เธอบอกแล้วจึงลุกขึ้น เดินตัวปลิวจากไป


สายตาคมปลาบของหนุ่มน้อยร่างสูงได้แต่มองตาม จนอีกฝ่ายลับหายเข้าไปในประตูรั้วเหล็กดัดสีขาวที่มองเห็นชัดเจนในความสลัว


นับวันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็งอกงามขึ้นเรื่อยๆ ทุกเย็นสองหนุ่มสาวจะมาพบกันที่ซุ้มชมนาดเสมอ พูดคุยแลกเปลี่ยน และปรับทุกข์กันจนเป็นความเคยชิน ขณะที่สมุดบันทึกสีชมพูก็เริ่มมีข้อความที่มาจากใจเพิ่มขึ้น
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:22 am

“กุ้งอยากรู้เหลือเกินว่าทัพคิดยังไงกับกุ้ง” ปากกาสีน้ำเงินจากมือเรียวงามเขียนลงบนสมุดบันทึกก่อนจะถูกวางลง เมื่อมารดาก้าวเข้ามาในห้อง


“แม่มีเรื่องจะคุยกับหนู” มารดาบอกเมื่อนั่งลงที่ปลายเตียง


เด็กสาวหันมาเผชิญหน้า จ้องผู้ให้กำเนิดตาแป๋ว


“พวกคนใช้บอกว่าช่วงที่คุณพ่อกับแม่ไปทำงาน หนูไปที่ท่าน้ำทุกวัน”


กุลธิดาชะงัก กัดริมฝีปากจนแน่น ด้วยเกรงจะถูกห้ามปราม


“แม่อยากรู้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”


ผู้อ่อนวัยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนตอบด้วยความมั่นใจ


“เขาชื่อแม่ทัพค่ะ เป็นเพื่อนของกุ้ง”


“แน่ใจว่าไม่โกหกแม่” ผู้เป็นมารดาย้ำเพื่อความแน่ใจ


“แน่ใจค่ะ” ตอบพลางแอบคิดว่า จะโกหกได้อย่างไรในเมื่อเขายังไม่เคยขอคบกับเธอนี่นา


“แม่ห่วงลูก เพราะคุณพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน” สีหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเป็นห่วงกังวล กุลธิดาขยับเข้าไปหาท่านแล้วโอบเอวได้รูปจากทางด้านหลัง


“กุ้งเข้าใจดีค่ะ แต่คุณแม่อย่าห่วงกุ้งเลยนะคะ กุ้งจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”


มารดาพยักหน้า “แม่มีอีกเรื่องที่จะบอกลูกให้เตรียมตัวเอาไว้”


“เรื่องอะไรคะ”


“เดือนหน้าคุณพ่อจะต้องไปประจำอยู่สถานทูตอังกฤษ เราจะให้นายสอนช่วยดูแลบ้านนี้ แล้วไปอยู่ที่โน่นกัน”


แขนที่โอบเอวมารดาอยู่นั้นเกร็งจนคุณสุจินดารู้สึกได้ ความสะเทือนใจไหลปรี่ขึ้นมาในอก จนสุดที่เด็กสาวจะเก็บอารมณ์ได้ไหว


“เป็นอะไรไปหรือเปล่าลูก”


“ปละ...เปล่าค่ะ” เธอพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น


สิ่งที่รับรู้ทำให้กุลธิดารู้สึกสับสนจนเกินจะเก็บเอาไว้ได้ คนเดียวที่เธอต้องการปรึกษาคือ แม่ทัพ วันต่อมา เธอจึงออกไปรอเขาที่ซุ้มชมนาดเร็วกว่าทุกวัน


กุลธิดานั่งแกว่งชิงช้าไปพลางครุ่นคิดไปพลาง แต่แล้วชิงช้าที่กำลังแกว่งไกวกลับหยุดชะงักกึก ด้วยแรงตรึงของใครบางคน เธอหันขวับ


“วันนี้ทำไมมาเร็ว” แม่ทัพถามยิ้มๆพลางเดาอย่างเข้าข้างตนเองเต็มที่ “คิดถึงเราล่ะสิ”


เพียงเห็นหน้าเขา ความเข้มแข็งทั้งมวลก็พังทลายลง หยดน้ำตาของกุลธิดาร่วงหล่นลงมาเป็นสาย ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หัวเราะ ร้องไห้ สุข เศร้า ร่วมกันมาตลอด แล้ววันนี้...เพียงแค่คิดว่าจะต้องจากกัน ก็รู้สึกทนไม่ได้เสียแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆเล่า เธอจะหักห้ามความรู้สึกได้อย่างไร


“หยุดร้องได้แล้วคนขี้แย วันนี้เรามีเรื่องจะบอกล่ะ แต่กุ้งต้องหยุดร้องไห้ก่อน” เขาย่อตัวลงนั่งตรงหน้าอีกฝ่าย แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม ปลอบประโลม..อ่อนโยน


“กุ้งก็มีเรื่องจะบอกทัพเหมือนกัน”


“ถ้างั้นกุ้งบอกก่อน” ก็...เขาเพียงแค่อยากบอกความรู้สึกที่มีต่อเธอมาตลอดสามปีเท่านั้นเอง


“คือกุ้งต้องไปอยู่อังกฤษกับคุณพ่อคุณแม่” เธอบอกทั้งน้ำตา “กุ้งไม่ไปนะทัพ กุ้ง...”


เด็กสาวชะงักถ้อยคำเอาไว้ ด้วยเกรงว่าถ้าบอกความในใจ เขาอาจจะมีปฏิกิริยาเปลี่ยนไป หากไม่ได้รู้สึกตรงกัน


แม่ทัพอึ้ง ลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังเดินออกไปหยุดอยู่ที่ท่าน้ำ เนิ่นนานกุลธิดาจึงก้าวตามไปหยุดยืนใกล้ๆ


“แล้วทัพมีอะไรจะบอกกุ้งล่ะ” เธอถาม


แม่ทัพหันมาเผชิญหน้า ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ สักครู่ก็ยิ้ม...หากแต่เป็นยิ้มที่ดูอ่อนล้าเต็มที


“เราล้อเล่นน่ะ แค่หลอกให้กุ้งเลิกร้องไห้”


กุลธิดามองเขา แม่ทัพจ้องตอบ ดวงตาคู่นั้นแสดงความรู้สึกหลาย ๆ อย่างออกไป ครู่ใหญ่เขาจึงดึงเธอเข้ามากอด ปล่อยให้เจ้าของร่างระหงร้องไห้จนเสื้อของเขาเปียกชื้นไปทั้งช่วงไหล่


“กุ้งจะไปเมื่อไรละ” จู่ๆเขาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามเข้มแข็งเต็มที่


“เดือนหน้านี่แล้ว ทัพ...ทัพจะลืมกุ้งไหม ถ้าเราไม่ได้เจอกัน”


อ้อมแขนของเขารัดแน่นขึ้น เมื่อตอบคำเธอ “เราไม่มีวันลืมกุ้ง เราจะจำกุ้งไปจนวันตาย”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:23 am

รถสีดำคันใหญ่ซึ่งมีกุลธิดานั่งอยู่ด้านหน้าคู่คนขับ บิดาและมารดาของเธอนั่งอยู่เบาะหลังเคลื่อนออกมาจากประตูรั้วอัลลอยด์ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก


“ตอนพวกเราไม่อยู่ ดูแลบ้านดีๆนะนายสอน”ผู้เป็นบิดาของกุลธิดาเอ่ยขึ้น


“ครับ คุณท่าน ผมกับเมียจะดูแลบ้านนี้รอคุณๆกลับมา”


“ดีแล้ว”คุณท่านพึมพำอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงหันมาทางบุตรสาวพลางขมวดคิ้ว เมื่อเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลน คล้ายกำลังมองหาอะไรสักอย่างของเธอ“มองหาอะไรกันกุ้ง”


สาวน้อยหันมาทางบิดา สั่นหน้า “เปล่าค่ะ”


แต่แล้วเมื่อเธอหันไปมองด้านซ้ายของถนนอีกครั้ง จึงพบว่าเวลานี้แม่ทัพกำลังยืนอยู่ข้างจักรยานคันเล็กๆบริเวณใต้ต้นปีบต้นใหญ่
เธอตัดสินใจเอี้ยวตัวมามองบิดาและมารดาพร้อมกับขออนุญาต “กุ้งขอลงไปลาเพื่อนสักครู่นะคะคุณพ่อ คุณแม่”


“ไม่ได้นะกุ้ง เด็กคนนี้ใช่ไหม ที่ลูกมักจะออกไปเจอที่ท่าน้ำบ่อยๆน่ะ”มารดาท้วงเสียงแข็ง ทว่าฝ่ายบิดากลับแตะมือลงบนแขนของภรรยาเบาๆและบอกให้นายสอนจอดรถทันที


“ให้ลูกลงไปเถอะ อีกนานกว่าเขาจะได้เจอกันอีกครั้ง”


กุลธิดายกมือไหว้ขอบคุณท่านทั้งสอง ก่อนเปิดประตูลงจากรถด้วยรอยยิ้มที่แตะแต้มอยู่บนดวงหน้าอันแสนเศร้า





เสียงรองเท้ากระทบพื้นแต่ละก้าวนั้นสะเทือนมาถึงหัวใจของผู้ที่ยืนรออยู่ ขณะที่ปากของเขาเริ่มสั่นเมื่อเห็นร่างบางมายืนอยู่ตรงหน้า


มือใหญ่สั่นระริกเอื้อมไปจับมือของกุลธิดามากุมไว้


ดวงตาคมกริบสบสายตาเจือไปด้วยหยดน้ำของผู้ที่กำลังจะจากไปนิ่ง ไม่ปริปากเอ่ยคำใดๆออกมา ราวกับต้องการส่งผ่านความรู้สึกในใจออกไปทางดวงตาคู่นั้น


“กุ้งต้องไปแล้วนะทัพ ดูแลตัวเองด้วย”


เขาพยักหน้าและเม้มริมฝีปากของตนแน่น ความรู้สึกเศร้าหมองท่วมท้นอยู่ในหัวใจ เขาอยากจะรั้งเธอเอาไว้ให้อยู่เคียงข้างแต่ก็ต้องยอมจำนนต่อเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะเพื่ออนาคตของเธอ เขาต้องทนให้ได้


“ทัพจะไม่พูดอะไรบ้างเลยเหรอ”น้ำเสียงถามนั้นสั่นสะท้าน


หนุ่มร่างสูงสั่นหน้า ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วจึงดึงร่างบางเข้ามากอดแน่นโดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมาจากในรถหรู เช่นเดียวกับกุลธิดาที่ยกสองมือขึ้นโอบกอดตอบ ร่ำไห้


“กุ้งจะคิดถึงทัพทุกวันนะ”


คำสัญญาที่ได้ยินทำให้เขาดึงร่างของเธอออกห่างจากตัว ฝืนยิ้ม “เดินทางปลอดภัยนะกุ้ง แล้วสักวันเราจะมาพบกันใหม่”


“รอกุ้งนะ สัญญาสิ ”เธอรบเร้าพร้อมทั้งเขย่ามือเขาไม่ยอมหยุด


แม่ทัพจึงพยักหน้า “เราจะรอ”


ลมเย็นพัดมาเบาๆ ดอกไม้สีขาวร่วงหล่น


แม่ทัพจูงมือพาร่างบางไปส่งที่รถ หลังยกมือไหว้บิดามารดาของเธอแล้ว เขาจึงดึงมือเธอมากุมไว้อีกครั้ง เพื่อถ่ายทอดไออุ่น ความรู้สึก ความผูกพันให้แก่กัน “ไปเถอะกุ้ง เราจะจากกันด้วยรอยยิ้มนะ เพราะเราจะต้องกลับมาพบกันอีกครั้ง...อย่างแน่นอน”


“สัญญานะ” เธอยังคงย้ำ


“เราสัญญา”เขายืนยันหนักแน่น จากนั้นจึงปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ


ก่อนเอื้อมไปเปิดประตูให้ แล้วดันร่างบางเข้าไปนั่งในรถ


ปิดประตูลงอีกครั้ง


ปัง! เสียงนั้นยังสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ในอก


รถแล่นออกไปแล้ว แต่ผู้ที่นั่งอยู่คู่คนขับยังคงเอี้ยวตัวกลับมาโบกมือให้ผู้ที่ยืนทื่ออยู่เบื้องหลังหยอยๆ


ใบหน้าของแม่ทัพนั้นดูเรียบเฉย แต่ใครจะรู้บ้างเล่าว่า …หัวใจของเขากำลังแหลกยับลงแล้วในเวลานี้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: บทคัดย่อ แบบฝึกเสริมทักษะการสร้างจินตนาการสู่งานเขียน ม.

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 03 ก.ค. 2018 7:23 am

ก็อก...ก็อก เสียงประตูดังกระชั้นขึ้นทำให้แพรรัมภาสะดุ้ง ภาพในจินตนาการหายวับ


“หนูแพรลงมาทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันพิธีเผาศพคุณอาทัพนะลูก” เสียงมารดาดังลั่น พรรัมภาจึงรีบปิดสมุดบันทึก แล้วก้าวออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมหยิบมันติดมือออกมาด้วย


เมื่อรับประทานอาหารและอาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้ว พรรัมภาจึงเดินกอดถุงกระดาษขนาดย่อมเอาไว้กับอก เดินตามมารดาเข้าไปในศาลาซึ่งประดับประดาไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส ตรงข้ามกับผู้ที่นั่งอยู่ด้านในที่ล้วนแต่อยู่ในชุดสีดำ ทันทีที่มารดานั่งลงและหันไปทักทายญาติผู้ใหญ่ เด็กสาวจึงลุกจากเก้าอี้เดินเลี่ยงเข้าไปหาสตรีวัยไล่เลี่ยกับมารดาซึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้ด้านหลังสุด


“สวัสดีค่ะคุณน้า”


คุณกุลธิดารับไหว้พลางยิ้มน้อย ๆ หากแต่ความเศร้าสร้อยก็ยังมิเจือจาง


“อย่าลืมทำตามที่ฉันขอร้องหนูเอาไว้นะจ๊ะ” ผู้สูงวัยสำทับ


พรรัมภาไม่ตอบอะไร นอกจากเปิดถุงกระดาษออกแล้วหยิบสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา


คุณกุลธิดาจ้องมองสมุดบันทึกที่วางซ้อนกันอยู่สองเล่มด้วยดวงตาพราวพรายไปด้วยหยดน้ำแห่งความรู้สึก เนิ่นนาน...จึงยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาเปิดมันออกดู...


“แพรอยากให้คุณน้าเก็บมันเอาไว้ค่ะ”


ผู้สูงวัยเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยแววตาฉงน


พรรัมภายิ้ม แล้วจึงเอื้อมไปเปิดสมุดบันทึกหน้าที่ตนเองใช้ที่คั่นหนังสือคั่นเอาไว้ แล้วหยิบที่คั่นนั้นออกมา คุณกุลธิดาจึงมองเห็นตัวอักษรสีน้ำเงินจาง ๆ นั้นอย่างชัดเจน


...เราตั้งใจจะบอกว่า เรารักกุ้งมานานแล้ว แต่มันเป็นรักที่ปรารถนาดีและพร้อมที่จะให้ เมื่อกุ้งบอกว่าคุณพ่อคุณแม่จะย้ายไปประจำอยู่ประเทศอังกฤษ เราจึงเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจคนเดียว..ตลอดมา...


“คุณน้าลองอ่านหน้าสุดท้ายสิคะ อาทัพเขียนเอาไว้ก่อนตาย” เสียงคนบอกเครือในท้ายประโยค


คุณกุลธิดาทำตามอย่างว่าง่าย พลางเขม้นมองตัวอักษรผ่านม่านน้ำตา


...เรามีความสุขกับภาพความทรงจำเก่าๆที่เต้นระยับอยู่ในความรู้สึก แม้มันจะผ่านไปถึงสี่สิบปีแล้วก็ตาม ทุกอย่างที่เป็นกุ้ง ทำให้เราเรียนรู้ว่า การโอบกอดความรักแม้ไม่ได้อยู่เคียงข้าง ก็ยังดีกว่าอยู่อย่างมีคนรักแต่ไร้หัวใจ...


“นี่ล่ะค่ะ เหตุผลที่อาทัพไม่เคยคิดจะแต่งงานกับใคร เพราะเขามีความสุขที่มีคุณน้าอยู่ในใจมาตลอดสี่สิบปี”


คุณกุลธิดายกสองมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้ ก่อนจะเอ่ยปากบอกความในใจกับหลานสาวของผู้ชายที่เธอรัก


“ฉันกลับมาอยู่เมืองไทยก่อนหน้าที่เขาจะเสียไม่กี่วัน ฉันมาช้าไป...จึงไม่ได้บอกเขาว่า ฉันเองก็รักเขามาตลอด เป็นเกียรติเหลือเกินที่ชีวิตนี้ได้พบกับความรักที่แท้จริง ฉันจะเก็บสมุดบันทึกสองเล่มนี้เอาไว้ด้วยกันตามที่หนูบอก ตราบใดที่ความทรงจำของฉันยังเหลืออยู่ เราจะยืนอยู่เคียงข้างกันใต้ซุ้มชมนาดเหมือนทุกวันที่เคยเป็นมา”


พลันนั้น แสงไฟในศาลาก็ดับพรึบลง พัดลมที่หมุนอยู่เหนือศีรษะหยุดชะงัก แต่กลับมีสายลมพัดโชยเข้ามาจากด้านนอกดังวู่หวิว ราวกับเสียงกระซิบแผ่วเบาว่า “ฉันรักเธอ”

ชนะเลิศ เรื่องสั้น ๔๐ ปีรักนี้เบ่งบาน จาก เว็บไซต์ช่อง ๓ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปีช่อง๓
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am


ย้อนกลับไปยัง เรื่องสั้น

ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน

cron