นวนิยาย ม่านรักนิรมิต เขียนโดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

นวนิยาย ม่านรักนิรมิต เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » อังคาร 02 ม.ค. 2024 4:21 pm

49853218_2202177199834304_6931132267104305152_n.jpg
49853218_2202177199834304_6931132267104305152_n.jpg (57.62 KiB) เปิดดู 4275 ครั้ง


บทที่ ๑


นครเชียงใหม่ มณฑลพายัพ พุทธศักราช ๒๔๔๖

แดดแผดแสงส่องไปยังปุยเมฆขาวนวลให้กลายเป็นสีทองระเรื่อ ต่ำลงมามองเห็นเงาต้นมะม่วง ต้นหมาก และต้นมะพร้าวทาบลงมาบนพื้นถนนสลับแสงแดดรำไร แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนทว่ายามสายก็ยังมีไอเย็นเจือจางอยู่ บรรยากาศในตลาดลีเชียงพระเวลานี้จึงเย็นสบาย กระนั้นไรผมซึ่งเกล้าเป็นมวยของหญิงวัยยี่สิบปีผู้มีดวงหน้างามกระจ่างก็ยังมีเหงื่อเม็ดเล็กๆเกาะพราวเนื่องจากเธอเพิ่งผ่านการวิ่งหนีกลุ่มคนที่ตะลุมบอนกันอยู่ท้ายตลาดโดยมีบัวผันบ่าวคนสนิทวิ่งนำทาง

ร่างงามกลมกลึงในชุดเสื้อแขนยาวเข้ารูปสีชมพูอ่อน ผ้าถุงสีน้ำเงินต่อเชิงตีนจกยาวคลุมมาถึงรองเท้าส้นเตี้ยสีดำยืนปาดเหงื่อเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหนดี

“ออกมาทางนี้เร็วๆเจ้าแม่นาย” บัวผันเป็นชาวเชียงใหม่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกเธอจึงพูดภาษา

คำเมืองได้อย่างคล่องแคล่ว ต่างจากคำแก้วผู้เป็นนายที่เป็นลูกสาวข้าหลวงเมืองสยามมาประจำการอยู่ในมณฑลพายัพ เธอจึงฟังภาษาคำเมืองเข้าใจแต่พูดออกเสียงตามภาษาถิ่นไม่ได้

คำแก้วหมุนตัวตามบ่าวบอกทว่าเธอกลับชนโครมเข้ากับร่างร่างหนึ่งที่สะดุดล้มเซมา ดูผิวเผินเขาเป็นชายร่างเล็กผู้มีใบหน้าขาวผ่องหวานละไม น่าแปลกที่เธอคุ้นตาเขานักแต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นผู้ใด อาจจะเป็นเพราะเธอความจำเสื่อมหลังจากฟื้นขึ้นจากอาการป่วยเมื่อสองปีก่อนทำให้ลืมความทรงจำก่อนหน้าไปเสียสิ้น

“เป็นอย่างไรบ้าง” สาวสยามถามเสียงรัวเร็ว พลางพยุงอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะดึงข้อมือให้ก้าวตามไปหลบหลังต้นฉำฉาสูงใหญ่แผ่กิ่งสล้างแล้วกล่าวสำทับ “มาทางนี้ก่อนเถอะ มันอันตราย”

แรงดึงและการขยับตัวนั้นทำให้ผ้าสีเข้มซึ่งโพกอยู่บนศีรษะของหนุ่มน้อยหลุดลุ่ยเผยให้เห็นผมยาวสลวยแผ่สยายลงมา “อ้าว!นี่เป็นผู้หญิงรึ”

เมื่อกรอบผมหลุดลุ่ยลงมาประดับใบหน้า คำแก้วก็ต้องยอมรับว่า หญิงสาวผิวขาวเหลืองละมุน ดวงตาเรียวรี จมูกโด่งเล็กรับกับปากสีสดรูปกระจับ ที่กำลังยืนท่าทางตระหนกอยู่ตรงหน้านั้นมีความงามโดดเด่นอย่างยากจะหาผู้ใดเทียบเทียมได้

“เข้าไปหลบในวัดร้างกันก่อนเจ้าแม่นาย” บัวผันเร่ง

คำแก้วพยักหน้า พลางก้าวเร็วๆและดึงแขนเพื่อนใหม่ให้ตามเข้าไปในวัดร้างซึ่งเธอเพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะไม่มีพระจำวัดอยู่เลย เพราะวิหารและเจดีย์ตรงหน้ายังสมบูรณ์อยู่มากราวกับได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ

ทั้งสามหยุดอยู่หน้าเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งมีก้อนอิฐวางระเกะระกะอยู่ ยังไม่ทันได้นั่งลงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน “นั่นไงเจ้า มินตะยาอยู่ทางโน้น”

คำแก้วจึงหันขวับไปถามเพื่อนใหม่ “รู้จักคนพวกนั้นรึ”

“ใช่” เสียงตอบมิได้ดังมาจากผู้ถูกถามแต่กลับมาจากชายผู้หนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามา

คนกลุ่มนั้นมีทั้งชายและหญิงเกือบสิบคนแต่ที่เป็นจุดเด่นมีอยู่เพียงสองคน คือชายผู้เดินนำหน้าเป็นชายผู้มีใบหน้าคมเข้ม หล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง การแต่งเนื้อแต่งตัวดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว เขาถูกคนอื่นๆเรียกว่า “เจ้า” ส่วนชายผู้ที่เปล่งเสียงตอบมานั้นรูปร่างสูงกว่าเล็กน้อย ผิวสีเข้มมากกว่า ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเข้มขรึมจริงจัง ทว่าดูจะเกรงใจชายที่ตนเรียกว่า เจ้า อยู่ครามครัน กระนั้นเขาก็ดูคล่องแคล่วกว่าใครทั้งหมด สายตาคมเข้มเรียบนิ่งจ้องมองคำแก้วอย่างไม่ไว้วางใจ

คำแก้วจ้องตอบไม่ยอมหลบพร้อมทั้งอธิบายเสียงแข็งโดยไม่รอให้ใครถาม “ฉันพาผู้หญิงคนนี้มาหลบพวกที่ตีกันในตลาดจะได้ไม่โดนลูกหลง ทำไมต้องมองหน้าเหมือนทำผิดคิดร้ายด้วยไม่ทราบ”

ชายผู้นั้นยิ้มเยาะ กล่าวขึ้นลอยๆ “อ้อ! คนสยามดอกรึ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วก็คืนคนของเฮามาสิ”

คนฟังรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตร ใบหน้าของเธอจึงเชิดขึ้นเล็กน้อย ขณะปลายตาไปมองหญิงสาวที่คนผู้นั้นเรียกว่า มินตะยา “ก็ไปสิ ใครมัดไว้ไม่ทราบ ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ จะขอบคุณสักคำก็ไม่มี”

บัวผันเกรงเหตุการณ์จะบานปลายจึงเข้ามาสะกิดนายของตน “แม่นายเจ้า ปล่อยเขาเต๊อะ แม่นายก็รู้ว่าตั้งแต่มีคนไปเผาพับสา ใบลาน ในวัด คนที่นี่ก็ล้วนแต่ไม่พอใจข้าราชการจากสยาม เพราะคิดว่าถูกกีดกันไม่ให้ใช้ตัวเมือง”

“เฮาขอบคุณ ที่ช่วยคนของเฮา” ชายลักษณะผู้ดีกล่าวขอบคุณพลางเดินไปจูงมือมินตะยามายืนอยู่ตรงหน้าคำแก้ว “เฮาชื่อน้อย หญิงคนนี้ชื่อมินตะยา ส่วน..” เขาหันไปมองชายปากกล้าที่ยืนอยู่ข้างตัวก่อนจะแนะนำเพิ่มเติม “นี่ชื่อสิงห์ เขาคงเป็นห่วงมินตะยาจึงพูดไปโดยไม่ระวัง”

คำแก้วพยักหน้า “ฉันไม่ถือสาหรอกค่ะ”

ปากบอกไม่ถือสาแต่เธอก็ค้อนขวับไปหนึ่งวง ก่อนจะแนะนำตัวตามมารยาท “ฉันชื่อแก้วค่ะ แต่คนที่นี่มักจะเรียกว่าคำแก้ว”

ผู้ถูกค้อนหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ ก่อนจะกล่าวขึ้นโดยไม่สนใจอีกฝ่ายมากนัก “ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันดีกว่าเจ้าน้อย ถ้ากลับคุ้มสายกว่านี้จะเป็นที่สังเกต”

คำแก้วหันไปยิ้มกับมินตะยา อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดเธอจึงไม่ปริปากพูดเลยสักคำ เหมือนเจ้าน้อยจะเข้าใจความคิดเธอจึงอธิบาย “มินตะยาเป็นคนพม่า อู้คำเมืองได้ไม่กี่คำ หล่อนเพิ่งจะมาอยู่เชียงใหม่ได้ไม่นาน”

มินตะยาได้ฟังก็ค้อมศีรษะทักทายคำแก้วและบัวผันแล้วยกมือไหว้ขอบคุณก่อนที่เธอจะถูกพาตัวเดินจากไป

คำแก้วขมวดคิ้วมุ่นมองตามคนกลุ่มนั้นด้วยความรู้สึกสงสัย ‘เหตุใดจึงคุ้นตาเจ้าน้อยกับมินตะยานักนะ ทั้งๆที่ตั้งแต่ลงเรือตามบิดามารดามายังมณฑลพายัพก็เพิ่งได้พบหญิงชายคู่นี้เป็นครั้งแรก”

หรือว่าก่อนที่เธอจะความจำเสื่อมเคยรู้จักกับทั้งคู่มาก่อน เฮ้อ! ถึงจะสงสัยอย่างไรก็ได้แต่จนใจเพราะไม่เคยมีคำตอบใดปรากฏขึ้นในหัวเลยสักครั้ง นอกจากบางแว้บในความคิดและในความฝันที่เธอฝันถึงผู้คน บ้านเรือน และเหตุการณ์ที่แตกต่างจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง ที่แห่งนั้นผู้คนขวักไขว่ บ้านเรือนสร้างด้วยปูนรูปร่างสูงใหญ่ตระการตา มีสิ่งของหลายอย่างที่แตกต่างจากที่นี่ มันคือความฝันหรือความจริงก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะเมื่อถามถึงเรื่องดังกล่าวกับคนรอบกายก็ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือเคยพบเจอมาก่อนเลย


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 75 ท่าน

cron