๑.
ลมหัวรุ่งค่อยๆพัดผ่านกอไผ่ข้างบ้านเสียงดังเอียดอาด นกน้อยที่ทำรังอยู่บนไม้เต็งต้นใหญ่ค่อยๆอำลารัง แล้วโบยบินออกไปหาอาหารส่งเสียงร้องจิ๊บๆ แข่งกับเสียงไก่โต้งที่โก่งคอขันปลุกผู้ที่หลับ
ใหลให้ตื่นขึ้นมาต่อสู้กับงานที่ไม่มีวันจบสิ้น
เมื่อย่างเข้าต้นเดือนพฤศจิกายนผู้คนที่อยู่พื้นราบคงกำลังยินดีกับลมหนาวที่เริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่พายุฝน แต่บนดอยสูงนั้นกลับพบเจอกับความหนาวยะเยือกจนน้ำค้างกลายเป็น
เกล็ดน้ำแข็งเสียแล้ว ผมดึงผ้าห่มผืนเก่าที่ได้รับแจกเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาคลุมหัวให้พ้นจากแสงสว่าง เสียงน้ำค้างยังคงหยดจากชายคาบ้านลงสู่พื้นดินดังเปาะแปะ
“ ตื่นได้แล้ว อาเลา วันนี้ต้องไปโรงเรียน ” เสียงของพ่อบังคับให้ผมจำใจตื่น
ผมยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่มช้าๆ ลมหนาวยังคงเลาะล้วงฝาบ้านเข้ามาอย่างไม่ลดละ ผมมองทะลุรอยแตกของฝาไม้ไผ่ออกไปด้านนอก มองเห็นแสงไฟวูบขึ้นจากบ้านของอาลูผะ แสดงว่าเธอเอง
ก็คงตื่นแล้วเช่นเดียวกัน
“ อาเลาไปตักน้ำที่น้ำตกหน่อยนะ หน้าแล้งน้ำมันแห้ง ท่อที่ต่อจากน้ำตกมาที่บ้านไม่มีน้ำสักหยด ตักน้ำแล้วรีบเตรียมตัวไปโรงเรียนล่ะ ” แม้พ่อจะร่ำเรียนมาน้อยแต่ก็มองเห็นความสำคัญของการ
ศึกษาเสมอ ต่างจากคนอื่นๆในหมู่บ้านที่ต้องการให้ลูกหลานออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงาน
ผมไม่ตอบพ่อ แต่รีบพับผ้าห่มที่มีกลิ่นอับๆแล้วลุกขึ้นไปคว้าถังน้ำใบเขื่องเดินลิ่วๆไปยังน้ำตกซึ่งอยู่บนดอยอีกลูกหนึ่ง การวิ่งขึ้นลงจากดอยลูกหนึ่งไปยังดอยอีกลูกหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ผมคุ้นชินมา
ตั้งแต่เล็ก จึงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย
“ อ่าก๊าอี๊เท อาเลา ” เสียงแหลมเล็กของอาลูผะถามว่าไปไหน
“ ไปน้ำตก ” ผมตอบเสียงสั่นๆด้วยความหนาวเย็น
“ ไปด้วยสิ ” อาลูผะวิ่งตามมา ในมือของเธอมีถังน้ำเช่นเดียวกัน
เราสองคนวิ่งผ่านถนนสายเล็กๆที่มีหญ้าขึ้นรก ลัดเลาะไปตามไหล่เขาเพื่อไปยังน้ำตก สาเหตุที่ต้องวิ่ง เพราะความหนาวเย็นนั้นจะลดลงเมื่อร่างกายเหน็ดเหนื่อย อันเป็นวิธีการที่ครูจ่าซึ่งเป็น
ต.ช.ด.บอกกับผม
“ อาลูผะไปโรงเรียนมั้ยวันนี้ ” ผมตะโกนถามเธอแข่งกับเสียงน้ำที่ตกกระทบพื้นน้ำ
เบื้องล่างดังซ่าๆ
“ ไปสิฉันจะไปดูครูคนใหม่ ” อาลูผะยิ้ม
เมื่อสามวันก่อนหัวหน้าหมู่บ้านเรียกประชุมพวกเราที่แดข่อง ซึ่งเป็นลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน เพื่อแจ้งว่าเปิดเทอมนี้จะมีครูคนใหม่ขึ้นมาสอนช่วยครูจ่า
“ ไปดูทำไม ครูก็สอน ก.ไก่ เหมือนกันหมดแหละ ” ผมเถียง
“ แหม ! แต่ทุกทีมีแต่ครูจ่านี่นา คราวนี้เป็นผู้หญิงจะเหมือนกันได้ยังไง ” อาลูผะเองก็
ไม่ยอมลดละ
“ งั้นรีบตักน้ำ แล้วไปโรงเรียนกันเถอะ ” ผมสรุป
เมื่อตักน้ำเสร็จแล้ว เราสองคนจึงวิ่งลงจากดอยไปยังหมู่บ้านซึ่งอยู่บนดอยคนละลูก แสง
สีแดงระเรื่อค่อยๆแผ่จากยอดดอยทางทิศตะวันออก ทำให้ความเย็นจากละอองน้ำค้างลดลงบ้าง หมอกหนาทึบเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วค่อยๆจางลง มองเห็นต้นสนต้นใหญ่มีละอองน้ำค้างเกาะ
แพรวพราววิบวับรับแสงตะวัน งดงามจนอาลูผะอดชะเง้อชะแง้มองตามประสาหญิงไม่ได้
“ ไม่เคยเห็นน้ำค้างหรือไง อาลูผะ ” ผมแกล้งแซว
เธอไม่ตอบกลับค้อนขวับแล้วบ่นพึมพำคนเดียว ก่อนที่จะวิ่งลิ่วๆแซงหน้าผมไปโดยไม่รอ
≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈
ผมวิ่งตามก้อนเมฆฉาบแสงแดดสีทองอร่ามไปทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทางเดียวกับโรงเรียน
บ้านผาดำของพวกเรา นักเรียนอย่างผมใส่ชุดนักเรียนกับรองเท้าแตะ บางครั้งถ้ารองเท้าเจ้ากรรมเกิดขาดขึ้นมา ก็ต้องเดินเท้าเปล่าจนกว่าพ่อจะลงไปซื้อที่อำเภอให้ ซึ่งบางทีก็เป็นอาทิตย์หรือบางทีก็อาจจะ
เป็นเดือน คนทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นความลำบากยากแค้น แต่ผมก็ชินกับวิถีชีวิตแบบนี้
มานานแล้วจึงไม่รู้สึกแต่อย่างใด
โรงเรียนของเราเป็นอาคารไม้แคบๆ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเก่าๆ ทั้งโรงเรียนมีห้องน้ำห้องเดียว น้ำกินน้ำใช้ก็ได้มาจากฝายเล็กๆที่ต่อท่อมาจากน้ำตก นอกจากหลอดนีออนแล้ว
เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดเดียวที่เรามีก็คือ โทรทัศน์ ซึ่งใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ แต่ถ้าในช่วงฤดูฝนแล้วโทรทัศน์ก็จะถูกทอดทิ้งไปโดยปริยาย เพราะบนดอยของเรานั้นจะมีฝน
ตกลงมาแทบทุกวัน
“ ดู่ถ่องมะ อาเลา ” เสียงเข้มๆของครูจ่าดังมาจากด้านหลังเสาธงซึ่งเป็นแปลงเกษตร
ครูจ่ามักจะฝึกใช้ภาษาอาข่าเสมอถ้ามีโอกาส
ผมวิ่งไปหาครูแล้วยกมือไหว้
“ ดู่ถ่องมะครับครู ” ผมตอบด้วยประโยคเดียวกัน
“ ครูไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านเสียนาน อาลอสบายดีมั้ย ” ครูจ่ามักจะถามถึงพ่อเสมอ
“ สบายดีครับ ” ผมตอบพลางย่อตัวลงถอนหญ้าที่ขึ้นรอบๆดอกทานตะวันต้นเล็กๆ
“ แล้วอาลอยังไปหาของป่าอยู่หรือเปล่าอาเลา ” ครูจ่าถามต่อ
“ ก็นานๆไปทีครับ พ่อทำไร่ด้วย ถ้าครูอยากได้น้ำผึ้งพรุ่งนี้ผมจะเอามาให้ ” ผมบอก
อย่างรู้ใจ
“ ได้ เดี๋ยวเย็นๆครูจะฝากเงินไปก็แล้วกัน ” ครูหนุ่มยิ้มอย่างยินดี
“ แกร๊งๆ! ” เสียงระฆังขนาดเล็กดังขึ้น ทำให้ผมและเด็กชาวเขาทั้งหลายพากันวิ่งกรูมาเข้าแถวหน้าเสาธง เมื่อร้องเพลงชาติและสวดมนต์เสร็จแล้ว ครูจ่าก็ออกมากล่าวต้อนรับเปิดเทอมใหม่
พร้อมกับแนะนำครูคนใหม่ของโรงเรียนบ้านผาดำ
ครูนิสาเป็นหญิงสาวผิวขาว หน้าตาดี ไว้ผมยาวประบ่า แต่รวบไว้ด้วยผ้าผูกผมสีน้ำเงิน เช่นเดียวกับกระโปรงทรงตรงผ่าหลัง และรองเท้าคัชชูเตี้ยๆประดับโบเล็กๆสีขาว
“ สวัสดีค่ะ ครูชื่อนิสา พากเพียรเกียรติ ครูยินดีมากนะคะที่ได้มาสอนที่นี่ ”
ครูคนใหม่แนะนำตัวสั้นๆ
“ ครูสวยจังนะอาเลา ” อาลูผะสะกิดผม
“ อือ ” ผมพยักหน้ารับคำหงึกๆ
เมื่อครูจ่าอนุญาตให้เข้าห้องเรียนแล้ว พวกเราจึงมารวมตัวกันในห้องเรียนโล่งๆลมโกรกรอบทิศทาง ไม่นานนักครูนิสาก็เดินเข้ามา
“ นักเรียนทำความเคารพ ” หัวหน้าห้องรีบบอกทันทีที่เห็นครู
“ สวัสดีครับ สวัสดีค่ะคุณครู ” คำทักทายด้วยน้ำเสียงแปร่งหูดังขึ้นตามลำดับ
“ สวัสดีอีกครั้งค่ะนักเรียน วันนี้เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า โดยครูจะให้นักเรียนเขียนชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น และสิ่งที่ชอบเอาไว้ แล้วออกมาอ่านหน้าห้อง หัวหน้าห้องมารับกระดาษไปแจก
เพื่อนด้วยค่ะ ”
ผมและเพื่อนๆเขียนแนะนำตนเองตามที่ครูบอก ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง แต่ครูก็เรียกคนที่
เขียนผิดมาอธิบายทีละคนอย่างใจเย็น
“ เป็นไงบ้างครับครู เด็กๆดื้อมั้ยครับ ” ผ่านไปราวครึ่งวันครูจ่าก็เข้ามาถามด้วยความ
เป็นห่วง
“ เด็กๆน่ารักดีค่ะ แต่เขามีพื้นฐานความรู้น้อยไปเท่านั้นเอง ” ครูนิสาบอกอย่างหนักใจ
“ เป็นธรรมดาครับ บนดอยห่างไกลความเจริญแบบนี้ เราก็พยายามสอนเขาเท่าที่จะทำได้ครับครู ” ครูจ่าบอกอย่างปลงๆ
“ ค่ะ ต่อไปนิสาคงต้องขอคำแนะนำจากครูอีกมาก ”
“ ยินดีครับ ” ครูจ่าบอกอย่างใจดี
ความอาทรของครูจ่าที่มีต่อครูนิสานั้นเป็นที่สนอกสนใจของเด็กๆอย่างพวกผมยิ่งนัก โดยเฉพาะอาลูผะนั้นเธอหมายมั่นปั้นมือเสียเหลือเกิน ที่จะให้ครูนิสาของเธอชอบพอกับครูจ่า ดังนั้นยามใดที่
ครูจ่าเข้ามาในห้อง อาลูผะจะหันมายักคิ้วใส่ผมแทบทุกครั้ง ผมเองก็พยักหน้ารับรู้ด้วยความระอาใจ
“ ฉันเห็นครูจ่าแอบมองครูนิสาด้วยแหละอาเลา ” อาลูผะบอกผมในเย็นวันหนึ่ง
“ เธอคิดไปเองหรือเปล่าอาลูผะ ” ผมท้วง
“ เธอก็คอยดูเองแล้วกัน วันหนึ่งครูจ่าจะต้องเข้าไปบอกครูนิสาว่า ง้าหนองก่ายะเออ แน่ๆเลย” เธอมั่นใจว่าครูจ่าจะต้องบอกรักครูนิสาแน่นอน
“ แล้วครูนิสาก็จะไปขอครูจ่าแต่งงาน ”
“ เฮ้ย! ครูเขาไม่ใช่คนเผ่าเรา คนเมืองผู้ชายต้องไปขอผู้หญิงแต่งงาน ” ผมบอกตามที่
ได้ยินพ่อบอกมา
“ มีด้วยเหรอ ผู้ชายเป็นคนไปสู่ขอ ” อาลูผะถามงงๆ
“ ไม่รู้สิพ่อบอกว่านายเป็นคนเล่าให้ฟังน่ะ ” ผมตอบอย่างไม่มั่นใจ
“ นายของพ่อเธอเป็นใครเหรออาเลา ” อาลูผะเปลี่ยนมาสนใจในสิ่งที่ผมเล่าแทน
“พ่อบอกว่านายทำงานกรมป่าไม้ เคยมาที่บ้านฉันด้วยนะอาลูผะ เหมาะกับครูนิสามากกว่า
ครูจ่าอีก ” ผมวิจารณ์
“ ถ้าพูดแบบนี้ไม่ต้องมาคุยกัน ” พูดจบอาลูผะก็สะบัดหน้าจากไป
เหตุการณ์วันนั้นทำให้อาลูผะเคืองผมไปหลายวัน ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่า การที่ครูนิสาจะชอบใครนั้น เกี่ยวอะไรกับเด็กๆอย่างพวกเรา
≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈