ป่าแหว่ง เสียงเตือนจากความทรงจำ

เรื่องสั้น บทความ ต่างๆ

ป่าแหว่ง เสียงเตือนจากความทรงจำ

โพสต์โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 20 เม.ย. 2018 9:38 pm

ป่าแหว่ง “เสียงเตือน”จากความทรงจำ #เรื่องสั้นขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ

13899999_resize.jpg
13899999_resize.jpg (48.62 KiB) เปิดดู 3939 ครั้ง


อากาศรอบกายร้อนระอุมากขึ้นเรื่อยๆ วีนาชาไปทั้งฝ่าเท้า ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนพื้นที่ซึ่งถูกเปลวเพลิงแผดเผาไปได้ไม่นาน ลมหายใจเริ่มติดขัด หูอื้อ ดวงตาพร่ามัว เธอพยายามมองฝ่าหมอกควันออกไป แล้วกลับต้องยกมือขึ้นทาบอก ถอยหลังกรูดอย่างทันที
แต่เพราะความร้อนอีกนั่นแหละที่ทำให้เธอหันหลังกลับไปมอง
“กรี๊ดดดด!” หญิงสาวกรีดร้องออกไปสุดเสียง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่มันอะไรกัน เธออยู่ที่ไหน แล้วคนอื่นๆไปไหนกันหมด เหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง
สถานที่อันเต็มไปด้วยความอับชื้นเนื่องจากมีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น ทว่ารอบกายของเธอนี่สิ มองเห็นซากศพซึ่งนอนอยู่บนกองฟอนและกำลังถูกไฟเผาอยู่เต็มไปหมด
ขณะที่วีนากำลังหันรีหันขวาง ซากศพซึ่งอยู่ใกล้ตัวเธอก็เริ่มขยับลุกขึ้น
“อย่านะ อย่าทำอะไรฉัน” เสียงแผ่วเบาอันสั่นเครือเอ่ยออกไป พร้อมกับถอยกรูด
ดวงตาปูดโปนจ้องมองมาอย่างเกลียดชัง แล้วซากศพจึงประกาศก้อง “มึง มาทับที่กู มึงต้องต๋าย!”
“ทะ ทับ อะไร ฉันไม่รู้เรื่อง” หญิงสาวใจดีสู้เสือถามออกไป คล้ายจะประวิงเวลา
ทว่าซากศพกลิ่นเหม็นคลุ้งมิได้สนใจ มันย่างสามขุมเข้ามาหาเธอในระยะประชิด วีนาหลับตาปี๋ ด้วยไม่สามารถข่มใจมองร่างอันฟอนเฟะที่มีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเบื้องหน้าได้ เธอถอยอีกไม่ได้แล้ว เพราะอีกเพียงคืบร่างก็จะปะทะกับกองฟอนอีกกอง
“หยุด!” น้ำเสียงบุรุษหนึ่งดังก้องหู
เพียงชั่วครู่ กลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มจางหายไป วีนาลืมตาขึ้นมองหาเจ้าของเสียง แต่ก็ไม่พบใครแม้แต่คนเดียว

“วีวี่ ตื่นได้แล้ว ต้องไปมหา’ลัยนะลูก” เสียงเคาะประตูดังลั่น ปลุกหญิงสาวให้ตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่ยังเต้นโครมคราม เธอเพียงแค่ฝันไปเท่านั้น
“ค่ะ คุณแม่ ตื่นแล้วค่ะ กำลังจะอาบน้ำ” เธอรีบตอบมารดา ก่อนที่จะผุดลุกขึ้นจากที่นอน คว้าผ้าขนหนู แล้วก้าวเร็วๆเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลัง


“ทำไมวันนี้ทำหน้าเครียดล่ะลูก” ท่านปรีชาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลังวางช้อนและส้อมลงบนจาน แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
วีนายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ใช้ผ้าซับปากเบาๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นตอบบิดา “หนูไม่อยากไปเรียนเลยค่ะคุณพ่อ”
“อ้าว! ทำไมล่ะลูก วีวี่เคยบอกแม่ว่าชอบบรรยากาศเชียงใหม่ และอยากมาเรียนมหา’ลัยที่นี่ไม่ใช่หรือลูก โชคดีแค่ไหนที่คุณพ่อได้ย้ายมาประจำที่นี่ พร้อมๆกับที่หนูเข้าปี ๑ พอดี” มารดาท้วง
หญิงสาวถอนใจก่อนตอบ “ค่ะ วีวี่เคยอยากมาเรียนที่เชียงใหม่ แต่พอเอาเข้าจริง วีวี่ไม่มีความสุขเลย เพื่อนๆมหา’ลัยมองวีวี่เหมือนเป็นศัตรู มีน้อยคนที่จะยอมคุยด้วย”
ผู้เป็นบิดาขยับขึ้นนั่งตัวตรง “ชักไปกันใหญ่แล้วคนพวกนี้ มันจะอะไรนักหนากับการที่พวกเรามาพักอยู่ที่นี่ เรามาทำงาน รัฐเขามีบ้านพักให้เราก็ต้องอยู่ ไม่งั้นก็ต้องลำบากหาซื้อบ้านอีก แล้วสถานะอย่างพ่อเนี่ย จะไปอยู่รวมกับคนทั่วไปก็ไม่ได้ มันไม่เหมาะสม”
“ใจเย็นๆค่ะคุณ สักพักลูกอาจจะปรับตัวได้ เด็กๆก็ไม่ค่อยมีเหตุผลแบบนี้แหละค่ะ” คุณวดีพยายามเกลี้ยกล่อม
ท่านปรีชาสั่นหน้า “ผมจะปล่อยให้ลูกเรียนอย่างไม่มีความสุขไม่ได้หรอก เห็นทีจะต้องโทร.ไปคุยกับคณบดี ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ให้ลูกยังไง คนเมืองนี้เป็นบ้าไปหมด ไปที่ไหนก็มองพวกเราเหมือนเป็นตัวประหลาด”
คุณวดีเอื้อมมือไปวางบนหลังมือใหญ่ของสามีเบาๆ “อย่าคิดมากค่ะคุณ ฉันเชื่อว่าสักระยะคนจะเข้าใจทุกอย่างเอง เราเป็นคนดี คงไม่มีอะไรเลวร้ายหรอกค่ะ”
“งั้นวีวี่ไปเรียนก่อนนะคะ” วีนาลุกขึ้น แล้วหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ที่ยืนรอ เพื่อช่วยถืออุปกรณ์การเรียนไปส่งที่รถ
ความเครียดเธอตอนนี้มาจากสถานการณ์ในมหาวิทยาลัยก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั้นมาจากความฝันที่คล้ายกับความจริงเสียเหลือเกิน



เวลาหนึ่งวันสำหรับวีนาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เธอพยายามตั้งสมาธิฟังอาจารย์ผู้สอน ทั้งๆที่รู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่มองมาอย่างเกลียดชัง จวบจนอาจารย์เดินออกจากห้องไป วีนาจึงเก็บของเตรียมลุกขึ้น
“ไปกินข้าวด้วยกันนะวีวี่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมเข้มเอ่ยชวน พลางเอื้อมมือมาช่วยถือของให้
ธนัยเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ยอมรับเธอได้ ส่วนคนอื่นน่ะหรือ ต่างก็มองว่าเธอเห็นแก่ตัว เหตุผลเพียงเพราะเธอตามบิดาไปพักอยู่ในบ้านพักข้าราชการที่ตั้งอยู่บนภูเขา
“ธนัยนี่ดีจังนะ ทำใจคบกับคุณหนูวีวี่ได้โดยไม่รู้สึกอะไร” สาวสวยปากกล้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ก่อนจะยิ้มมุมปาก และจ้องมองคนทั้งคู่เขม็ง
ชายหนุ่มส่ายศีรษะแล้วยิ้มจางๆ “เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่เกี่ยวกับวีวี่หรอกน่าฝ้าย มีเหตุผลหน่อยสิ ยังไงวีวี่ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเรานะ”
“ฝ้ายไม่สนใจหรอก ฝ้ายมองส่วนรวมเป็นหลัก ถ้าคนพวกนี้มองเห็นหัวคนอื่นบ้าง ก็คงไม่คิดทำอะไรที่มันทำร้ายจิตใจพวกเราขนาดนี้หรอก พวกเรานับถือดอยนี้มาเป็นพันๆปี อยู่ดีๆมีใครก็ไม่รู้ขึ้นไปอยู่บนนั้น สูงกว่าพระกว่าเจ้า วัดวาอารามก็อยู่ข้างล่าง นี่ยังไม่รวมกับที่เราต้องเสียป่า เสียตาน้ำ ลำห้วยไปอีกนะ ” ฝ้ายจีบปากจีบคอตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงอารมณ์เต็มที่ ก่อนจะหันมองสาวสวยร่างระหงผู้เป็นหัวข้อสนทนา “หรือเธอว่าไม่จริง ยายคุณหนูวีวี่”
“เราหิวแล้วธนัย ถ้าจะไปก็ตามมา” วีนาตัดบทก่อนจะเดินลิ่วๆออกมา โดยมีธนัยก้าวตามมาติดๆ แต่ก็ยังได้ยินเสียงของฝ้ายที่ตะโกนตามมา
“ระวังเถอะ ธรรมชาติจะเอาคืน”
เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ผละมาจากฝ้าย วีนากลับพบว่ามีรุ่นพี่จากชมรมสิ่งแวดล้อมอีกสองคนยืนขวางทางอยู่ “เจอพอดีเลย เธอไปเอาใบสมัครชมรมคืนไปด้วยนะ พวกมือถือสากปากถือศีลพวกเราไม่ต้อนรับ”
“ทำไมละคะพี่ หนูตั้งใจเลือกชมรมนี้จริงๆนะคะ” วีนาครวญ นี่คงเป็นอีกบทลงโทษหนึ่งที่คนที่นี่ลงทัณฑ์ในสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อ
ทว่าอีกฝ่ายกลับด้วยสายตาหมิ่นแคลน “อยากอยู่ชมรมสิ่งแวดล้อม แต่เป็นพวกทำลายป่าเนี่ยนะ”
อารมณ์โกรธแล่นเข้ามาในอก วีนาพยายามข่มมันไว้ แล้วตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “หนูก็แค่นักศึกษาเหมือนพี่ๆนี่แหละ เรื่องของผู้ใหญ่ก็เป็นเรื่องของเขาสิคะ หนูเกี่ยวอะไร ทำไมคนที่นี่ถึงไม่แยกแยะกันบ้าง พวกเราก็พยายามปลูกต้นไม้รอบๆบ้าน..”
เสียงหัวเราะอย่างขบขันดังแทรกขึ้นมาทันใด “ดอกลั่นทมนั่นน่ะเหรอ เขาเอาไว้ปลูกกันในป่าช้า อ๋อ ! หรือว่าจะปลูกเตรียมเผื่อหน้าดินสไลด์ น้ำป่าถล่ม ตรงนั้นจะได้เป็นป่าช้าจริงๆ”
วีนาฉุนกึก “มันจะเกินไปแล้วนะ”
ธนัยดึงมือบอบบางอันเย็นเฉียบเบาๆ “ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเลย เราห้ามความคิดคนไม่ได้หรอก คนที่นี่เขาไม่เหมือนที่กรุงเทพฯนะวีวี่”
วีนาไม่ตอบประการใด แต่ก็ยอมก้าวเดินตามธนัยออกไปด้วยแววตาที่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา


โน้ตบุ๊กถูกปิดลงเมื่องานชิ้นสุดท้ายถูกปริ๊นต์ออกมาแล้ว ร่างสูงระหงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืนพิงขอบหน้าต่างมองออกไปยังเบื้องล่าง บ้านพักของเธออยู่บนดอยสูง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์เชียงใหม่ได้ทั้งเมือง เธอเคยตื่นเต้นมากเมื่อได้เห็นที่นี่ครั้งแรก แล้วทุกอย่างก็พังทลายเมื่อภายหลังทราบว่าคนที่นี่ไม่ต้อนรับทุกคนที่มาอยู่บ้านพักนี้ เพราะเขาหวงดอย ดอยที่มีคุณค่าต่อจิตใจของพวกเขามาอย่างยาวนาน แล้วเธอจะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อครอบครัวจำเป็นต้องมาทำงานที่นี่ และบ้านหลังนี้คือบ้านพักของท่านปรีชา บิดาของเธอ
“ไปเหีย” เสียงใครบางคนดังมาจากที่ไกลๆ
วีนาชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ก็พบเพียงความมืดและแสงไฟที่ส่องลอดมาจากบ้านพักหลังอื่น บ้านพักของเธออยู่สูงที่สุด ติดพื้นที่ป่าสงวน จึงทำให้มีโอกาสใกล้ชิดธรรมชาติ และเห็นทิวทัศน์ที่สวยกว่าใครๆ เธอเคยภูมิใจในสิ่งที่ตนเองได้รับ ต่างจากเวลานี้ ถ้าเลือกได้เธอก็ไม่ต้องการเป็นสิ่งแปลกปลอมในสังคมเหมือนที่เป็นอยู่
ลมเย็นโชยมาปะทะเรือนร่างของหญิงสาววูบใหญ่ ความหนาวยะเยือกเกิดขึ้นชั่วครู่ น่าแปลกทั้งๆที่ช่วงนี้เป็นฤดูร้อนที่แสนอบอ้าว แต่เธอกลับรู้สึกหนาวอย่างประหลาด อาจจะเป็นเพราะดึกมากแล้ว และช่วงนี้อากาศแปรปรวน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวก็พายุเข้า เดี๋ยวลูกเห็บตก เพียงไม่นานเธอจึงตัดสินใจเดินกลับขึ้นเตียงเข้าสู่นิทราอันแสนสุข


“ฝ้ายคำ ฝ้ายคำ” เสียงดังอยู่ข้างหู ทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว จึงหันไปมองผู้เรียก
ชายหนุ่มร่างสูง ผิวสองสี ใบหน้าคมสัน ในชุดทหารโบราณกำลังเดินแกมวิ่งเข้ามาหา “พ่อพญาสิ้นแล้วเน้อ”
ใบตองที่กำลังจีบม้วนในมือของหญิงสาวร่วงลงโดยที่เธอไม่รู้ตัว น้ำตาเอ่อคลอตางาม “จะใดกั๋นพ่อพญาสิ้นได้จะใดอ้ายแสนคำ”
ชายหนุ่มนั่งลงข้างสาวคนรักแล้วจึงขยายความ “ตั้งแต่พ่อพญาเสียรู้องค์เทวีจ๋นอาคมเสื่อม พลาดพลั้งหมดเสี้ยงทุกอย่าง ก็เลยเสียอกเสียใจ๋จ๋นเจ็บไข้ขึ้นมา อาก๋ารก็ทรุดลงเรื่อยๆจ๋นวันนี้...”
หญิงสาวยกมือขึ้นจรดหัว “ไหว้สา”
ฝ้ายคำเกิดในตระกูลนักรบ เธอถูกปลูกฝังให้รักชาติบ้านเมือง และมีความจงรักภักดีเท่าชีวิต เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นจึงทำให้เธอเศร้าใจนัก “เจ้าอุปราชคงจะขึ้นแว่นแก้วเสวยเมืองแตน”
“พ่อพญาสั่งเสียว่าหื้อเอาร่างของเพิ่นไปฝังไว้ตี้ดงลาน เพิ่นจะได้อยู่ปกปักรักษาเมือง” แสนคำกล่าวต่อ
ฝ้ายคำปาดน้ำตา “เพิ่นยังห่วงหมู่เฮา”
แสนคำพยักหน้าเบาๆ “แม่นละ เพิ่นยังทำหน้าที่จ๋นนาทีสุดท้าย”
“เฮาก็เหมือนกั๋นเจ้า ตระกูลเฮาทั้งสองรับใช้แผ่นดินมาเมินหลายยุคหลายสมัย พ่อแม่สั่งสอนหื้อรักแผ่นดิน น้องบ่มีวันลืม น้องจะบ่มีวันทรยศต่อเมืองเจียงบัวของเฮา” ฝ้ายคำกล่าวพลางปล่อยให้น้ำตาไหลริน ความรู้สึกหลายๆอย่างประดังเข้ามาในหัวใจ ชายคนรักจึงกอดประคองร่างนางไว้หลวมๆเพื่อปลอบขวัญ


เมื่อถึงวันอันโศกเศร้า ฝ้ายคำได้ตามไปส่งดวงพระวิญญาณของพ่อพญาถึงดงลาน หญิงสาวยืนมองเปลวเพลิงที่แผดเผาปราสาทบรรจุพระศพด้วยความสะเทือนใจ น้ำตาของหญิงสาวไหลริน แต่กลับทำให้เธอรู้สึกถึงความร้อนที่มากขึ้น...มากขึ้น พร้อมกับเสียงหนึ่งดังก้องโสต “ดงลานบ่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์เมืองคน สูลบหลู่อารักษ์ป่าดอย หมู่สูจะต้องต๋าย”
“ฝ้ายคำ ตื่นได้แล้ว” น้ำเสียงของแสนคำดังแทรกเข้ามา พร้อมกับที่ร่างระหงถูกกระชากโดยแรง
พลันนั้นหญิงสาวผุดลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความตกใจ แล้วเธอก็ต้องเบิกตาโพลง เมื่อเห็นเปลวไฟลุกโชนอยู่รอบด้าน
“คุณพ่อคะ คุณแม่” วีนาตะโกนเสียงดังลั่น แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา มีเพียงเปลวเพลิง และเสียงแตกหักพังของสิ่งของในบ้าน เธอพยายามวิ่งไปที่หน้าต่าง แล้วตะโกนอีกครั้ง “ช่วยด้วย!”
ภาพที่เห็นภายนอกตัวบ้านคือ หลายจุดในหมู่บ้านก็มีเปลวเพลิงแดงฉานลุกท่วม
“ไฟป่า” เธอกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องยกมือขึ้นปิดจมูก เมื่อควันกลุ่มใหญ่โชยเข้ามา พร้อมกับเปลวไฟที่ค่อยๆลามเข้ามาในห้อง
เธอรู้สึกเหมือนในความฝันคืนนั้น ความอึดอัด แผดร้อน รัดรึงทั่งสรรพางค์ วีนาอ่อนแรงลงแต่ก็พยายามพยุงตัวเข้าไปหลบในห้องน้ำ เธอเปิดน้ำชโลมร่างให้เปียก แต่ก็ไม่สามารถออกไปด้านนอกได้ เนื่องจากความร้อนมากเกินจะต้านทาน
ราวสิบนาทีหญิงเริ่มหายใจไม่ออก หูอื้อ และดวงตาพร่ามัวลงเรื่อยๆ ทว่าภาพที่ปรากฏแก่สายตา คือ ภาพผู้คนที่กำลังถูกเผาบนกองฟอนตั้งอยู่รอบตัวเหมือนในฝันคืนนั้น
“ที่นี่เคยเป็นป่าช้า มิน่าเล่าเขาถึงไล่ให้พวกเราไปอยู่ที่อื่น”เธอรำพึงกับตนเองเบาๆ แต่ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบไปก็ได้ยินเสียงผู้คนมากมายดังก้องอยู่ในหัว
“ฝ้ายคำ!”
“พ่อแม่สั่งสอนหื้อรักแผ่นดิน น้องบ่มีวันลืม”
“อยู่ดีๆมีใครก็ไม่รู้ขึ้นไปอยู่บนนั้น สูงกว่าพระกว่าเจ้า วัดวาอารามก็อยู่ข้างล่าง”
“เราต้องเสียป่า ตาน้ำ ลำห้วยไปเพราะคนพวกนั้น”
“ขอให้มันตาย”
“ใครไปอยู่ที่นั่นขอให้มันตายโหง!”
เสียงเหล่านั้นค่อยๆจางหาย พร้อมๆกับร่างของวีนาแน่นิ่งไป ท่ามกลางเปลวไฟอันลุกโชนรอบบริเวณบ้าน
เปลวเพลิงได้คืนความสมดุลให้แก่ธรรมชาติแล้ว.....

น้ำฟ้า เขียน...
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับไปยัง เรื่องสั้น

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน

cron