เมื่อถึงทางแยก โดย น้ำฟ้า

เรื่องสั้น บทความ ต่างๆ

เมื่อถึงทางแยก โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย บ้านเพียงพอ » เสาร์ 26 ก.ค. 2008 11:35 pm

เสียงพายุพัดกิ่งไม้ดังจนกลบเสียงจากวิทยุเทปที่กำลังบรรเลงดนตรีไทย ฝนใกล้จะตกแล้ว ไอเย็นโชยมากระทบผิวกาย นาราเดินไปปิดวิทยุเทปและเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน เพราะขืนชักช้าอาจต้องติดฝนอยู่ในโรงเรียนอีกนาน
นาราเป็นครูนาฏศิลป์ที่สอนในโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ ระยะนี้หล่อนต้องอยู่ซ้อมรำจนมืดค่ำเสมอ เพื่อเตรียมการแสดงในงานสถาปนาโรงเรียนที่จะจัดขึ้นช่วงปลายเดือน สำหรับวันนี้นักเรียนของหล่อนขอกลับเร็วกว่าปกติ เพราะต้องกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบในวันรุ่งขึ้น
ลมพัดแรงจนประตูปิดเองเสียงดังโครมคราม หากเป็นคนอื่นคงวิ่งหนีกันป่าราบไปแล้ว เพราะมีเสียงร่ำลือกันว่า “ ห้องนาฏศิลป์ผีดุ” แต่หล่อนก็ไม่เคยเห็นผีสักตน ทั้งๆที่กลับบ้านมืดค่ำทุกวัน
ฝนลงเม็ดแล้วขณะที่นาราเดินมาเกือบจะถึงโรงยิมฯ หล่อนรีบวิ่งเข้าไปหลบใต้ชายคาอาคาร เสียงฝนตกดังเปาะแปะแล้วค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ ช่วยด้วย !” มีเสียงผู้หญิงดังมาแว่วๆ นาราพยายามเงี่ยหูฟัง เสียงร้องไห้และเสียงร้อง
ให้ช่วยทำให้หล่อนนึกถึงตำนานของโรงเรียน ที่บอกว่าโรงเรียนนี้สร้างทับป่าช้าเก่า มักมีเสียงร้อง
คร่ำครวญให้ได้ยินอยู่เสมอ หญิงสาวเริ่มลังเลที่จะเดินตามหาต้นเสียง แต่แล้วความอยากรู้
ของหล่อนก็มีมากกว่าความกลัว จึงพยายามมองลอดช่องลมเข้าไปในห้องพักนักกีฬา
ภาพที่เห็นทำให้หล่อนแทบช็อค ชายร่างสูงใหญ่กำลังพยายามถอดเสื้อผ้าของนักเรียน-หญิงผู้หนึ่งอย่างหื่นกระหาย ในขณะที่เด็กสาวพยายามปัดป้องและอ้อนวอน
“ ครูคะ ปล่อยหนูไปเถอะค่ะ ฮือๆ” เมื่อไม่มีคนช่วยเหลือ หล่อนจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีการอ้อนวอน แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ยอมหยุด ยังพยายามที่จะเล้าโลมเด็กสาวให้มีอารมณ์ร่วม เสียงของกิ่งไม้หักดังโครม เจ้าวายร้ายจึงหันมาทางต้นเสียง คุณพระช่วย! นั่นมันคนรักของหล่อนเอง เขาเป็นครูพละที่สอนในโรงเรียนแห่งนี้เช่นเดียวกัน ปีศาจตนไหนดลใจให้เขาทำในสิ่งที่น่าอับอาย
แบบนี้
“ เทพ ” นาราตะโกนออกไปสุดเสียง “ หยุด ! เดี๋ยวนี้นะ ”
ศรเทพผละออกจากร่างของนักเรียนสาว ใบหน้าของเขาซีดจนแทบไม่มีสีเลือด

.....................................................

เหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาเป็นเวลาสองวันแล้ว นารายังคงสอนนักเรียนตามปกติ แต่ไร้วี่แววของเด็กหญิงผู้นั้น “ พิชญ์สินี” เด็กสาวคงยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในค่ำ วันนั้น เหมือนดังที่หล่อนเองก็จดจำเอาไว้ไม่ลืม เหมือนเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่นาที
“ ฮือๆ ครูคะช่วยหนูด้วย ” เด็กสาวยังคงร่ำไห้อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นครู ในขณะที่ศรเทพถอยออกไปนั่งอยู่ห่างๆอย่างมีร่องรอยกังวล
“ หนูไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อนไป เดี๋ยวครูจะพาไปส่งบ้าน” ผู้เป็นครูบอกหลังจากที่พิชญ์สินีหยุดร้องไห้แล้ว เด็กสาวลุกขึ้นช้าๆแล้วเดินลับหายเข้าไปในห้องน้ำ นาราลุกขึ้นแล้วเดินไปหาชายคนรัก ซึ่งนั่งคอตกรออยู่
“ เด็กมันยั่วผมเองนะนา ผมไม่ได้ตั้งใจ ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะเดินไปถึงตัว
“ ฉันผิดหวังในตัวคุณมากนะ เทพ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ นาอย่าด่วนสรุปสิ คุณไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้พยายามเข้าหาผมขนาดไหน” ศรเทพยังพยายามแก้ตัว
“ จะยังไงก็ตาม เมื่อเราเป็นครูก็ไม่น่าจะมาทำเรื่องแบบนี้” หญิงสาวน้ำเสียงอ่อนลง
“ผมขอโทษ คนเราทำผิดพลาดกันได้ นาเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอ ” ครูหนุ่มยังพยายามเกลี้ยกล่อม
“ มันต่างกันตรงที่เราตั้งใจทำ หรือเราพลาดต่างหาก” หญิงสาวไม่ยอมลดละ
“นา..อย่าเอาเด็กคนเดียวมาตัดสินคนที่คุณคบมาถึงสามปีสิ ผมยังไม่ทันทำอะไรให้เด็กเสียหายเลย เพียงแค่ภายนอกเท่านั้นเอง นาอย่าสนใจเลยนะ ยังรับหมั้นผมอยู่ใช่ไหม ” เขาพยายามหักล้างความผิดของตนเอง
“ ตอนนี้สมองฉันตื้อไปหมดแล้วล่ะเทพ อยากจะถามจริงๆว่า ณ วินาทีนั้น คุณนึกถึงฉันบ้างมั้ย ” นาราถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ที่จู่ๆก็ได้เห็นธาตุแท้ของชายคนรัก
“ผมรักนาเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ” ศรเทพหยอดคำหวาน
นารามองหน้าชายคนรักด้วยสายตาตำหนิชัดแจ้ง เขาเพิ่งใช้กำลังปลุกปล้ำนักเรียนของตนเอง เมื่อไม่กี่นาทีมานี้ แต่ในขณะนี้เขากลับบอกว่ารักหล่อนเหลือเกิน ช่างไม่ละอายใจเลย
พิชญ์สินีเดินออกมาจากห้องน้ำ หล่อนจัดการกับตนเองจนดูเรียบร้อยขึ้น นาราเดินไปหาเด็กสาว แล้วจึงพากันเดินออกไปจากโรงยิมฯเพื่อพาไปส่งบ้าน ตลอดระยะทางกว่าสามกิโลเมตร หล่อนมิได้ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เป็นที่สะเทือนใจพิชญ์สินีแม้แต่น้อย

.....................................................

หญิงชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนาราอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ ทั้งคู่มีร่องรอยกังวลปรากฏอยู่ทั่วใบหน้า ฝ่ายหญิงถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเอ่ยเหตุผลที่ทำให้ต้องเดินทางมาพบหล่อน
“ ดิฉันเป็นแม่ของพิชญ์สินีค่ะคุณครู สองวันมานี้ลูกสาวของดิฉันดูเซื่องซึมผิดปกติ วันๆเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมไปโรงเรียน คุณครูเป็นครูที่ปรึกษา เคยเห็นลูกสาวของดิฉันมีปัญหากับใครที่โรงเรียนหรือเปล่าคะ ”
ผู้ถูกถามนิ่งอึ้งไป ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ถูกแล้ว..ที่หล่อนได้เห็นกับตาว่า
ความจริงเป็นอย่างไร แต่ด้วยความรักทำให้หล่อนไม่กล้าบอกความจริง ด้วยห่วงใยแฟนหนุ่ม เกรงว่าถ้าเรื่องแดงขึ้นมา เขาอาจต้องถูกลงโทษทางวินัยอย่างรุนแรง อา..นี่หล่อนกำลังทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัวเหลือเกิน
“ ไม่มีอะไรผิดปกตินะคะ พิชญ์สินีเป็นเด็กร่าเริง แต่อาจจะทะเลาะกับเพื่อนก็ได้ อันนี้ดิฉันไม่แน่ใจ เพราะเรื่องส่วนตัวแบบนี้เด็กจะไม่รายงานให้ครูทราบ ” หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองจนรู้สึกเจ็บ เพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกำลังรบกวนจิตใจอยู่
“ ผมกับภรรยาไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก เรามีร้านขายของในตลาดครับครู ออกจากบ้านแต่เช้า พอกลับมาก็มืดค่ำ คงต้องรบกวนคุณครูให้ช่วยสังเกตแกเป็นพิเศษหน่อยนะครับ แกผิดปกติไปมาก..จนน่าใจหาย ” บิดาของพิชญ์สินีเป็นผู้เล่า
“ ได้ค่ะ ดิฉันจะช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะติดต่อกลับไปทันทีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ช่วยทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ด้วยนะคะ” หญิงสาวรับปาก
“ ขอบคุณคุณครูมากค่ะ ผู้ปกครองก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ก็มีแต่คุณครูนี่แหละค่ะ ที่ลูกสาวของดิฉันศรัทธามาก แกคงยอมเล่าออกมาเอง” มารดาของเด็กสาวยกมือไหว้น้ำตาคลอ หล่อนไม่มีเวลาให้ลูกซึ่งกำลังเข้าสู่วัยรุ่น ทั้งๆที่รู้ว่าเด็กวัยนี้ต้องการที่ปรึกษา
พิชญ์สินีเป็นนักเรียนในห้องที่นาราเป็นครูที่ปรึกษา อีกทั้งการที่เด็กสาวเลือกเข้าชุมนุมนาฏศิลป์ ทำให้มีโอกาสได้สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกที่พิชญ์สินีจะชอบหล่อนมากกว่าครูท่านอื่น
“ ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ให้พิชญ์สินีมาเรียนด้วยนะคะ ขาดเรียนนานๆเดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน” ครูสาวกล่าวสำทับ
สองสามีภรรยาลากลับไปอย่างมีความหวัง ยังไม่ทันที่นาราจะกลับเข้าไปในบ้าน ประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือ “ ศรเทพ” นั่นเอง
“ ใครมาหามืดค่ำอย่างนี้ ” ชายหนุ่มเกิดความสงสัย
“ ผู้ปกครองของพิชญ์สินี” หญิงสาวตอบเสียงหนัก
ศรเทพทำหน้าตาตื่น รีบเดินเข้ามาหาหญิงสาวแล้วถามด้วยความใคร่รู้
“ มาทำไมกัน แล้ว...เขารู้เรื่องนั้นหรือยัง” ผู้มีความผิดถามตะกุกตะกักแล้วนั่งใจเต้นรอฟังคำตอบ
“ ยังค่ะ ทั้งคู่มาเพื่อถามถึงสาเหตุว่าทำไมลูกสาวถึงเซื่องซึม” ครูสาวขยายความ
ศรเทพถอนใจอย่างโล่งอก “ ขอบใจนะนา ที่ไม่บอกอะไรเขา แต่ผมขอยืนยันนะ ว่าในวันนั้นพิชญ์สินีเขายั่วผมจริงๆ ผมไม่เคยคิดจะนอกใจคุณ”
นารามองศรเทพอย่างชั่งใจ ผู้ชายคนนี้คบกับหล่อนมาเป็นเวลาสามปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาศรเทพเป็นคนรักที่ดีมาตลอด แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายนั้นได้
“ ผมแวะมาหาเฉยๆ ไปพักผ่อนเถอะ ” ชายหนุ่มตัดบทด้วยสีหน้ากังวล
เมื่อศรเทพกลับไปแล้ว นาราจึงอาบน้ำแล้วเข้านอน แต่ก็ช่างยากเย็นนัก ไม่ว่าจะข่มตาเท่าไร ก็ไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้ ความร้อนของไฟในใจกำลังเผาผลาญหล่อนให้มอดไหม้เป็นจุณ

.....................................................

แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้านารา คือ พิชญ์สินี เด็กสาวดูผอมและซูบเซียวไปถนัดตา เมื่อพบผู้เป็นครูหล่อนก็โผเข้ากอดแล้วร้องไห้
“ ครูคะ..หนูไม่อยากมาโรงเรียนอีกต่อไปแล้ว หนูกลัว”
นาราเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นศิษย์ดี ถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัย หลังจากที่ตนเองได้พบกับเหตุการณ์ร้ายๆ ในสถานที่ ที่เคยคิดว่าปลอดภัยที่สุด
“พิชส์สินีหนูต้องยอมรับมันให้ได้ แล้วบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรแล้ว มันจบลงแล้ว และหนูก็ปลอดภัยดี” ผู้เป็นครูปลอบ
“ หนูเล่าให้พ่อกับแม่ฟังแล้ว พ่อกำลังไปแจ้งความ” เด็กสาวยังเล่าต่อไป
นารารู้สึกใจเต้นด้วยความเป็นห่วงชายคนรัก หล่อนยังคงนิ่ง..ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
“ ครูต้องช่วยหนูนะคะ เป็นพยานให้หนู” เด็กสาวอ้อนวอน
นาราได้แต่ตอบในใจว่า ‘ ครูจะช่วยหนูได้อย่างไร เมื่อคนที่ทำร้ายหนูคือคนรักของครูเอง’

.....................................................

เย็นวันนั้นบ้านพักของนาราได้ต้อนรับบิดามารดาของพิชญ์สินีอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ความลำบากใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะทั้งสองกำลังขอให้หล่อนช่วยไปเป็นพยานในคดีนี้
“ คุณครูเห็นแก่เด็กนะคะ ช่วยลูกสาวดิฉันด้วย ที่ไม่กล้ามาโรงเรียน เพราะกลัวจะถูก
ทำร้ายอีก” ผู้เป็นมารดาของพิชญ์สินีอ้อนวอน
“ดิฉันไม่ทันเห็นอะไรเลย พอไปถึงก็พบว่าเขาอยู่ด้วยกันเท่านั้น แล้วจะเป็นพยานได้ยังไง” หญิงสาวยังคงปากแข็ง
“ ลูกสาวบอกว่า คุณครูเป็นคนเข้าไปช่วยแกไว้” บิดาของพิชญ์สินีกล่าว
“ตรงนั้นดิฉันไม่ทราบว่าพิชญ์สินีเข้าใจว่ายังไงนะคะ จนใจจริงๆเมื่อไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ” นารารู้สึกผิดกับคำเท็จที่กล่าวออกไป แต่หล่อนก็ไม่มีทางเลือก
“ พรุ่งนี้ตำรวจนัดสอบปากคำที่โรงพักตอนบ่ายโมง ถ้าคุณครูคิดอะไรขึ้นมาได้ ก็ขอเชิญนะครับ พวกเราจะรอความหวังจากคุณครูอยู่ที่นั่น ผมต้องการแค่ความถูกต้อง ชาวบ้านอย่างเรา มักจะถูกเอารัดเอาเปรียบเสมอ”บิดาของพิชญ์สินีทิ้งท้าย
หลังจากที่สองสามีภรรยาลากลับไปแล้ว นาราจึงเข้านอนไปอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ด้วยความเหนื่อยล้าของจิตใจทำให้หล่อนหลับไปอย่างง่ายดาย

.....................................................

“ เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรครับคุณ ” ร้อยเวรเจ้าของคดีกำลังสอบสวนศรเทพ
“ ผมบอกหลายร้อยรอบแล้วนะคุณตำรวจ ว่ากำลังจะกลับ พอเด็กคนนั้นเข้ามาหา ก็นั่ง คุยกันเท่านั้นเอง จะให้ผมพูดอะไรอีกล่ะ นี่ไม่ใช่นิยายนะ ที่จะให้เป็นไปตามที่คุณคิดทุกเรื่องได้” ศรเทพไม่ยอมรับ
“ ตกลงคุณไม่ได้ทำอะไรเด็กเลย ” นายตำรวจยังคงถาม คล้ายไม่ใส่ใจ
“ แน่นอน ” ศรเทพยืนยัน “ ผมไปได้หรือยัง งานการผมก็ต้องทำนะ มันเรื่องอะไรให้มานั่งตอบคำถามไร้สาระอยู่ได้” ครูหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ คุณยังไปไหนไม่ได้ ”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
“ ขออนุญาตครับ มีพยานในคดีนี้มาให้การครับผม ” สิบเวรรายงาน
“ ไปเชิญเขาเข้ามา” นายตำรวจหนุ่มกล่าวพลางหันไปมองหน้าศรเทพ “ คุณจะสารภาพได้หรือยัง ”
ประตูห้องถูกเลื่อนออก ปรากฏร่างขอนาราแทรกเข้ามาช้าๆ ศรเทพมองหล่อนด้วยสายตาอ้อนวอน ราวกับจะบอกว่า ‘เห็นแก่ผมนะ’
“ เชิญนั่งครับคุณ ” นายตำรวจเชื้อเชิญพลางถาม “ คุณเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ใช่ไหม ”
“ ค่ะ..ดิฉันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง และขอยืนยันว่าพิชญ์สินีพูดความจริง”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
.....................................................

แสงแดดกำลังร้อนระอุขณะที่ก้าวออกมาจากสถานีตำรวจ แต่กลับทำให้นาราเยือกเย็นได้อย่างบอกไม่ถูก หล่อนปลอบใจ
ตนเองว่าทำดีที่สุดแล้ว เป็นธรรมดาของโลก ที่ไม่มีใครหนี ผลการกระทำของตนเองได้พ้น
“ คุณครูนาราคะ ” เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลัง
พิชญ์สินีวิ่งกระหืดกระหอบตามมา เด็กสาวยกมือไหว้ผู้เป็นครูด้วยน้ำตานองหน้า
“ หนูขอบคุณ คุณครูมากค่ะที่ช่วยหนู ”
นาราส่ายหน้าช้าๆ แล้วยิ้ม
“ ครูไม่ได้ทำอะไรหรอกพิชญ์สินี ใครทำอะไรไว้ก็ควรจะได้รับผลของการกระทำตนเอง ครูเพียงแค่เดินตามเส้นทาง
ที่ควรเดินเท่านั้นเอง ”
“ หนูขอโทษคุณครูด้วยค่ะ เรื่องคุณครูศรเทพ หนูเพิ่งทราบว่าคุณครูกำลังจะหมั้น”
เด็กสาวกล่าวความรู้สึกจากใจ
“ ขอโทษทำไมกันพิชญ์สินี การที่ครูได้เห็นธาตุแท้ของเขาตอนนี้ ดีกว่าเห็นตอนที่แต่งงานไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ผู้เป็นครูย้อนถาม
เด็กหญิงยิ้มทั้งน้ำตา แล้วกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งกลับไปหาพ่อและแม่ที่ยืนรออยู่
“หนูขอบพระคุณคุณครูอีกครั้งค่ะ พรุ่งนี้หนูจะไปซ้อมรำ หนูจะเป็นเด็กดีของคุณครูค่ะ”
นาราพยักหน้าแล้วมองตามเด็กสาวที่วิ่งลับตาไป
คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้อาจต้องพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ คือสิ่งที่เราเรียกมันว่า “ อุปสรรค ” แต่หากเรากล้าที่จะเผชิญกับมัน ในไม่ช้าเราก็จะผ่านมันไปได้ด้วยความภาคภูมิใจ “ จงมั่นใจหากกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
ไฟล์แนป
ทางแยก.jpg
ทางแยก.jpg (14.92 KiB) เปิดดู 2411 ครั้ง
โลกใบเก่าเหงาเหมือนเคย
ภาพประจำตัวสมาชิก
บ้านเพียงพอ
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 136
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 20 ก.ค. 2008 8:47 am

ย้อนกลับไปยัง เรื่องสั้น

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน

cron