สิบโทเอทเดอร์ โดย นรสิงห์

เรื่องสั้น บทความ ต่างๆ

สิบโทเอทเดอร์ โดย นรสิงห์

โพสต์โดย บ้านเพียงพอ » เสาร์ 26 ก.ค. 2008 11:12 pm



ในเกาะโซโลมอนแห่งหนึ่งเรารุกไปได้เกือบครึ่ง ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมกับเพื่อนที่ร่วมรบ
กับผมซึ่งก็มีพลทหารทอมมี่ , พลทหารฮอกซ์ และพลทหารซันนี่
พวกเราตกอยู่ในวงล้อมของพวกไอ้ยุ่นซึ่งครั้งนั้นเรารบกับพวกญี่ปุ่น
หลังจากพวกญี่ปุ่นโจมตีเกาะฮาวายที่เพอร์อาเบอร์
ซึ่งเป็นกองเรือรบขนานใหญ่ของพวกเราสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๑๙๔๑
ซึ่งเป็นวันที่โหดร้ายที่สุดสำหรับเราทำให้กองเรือรบเราเสียเรือประจัญบานอาริโซนา
โอคลาโฮมา , เวสต์เวอร์จิเนีย , แคลิฟอร์ เทนเนสซีและมารีแลนด์
ครั้งนั้นทำให้มีคนเสียชีวิต ๒,๔๐๓ คน, บาดเจ็บ ๑,๑๙๘ คน , พลเรือนเสีย ๑๐๓ คน
และต่อมาเราประกาศสงคราม ในวันที่ ๒ มกราคม ๑๙๓๙
หลังจากที่ผมถูกพวกไอ้ยุ่นระดมยิงอย่างหนัก
ผมเหลือบไปเห็นต้นไม้ที่ถูกระเบิดและพังลงหลายต้นผมจึงเห็นว่า
มันพอทีจะเป็นบังเกอร์กันกระสุนได้ ผมจึงพาเพื่อนทั้งสามและคนอื่นไปหลบเราวิ่งฝ่าออกไป
พวกที่อยู่รั้งท้ายเราโดนระเบิดตายร่วมหมด ผมและอีกสามคนที่ยังเหลืออยู่
เราอยู่บริเวณที่อันตรายถึงแม้จะมีต้นไม้บัง แต่ระเบิดก็ยังลงอยู่เนื่องๆ
ผมมองดูแล้วหลังจากจุดนั้นเราไม่อาจฝ่าออกมาได้อีก
ทอมมี่มองหน้าผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะลุยว่า
“เอทเดอร์กระสุนเราไม่เหลือแล้ว เราไปเถอะ เราฝ่าออกไปได้”
ผมมองหน้าเขา ผมคิดในใจว่าผมก็อยากทำอย่างนั้น ผมดูไปรอบ ๆ
แล้วพูดว่าเราตายแน่ๆ ผมจึงตัดสินใจพูดกับทอมมี่และฮอกซ์ว่า
“เราได้รับคำสั่งให้รักษาที่มั่น เราต้องทำตามน่ะทุกคน”
ดูชะตากรรมแล้วว่าไม่มีทางรอดทั้งสองคนจึงลุกขึ้นสู้ตายทอมมมี่โดนระเบิดเต็มๆหลัง ผมตะโกน
”โอ้....พระเจ้าทอมมี่ “
และที่สุดเขาตาย และในเวลาติดๆกัน ฮอกซ์โดนยิงขาขวาและหัวไหล่ซ้าย
เขาล้มลง ผมจ้องเขาด้วยความกลัว
เขาพยายามจะคลานหาที่หลบกระสุน พวกญี่ปุ่นเริ่มโอมล้อมเรา
มันคงเห็นว่าเรามีแค่สองคน ผมมองมันและกราดยิงพวกมันจนไม่เหลือกระสุนนัดสุดท้าย
ระเบิดอีกลูกหนึ่งหล่นตรงปลายเท้าระยะ ๑ วา ทันใดนั้นเอง
ฮอกซ์คลานมาทับลูกระเบิดเพื่อกันสะเก็ดระเบิดให้ผม
ส่วนซันนี่หายสาบสูญหลังจากที่วิ่งตามกันมา ชั่งน่าสงสารผมอุทานขึ้นมา
นั่นเป็นเพื่อนคนสุดท้ายที่ผมมี และเป็นภาพสุดท้ายที่ผมจำฮอกซ์ได้
และเวลาเดียวกันลูกระเบิดลงมาอีกลูก แต่ไม่ใช่ลูกระเบิดมันเป็นลูกระเบิด
จากปืนครก ขนาน ๘๑ มม. ตกมาทางข้างหลังผมไม่ไกลหนัก
แรงระเบิดทำให้ผมกระเด็นตัวผมลอยและตกโดนพื้นดินอย่างแรง
ผมมึนมากและเลือดกำเดาก็ไหลมาทางจมูก ผมไม่อาจลุกขึ้นมาดูสภาพตัวเองได้
และผมก็สลบไป เช้าวันต่อมาผมลืมตาขึ้น
และรู้สึกตัวอีกทีผมอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วอาจจะเป็นโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่งของกองทัพ
ผมลืมตาขึ้นผมพยายามลุกขึ้นดูสภาพตัวเองว่ามีบาดแผลอะไรบ้าง
และสักครู่ก็มีนางพยาบาล เธอคือ เจมส์มมี่ เวสรอล
เธอเป็นนางพยาบาลที่ดีที่สุดที่ผมเคยรู้จักยามที่ผมไม่ได้สติเธอดูแลผมทุกอย่าง
ผมกับเธอสนิทกันมากในช่วงเวลานั้นเธอเริ่มหลงรักในตัว
เธอไม่อยากให้ผมไปรบเมื่ออาการของผมหายแล้ว ซึ่งผมก็รู้ใจเธอคิดยังไรกับผม
และผมก็ไม่สามารถปฏิเสธตัวของผมเองได้

ยามค่ำคืนอันมืดมิดผมมองดูดาวด้วยความสุข และอมยิ้มกับท้องฟ้า
ซึ่งนั่นเป็นเวลาที่อบอุ่นที่สุดสำหรับตัวผมเอง
ถึงแม้ผมจะรู้ว่าต่อไปเวลาแบบนี้อาจจะไม่มีอีกแล้วสำหรับผม
ผมเดินกลับมาที่เตียงนอน และหยิบซองจดหมายฉบับหนึ่งพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่ง
และหยิบปากกาเพื่อเขียนจดหมายผมต้องการจะบอกกับเธอให้เข้าใจว่าผมไม่อาจนิ่งเฉยได้
ผมต้องการรับใช้ชาติผมไม่อาจเห็นเพื่อนร่วมชาติตายอยู่ในสนามรบได้
เพราะชีวิตผมก็ไม่เหลืออะไรแล้วการที่ผมทำแบบนี้ ผมทำเพื่อต่อประเทศชาติ
ที่ผมรัก ผมให้สัญญาถ้าผมมีชีวิตรอดกลับมาจากสงครามผมจะแต่งงานกลับคุณทันที
แล้วผมก็เดินออกจากโรงพยาบาลอย่างเงียบๆ ที่มืดและหนาว
เช้าตรู่ของวันต่อมา ผมอยู่ที่ค่ายฝึกเตรียมกำลังพลบรรยากาศที่นั่นสดใส
และน่าอยู่มากผมบอกกับตัวเองว่าสักวันหนึ่งเราอาจจะสร้างบ้านอยู่ที่นี่
สักครู่ก็มีพลทหารคนหนึ่งเดินมาหาผมและพูดว่าท่านนายพลเรียกตัวครับ
ผมยักหน้าและเดินตามเขาไปเขาชี้บ้านนายพลให้ผมดู
และเขาก็เดินกลับไป ตามจริงมันไม่ใช่บ้านแต่มันเป็นบ้านไม้ไม่ใหญ่
ไว้สำหรับทำงานเอกสารงานราชการ ผมเปิดประตูเข้าไป
ผมเห็นเก้าอี้อยู่ประมาณสองหรือสามตัว
และหน้าห้องท่านมีทหารอยู่คนหนึ่งค่อยดูแลรักษาความเรียบร้อย
เขาบอกว่าผมนั่งก่อนโปรดรอสักครู่ และขณะนั้นก็มีทหารออกมาจากห้องนายพล
เขามองหน้าผมเหมือนกับว่าเขาจะบอกกับผมว่าขอให้โชคดีเมื่อเข้าห้องแล้ว
ผมคิดว่าผมคงแปลความคิดเขาถูกนะ
เขายักหน้าให้ผมแล้วเดินออกไป ทหารเฝ้าหน้าประตูนายพล
แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมบอกผมว่าเชิญครับ ผมเข้าไปในห้องและกล่าวว่า
“ผมสิบโท เอกเดอร์” มารายงานตัวครับ..” ท่านมองหน้าผมและพยักหน้า
แล้วเปิดแฟ้มประวัติของผมดูและพูดว่า
“ อายุ ๑๗ ปีโดนไล่ออกจากโรงเรียน , ชิงทรัพย์ , ขโมยมอเตอร์ไซค์ , ใช้กำลังปะทุษร้ายแก่ผู้อื่น
แต่คุณทำภารกิจที่โซโลมอนได้ดีนี่”
ผมตอบว่า “ ครับ ”
และท่านก็ถามอีกว่า
“คุณพร้อมที่จะเผชิญศึกสงครามมั๊ย”
ผมตอบกลับไปว่า “ ใจเต็มร้อยครับ ”
ใจเต็มร้อยนะท่านลุกขึ้นยืนและบอกว่า
“เราใช้ภาษาอินเดียนแดงเป็นรหัสลับในการสื่อสาร”
เพื่อไม่ให้พวกญี่ปุ่นรู้ ๒ อาทิตย์ก่อนพวกไอ้ยุ่นจับนาวาโฮไปและเค้นให้บอกรหัสมาทั้งๆ
ที่อยากจะบอกเต็มแก่แต่ก็บอกไม่ได้จึงโดนทรมานจนตาย
ท่านจึงพูดกับผมว่า “เอกเดอร์ทางกองทัพทุ่มสุดตัวเพื่องานนี้ ภารกิจของคุณคือรักษาชีวิต
ของนาวาโฮอย่าให้เขาเป็นอะไร”
และอย่าให้ไอ้ยุ่นจับได้เป็นอันขาดผมเลยย้อนกลับไป เพราะไม่อยากรับภารกิจนี้ว่า
“ผมมารบไม่ได้มาเป็นพี่เลี้ยงนาวาโฮนะครับท่าน”
ท่านจึงบอกกับผมดีๆ
“เราไม่ได้จับฉลากคุณมานะ เราต้องการนาวิกโยธินชั้นยอดซึ่งคุณก็รู้ดีนี่”

ในขณะนั้นผมพูดอะไรไม่ออกเลยหลังจากที่ท่านพูดกับผมอย่างนั้น
ผมได้แต่ยืนฟังตาสอดส่องไปมาทั้งๆ ที่อยากจะเตะก้นเขาและเดินออกไปจากห้องก็ตาม
ผมถูกส่งไปในกองร้อยกองร้อยหนึ่งที่มีแต่พวกหน้าใหม่ที่ยังอ่อนต่อสมรภูมิ
ผมถูกบรรจุเข้าไปในกองร้อยที่ ๑๑ และผมก็ถูกเลื่อนเป็นจ่าตรี
ซึ่งมันอาจจะไม่มีความหมายอะไรต่อผมมากนักก็ตาม
ผมถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมวดหนึ่งของกองร้อยนี้
หมวดของผมชื่อว่า ชาลลี และหน้าที่ผมก็คือคุ้มกันนาวาโฮด้วย
นาวาโฮผมเจอเขาครั้งแรกที่หมวดผมเอง เขาชื่อ พลทหาร ยาห์ซี ซึ่งเป็นชื่ออินเดียนแดง
ที่เราใช้ภาษาเขาเป็นรหัสลับ แม้ผมจะไม่ชอบพวกเขาเท่าไรหนักแต่มันคือหน้าที่
ใช่เขาคือนาวาโฮที่ฉลาด เขาชอบถามผมอยู่เรื่อยไม่ว่าเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว
ที่จริงแล้วเขาต้องการที่จะสร้างมิตรไมตรีกับทุกคน
ด้วยความที่เขาเป็นอินเดียนแดง เขาจึงมีผิวสีแดงผสมดำหน่อยๆ
ตามจริงผมไม่ใช่คนเหยียดผิว ผมเพียงแต่ไม่ชอบหน้าคนต่างถิ่นเท่านั้นเอง
ด้วยความที่ผมเจอหน้าเขาทุกวันผมจึงถามเขาว่า
“เมื่อสงครามจบนายจะทำอะไรต่อ”
เขาตอบผมด้วยว่า “ฉันว่าจะเป็นครูสอนที่โรงเรียนไฮสคูล ฉันจะสอนเรื่องความเป็นอยู่
เรื่องค่านิยมของคนอินเดียนแดง”
ผมตอบเขาว่าไม่เลว ยาห์ซีถามผมว่า
“คุณมีลูกมั้ย” ผมตอบเขาว่ามันเป็นคำถามที่ไม่อยากจะตอบสำหรับผม
เขาพูดกับผมว่า เขามีเมียชื่อ
“ไอร่า และลูกชื่อ จอวส์ วอชิงตัน”
ผมหัวเราะอยู่พักใหญ่แล้วพูดว่าชื่อแจ้วดีนี่
ถ้าลูกอยู่ในโรงเรียนเขาคงขึ้นเงินเดือนให้เป็นพิเศษเลยฮิฮิ..
และวันต่อมาหมวดของเราและหมวดอื่นๆรีบมาฟังยุทธศาสตร์การรบในเกาะไซปันของญี่ปุ่น
เพราะพรุ่งนี้เราจะไปกัน ซึ่งมีจ่าเอก ฮอกวอลส์แนะแผนการรบ
จ่าบอกกับทหารทุกคนรวมทั้งผมว่าพรุ่งนี้เราจะไปที่นั่น ที่ที่เป็นบ้านเกิดของพวกมัน
และเราก็จะยึดมันให้เป็นของเรา เกาะไซปัน นี้ถ้าจำไม่ผิดมีทหารประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ นาย
ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงพอควรในยามสงคราม ผมบอกกับลูกน้องของผมเองว่า
ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม และเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างอาวุธปืนพร้อม
เพราะพรุ่งนี้จะมีคนตายอีกมาก ในตอนนี้ไม่มีใครเลยที่ยิ้มหรือหัวเราะกัน
ซึ่งแน่นอนพวกเขากลัว พอดึกผมนอนในโรงนอน ผมมองเตียงนอน
และบอกกลับตัวเองว่านั่นคงจะเป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะได้นอน
พรุ่งนี้เราอาจจะเจอเรื่องที่โคตรดีเลยวะ ตอนนี้เราอยู่เรือลำเลียงทหารเพื่อจะขึ้นเกาะไซปัน
ผมและทุกคนเห็นกระสุนผ่านหัวเราะไปทั้งพวกและพวกมัน
อีกทั้งยังมีกระสุนปืนใหญ่จากเรือรบและอื่น ๆ ยิงตรงภูเขาของเกาะพอเรือเทียบชายหาด
พวกเราทุกๆ คนวิ่งลงจากเรือและวิ่งไปหลบตรงเนินดินที่พอจะหลบลูกกระสุนได้บ้างไม่ใช่

หมวดผมหมวดเดียววิ่งมา หมวดอื่นด้วยวิ่งในระยะเส้นตรงเพื่อหลบอยู่ตรงเนินอย่างเรา
ผมมองไปข้างหน้า พวกไอ้ยุ่นตรึงกำลังอยู่ในหลุมเพาะซึ่งมีพลปืนกลติดเป็นระยะ
พร้อมด้วยรถถังกว่า ๔ คัน กำลังที่ตรึงอยู่หน้าเกาะไซปัน
ถือว่าไม่เกินความสามารถที่เราจะยึดได้ หมวดผมตัดสินใจบุกเข้าไปก่อน
ซึ่งมีต้นไม้ไว้เป็นที่บังกระสุดหลายต้นเหมือนกัน พร้อมเรือรบเรายังระดมยิงสนับสนุน
ที่มั่นของพวกไอ้ยุ่นเป็นระยะ หมวดอื่นก็เริ่มทยอยบุกตามกันมา
ผมเหลือบไปเห็นปืนใหญ่ขนานยักของพวกญี่ปุ่น ที่ระดมยิงเราอย่างไม่หยุด
เราไม่อาจรุกคืบไปได้อีก ได้แค่หลบต้นไม้ที่หักลงมา เราถล่มมันได้บางส่วน
ปืนใหญ่ของพวกมันอยู่แนวหลังหลุมเพาะ เราติดอยู่ที่มันยิงปืนใหญ่ใส่เรา
เราไม่สามารถรุกต่อได้อีก ผมจึงบอกให้ยาห์ซีพลวิทยุขอกำลังสนับสนุนทางอากาศ
เครื่องบินทิ้งระเบิดพิกัดเป้าหมาย สอง ยี่สิบ ไมค์ สาม หก ซึ่งยาห์ซีจะแปลเป็นภาษาอินเดียนแดง
เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นถอดรหัสได้ สักพัก B 51 บินผ่านหัวเราไป
และทิ้งระเบิดตามพิกัดที่เราบอกและแล้วเราก็ยึดหัวเกาะได้ ผมหันไปพูดกันยาห์ซีว่า
“ถูกยิงหรือเปล่า”
ผมตกใจเมื่อเห็นเขาถูกยิงที่ขาซ้ายและน่องซ้าย ผมคิดว่าผมเกือบรักษาชีวิตเขาไว้ไม่ได้ตามภารกิจ
หลังจากที่เรายึดหัวเกาะกองทัพเรารุกไปเรื่อยๆ จนสามารถยึดเกาะไซปันได้ทั้งเกาะ
กองทัพของเราปราชัย ส่วนยาห์ซีก็ถูกส่งกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
เขาเขียนจดหมายมาหาผมฉบับหนึ่ง มีใจความว่าฉันขอโทษที่ไม่ได้ร่วมรบต่อกับนายได้
ขอให้นายโชคดีและรอดกลับมานะ ไอ้เดนสงคราม พลทหาร ยาห์ซี.
พอผมได้อ่านแล้วผมคิดว่าภารกิจของผมจบสิ้นแล้ว เหลือแต่ศึกต่อไปที่ผมจะได้ร่วมรบกันวีรบุรุษที่
ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกลับผมอีกที่จะให้พบกลับความตาย
ผมคงบอกได้แค่คำเดียวว่า ทำเพื่อชาติอย่างมากก็แค่ตาย


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
โลกใบเก่าเหงาเหมือนเคย
ภาพประจำตัวสมาชิก
บ้านเพียงพอ
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 136
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 20 ก.ค. 2008 8:47 am

ย้อนกลับไปยัง เรื่องสั้น

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน

cron