ไอดินกลิ่นฟ้า..เรื่องราวของเด็กชายจากเผ่าอาข่า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

ไอดินกลิ่นฟ้า..เรื่องราวของเด็กชายจากเผ่าอาข่า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 12 ก.ค. 2008 11:53 am

๑.

ลมหัวรุ่งค่อยๆพัดผ่านกอไผ่ข้างบ้านเสียงดังเอียดอาด นกน้อยที่ทำรังอยู่บนไม้เต็งต้นใหญ่ค่อยๆอำลารัง แล้วโบยบินออกไปหาอาหารส่งเสียงร้องจิ๊บๆ แข่งกับเสียงไก่โต้งที่โก่งคอขันปลุกผู้ที่หลับ

ใหลให้ตื่นขึ้นมาต่อสู้กับงานที่ไม่มีวันจบสิ้น

เมื่อย่างเข้าต้นเดือนพฤศจิกายนผู้คนที่อยู่พื้นราบคงกำลังยินดีกับลมหนาวที่เริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่พายุฝน แต่บนดอยสูงนั้นกลับพบเจอกับความหนาวยะเยือกจนน้ำค้างกลายเป็น

เกล็ดน้ำแข็งเสียแล้ว ผมดึงผ้าห่มผืนเก่าที่ได้รับแจกเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาคลุมหัวให้พ้นจากแสงสว่าง เสียงน้ำค้างยังคงหยดจากชายคาบ้านลงสู่พื้นดินดังเปาะแปะ

“ ตื่นได้แล้ว อาเลา วันนี้ต้องไปโรงเรียน ” เสียงของพ่อบังคับให้ผมจำใจตื่น

ผมยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่มช้าๆ ลมหนาวยังคงเลาะล้วงฝาบ้านเข้ามาอย่างไม่ลดละ ผมมองทะลุรอยแตกของฝาไม้ไผ่ออกไปด้านนอก มองเห็นแสงไฟวูบขึ้นจากบ้านของอาลูผะ แสดงว่าเธอเอง

ก็คงตื่นแล้วเช่นเดียวกัน

“ อาเลาไปตักน้ำที่น้ำตกหน่อยนะ หน้าแล้งน้ำมันแห้ง ท่อที่ต่อจากน้ำตกมาที่บ้านไม่มีน้ำสักหยด ตักน้ำแล้วรีบเตรียมตัวไปโรงเรียนล่ะ ” แม้พ่อจะร่ำเรียนมาน้อยแต่ก็มองเห็นความสำคัญของการ

ศึกษาเสมอ ต่างจากคนอื่นๆในหมู่บ้านที่ต้องการให้ลูกหลานออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงาน

ผมไม่ตอบพ่อ แต่รีบพับผ้าห่มที่มีกลิ่นอับๆแล้วลุกขึ้นไปคว้าถังน้ำใบเขื่องเดินลิ่วๆไปยังน้ำตกซึ่งอยู่บนดอยอีกลูกหนึ่ง การวิ่งขึ้นลงจากดอยลูกหนึ่งไปยังดอยอีกลูกหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ผมคุ้นชินมา

ตั้งแต่เล็ก จึงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย

“ อ่าก๊าอี๊เท อาเลา ” เสียงแหลมเล็กของอาลูผะถามว่าไปไหน

“ ไปน้ำตก ” ผมตอบเสียงสั่นๆด้วยความหนาวเย็น

“ ไปด้วยสิ ” อาลูผะวิ่งตามมา ในมือของเธอมีถังน้ำเช่นเดียวกัน

เราสองคนวิ่งผ่านถนนสายเล็กๆที่มีหญ้าขึ้นรก ลัดเลาะไปตามไหล่เขาเพื่อไปยังน้ำตก สาเหตุที่ต้องวิ่ง เพราะความหนาวเย็นนั้นจะลดลงเมื่อร่างกายเหน็ดเหนื่อย อันเป็นวิธีการที่ครูจ่าซึ่งเป็น

ต.ช.ด.บอกกับผม

“ อาลูผะไปโรงเรียนมั้ยวันนี้ ” ผมตะโกนถามเธอแข่งกับเสียงน้ำที่ตกกระทบพื้นน้ำ

เบื้องล่างดังซ่าๆ

“ ไปสิฉันจะไปดูครูคนใหม่ ” อาลูผะยิ้ม

เมื่อสามวันก่อนหัวหน้าหมู่บ้านเรียกประชุมพวกเราที่แดข่อง ซึ่งเป็นลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน เพื่อแจ้งว่าเปิดเทอมนี้จะมีครูคนใหม่ขึ้นมาสอนช่วยครูจ่า

“ ไปดูทำไม ครูก็สอน ก.ไก่ เหมือนกันหมดแหละ ” ผมเถียง

“ แหม ! แต่ทุกทีมีแต่ครูจ่านี่นา คราวนี้เป็นผู้หญิงจะเหมือนกันได้ยังไง ” อาลูผะเองก็

ไม่ยอมลดละ

“ งั้นรีบตักน้ำ แล้วไปโรงเรียนกันเถอะ ” ผมสรุป

เมื่อตักน้ำเสร็จแล้ว เราสองคนจึงวิ่งลงจากดอยไปยังหมู่บ้านซึ่งอยู่บนดอยคนละลูก แสง

สีแดงระเรื่อค่อยๆแผ่จากยอดดอยทางทิศตะวันออก ทำให้ความเย็นจากละอองน้ำค้างลดลงบ้าง หมอกหนาทึบเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วค่อยๆจางลง มองเห็นต้นสนต้นใหญ่มีละอองน้ำค้างเกาะ

แพรวพราววิบวับรับแสงตะวัน งดงามจนอาลูผะอดชะเง้อชะแง้มองตามประสาหญิงไม่ได้

“ ไม่เคยเห็นน้ำค้างหรือไง อาลูผะ ” ผมแกล้งแซว

เธอไม่ตอบกลับค้อนขวับแล้วบ่นพึมพำคนเดียว ก่อนที่จะวิ่งลิ่วๆแซงหน้าผมไปโดยไม่รอ


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈


ผมวิ่งตามก้อนเมฆฉาบแสงแดดสีทองอร่ามไปทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทางเดียวกับโรงเรียน

บ้านผาดำของพวกเรา นักเรียนอย่างผมใส่ชุดนักเรียนกับรองเท้าแตะ บางครั้งถ้ารองเท้าเจ้ากรรมเกิดขาดขึ้นมา ก็ต้องเดินเท้าเปล่าจนกว่าพ่อจะลงไปซื้อที่อำเภอให้ ซึ่งบางทีก็เป็นอาทิตย์หรือบางทีก็อาจจะ

เป็นเดือน คนทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นความลำบากยากแค้น แต่ผมก็ชินกับวิถีชีวิตแบบนี้

มานานแล้วจึงไม่รู้สึกแต่อย่างใด

โรงเรียนของเราเป็นอาคารไม้แคบๆ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเก่าๆ ทั้งโรงเรียนมีห้องน้ำห้องเดียว น้ำกินน้ำใช้ก็ได้มาจากฝายเล็กๆที่ต่อท่อมาจากน้ำตก นอกจากหลอดนีออนแล้ว

เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดเดียวที่เรามีก็คือ โทรทัศน์ ซึ่งใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ แต่ถ้าในช่วงฤดูฝนแล้วโทรทัศน์ก็จะถูกทอดทิ้งไปโดยปริยาย เพราะบนดอยของเรานั้นจะมีฝน

ตกลงมาแทบทุกวัน

“ ดู่ถ่องมะ อาเลา ” เสียงเข้มๆของครูจ่าดังมาจากด้านหลังเสาธงซึ่งเป็นแปลงเกษตร

ครูจ่ามักจะฝึกใช้ภาษาอาข่าเสมอถ้ามีโอกาส

ผมวิ่งไปหาครูแล้วยกมือไหว้

“ ดู่ถ่องมะครับครู ” ผมตอบด้วยประโยคเดียวกัน

“ ครูไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านเสียนาน อาลอสบายดีมั้ย ” ครูจ่ามักจะถามถึงพ่อเสมอ

“ สบายดีครับ ” ผมตอบพลางย่อตัวลงถอนหญ้าที่ขึ้นรอบๆดอกทานตะวันต้นเล็กๆ

“ แล้วอาลอยังไปหาของป่าอยู่หรือเปล่าอาเลา ” ครูจ่าถามต่อ

“ ก็นานๆไปทีครับ พ่อทำไร่ด้วย ถ้าครูอยากได้น้ำผึ้งพรุ่งนี้ผมจะเอามาให้ ” ผมบอก

อย่างรู้ใจ
“ ได้ เดี๋ยวเย็นๆครูจะฝากเงินไปก็แล้วกัน ” ครูหนุ่มยิ้มอย่างยินดี

“ แกร๊งๆ! ” เสียงระฆังขนาดเล็กดังขึ้น ทำให้ผมและเด็กชาวเขาทั้งหลายพากันวิ่งกรูมาเข้าแถวหน้าเสาธง เมื่อร้องเพลงชาติและสวดมนต์เสร็จแล้ว ครูจ่าก็ออกมากล่าวต้อนรับเปิดเทอมใหม่

พร้อมกับแนะนำครูคนใหม่ของโรงเรียนบ้านผาดำ

ครูนิสาเป็นหญิงสาวผิวขาว หน้าตาดี ไว้ผมยาวประบ่า แต่รวบไว้ด้วยผ้าผูกผมสีน้ำเงิน เช่นเดียวกับกระโปรงทรงตรงผ่าหลัง และรองเท้าคัชชูเตี้ยๆประดับโบเล็กๆสีขาว

“ สวัสดีค่ะ ครูชื่อนิสา พากเพียรเกียรติ ครูยินดีมากนะคะที่ได้มาสอนที่นี่ ”

ครูคนใหม่แนะนำตัวสั้นๆ

“ ครูสวยจังนะอาเลา ” อาลูผะสะกิดผม

“ อือ ” ผมพยักหน้ารับคำหงึกๆ

เมื่อครูจ่าอนุญาตให้เข้าห้องเรียนแล้ว พวกเราจึงมารวมตัวกันในห้องเรียนโล่งๆลมโกรกรอบทิศทาง ไม่นานนักครูนิสาก็เดินเข้ามา

“ นักเรียนทำความเคารพ ” หัวหน้าห้องรีบบอกทันทีที่เห็นครู

“ สวัสดีครับ สวัสดีค่ะคุณครู ” คำทักทายด้วยน้ำเสียงแปร่งหูดังขึ้นตามลำดับ

“ สวัสดีอีกครั้งค่ะนักเรียน วันนี้เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า โดยครูจะให้นักเรียนเขียนชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น และสิ่งที่ชอบเอาไว้ แล้วออกมาอ่านหน้าห้อง หัวหน้าห้องมารับกระดาษไปแจก

เพื่อนด้วยค่ะ ”

ผมและเพื่อนๆเขียนแนะนำตนเองตามที่ครูบอก ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง แต่ครูก็เรียกคนที่

เขียนผิดมาอธิบายทีละคนอย่างใจเย็น

“ เป็นไงบ้างครับครู เด็กๆดื้อมั้ยครับ ” ผ่านไปราวครึ่งวันครูจ่าก็เข้ามาถามด้วยความ

เป็นห่วง

“ เด็กๆน่ารักดีค่ะ แต่เขามีพื้นฐานความรู้น้อยไปเท่านั้นเอง ” ครูนิสาบอกอย่างหนักใจ

“ เป็นธรรมดาครับ บนดอยห่างไกลความเจริญแบบนี้ เราก็พยายามสอนเขาเท่าที่จะทำได้ครับครู ” ครูจ่าบอกอย่างปลงๆ

“ ค่ะ ต่อไปนิสาคงต้องขอคำแนะนำจากครูอีกมาก ”

“ ยินดีครับ ” ครูจ่าบอกอย่างใจดี

ความอาทรของครูจ่าที่มีต่อครูนิสานั้นเป็นที่สนอกสนใจของเด็กๆอย่างพวกผมยิ่งนัก โดยเฉพาะอาลูผะนั้นเธอหมายมั่นปั้นมือเสียเหลือเกิน ที่จะให้ครูนิสาของเธอชอบพอกับครูจ่า ดังนั้นยามใดที่

ครูจ่าเข้ามาในห้อง อาลูผะจะหันมายักคิ้วใส่ผมแทบทุกครั้ง ผมเองก็พยักหน้ารับรู้ด้วยความระอาใจ

“ ฉันเห็นครูจ่าแอบมองครูนิสาด้วยแหละอาเลา ” อาลูผะบอกผมในเย็นวันหนึ่ง

“ เธอคิดไปเองหรือเปล่าอาลูผะ ” ผมท้วง

“ เธอก็คอยดูเองแล้วกัน วันหนึ่งครูจ่าจะต้องเข้าไปบอกครูนิสาว่า ง้าหนองก่ายะเออ แน่ๆเลย” เธอมั่นใจว่าครูจ่าจะต้องบอกรักครูนิสาแน่นอน

“ แล้วครูนิสาก็จะไปขอครูจ่าแต่งงาน ”

“ เฮ้ย! ครูเขาไม่ใช่คนเผ่าเรา คนเมืองผู้ชายต้องไปขอผู้หญิงแต่งงาน ” ผมบอกตามที่

ได้ยินพ่อบอกมา

“ มีด้วยเหรอ ผู้ชายเป็นคนไปสู่ขอ ” อาลูผะถามงงๆ

“ ไม่รู้สิพ่อบอกว่านายเป็นคนเล่าให้ฟังน่ะ ” ผมตอบอย่างไม่มั่นใจ

“ นายของพ่อเธอเป็นใครเหรออาเลา ” อาลูผะเปลี่ยนมาสนใจในสิ่งที่ผมเล่าแทน

“พ่อบอกว่านายทำงานกรมป่าไม้ เคยมาที่บ้านฉันด้วยนะอาลูผะ เหมาะกับครูนิสามากกว่า

ครูจ่าอีก ” ผมวิจารณ์

“ ถ้าพูดแบบนี้ไม่ต้องมาคุยกัน ” พูดจบอาลูผะก็สะบัดหน้าจากไป

เหตุการณ์วันนั้นทำให้อาลูผะเคืองผมไปหลายวัน ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่า การที่ครูนิสาจะชอบใครนั้น เกี่ยวอะไรกับเด็กๆอย่างพวกเรา


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 12 ก.ค. 2008 11:54 am



ครูนิสามาสอนพวกเราตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้ว ระยะแรกๆนั้นครูอาจจะยังปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตชาวอาข่าไม่ได้ ผมสังเกตเห็นว่าครูไม่มีความสุขเอาเสียเลย จะมีก็ช่วงปลายเดือนเท่านั้น

ที่ดูร่าเริงเนื่องจากจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่ตัวเมืองเชียงใหม่ แต่ในระยะหลังๆนั้นครูคงจะเรียนรู้

วิถีชีวิตของพวกเราได้มากขึ้น ผมจึงมองไม่เห็นความเหงาหงอยจากครูอีกเลย

ช่วงปลายฤดูร้อนมักจะมีพายุใหญ่พัดเข้ามาทุกปี จนพ่อต้องเปลี่ยนใบตองตึงที่ใช้มุงหลังคาก่อนเข้าฤดูฝนเสมอ ปีนี้ฝนทิ้งช่วงไปนาน กว่าจะเข้าสู่ช่วงที่ฝนตกติดต่อกันจริงๆก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือน

สิงหาคมแล้ว ในฤดูฝนนั้นชาวอาข่าอย่างพวกเราจะมีงานประจำปีที่เรียกว่า

“ แย้ขู่อ่าเผ่ว” หรือประเพณีโล้ชิงช้านั่นเอง จริงๆแล้วงานนี้ครอบครัวของผมไม่มีบทบาทเท่าใดนัก เพราะบ้านเราไม่มีผู้หญิง ขณะที่ประเพณีโล้ชิงช้านั้นจะให้ความสำคัญกับผู้หญิงเป็นพิเศษ โดยในวันแรก

นั้นจะมีการตำข้าวปุ๊ก และผู้หญิงจะแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าให้สวยงามแล้วออกไปตักน้ำที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำมาใช้ประกอบพิธีกรรม นายของพ่อมาร่วมงานกับเราในวันที่สอง นายแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ต

สีฟ้าอ่อนและกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม ซึ่งผมมองว่าเหมาะกับใบหน้าอันคมเข้มของนายเหลือเกิน

“ ดู่ถ่องมะครับนาย ” ผมยกมือไหว้ตามที่ครูเคยสอน

นายหันมายิ้มแล้วรับไหว้ ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาพ่อในบ้าน สักครู่ทั้งสองจึงออกมา

พร้อมกัน นานแล้วที่ผมไม่เห็นพ่อในชุดเต็มยศ เพราะนายจะชอบให้พ่อแต่งกายแบบคนพื้นเมืองมากกว่า โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความทะมัดทะแมง

“ อาเลาแต่งตัวเสร็จหรือยัง เดี๋ยวไปที่งานพร้อมกัน ” นายชวน

“ เสร็จแล้วครับ ” ผมรีบตอบเพราะการได้ไปในงานพร้อมกับหนุ่มหล่ออย่างนายนั้น เพื่อนๆจะต้องอิจฉาผมแน่นอน

“ จบป.๖ แล้ว อาเลาอยากไปเรียนต่อมั้ย ” นายหันมาถามผมอีกครั้ง

“ อยากเรียนครับนาย ” ผมตอบตามใจคิด ครูนิสาบอกเสมอว่าผมควรเรียนต่อ เพราะผมเป็นคนหัวไว สอนอะไรนิดหน่อยก็เข้าใจแล้ว

“ ตอนนี้อยู่ป.๖ แล้วสิ ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวปีหน้าฉันจะพาไปเรียนต่อในเมือง ”

นายหยุดเดินแล้วหันมาเอานิ้วจิ้มจมูกผม

“ ครับ ” ผมรับคำแต่อีกใจหนึ่งก็ลังเล

ถ้าไปเรียนในเมืองผมคงอดเป็นห่วงพ่อไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาพ่อเป็นคนเพียงคนเดียวที่ห่วงใยดูแลผม แล้วผมจะทิ้งพ่อไปเรียนในเมืองได้อย่างไร

“ถ้าอาเลามันได้เรียนต่อผมก็เบาใจครับนาย ผมไม่อยากให้มันมาจมอยู่บนดอยแบบนี้ ”

พ่อระบายความในใจ

“ อาลอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไว้เป็นธุระของฉันเอง ” นายรับปาก

วันนั้นผมเดินตามพ่อและนายไปด้วยความรู้สึกสับสน โดยที่ไม่รู้เลยว่าในวันหนึ่งตนเองจะต้องไปอยู่ในความดูแลของนายอย่างปฏิเสธไม่ได้

เมื่อเราทั้งสามไปถึงบริเวณงานพิธีก็เป็นเวลาที่ผู้นำศาสนากำลังเริ่มสร้างเสาชิงช้าแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายต่างรวมตัวช่วยงานกันอย่างเต็มที่ ผมมองเห็นครูจ่ากำลังสาละวนอยู่กับการ

ขุดหลุมฝังเสาชิงช้า ในขณะที่ครูนิสายืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆอาลูผะ

“ อาเลาไปเล่นกับเพื่อนๆนะ พ่อกับนายจะเข้าไปช่วยเขาทำชิงช้า ” พ่อบอกผมเบาๆ

ผมพยักหน้าแล้วจึงวิ่งไปหาอาลูผะซึ่งแต่งกายในชุดประจำเผ่าอย่างเต็มยศเช่นเดียวกัน

อาลูผะยิ้มกว้างตั้งแต่แวบแรกที่เห็นผม

“ อาเลา ” เธอกวักมือเรียกผมพร้อมทั้งตะโกนดังๆ

ผมยกมือไหว้ทักทายครูนิสาแล้วจึงหันไปทักตอบอาลูผะ

“ ดู่ถ่องมะอาลูผะ เธอมากับใครเหรอ ”

“ ฉันมากับแม่ พอแม่ไปเตรียมอาหารเลยมาอยู่กับครูนิสานี่แหละ เออ! ครูเขาอยากไปน้ำตกแหละ เธอจะไปด้วยกันมั้ยอาเลา ” ประโยคท้ายหันมาชักชวน

“ ไปสิ แล้วจะไปกันตอนไหนล่ะ ” ผมตัดสินใจอยู่ครู่นึ่งแล้วจึงตกลงใจ

“ รอให้โล้ชิงช้าเสร็จก่อนค่อยไปจ๊ะอาเลา ” ครูนิสาตอบเสียเอง

“ ครับ ” ผมรับคำแล้วจึงเดินย้อนไปบอกพ่อ เพราะเกรงว่าเมื่อไปไม่บอกจะทำให้พ่อเป็นห่วง


เมื่อสร้างชิงช้าเสร็จแล้ว ผู้นำศาสนาได้รับเกียรติให้เป็นผู้เปิดโล้ก่อน แล้วทุกคนจึงสับเปลี่ยนกันเข้าไปโล้บ้าง ครูนิสาเองก็ดูจะสนุกกับการโล้ชิงช้าอยู่ไม่น้อย ใบหน้าสวยหวาน

ของครูถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย ถ้าผมไม่อุปทานไปเอง นายของพ่อคงจะถูกชะตากับครูของผมแน่นอน เพราะเฝ้ามองตามครูแบบที่สำนวนไทยเรียกว่า “ ไม่วางตา ”


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

น้ำตกที่ผมและอาลูผะพาครูนิสาไปเที่ยวนั้นเป็นน้ำตกที่อยู่ในป่าลึก และยังไม่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวจึงยังคงรักษาสภาพป่าต้นน้ำไว้อย่างสมบูรณ์ ครูนิสาตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่น้ำตก

ชั้นสาม เพราะมีก้อนหินใหญ่เป็นที่นั่ง และมีแอ่งน้ำให้ผมกับอาลูผะลงว่ายเล่น

ครูนิสาเพลินมองสายน้ำสีขุ่นๆที่ไหลซอกซอนแอ่งหินด้านบนลงมาเบื้องล่าง แรกๆ

อาลูผะชวนผมวิ่งเล่นบนโขดหิน แต่สักพักเราก็ตัดสินใจลงไปแช่ในน้ำแล้วแหวกว่ายเล่นอย่างสนุกสนาน

“ อาเลามานั่งใต้น้ำตกสิ ปล่อยให้น้ำกระทบตัวเรา ” อาลูผะชวน

ผมทำตามที่เธอบอก สายน้ำที่สาดซ่าลงมาจากหน้าผาเบื้องบนตกกระทบร่างกายของผมแล้วกระเซ็นเป็นสาย เมื่อมองผ่านม่านน้ำตกเห็นครูนิสานั่งบนโขดหินปล่อยขาทั้งสองข้างห้อยลงมาจุ่มน้ำ

ด้วยท่าทีเหงาๆ ผมจึงลุกขึ้นเดินไปหาครู

“ ครูครับไปเล่นน้ำกับพวกผมเถอะ ” ผมชวน

“ เล่นกันเถอะอาเลา อีกสักพักก็คงจะกลับกันได้แล้ว ฝนทำท่าจะตก ดูสิเมฆครึ้ม ” ครูบอกพลางชี้ไปทางท้องฟ้าทิศตะวันตกที่มองเห็นก้อนเมฆสีดำๆเต็มไปหมด

“ อาลูผะๆ ขึ้นมาเถอะฝนจะตกแล้ว ” ผมตัดสินใจตะโกนฝ่าเสียงน้ำตก

เสียงของผมคงจะสู้เสียงน้ำตกไม่ได้จึงต้องเดินแกมวิ่งเข้าไปหาเธออีกครั้ง เม็ดฝนค่อยๆโปรยปรายลงมา พร้อมๆกับเสียงฟ้าร้องคำรามก้องทั่วบริเวณ ผมพาอาลูผะวิ่งไปหาครูนิสาที่ยืนหลบฝนอยู่

ใต้ชะโงกผาเล็กๆข้างน้ำตก ฝนยังคงเทมาเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“ ครูคะน้ำตกทำไมกลายเป็นสีแดงๆ ” อาลูผะสงสัย

ครูนิสาหันไปมองอย่างตกใจพลางบอกพวกเราด้วยเสียงสั่นๆ

“ น้ำป่ากำลังจะมา อาเลา อาลูผะเราต้องวิ่งออกห่างจากน้ำตกแล้ววิ่งไปที่สูงให้เร็วที่สุด

เข้าใจมั้ย ” ครูละล่ำละลักบอก

เมื่อได้ยินดังนั้นผมในฐานะผู้ชำนาญทางจึงพาทั้งสองวิ่งลัดเลาะตามไหล่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ เสียงสายฝนปนเสียงน้ำป่าดังอื้ออึง ใจผมสั่นแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ สายน้ำมรณะไหลซัดกิ่งไม้

ก้อนหิน และโคลนลงมาอย่างรวดเร็ว

“ รีบปีนขึ้นบนต้นข่อยนั่นเร็วๆ ” ครูนิสาตะโกนบอกอีกครั้ง

เราสามคนปีนขึ้นไปบนต้นข่อยอย่างทุลักทุเลด้วยความลื่น ครูนิสาและอาลูผะปีนขึ้นไปจนเกือบถึงยอด ส่วนผมนั้นปีนขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย ชั่วครู่เราทั้งสามจึงมองเห็นสายน้ำสีขุ่นๆไหลลงไปตาม

แนวเขาอย่างรวดเร็ว มันทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า หากพวกเราปีนขึ้นบนต้นข่อยไม่ทัน ก็คงจะเอาชีวิตรอดกลับไปไม่ได้

“ อย่าเพิ่งลงไปนะเด็กๆ มันยังไม่ปลอดภัย ” ครูนิสาบอกหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง

“ แต่มันใกล้ค่ำแล้วนะครู ” อาลูผะท้วง

“ บางที..คืนนี้เราอาจจะยังลงไปไม่ได้ ” ครูนิสาชั่งใจก่อนตอบ

ฝนหยุดตกแล้วกลับมีเสียงแมลงต่างๆดังเซ็งแซ่ ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาแล้ว เรา

ทั้งสามเนื้อตัวเปียกปอน ผมรู้สึกหิวจนแสบท้องแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมา เพราะคิดว่าครูนิสาและอาลูผะก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกัน

“ หิวจังอาเลา ” อาลูผะแอบสะกิดผม

“ ทนก่อนนะอาลูผะ มืดค่ำแล้วหาอะไรกินคงลำบาก ครูเองก็หิว ” ครูนิสาได้ยินจึงตอบเสียเอง

พระจันทร์สีนวลค่อยๆฉาบแสงเหนือท้องฟ้าทิศตะวันออก ความสว่างของแสงจันทร์

บดบังดาวดวงน้อยๆที่พ่อเคยชี้ให้ชมในคืนเดือนมืด เหลือเพียงดาวศุกร์เท่านั้นที่ยังคงเปล่ง

แสงอวดสายตา ทำให้ผมหวนกลับมาคิดว่า เวลาที่ท้องฟ้าขาดดาวช่างดูเหงา..เหลือเกิน เสียงแมลงยังคงดังก้องไพร ยุงตัวโตๆบินรบกวนโสตประสาทจนเราทั้งสามต้องหักกิ่งไม้มาพัดไล่ ลมที่พัดมาเบาๆทำ

ให้เสื้อผ้าของเราแห้งขึ้นตามลำดับ ผมรู้สึกง่วงแต่ก็กลัวตกจากต้นไม้จึงพยายาม

ข่มตาตนเองให้พ้นจากความง่วงงุน ครูนิสาและอาลูผะนั่งลงบนคาคบไม้ที่อยู่สูงขึ้นไป ทั้งสองดูจะอิดโรยไม่แพ้กัน

“ อาเลา อยู่ไหน ” เสียงเรียกชื่อผมดังแว่วๆมาแต่ไกล เราทั้งสามต่างเงียบฟัง ไม่นานนักเสียงก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ พ่อ...ผมอยู่นี่ ” ผมตะโกนตอบอย่างยินดี เมื่อจำได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือพ่อนั่นเอง

ไม่ช้าผมก็มองเห็นแสงไฟวูบวาบเคลื่อนเข้ามาในทิศทางที่พวกเราอยู่

“ อาเลา..อยู่ตรงไหน ” พ่อยังตะโกนไม่หยุด

“ พ่อ..ผมอยู่บนต้นไม้นี่ ”

แสงไฟฉายกราดขึ้นมาทางพวกเรา ผมหรี่ตาลงแล้วตะโกนตอบพ่อ

“ เราจะลงไปกันเดี๋ยวนี้แหละพ่อ ”

เราทั้งสามค่อยๆปีนลงจากต้นข่อยด้วยความทุลักทุเลไม่แพ้คราวแรก ทันทีที่เท้าก้าวลงไปเหยียบพื้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อ พ่อเองก็กอดผมไว้แน่นเช่นเดียวกัน

“ ไม่เป็นไรนะอาเลา ไม่ต้องกลัว สูปลอดภัยแล้ว ” พ่อปลอบ

ตั้งแต่ผมจำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ในอ้อมกอดพ่อ อ้อมอกอันแข็งแรงและอบอุ่น ผมรู้ทันทีว่าจะปลอดภัยเสมอเมื่อได้อยู่ภายในอ้อมแขนคู่นี้

“ คุณครูกับแม่หนูคนนี้เป็นไงบ้างครับ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ” นายเดินเข้าไปถามครูนิสาและอาลูผะ

“ ไม่ค่ะ เราปลอดภัยดี ” ครูนิสาตอบแล้วเดินไปโอบไหล่อาลูผะเอาไว้หลวมๆ

“ ค่อยๆเดินไปนะครับ ทางมันมืดระวังรากไม้ ” นายบอกแล้วใช้ไฟฉายส่องทางให้ครู

“ ขอบคุณค่ะ ” ครูของผมเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง แต่ผมเชื่อว่าครูเองก็รู้สึกตกใจไม่แพ้พวกผมเหมือนกัน


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » จันทร์ 14 ก.ค. 2008 7:27 pm

๓.

ผมเรียนอยู่ชั้น ป.๖ แล้ว ปีนี้จึงเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะได้ใช้ชีวิตในโรงเรียน

บ้านผาดำ โรงเรียนที่มีนักเรียนเชื้อสายอาข่าเกือบหกสิบชีวิต และมีครูเพียงสองคน พ่อบอกว่าโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่อยู่ไกลความเจริญ การเรียนรู้ของเราจึงไม่เท่าเด็กในเมืองอันมี

วิทยาการที่ทันสมัยมากกว่า พ่อจึงอยากให้ผมได้ไปเรียนต่อเพื่อนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาหมู่บ้านของเรา


หลังจากเหตุการณ์วันโล้ชิงช้า โรงเรียนผาดำมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น

นายของพ่อซึ่งกลายมาเป็นแขกประจำของโรงเรียนเรา ครูนิสาซึ่งมีสีหน้าสดใสขึ้นในยามที่

เห็นว่านายมาเยี่ยม และครูจ่าซึ่งดูเหงาหงอยผิดปกติทุกครั้งที่เห็นนาย เหตุการณ์ทั้งหลายอยู่ในสายตาของเด็กๆอย่างพวกผมเสมอ

“ สงสารครูจ่าจังเลยอาเลา ” อาลูผะพูดกับผมในวันหนึ่ง

“ แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะอาลูผะ ” ผมย้อนถามความคิดเห็นของเธอ

“ ไม่รู้สิ จริงๆฉันก็อยากให้ครูจ่ารักกับครูนิสานะ แต่พอรู้จักกับนายของเธอ ฉันว่าเขาก็เป็นคนดี มันคงขึ้นอยู่กับครูนิสาแล้วล่ะ ว่าจะรักใคร ” อาลูผะแสดงความคิดเห็นอย่างแก่แดด

“ แล้วเธอไม่โกรธนายแล้วเหรอที่มาแย่งครูนิสาไปจากครูจ่า ” ผมถามต่อ

“ ฉันก็แค่สงสารครูจ่าเท่านั้นเอง ” เธอตอบไม่ตรงคำถาม

“ เธอคงขอยืมนิยายครูนิสาไปอ่านบ่อยๆสิ” ผมแกล้งเปลี่ยนเรื่อง

“ ก็ชอบ สนุกดี ” อาลูผะตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ มิน่าคำพูดเธอเมื่อกี๊ถึงเหมือนนางเอกในทีวีเลย ฮ่าๆๆ ”

พูดจบผมก็หัวเราะลั่น จำได้ว่าวันนั้นอาลูผะโกรธผมจนหน้าแดง แล้วทำท่ากระเง้ากระงอดเดินจากไป ผมเองก็ทำได้แค่มองตามเธอด้วยรอยยิ้ม


ในขณะที่ผมนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น ไม่นานก็ได้เห็นนายปรากฏตัวที่โรงเรียนอีกครั้ง ในมือนายมีถุงพลาสติกใบใหญ่สองใบ พอเห็นผมนายก็เรียกให้มาหา

“ อาเลาตามฉันไปช่วยขนของในรถหน่อยสิ ”

ผมไม่ตอบแต่ก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย รถของนายเป็นรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ ท้ายกระบะมีของเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกระดาษสี ผ้า หรืออาหาร ผมไม่เคยเห็นนายซื้อของมาฝากครูนิสาเยอะขนาดนี้

มาก่อน แต่ก็ไม่กล้าซักถาม

“ ของพวกนี้จะเตรียมไว้งานวันเด็กน่ะ ” นายบอกเหมือนเดาความคิดผมได้

จริงสินะ...เสาร์นี้ก็จะถึงวันเด็กแล้ว ครูจ่าพูดหน้าเสาธงเมื่อวันก่อนว่า ปีนี้จะมีนักศึกษาจากกรุงเทพฯมาจัดงานวันเด็กให้พวกเรา พลอยทำให้พวกผมตื่นเต้นไปด้วย เพราะนานๆถึงจะมีคนต่างถิ่นเข้ามาใน

โรงเรียนสักครั้งหนึ่ง

“ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับคุณธนัส ” ครูจ่าเดินเข้ามาถามนายเมื่อเห็นผมและนายถือของพะรุงพะรัง

“ จ่าให้เด็กๆมาช่วยขนอาหารที่อยู่ท้ายรถดีกว่าครับ ” นายตอบแล้วพยักพเยิดไปทิศทางที่รถจอดอยู่

ครูจ่าหายไปชั่วครูก็กลับมาพร้อมกับเด็กนักเรียนสี่ห้าคน ทุกคนต่างช่วยกันขนของอย่างแข็งขันไม่นานของบนรถนายก็ไปกองรวมกันอยู่ใต้ถุนอาคารเรียน

“ นักศึกษาจะมากันเยอะมั้ยครับนิสา ” ระยะหลังๆนายมักจะเรียกครูนิสาอย่างสนิทสนม

“ เห็นว่าจะมาราวๆยี่สิบคนน่ะค่ะ ” ครูนิสาหยุดนับจำนวนแก้วน้ำแล้วหันมาตอบ

“ เดี๋ยวจะช่วยเขียนป้าย คุณคิดว่าจะใช้คำว่าอะไรดี ” นายถามแล้วคลี่ผ้าสีขาวออก

“ ก็เขียนยินดีต้อนรับไงคะ เดี๋ยวนิสาจะร่างให้คร่าวๆ อาเลาช่วยไปหยิบปากกากับกระดาษบนโต๊ะครูมาให้หน่อยสิ ” ประโยคท้ายหันมาบอกผม

ผมเดินออกมาตามที่ครูสั่ง เมื่อมองไปหน้าเสาธงก็เห็นพ่อและคนในหมู่บ้านช่วยกันทำเวทีกันอยู่ ตั้งแต่เรียนป.๑ จนถึงป.๖ ผมยังไม่เคยเห็นวันเด็กปีไหนจะจัดอย่างยิ่งใหญ่เท่าปีนี้เลย

ทำให้รู้สึกอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆเสียแล้ว

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

ก่อนวันเด็กหนึ่งวันพวกเราก็ได้เห็นรถบรรทุกคันใหญ่แล่นเข้ามาในโรงเรียน สักพักผมก็ได้เห็นหนุ่มสาวหลายๆคนทยอยกันลงจากรถ ทุกๆคนสวมเสื้อกันหนาวตัวหนา มีฝุ่นสีน้ำตาล


เกาะอยู่ตามเส้นผมและเนื้อตัว บางคนหน้าซีดเพราะเมารถ แต่บางคนพอลงจากรถก็รีบเดินชมธรรมชาติราวกับไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน

“ สวัสดีครับน้องๆ” ครูจ่าเดินออกมาต้อนรับ

นักศึกษาที่เพิ่งมาถึงต่างยกมือไหว้ครูจ่า แล้วเดินตามเข้าไปในอาคารเรียน ผมกับเพื่อนอีกสองสามคนยืนมองรถบรรทุกคันใหญ่อย่างตื่นตา นานๆจะมีรถแบบนี้เข้ามาในหมู่บ้านของเราสักคันหนึ่ง

“ อาเลา อาผ่า สะผะ มาช่วยกันขนของลงจากรถช่วยพี่ๆเขาหน่อยเร็ว ” ครูนิสากวักมือเรียกอยู่ท่ามกลางเหล่านักศึกษา

วันนั้นทั้งวันผมและเพื่อนๆอยู่ช่วยดูแลพี่ๆนักศึกษาตามที่ครูจ่าสั่งไว้ โดยเฉพาะการดูแลเรื่องน้ำในห้องน้ำนั้นเป็นเรื่องที่ครูบอกว่าสำคัญมาก พี่ๆไม่ชินกับการยกของหนักหรือวิ่งไกลๆ พวกเราจึง

ต้องนำถังน้ำไปตักน้ำจากน้ำตกบนดอยอีกลูกหนึ่งมาให้ จริงๆแล้วผมไม่ค่อยเข้าใจ

นักหรอกว่าทำไมพี่ๆตัวโตสูงใหญ่จะร่างกายอ่อนแอขนาดนั้น

“ พี่ๆเขาทำไมอ่อนแอกันจังครับครู แค่หิ้วน้ำแค่นี้ก็ไม่ไหวหรือครับ ” ผมแอบถาม

ครูนิสา

“ ไม่ใช่หรอกอาเลา พี่ๆเขาไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาเป็นแขก เราต้องดูแลเขาอย่างดี เขามาจัดงานวันเด็ก มาแจกของให้พวกเรา เราถึงต้องอำนวยความสะดวกแก่เขาอย่างไรล่ะ อีกอย่างเขาอยู่

ในเมืองไม่เคยทำงานแบบนี้ด้วยน่ะจ๊ะ เข้าใจหรือยัง ” ครูนิสาอธิบาย

งานนี้เป็นอีกครั้งที่คนในหมู่บ้านมาช่วยกันทำงาน หัวหน้าหมู่บ้านเก็บเงินเราครอบครัวละ ๒๐ บาท เพื่อไปซื้อหมูจากหมู่บ้านอื่นมาเลี้ยงพวกพี่นักศึกษา ผมและอาผ่าแอบไปดูการฆ่าหมูแต่ถูกครูจ่า

ไล่ให้ไปเล่นที่อื่น เลยไม่ได้ดู ได้ยินแต่เพียงเสียงหมูร้องอี๊ดๆๆแล้วก็เงียบไป ไม่นานผมก็ได้เห็นหมูทั้งตัวที่ผ่าเครื่องในออกแล้วนำไปตรึงไว้กับไม้เพื่อรอการย่างในคืนนี้

“ น้องคะ มาหาพี่หน่อยสิ ” พี่นักศึกษาคนหนึ่งเรียกผมและอาผ่า

เราลังเลเพราะไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะผู้ที่มาจากในเมืองอย่างเช่นพี่ๆ

“ มาถ่ายรูปกับพี่หน่อยสิ พี่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก ” พี่อีกคนหนึ่งช่วยพูด

ผมจึงดึงมืออาผ่าเดินเข้าไป พี่ผู้หญิงทั้งสองถ่ายรูปพวกผมไปหลายใบ เมื่อเสร็จแล้วจึงยื่นธนบัตรให้เราคนละ ๒๐ บาท เราทั้งสองส่ายศีรษะไม่ยอมยื่นมือไปรับ บนดอยสูงแห่งนี้ไม่มีร้านค้าให้เรา

ซื้อของ เราคุ้นชินกับการใช้ของที่ทำขึ้นเองหรือหามาเองมากกว่า

“ ทำไมล่ะจ๊ะ พี่ให้เอาไว้ซื้อขนมไง ” พี่คนสวยบอกอย่างใจดี

“ ขอบคุณครับ แต่เราสองคนไม่รู้จะไปซื้อที่ไหนครับ ” ผมปฏิเสธ

“ เก็บไว้เถอะจ๊ะ แล้ววันหนึ่งน้องจะได้ใช้ประโยชน์มัน ” พี่คนสวยบอกพลางยัดเงินลงในกระเป๋าเสื้อของผม แล้วรีบเดินเข้าไปรวมกับเพื่อนๆในอาคารเรียน

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

คืนที่ผ่านมาผมนอนไม่ค่อยหลับเพราะมัวสนใจเสียงที่ดังมาจากโรงเรียน พวกพี่ๆคงจะมีกิจกรรมรอบกองไฟ เพราะได้ยินเสียงร้องเพลงและเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ผมฟังเพลินจนไม่รู้ตัวว่าหลับไป

ตอนไหน

ผมรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปร่วมกิจกรรมวันเด็ก เมื่อไปถึงโรงเรียนอาลูผะรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นผมเธอรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ อาเลาดูสิเวทีสวยจังเลย ” อาลูผะยิ้มมองเห็นลักยิ้มเล็กๆข้างแก้ม

ผมมองตามเห็นเวทีที่จัดตกแต่งด้วยลูกโป่งจำนวนมาก ฉากหลังของเวทีเป็นป้ายผ้าที่นายเป็นคนเขียน ข้างๆเวทีเต็มไปด้วยพี่ๆนักศึกษา ส่วนครูจ่าและครูนิสานั้นเพียงแต่ยืนมองอยู่ห่างๆ

ช่วงสายๆพี่นักศึกษาขึ้นมาเป็นพิธีกรพิธีเปิดงานวันเด็ก โดยมีหัวหน้าหมู่บ้านออกมากล่าวต้อนรับ แล้วจึงเริ่มกิจกรรมโดยการแสดงของน้องๆชั้นป.๔ ที่ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที

“ โคโงซาบา ซาบาวาโบห่าซา โคโงซาบา ซาบาวาโบห่าซา เมือพายุแลโลพามา ....”

พี่ๆนักศึกษาฟังอย่างตั้งใจ แต่อยู่ๆก็มีพี่คนหนึ่งเดินไปหาครูนิสาซึ่งยืนอยู่ข้างเวที

“ น้องเขาร้องเพลงภาษาอาข่าเหรอคะคุณครู ”

ครูนิสาหันมายิ้มกว้าง พลางตอบกลั้วหัวเราะ

“ เด็กๆร้องเพลงคนโง่สร้างบ้านน่ะค่ะ แต่เค้าพูดไม่ชัด ” ( มุขนี้แอบยืมมาจากเรื่องสั้น " บุพนิวาส " ค่ะ อิอิ)

คำตอบของครูนิสาทำให้นักศึกษาที่อยู่ใกล้ๆอมยิ้มกันเป็นแถว แต่สำหรับผมนั้นชินกับสำเนียงภาษาไทยแปร่งๆหูแบบนี้มานานแล้ว เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

ใกล้เที่ยงแล้ว พี่นักศึกษาพาพวกเราเล่นเกมจนได้ของเล่นมาคนละหลายชิ้น ผมชอบใจรถแข่งคันเล็กๆที่ได้มาจากการเล่นเก้าอี้ดนตรี ส่วนอาลูผะนั้นดูเธอจะชื่นชมตุ๊กตาผู้หญิงผมฟูๆ

มากเป็นพิเศษ เมื่อสนุกจนเป็นที่พอใจแล้วผมจึงได้แต่นั่งดูน้องๆร่วมกิจกรรม ไม่บ่อยครั้งที่เราจะได้รับความสนุกสนานแบบนี้ ด้วยหมู่บ้านเรามีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางอันลำบาก หรือด้วย

งบประมาณอันน้อยนิด ผมจึงดีใจมากที่ได้เห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของน้องๆในวันนี้

เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมแล้ว พิธีกรคนเดิมก็ขึ้นไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านขึ้นไปกล่าวปิดงาน

อีกครั้ง แล้วจึงเชิญครูจ่าให้ไปรับของที่ระลึก ส่วนทางโรงเรียนก็มอบเหรียญของหลวงปู่ให้เป็น

ที่ระลึกเช่นเดียวกัน
รถบรรทุกคันเดิมพาพี่ๆนักศึกษาออกไปจากหมู่บ้านเราในช่วงบ่าย ผมและเพื่อนๆยกมือไหว้ขอบคุณแล้วโบกมืออำลาด้วยความอาลัย เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนไม่ได้น้อยไปเลย หากเราได้รับความจริง

ใจจากใครบางคน ผมได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งพวกพี่ๆนักศึกษาจะกลับมาเยี่ยมบ้านผาดำของเราอีกสักครั้ง
≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈





บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » จันทร์ 14 ก.ค. 2008 7:28 pm



“ เสาร์-อาทิตย์นี้เราจะลงไปในเมืองกันนะอาเลา เตรียมเสื้อผ้าไว้ด้วย ” พ่อสั่งผมใน

เช้าวันหนึ่ง

“ ไปในเมืองหรือครับพ่อ ไปทำไมกัน ” ผมตื่นเต้นจนแทบปิดไม่มิด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะปกติเราจะลงไปในเมืองก็ต่อเมื่อมีธุระจริงๆ

“ นายกับครูนิสาจะแต่งงานกันวันเสาร์นี้ ” พ่อเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่กลับสร้างความตื่นตะลึงให้กับผมยิ่งนัก ถ้าอาลูผะรู้เธอจะรู้สึกอย่างไรกันหนอ

“ แล้วนายจะย้ายมาอยู่กับครูที่โรงเรียนหรือเปล่าพ่อ ” ผมถามต่อ

พ่อเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนจะหันมาตบไหล่ผมเบาๆไปพลาง

“ เทอมหน้าจะมีครูใหม่มาสอนแทนครูนิสา ครูเขาจะย้ายไปสอนในเมือง สูก็ต้องลงไปเรียนต่อที่นั่นด้วย พ่อคุยกับนายไว้แล้ว ”

คำตอบของพ่อทำให้ผมอ้าปากค้าง ครูนิสาจะย้ายไปสอนโรงเรียนอื่นแล้ว ที่สำคัญ

ตัวผมเองจะต้องจากพ่อ จากดอยผาดำแห่งนี้ไป ผมตอบไม่ได้ว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้เพราะพ่อเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เมื่อตัดสินใจไปแล้วพ่อไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่นอน ผมจึงทำได้แต่

เพียงนิ่งเงียบ
เมื่อถึงวันเสาร์นายมารับเราสองพ่อลูกแต่เช้า พ่อแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกง

ขายาวสีดำ ส่วนผมนั้นสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ที่นายซื้อมาฝาก ผมสังเกตเห็นว่าเมื่อ

ลงไปในเมืองนายจะไม่ชอบให้เราแต่งชุดอาข่าเท่าใดนัก

“ สายตาของคนในเมืองจะมองชาวเขาอย่างเราว่าด้อยกว่า ยิ่งถ้าเราแต่งตัวเป็นชาวเขายิ่งทำให้เกิดความติดขัดในการติดต่อเรื่องต่างๆ ” พ่ออธิบาย


ยิ่งโตผมก็ยิ่งกลายเป็นคนขี้สงสัยมากขึ้นทุกวัน คำอธิบายของพ่อไม่ได้ทำให้เกิดความกระจ่างเท่าใดนัก กลับสงสัยยิ่งขึ้นว่า ‘จำเป็นด้วยหรือที่คนเราจะต้องปกปิดชาติกำเนิดของตัวเอง ’

บ้านของครูนิสาอยู่ในตัวเมืองก็จริงแต่เป็นเขตติดต่อกับอำเภอหางดง จึงมีพื้นที่กว้างขวาง เมื่อเดินเข้าไปในรั้วบ้านก็จะมองเห็นสวนมะม่วงที่กำลังออกลูกเต็มต้น ผมเดินตามพ่อบนถนน

โรยกรวดเข้าไปยังบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ที่อยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์

บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นเรือนไทยยกพื้นสองชั้นที่มีชานเรือนกว้างขวาง แต่วันนี้กลับ

คับแคบไปถนัดตาเพราะเต็มไปด้วยผู้ที่มาช่วยงาน เมื่อเราทั้งสามเดินเข้าไปถึง ครูนิสาก็ลุกขึ้นจากกลุ่มที่นั่งจัดบายศรีออกมาต้อนรับ

“ มาถึงเร็วจังค่ะ ” ครูทักทายพลางยิ้มกราดให้ทุกคน

ผมและพ่อยกมือไหว้แล้วจึงยืนฟังนายและครูนิสาหารือกันถึงงานพิธีในวันพรุ่งนี้อย่างเงียบๆ

“ ผมให้อาลอมาช่วยงาน คุณจะให้ช่วยทำอะไรก็บอกเขาเลยนะ ” นายบอกกับครู

“ เตรียมเสื้อผ้ามาด้วยมั้ยคะ ครูจะได้จัดที่พักให้ ” ครูหันมาถามผมกับพ่อ

“ เอามาครับ อยู่บนรถของนาย ” พ่อตอบอย่างสำรวม

“ งั้นพักก่อนนะจ๊ะอาลอ บ่ายๆชาวบ้านจะไปขนโต๊ะ เก้าอี้ ที่วัด อาลอออกไปกับเขาด้วยก็แล้วกัน ” ครูนิสาแจกแจงหน้าที่ของพ่อ

ผมเพิ่งเรียนรู้จากการแต่งงานของครูในครั้งนี้ คนเมืองนั้นพอจะจัดงานที่บ้าน ก็มักจะไปยืมโต๊ะ-เก้าอี้ จานชาม เครื่องใช้มาจากวัด ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น ก็จะมีกลุ่มแม่บ้านมาช่วยกันทำเช่น

เดียวกับหมู่บ้านผาดำของผม

วันนั้นทั้งวันผมเห็นพ่อและนายวุ่นวายกับการเตรียมงานแทบไม่มีเวลามาสนใจผม

จวบจนเย็นครูนิสาจึงพาผมและพ่อไปยังห้องพัก ซึ่งเป็นห้องเล็กๆอยู่ทางปีกซ้ายของบ้าน แต่สำหรับผมแล้วมันช่างเป็นห้องที่น่าอยู่เหลือเกิน


“ อีกไม่นานห้องนี้ก็จะเป็นห้องของอาเลา เห็นคุณธนัสบอกว่าจะให้อาเลามาเรียนต่อ

ในเมือง เป็นโชคดีของเราแล้วล่ะอาเลา ต่อไปจะได้นำความรู้ไปพัฒนาหมู่บ้านผาดำ ”

ครูนิสาบอกแล้วย้อนถามผม

“ อยากมาเรียนต่อที่นี่มั้ย”

“ ..อยาก..ครับครู ” ผมตอบไปทั้งๆที่ใจยังลังเล

“อยู่ที่นี่สูต้องสังเกตความเป็นอยู่ของคนในเมืองด้วยนะอาเลา ต่อไปถ้ามาเรียนที่นี่ จะได้ปรับตัวได้ง่ายขึ้น ” พ่อแนะนำ

“ ครับ ” ผมจำต้องรับคำพ่อ เพราะไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี


พ่อคงไม่รู้หรอกว่าผมรักและห่วงพ่อแค่ไหน หากผมลงมาเรียนในเมืองแล้วใครจะช่วยพ่อทำงาน ใครจะคอยทำอาหาร และดูแลพ่อในยามที่ไม่สบาย

“ ตามสบายนะ เดี๋ยวครูออกไปช่วยเขาทำบายศรีก่อน เผื่อขาดเหลืออะไร ”

ครูนิสาบอกแล้วเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ผมอยู่กับความรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ครูได้บอกมา

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

รุ่งขึ้นผมตื่นตั้งแต่ตีห้าเนื่องจากเสียงเอะอะจากนอกห้อง นายเดินเข้ามาบอกให้เราสองคนอาบน้ำแต่งตัวเสียก่อนจะออกไปร่วมงาน ในวันนี้พ่อและผมไม่มีหน้าที่อะไรมากนัก นอกจาก

ยกน้ำมาเสิร์ฟให้แก่แขกที่มาร่วมงาน

ขบวนขันหมากของนายเคลื่อนมาถึงบ้านครูนิสาราวๆเก้าโมง วันนี้นายแต่งกายด้วย

เสื้อราชปะแตนสีขาว โจงกระเบนสีน้ำเงิน ส่วนครูนิสานั้นแต่งกายด้วยชุดไทยสีขาวทั้งชุด

ผมของครูถูกเกล้าขึ้นโดยปล่อยไรผมให้ระสองแก้มแล้วตกแต่งด้วยดอกเอื้องสีขาวบริเวณมวยผม ขับผิวหน้าสวยหวานของครูให้น่ามอง

ผมไม่คุ้นเคยกับประเพณีของคนเมืองเท่าใดนัก เพราะพิธีการแตกต่างจากประเพณีของ

เผ่าอาข่าหลายประการ หลังจากเสิร์ฟน้ำให้แขกจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินขึ้นไปบนเรือน

ซึ่งเต็มไปด้วยแขกเหรื่อที่มาร่วมพิธีแต่งงาน นายและครูนิสานั่งพับเพียบแล้วพนมมือไว้บนหมอนที่ถักตกแต่งสวยงามรอให้ผู้เฒ่าผู้แก่ผูกข้อมือ ไม่นานแขนของทั้งสองคนก็เต็มไปด้วย

ด้ายสายสิญจน์สีขาว ผมรู้สึกปวดเมื่อยแทนคู่บ่าวสาวที่ต้องนั่งคุดคู้อยู่เป็นเวลานานกว่าจะถึงเวลาเข้าห้องหอ ซึ่งผมได้แต่เฝ้าดูห่างๆจึงไม่เห็นพิธีการ

เมื่อคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอแล้วผมจึงลงมาเสิร์ฟน้ำแขกที่นั่งอยู่ตามโต๊ะด้านล่าง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วแขกก็ทยอยกลับบ้านจนเหลือไม่กี่คน ผมจึงแทบไม่มีงานอะไรทำเลย

จวบจนเย็นที่พ่ออธิบายว่าเป็นช่วงเวลาของงานเลี้ยง แขกก็ค่อยๆทยอยกลับเข้ามาร่วมงานอีกครั้ง

ครูนิสาเดินลงมาในชุดแต่งงานสีขาวที่มีแขนฟูฟ่องเหมือนที่ผมเห็นชุดของตุ๊กตา ส่วนนายนั้นแต่งกายด้วยสูทสีดำช่างสง่างามเหลือเกินในสายตาของผม เมื่อแขกรับประทานอาหาร

เสร็จแล้วคู่บ่างสาวจึงเดินแจกของชำร่วยพร้อมกับรับซองสีขาวจากแขกที่นำมาช่วยงาน ตลอดเวลาที่เดินมาทักทายแขกนั้น ผมสังเกตเห็นสายตาห่วงใยของนายที่มองมายังครูนิสาอยู่เสมอ และผมก็คิดว่าครู

เองก็คงจะรู้สึกได้เช่นกัน

คืนนั้นกว่าจะช่วยกันเก็บของเสร็จก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ผมก็นอนไม่หลับทั้งๆที่อ่อนเพลีย ผมไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากความแปลกที่ หรืออาจจะเป็นเพราะที่นอนอ่อนยวบที่ผม

ไม่คุ้นเคย ผมนอนคิดถึงเรื่องที่ครูบอกเมื่อตอนกลางวันด้วยความกังวลใจจนม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈



บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » จันทร์ 11 ส.ค. 2008 7:20 am

๕.

ไอแดดอันร้อนระอุในเดือนมีนาคมทำให้ความเหน็บหนาวของละอองน้ำค้างจางหายไป ทิ้งไว้เพียงลมเย็นชื้นๆที่พัดพาอยู่ทุกค่ำคืน เมื่อหัวค่ำพ่อไปประชุมหมู่บ้าน ผมจึงออกมานั่ง

ชมจันทร์อยู่นอกชานเพียงลำพัง คืนนี้เป็นคืนข้างแรมพระจันทร์จึงเหลือเพียงครึ่งเสี้ยว แบ่งปันพื้นที่ให้หมู่ดาวทั้งหลายได้ส่องแสงอวดความงดงามได้อย่างเต็มที่ โดยไร้แสงสีทองอร่ามมาบดบัง

เสียงจะค่อดังแว่วๆมาตามลม หนุ่มอาข่าคนใดกำลังครวญหาคนรักกันหนอ ถ้าผมไม่ไปเรียนต่อในเมือง เมื่อโตเป็นหนุ่มผมคงจะเป็นเช่นเดียวกับชายคนนั้นเป็นแน่ แต่ตัวผมคงจะไม่มีโอกาสเช่น

นั้น หากลงไปเรียนต่อแล้ววิถีชีวิตชาวเขาของผมก็คงจะจบสิ้นไปโดยปริยาย แสงไฟจากตะเกียงสว่างวูบวาบเป็นทิวแถวมาจากแดข่อง คงเป็นแสงไฟส่องทางคนที่กลับจากประชุมหมู่บ้านนั่นเอง พ่อของผมคง

จะเป็นหนึ่งในที่มาของแสงไฟเหล่านั้นด้วย แต่สำหรับผมแล้วพ่อเป็นดวงไฟดวงเดียวที่ส่องทางให้ผม

หลังจากที่แม่เสียชีวิตจากไข้ป่าเมื่อหกปีก่อน พ่อก็ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้ผมเรื่อยมา พ่อทำงานหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นทำไร่ หาของป่า และทำงานให้นาย ผมสังเกตว่านายจะรักและไว้ใจ

พ่ออยู่ไม่น้อย จึงรับปากส่งเสียให้ผมเรียนต่อ ซึ่งพ่อบอกว่าเป็นเพราะผลจากความรักและซื่อสัตย์ที่พ่อมีต่อนายนั่นเอง

“ สูจงจำเอาไว้นะอาเลา ใครให้ข้าวให้น้ำดูแลเอาใจใส่แก่เรา สูจะต้องรักและซื่อสัตย์

ต่อเขา ผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณคนไม่มีวันที่จะตกต่ำ ”พ่อมักจะสั่งสอนผมทำนองนี้เสมอ

แสงไฟเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ เสียงของมิดะกำลังเดินคุยกันมาเป็นกลุ่ม โดยมีหนุ่มๆในหมู่บ้านเดินตามหลังมาส่งห่างๆ ชวนให้ผมนึกถึงคำถามของครูนิสาเมื่อขึ้นมาสอน

บนดอยใหม่ๆ วันนั้นอาลูผะเข้าไปขออนุญาตครูเพราะ “ แม่จะพาไปบ้านมิดะ ” ครูจึงแอบถามผมเบาๆ

“ มิดะคืออะไรหรืออาเลา ใช่ผู้หญิงที่สอนการเป็นสามีให้ผู้ชายหรือเปล่า” ครูถามเลี่ยงๆ

ผมเองก็ไม่เข้าใจคำถามของครูเท่าใดนัก แต่ก็ตอบไปเท่าที่ได้รู้ได้เห็นมาตั้งแต่เกิด

“ มิดะคือผู้หญิงทั่วๆไปนี่แหละครับครู ที่เผ่าของผมจะมีมิดะกับซอมิดะ คือคนที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่งงานเท่านั้นเอง ”

“ อ้าว ! แล้วลานสาวกอดล่ะ ” ครูยังสงสัย

“ ลานสาวกอดก็แดข่องไงครับครู เป็นลานกว้างสำหรับประชุมหมู่บ้าน ต่อไปถ้าเราจัดงานโล้ชิงช้า ครูก็จะได้เห็นเองแหละครับ ” ผมอธิบาย

ต่อมาเมื่อผมได้ลงมาเรียนในเมืองถึงเข้าใจว่า ทำไมครูนิสาจึงถามถึงมิดะและแดข่อง สาเหตุเพราะคนในเมืองคิดว่ามิดะนั้นหมายถึงผู้หญิงที่ทำหน้าที่สอนประสบการณ์ทางเพศให้แก่ผู้ชายในหมู่

บ้านนั่นเอง ผมไม่เข้าใจว่ามีความเชื่อแบบนั้นขึ้นมาได้อย่างไร แต่ที่รู้คือตั้งแต่เกิดมา

ผมยังไม่เคยเห็นว่ามีเรื่องราวอย่างที่ว่าเลย แม้แต่ครั้งเดียว

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

วันเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปแต่ละวันมักทำให้ชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม่ทันรู้ตัว วันนี้ผมยังคงเป็นเด็กชายอาเลา แซ่หมี่อยู่เช่นเดิม แต่วันเวลาก็นำพาชีวิตผมไปจนผ่านพ้นชีวิตของเด็กประถม

ศึกษา วันสุดท้ายที่โรงเรียนบ้านผาดำ ครูจ่าและครูนิสาจัดงานเลี้ยงส่งให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ทั้ง ๑๑ คน ทั้งๆที่รอเวลานี้มานานแล้ว แต่เมื่อถึงวันอำลาอาลัยจริงๆ ทุกคนกลับตกอยู่ในอาการเศร้า

สร้อย งานในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่งานเลี้ยงส่งนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ หากมันหมายรวมไปถึงวันสุดท้ายของครูนิสาในฐานะครูโรงเรียนบ้านผาดำ

อีกด้วย

วันนั้นครูจ่าออกมากล่าวแสดงความยินดีกับทุกคนที่จบการศึกษา จากนั้นครูนิสาก็ออกมาอวยพรให้พวกเรา และมอบบทเพลงให้พวกเราฟังหนึ่งเพลง ผมยังจำเนื้อหาบางตอนของเพลงที่ครูร้องได้ดี

“ แม้วันใดหัวใจเธอพ่ายจะมาแพ้ไปกับเธอ และถ้ามีวันใดน้ำตาเธอเอ่อจะร้องไห้เป็นเพื่อนกัน หากเธอสมหวังในวันหนึ่ง...ในวันหนึ่ง ให้รู้ว่าฉันยังแอบเห็นและชื่นชม หากเธอท้อแท้ฉันยังอยู่...ฉันยังอยู่ หาก

แม้ไม่เห็นฉันจงโปรดรู้ไว้ว่าเธอ...ใช่อยู่คนเดียว ”

ผมเก็บบทเพลงของครูไว้ในความทรงจำ ต่อมาเมื่อเติบโตขึ้นจึงได้รู้ว่าเพลงของครูวันนั้นชื่อเพลง ยังมี

จริงสินะ...สำหรับคนที่มีความรู้สึกดีๆต่อกัน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลกันสักเพียงใด ก็จะเหมือนยังมีกันและกันอยู่เสมอ ความคิดนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าไป

เรียนต่อในเมือง เพราะผมเชื่อเสมอว่าไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน พ่อ..จะยังมีผมอยู่ใกล้ๆเสมอ

วันที่ผมต้องเดินทางไปอยู่ในเมือง นายกับครูนิสามารับผมแต่เช้า พ่อจะลงไปส่งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมนาย เพราะนายยังคงทำงานที่นี่เหมือนเดิม ผมเก็บเสื้อผ้าที่มีอยู่ไม่กี่ชุดใส่กระเป๋า

ใบใหญ่ที่ครูจ่าให้มาแล้วออกมายืนรออยู่หน้าบ้าน ต่อไปชีวิตผมคงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ไม่มีขุนเขาสีเขียวที่ตัดกับท้องฟ้าเป็นลอนๆ ไม่มีเสียงไก่ป่าที่ขันปลุกทุกๆเช้า ไม่มีเสียงดนตรีจาก

ไม้ไผ่ที่คนในเผ่าชอบร้องรำกัน แต่ผมเชื่อว่าทุกๆอย่างจะติดตัวผมไปด้วยเสมอ ตราบที่หัวใจผมยังมีจิตวิญญาณของชาวอาข่า

“ ไปกันได้แล้วอาเลาจะได้ไปถึงแต่หัววัน ” นายเรียกเมื่อทุกคนขึ้นรถกันหมดแล้ว

ผมรู้สึกว่าตนเองใจสั่น ความอาวรณ์มันบีบความรู้สึกจนผมเกือบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ จึงสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆแล้วก้าวเดินไปที่รถของนายจอดอยู่

“ อาเลา..เดี๋ยวก่อน” เสียงอาลูผะดังมาจากเบื้องหลังผม

ใจผมกระตุก มือที่เกาะประตูรถร่วงผล็อย รีบหันขวับไปยังต้นเสียง อาลูผะยืนน้ำตาคลออยู่ด้านหลัง

“ เธอจะไปอยู่กับครูนิสาจริงๆหรืออาเลา ” อาลูผะถามน้ำเสียงเศร้าๆ

“ ใช่แล้ว..อาลูผะ ” ผมตอบหนักแน่น

“ แล้วเธอจะกลับมาเผ่าเราอีกมั้ย ” เธอถามย้ำความมั่นใจ

“กลับมาสิอาลูผะ ถ้าเรียนจบฉันจะกลับมาพัฒนาบ้านเราไง ” ผมยืนยัน

“ เรา..คงไม่ได้พบกัน..อีกนาน ” เสียงอาลูผะขาดเป็นห้วง

“ ฉันจะกลับมาอาลูผะ” ผมสัญญา

อาลูผะใช้หลังมือเช็ดน้ำตา แล้วฝืนยิ้มให้ผม จริงๆแล้วผมเองก็รู้สึกเศร้าใจเช่นเดียวกัน แต่ผมแสดงออกไม่ได้ เพราะเป็นผู้ชาย

“ ไปก่อนนะ ” ผมตัดใจกล่าวลา แล้วกลับหลังเดินขึ้นไปบนรถ

เมื่อผมโบกมืออำลา เธอเองก็โบกมือตอบ รถที่แล่นไปช้าๆเป็นการฉุดดึงผมให้ออกห่างจากชีวิตเด็กชายชาวอาข่าออกไปเรื่อยๆ


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

ผมนั่งมองห้องเดิมที่เคยมาพักกับพ่อเมื่อสองเดือนก่อน ทุกๆอย่างในห้องยังคงเหมือนเดิมแต่มีโต๊ะไม้สำหรับเขียนหนังสือและเก้าอี้เพิ่มขึ้นมาอีก ๑ ชุด

“ อยู่บ้านครูอย่าเอาแต่งานของตัวเองนะอาเลา งานการอะไรที่ช่วยครูเขาทำได้ก็ควรทำ อย่าทำตัวเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว มันจะติดตัวสูไปในภายหน้า ” พ่อเดินเข้ามาตบบ่าผม

“ ครับพ่อ ผมจะช่วยงานครูทุกอย่าง ” ผมรับปาก

“ อยู่ในเมืองสูต้องปรับตัวหลายอย่าง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อย่าให้ใครเขาดูถูกเราได้ ว่าชาวอาข่าอย่างเราไม่รู้จักพัฒนา ” พ่อย้ำ

ผมไม่ตอบแต่ภายในใจนั้นคิดตามคำสอนของพ่อ ผมจะต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคมเมืองให้ได้ แม้ว่ามันจะทำให้ชีวิตผมต้องเปลี่ยนไปก็ตาม

“ แล้วผมจะได้เจอพ่อบ้างมั้ย ” ผมเป็นฝ่ายถามพ่อบ้าง

“ ต้องได้เจอสิ พ่อจะลงมาหาสูเอง ตอนนี้ความรู้ของสูยังด้อยนัก ถ้าสูมัวแต่คิดถึงเรื่องกลับบ้าน สูจะเรียนไม่ทันเขา เกิดเป็นคนนะอาเลา แม้จะเกิดมาจากดินแต่เราก็สามารถป่ายปีนขึ้นไปบนฟ้า

ได้ถ้ารู้จักพยายาม สูจงมองขึ้นไปบนยอดดอยเถิด แล้วจะพบว่าถิ่นกำเนิดของสู กับฟ้าเบื้องบนนั้นอยู่ไม่ไกลกันเลย เวลานี้สูอาจจะยังก้าวไม่ทันชาวเมืองเขา สูจึงต้องก้าวให้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ แต่ต่อไปสูจะ

ต้องก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนที่จะประสบความสำเร็จนั้น จะต้องก้าวให้เร็วกว่าทุกคน ” นี่เป็นคำสอนของพ่อในคืนก่อนที่จะกลับขึ้นดอย

คำสอนของพ่อในวันนั้นทำให้ผมแปลกใจ พ่อเป็นชาวอาข่าอยู่บนดอยสูง แต่กลับมีความคิดที่กว้างไกล เมื่อวันเวลาผ่านไปจึงทำให้ผมเข้าใจว่า แม้ว่าพ่อจะเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แต่

พ่อก็รักการเรียนรู้ ตลอดเวลาที่พ่อไปทำงานกับนาย เมื่อกลับมาบ้าน

นายจะยกหนังสือพิมพ์ที่อ่านเสร็จแล้วให้พ่อกลับมาอ่านที่บ้านเสมอ พ่อจึงมีความทันคน และมีความคิดลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆ เพราะพ่อพยายามเรียนรู้นั่นเอง

คืนนั้นพ่อสั่งสอนผมจนดึกจึงชวนกันเข้านอน คืนแรกบนพื้นราบผมก็นอนไม่หลับอีกตามเคย แม้ว่าบ้านของครูนิสาจะปลอดโปร่งลมพัดโกรกตลอดเวลา แต่ก็เป็นลมอุ่นๆของไอแดด ไม่ใช่ลมเย็นๆ

เจือน้ำค้างเหมือนที่บ้านผาดำ การอยู่ในเมืองช่างลำบากเหลือเกิน ผมพยายามข่มตาลงให้ได้ เมื่อรู้ดีว่าในวันรุ่งขึ้นนั้นจะต้องพบเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ต่างจากเดิม..โดยลำพัง

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พฤหัสฯ. 14 ส.ค. 2008 5:19 pm



พ่อกลับขึ้นดอยไปหลายวันแล้ว ผมเองก็ต้องทนกับความรู้สึกแปลกๆที่เพิ่งได้พบเจอในครั้งแรก มันคือความคิดถึงบ้านนั่นเอง มันเป็นความรู้ลึกละเอียดอ่อนเกินจะบรรยายเป็น

ภาษาเขียนได้ ความเหงาปะปนกับความไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก แม้ว่าครูนิสาและคุณตาคุณยายจะให้ความปรานีผมอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจชดเชยความรู้สึกใน

ส่วนที่ขาดไปของผมได้

เดี๋ยวนี้ผมตื่นนอนตีห้าทุกวัน เพื่อเตรียมของใส่บาตรให้คุณยาย และคอยจนคุณยายตักบาตรเสร็จจึงเก็บของ แล้วจึงช่วยทำงานบ้านทั่วไป จริงๆแล้วหน้าที่ของผมในแต่ละวันมี

ไม่มากนัก จึงทำให้พอมีเวลาว่างให้แก่ตนเองมากพอสมควร

“ เดี๋ยวสายๆครูจะพาอาเลาไปซื้อเสื้อผ้าของใช้สำหรับไปโรงเรียนที่กาดหลวง จะทำอะไรก็รีบทำล่ะ เพราะต้องซื้อของหลายอย่าง จะได้ไม่กลับบ้านมืดค่ำ ” ครูนิสาบอกผมหลังจากที่รับประทาน

อาหารเช้าเสร็จแล้ว

ผมจึงต้องรีบถูบ้าน ล้างจาน แล้วจึงอาบน้ำแต่งตัว เมื่อเดินออกมาจากห้องพบว่าครูนิสานั่งรออยู่กับคุณยายที่นอกชานอยู่ก่อนแล้ว

“ อาเลามาหายายก่อนสิลูก ” คุณยายเรียกผมทันทีที่เห็น

เมื่อผมคลานเข่าเข้าไปหา คุณยายจึงเปิดตลับใส่ของที่วางไว้ข้างตัวแล้วล้วงเอาธนบัตรใบละห้าร้อยบาทยื่นให้ผม ผมหันไปมองครูนิสาอย่างขอความคิดเห็น เมื่อครูพยักหน้าผมจึงยกมือไหว้ก่อน

จะยื่นมือไปรับเงินจากคุณยาย

“ เอาไว้ซื้อของที่อยากได้นะลูก ” คุณยายบอกอย่างปรานี

“ เดี๋ยวนิสาไปก่อนนะคะคุณแม่ ไปเถอะอาเลา ” ครูนิสาหันมาบอกกับผม

ครูพาผมออกมายืนรอรถอยู่หน้าบ้าน ไม่นานรถสองแถวสีแดงคันเล็กๆก็จอดรับเราทั้งคู่ รถสองแถวขับลัดเลาะคลองเล็กๆซึ่งผมทราบชื่อภายหลังว่า คลองชลประทาน เมื่อรถแล่นไปถึง

สี่แยกไฟแดงจึงเลี้ยวขวาเข้าไปในตัวเมือง

“ นี่แหละเมืองเชียงใหม่ล่ะอาเลา ที่นี่ต่างจากบ้านผาดำมาก ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตหรือนิสัยใจคอของคน เธอจะต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ครูจะขอเตือนไว้ว่าอย่าตัดสินใจอะไรแค่ภายนอก เหมือน

สำนวนไทยที่ว่า ‘ รู้หน้าไม่รู้ใจ ’ คนที่หน้าตาดีไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นคนดีเสมอไป ”ครูนิสาเตือน

“ ครับครู ผมจะจำเอาไว้ ” ผมรับคำ

รถแล่นผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง แต่ที่ผมสนใจมากที่สุดคือกำแพงเมืองเก่า

และประตูเมืองที่ล้อมรอบตัวเมืองเชียงใหม่ ครูนิสาอธิบายว่าประตูเมืองเหล่านี้มีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น ประตูสวนดอก ประตูช้างเผือก ฯลฯ ประตูเมืองดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาในสมัยที่เมืองเชียงใหม่ยังเป็น

ศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา ส่วนในปัจจุบันนั้นกลายเป็นโบราณสถานสำคัญอันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเชียงใหม่เมื่อครั้งอดีต

เมื่อเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงรถก็เลี้ยวขวาไปตามถนนกว้างๆที่อยู่ติดกับแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา คราวนี้ผมไม่รอให้ครูนิสาบอก กลับถามขึ้นเองด้วยความอยากรู้

“ นี่แม่น้ำปิงที่ครูเคยเล่าให้ฟังหรือเปล่าครับ ”

“ ใช่จ๊ะ ” ครูนิสาพยักหน้าประกอบ

ไม่นานนักรถก็จอดชิดขอบฟุตบาทด้านซ้ายมือ ครูนิสาเดินลงไปจ่ายเงินให้คนขับ แล้วพาผมเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน ซึ่งมองเห็นแม่ค้านั่งขายของกันจนแทบไม่มีทางให้

เดินผ่าน ผมเดินตามครูไปบนซอยเล็กๆที่เต็มไปด้วยอาหารแห้ง ไม่ช้าครูก็เดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียน

“ ขอดูชุดนักเรียนม.ต้นสักสามชุดค่ะ ” ครูบอกพนักงานขายที่เดินเข้ามาถาม

“ อาเลาเดินตามพี่เขาเข้าไปข้างในเลยนะ เดี๋ยวไปลองเสื้อว่าใส่ได้หรือเปล่า ครูจะเลือกรองเท้ากับกระเป๋ารออยู่ข้างนอก ”

ผมเข้าไปลองชุดจนเป็นที่พอใจแล้วจึงเดินออกมาหาครูนิสา ครูยืนรอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน ฉับพลันมีเด็กชายวัยรุ่นเนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งตรงเข้าไปหาครู แล้วกระชาก

กระเป๋าถือสีดำของครูวิ่งหนี ผมโยนถุงใส่ชุดนักเรียนลงกับพื้น แล้ววิ่งไล่กวดตามไปอย่างไม่คิดชีวิต มันวิ่งไปบนทางที่มีคนเดินซื้อของกันอยู่ขวักไขว่ ทำให้ไม่ช้าผมก็ตามไปทัน

ผมคว้าเสื้อของมันแล้วกระชาก มันหันมามองหน้าผมด้วยดวงตาวาวโรจน์

“ ไม่ใช่เรื่องของมึง..อย่ามายุ่ง ”

ผมไม่ฟัง..กระโดดถีบมันจนเสียหลักล้มลง คนที่อยู่บริเวณนั้นจึงช่วยกันจับตัวมันเอาไว้ได้

ผมจึงได้กระเป๋ากลับมาคืนครูนิสา

“ จับไปส่งตำรวจเลยคุณ พวกเดนสังคมแบบนี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ” หญิงกลางคน

ร่างท้วมตะโกนบอก

“ ได้ของคืนแล้วก็ปล่อยเขาไปเถอะอาเลา เราเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถือว่าให้ชีวิต

แก่เขา ทีหลังอย่าทำอีกล่ะ ถ้าโดนตำรวจจับเธอจะหมดอนาคตแน่นอน” ครูนิสาหันไปบอกมันเสียงเข้ม

ผมจำต้องปล่อยเจ้าวายร้ายไปด้วยความเสียดาย มันรีบวิ่งฝ่าฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว ครูนิสาหันมายิ้มให้ผมก่อนจะบอกเบาๆว่า

“ ขอบใจมากจ๊ะ..อาเลา ”

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

“คุณยายทำอะไรอยู่ครับ ผมจะช่วยอะไรได้บ้าง ” ผมเสนอตัวเมื่อเห็นคุณตาคุณยายกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้สีสวยกองใหญ่

“ ยายกำลังทำสรวยดอกอยู่ลูก ”

ผมหยิบใบตองที่พับเป็นรูปกรวยขึ้นมาดู คุณยายจะนำดอกไม้ธูปเทียนใส่ลงไปในกรวยที่ว่านี้ แล้วจัดเรียงไว้บนถาดเป็นชั้นๆ คุณตาเองก็ช่วยตัดก้านดอกไม้ให้สั้นลง เพื่ออำนวยความสะดวกให้

คุณยาย
“ ทำไว้ทำไมหรือครับ ” ผมถามตามประสาคนช่างซัก

“ คืนนี้เราจะไปงานอินทขีลกันที่วัดเจดีย์หลวง อาเลาคงจะไม่รู้จักประเพณีนี้ ”

ตาตอบเสียเอง

“ ผมไม่เคยได้ยินเลยครับคุณตา ” ผมตอบตามจริง

“ บางคนก็เรียกว่างานใส่ขันดอกน่ะลูก จริงๆเป็นการบูชาเสาอินทขีลหรือเสาหลักเมืองนั่นแหละ ทุกปีทางจังหวัดจะจัดงานช่วงเดือนพฤษภาคม หรือ มิถุนายน ประชาชนก็จะได้นำดอกไม้ธูปเทียน

ไปถวายกัน ” คุณตาอธิบายเพิ่ม

งานอินทขีลที่ว่านี้คงจะเป็นงานประจำปีคล้ายๆงานโล้ชิงช้าที่บ้านของผม ซึ่งทุกๆครัวเรือนจะให้ความสำคัญในการไปร่วมงาน ผมลองพับสรวยตามคุณยายดูบ้าง โดยพับลงตามมุมเหมือนดังที่คุณ

ยายทำ แต่ปรากฏว่าสรวยของผมนั้นสวยสู้ของคุณยายไม่ได้เลย ผมจึงเปลี่ยนมาเป็นช่วยจัดดอกไม้ธูปเทียนใส่ลงไปแทน เพราะรู้สึกว่าเสียดายใบตองที่เสียไปเพราะผม

คืนนั้นคุณตาคุณยายนุ่งขาวห่มขาว ส่วนครูนิสานั้นแต่งกายแบบสาวเหนือ แต่ไม่ได้

เกล้าผม เพียงแค่นำดอกเอื้องสีเหลืองอ่อนมาทัดไว้เหนือยางรัดผมเท่านั้น ส่วนผมสวมเสื้อยืดกางเกงขายาวที่ครูนิสาซื้อให้ แต่ยังไงๆก็สู้กางเกงอาข่าที่เคยใส่ไม่ได้อยู่ดี

วัดเจดีย์หลวงเป็นวัดที่อยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ครูนิสาขับรถไปจอดไว้ลานรับฝากรถที่อยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก เมื่อลงจากรถแล้วผมรีบเข้าไปช่วยครูถือตะกร้าและสลุงใส่สรวยดอกไม้ แล้วเดิน

ตามเข้าไปในวัดเป็นคนสุดท้าย

ท่ามกลางบรรยากาศอันแออัดทำให้ผมเห็นความงดงามของวัดได้ไม่เต็มที่นัก แต่ก็ยังพอ

ดูออกว่าเป็นวัดที่มีศิลปกรรมวิจิตรงดงามวัดหนึ่ง เราสี่คนเดินเข้าแถวเรียงหนึ่งเพื่อเข้าไปไหว้พระ และสักการะพระเจดีย์อันสูงใหญ่สมชื่อ ก่อนที่จะนำสรวยดอกไม้ที่เตรียมมาไปสักการะ

เสาหลักเมือง หรือที่เรียกกันว่า เสาอินทขีล กลิ่นธูปเทียนที่โชยมาอยู่ตลอดเวลาทำให้ผมแสบตาแสบจมูกไปหมด แต่ก็รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้เห็นวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่ในครั้งนี้

“ ไปเสี่ยงเซียมซีกันมั้ยอาเลา รู้จักหรือเปล่า ที่เขย่าๆไม้ให้หล่นลงมาน่ะ ” ครูนิสาชวน

“ ได้ครับครู ” ผมบอกอย่างสนใจ

ครูนิสาเดินนำผมฝ่าฝูงชนไปบนวิหารหลวง ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาไหว้พระ

เราสองคนเข้าคิวรอกระบอกเซียมซีอยู่ครู่ใหญ่ ครูนิสาหลับตาแล้วอธิษฐานก่อนจะเขย่าแรงๆให้ไม้ในกระบอกเซียมซีตกลงกับพื้น เสร็จแล้วครูจึงยื่นกลับมาให้ผม ผมทำตามบ้าง ไม่นานก็ได้เลขเซียมซีของ

ตนเองเช่นกัน

“ ไปรับใบเซียมซีกันอาเลา ” ครูบอกพลางลุกขึ้นยืน

ผมเดินตามครูไปยังริมหน้าต่างซึ่งมีชั้นเล็กๆสำหรับวางใบเซียมซี โดยเรียงตามลำดับตัวเลขก่อนหลัง ครูหยิบกระดาษที่มีตัวเลขตรงกับไม้ที่หล่นลงมาเมื่อครู่ แล้วหยิบมาเผื่อผมอีกหนึ่งใบ ก่อนจะ

หยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทใส่ลงไปในตู้ไม้สำหรับทำบุญ

เมื่อเดินลงมาจากวิหารพบว่าคุณตาคุณยายนั่งรออยู่ด้านล่างแล้ว คุณตาขอดูใบเซียมซีของผม และครูนิสา ผมหยิบไปให้คุณตาอ่าน คุณตาอายุเกือบเจ็ดสิบปีแล้วแต่สายตายังดีอย่าง

ไม่น่าเชื่อ

“ท่านเปรียบชีวิตเจ้าเหมือนเรือนะอาเลา เวลานี้อาจจะยังต้องฝ่าคลื่นลมแรง แต่หากเจ้ามีความมานะบากบั่น เจ้าจะประสบความสำเร็จในบั้นปลาย ” คุณตาแปลความหมายให้ผมฟัง

“ ครับคุณตา ” ผมรับคำทั้งที่ไม่เข้าใจเท่าใดนัก

“ หากจุดหมายของเจ้าอยู่บนดอย การเดินทางนั้นช่างยาวไกลนัก ต้องผ่านความเมื่อยล้าและอุปสรรคนานัปการ ที่จะเข้ามาเป็นสาเหตุให้เจ้าหยุดเดิน แต่ถ้าเจ้าตั้งมั่นเดินต่อไปเรื่อยๆ เจ้าจะผ่าน

ถึงจุดหมายในวันหนึ่ง ตาไม่ได้สอนให้เจ้างมงายปักใจเชื่อในสิ่งที่ทองไม่เห็น หากเจ้ามองลึกลงไป ความเชื่อเหล่านี้ก็สร้างกำลังใจแก่เราได้ ชีวิตหนึ่งจะก้าวต่อไปไม่ได้ หากไร้สิ้นความหวังและกำลังใจ ”

คุณตาสรุป

“ ผมจะจำไว้ครับคุณตา ”

คำสอนของคุณตาเปรียบเสมือนการเติมเชื้อไฟให้กับเถ้าถ่านที่กำลังใกล้มอด ดวงไฟในใจผมค่อยๆลุกโชนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้านทานแรงลมได้สักกี่วัน



≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พฤหัสฯ. 21 ส.ค. 2008 6:16 pm



ครูขับรถพาผมออกมาจากถนนสุเทพเพื่อไปโรงเรียนในวันแรกของการเปิดเทอม

ผมโชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกับที่ครูนิสาย้ายมาสอน ช่วงปิดเทอมครูนิสาติวข้อสอบให้ผม เพื่อสอบเข้าโรงเรียนแห่งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน ผมจะเดินทางได้สะดวกขึ้น

ต่อมาเมื่อผมสอบเข้าโรงเรียนแห่งนี้ได้ คุณตาคุณยายจึงบอกผมว่า เป็นเพราะความมานะพยายามของผมนั่นเอง

“ เดี๋ยวครูจะจอดให้อาเลาลงไปสวัสดีครูเวรที่หน้าประตูก่อนแล้วค่อยเดินเข้าไปนะ

การไหว้เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย เราจะต้องไหว้ให้สมกับที่เกิดมาเป็นคนไทย เอ้า!

ลงไปได้แล้ว ” ครูนิสาบอกแล้วค่อยๆชะลอรถจอดเทียบฟุตบาทหน้าโรงเรียน

“ ครับ ขอบคุณครับครู ” ผมยกมือไหว้แล้วรีบก้าวลงรถอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่ารถด้านหลังเริ่มติด

ผมเดินลงจากรถแล้วเดินไปตามฟุตบาทหน้าโรงเรียน โรงเรียนใหม่ของผมเป็นโรงเรียน

ที่มีชื่อเสียง นักเรียนส่วนใหญ่ล้วนมีฐานะดี ซึ่งต่างจากโรงเรียนผาดำของผมโดยสิ้นเชิง การที่ผมมาจากยอดดอยอันมีแต่ป่าเขาลำเนาไพร

ทำให้ผมรู้สึกประหม่าที่จะต้องเดินอยู่ท่ามกลางชุมชนที่มีผู้คนอยู่มากมายเช่นนี้ เพราะคลับคล้ายว่าตนเองเป็นมนุษย์ยุคหินอยู่เพียงผู้เดียว

ผมเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน มองเห็นป้ายโรงเรียนซึ่งมีขนาดใหญ่ราวๆสามเมตร

ต่างจากป้ายโรงเรียนบ้านผาดำที่เป็นป้ายไม้ขนาดไม่กี่ฟุต ความเปลี่ยนแปลงของสถานที่และผู้คน คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอึดอัดไปอีกนาน เหตุใดกันหนอ...ผมจึงไม่ชอบสังคมเมืองเช่นนี้เลย

“ นี่เธอเดินใจลอยอยู่ได้ สวัสดีคุณครูสิ ” เสียงเล็กๆที่กล่าวอย่างเร็วปรื๋อดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกว่าผมถูกสะกิดที่ไหล่

“ รีบสวัสดีครูสิเธอ ” เด็กหญิงผมม้าคนเดิมเร่ง

“ สวัสดีครับ ” ผมทำตามที่เธอบอก แล้วกล่าวสวัสดีด้วยสำเนียงแปร่งหู

คำว่าสวัสดีของผมมันคงออกมาเป็น “ สะ – หวะ –ดี – คะ ” จึงทำให้เพื่อนนักเรียนที่เดินตามมาพากันหัวเราะคิกคักอย่างขบขัน ผมจึงรีบเดินแกมวิ่งออกมาด้วยความอับอาย

“ นี่..รอด้วย ” เสียงแหลมๆเสียงเดิมยังดังตามหลังมา

เธออยากจะให้ผมอับอายอีกสักแค่ไหนกัน ทำไมจะต้องตามมาหัวเราะเยาะกันด้วย ผมจึงหยุดกึก ตั้งใจว่าจะหันไปต่อว่าเสียให้เข็ด

“ โครม !!! ” ผู้ที่วิ่งตามมาคงจะเบรกตนเองไม่อยู่ จึงชนโครมเข้ากับตัวผมจนล้มเค้เก้ลงไปทั้งคู่ สายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นหันมามองพวกเราโดยอัตโนมัติ ถ้าผมแทรกแผ่นดินได้ก็คงจะมุดหนี

ไปแล้ว
“ .......” ผมโมโหจนพูดไม่ออก

“ ฮะ..ฮ่า..ฮ่า ” แต่เธอกลับนั่งหัวเราะอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาทุกคู่

“ ไม่อายเค้าหรือไงยายผมม้า ลุกขึ้นสิ ” ผมรีบบอก

เธอหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาผม

“ ฉันไม่เห็นว่าจะน่าอายตรงไหนเลย คนเดินชนกันมันเป็นเหตุสุดวิสัย ฉันไม่ได้ทำ

ความชั่วอะไรนี่ คนเลวๆต่างหากที่ควรจะละอาย ” เธอพูดแล้วเบ้ปาก

ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหญิงผมม้าคนนี้จะมีความคิดเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เธอเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่กลับไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดเลย ผมจึงย้อนกลับมาคิดถึงตนเอง ว่าผมจะเขินอายต่อสิ่งที่รวมขึ้น

เป็นตัวเองไปทำไม ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนเลว

“ มัวยืนทื่ออยู่ทำไม เอากระเป๋าไปเก็บสิ เดี๋ยวต้องรีบลงมาเข้าแถวอีก ” ยายผมม้าโวยวาย

หลังเข้าแถวเคารพธงชาติผมจึงได้รู้ว่ายายผมม้าเป็นนักเรียนห้องเดียวกับผมนั่นเอง ในห้องเรียนยายผมม้าเลือกที่นั่งอยู่แถวหน้าผมหนึ่งแถว ส่วนเพื่อนที่นั่งคู่กับผมนั้นเป็นเด็กชายชื่อหนามเตย

“ ฉันจำเธอได้ตั้งแต่วันรายงานตัวแล้วล่ะ ” ยายผมม้าหันมาบอกพลางหยิบไม้บรรทัดของผมไปขีดเส้นกั้นหน้าหน้าตาเฉย

ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆไม่ตอบว่าอะไร เพราะครูประจำชั้นได้เดินเข้ามาในห้องแล้ว

ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ถ้ามีจิ้งจกเดินอยู่ในห้องสักตัวก็คงจะได้ยิน

“ อ้าว! ไม่มีใครคิดจะทำความเคารพครูเลยหรือยังไงครับ ” ครูถามเมื่อเข้ามายืนอยู่

ในห้องได้ชั่วขณะหนึ่ง ผมและหนามเตยหันมามองหน้ากัน แล้วต่างคนต่างเงียบ

“ นักเรียนทำความเคารพ ”

ในที่สุดยายผมม้าก็ขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเราเอาไว้จนได้ คุณครูจึงยิ้มออกหลังจากที่พวกเรากล่าวสวัสดี

“ ครูชื่อไพโรจน์ สอนวิชาคณิตศาสตร์ เป็นฝ่ายปกครอง และที่ปรึกษาของห้องนี้ เรายังไม่มีหัวหน้าห้องสินะ เดี๋ยวมาเลือกหัวหน้าห้องก่อน นักเรียนจะเสนอใครเป็นหัวหน้าห้อง

ของเรา ”

สิ้นคำถามครู ทุกคนก็ชี้มาที่ยายผมม้าเป็นจุดเดียว แทนที่จะปฏิเสธยายผมม้ากลับลุกขึ้น

ไหว้กราดไปทั่ว

“ ฉันชื่อลำธารค่ะ ขอขอบคุณที่ทุกคนเลือกฉันเป็นหัวหน้าห้อง ” เธอแนะนำตนเองเสียงฉาดฉาน ก่อนจะมีเสียงปรบมือดังกึกก้อง

ผมมองเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเธอ คล้ายกับว่าเป็นจุดศูนย์รวมของพลังทั้งมวลในร่างกายบอบบางนั้น ความกล้าของเธอผู้นี้ได้เข้ามาจุดประกายความคิดของผม

ว่าวันหนึ่งผมจะเป็นคนกล้าดังเช่นเธอผู้นี้ให้ได้


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

“ บ้านนายที่บนดอยเป็นยังไงบ้างอาเลา ”หนามเตยเอ่ยถามมาลอยๆหลังจากวางจานก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะไม้ยาวในโรงอาหาร

“ พวกเราชอบอยู่กับธรรมชาติ พื้นดิน พื้นน้ำ ต้นไม้ ดอกไม้ ท้องฟ้า น้ำตก ไม่เหมือนที่นี่หรอกหนามเตย ” ผมตอบ

ด้วยสำเนียงที่ไม่ชัดเจนของผม ทำให้ผมต้องพูดช้าๆเพื่อให้หนามเตยแปลความหมาย

ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเป็นไปได้ว่าผู้ฟังอาจจะแปลความหมายไม่ตรงกับที่ผมสื่อออกไปก็เป็นได้

“ โครม!!! ” เสียงกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ที่กระแทกลงบนโต๊ะอาหารด้านหน้าผม ทำให้อดเงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาใหม่ไม่ได้

“ พวกเราจะนั่งตรงนี้ แกสองคนไปนั่งข้างหลังไป ” หนึ่งในสามของผู้มาใหม่พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง

“ นายมาทีหลัง ก็ไปนั่งข้างหลังสิ ” หนามเตยตอบโต้ด้วยคำพูดและสายตาที่จ้องเขม็ง

“ แกคงไม่รู้ว่าคุณเขตต์เป็นลูกชายคนเดียวของท่านผู้ว่า รู้แล้วก็ไสหัวไปซะ ” อีกคนขู่

“ ลูกชายผู้ว่า แต่ทำตัวเอารัดเอาเปรียบคนอื่นน่าอายเหลือเกิน ” เสียงแหลมเล็กของหัวหน้าห้องของผมขัดขึ้น

ผู้มาใหม่ทั้งสามหันขวับไปมองเธอเป็นตาเดียว ลำธารดูไม่ยี่หระกับสายตาอาฆาตของเด็กชายอีกสองคนที่ยืนขนาบข้างผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณเขตต์ ซึ่งผมมาทราบชื่อภายหลังว่าเขาชื่อ

“ เขตต์ตะวัน ”

“ พี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะลำธาร ” เขตต์ตะวันปฏิเสธ

“ งั้นก็ไปนั่งข้างหลังสิ มาทีหลังจะมาแย่งคนมาก่อนได้ยังไง ” ลำธารบอกเสียงดุ

เธอเข้าไปนั่งแทนที่เขตต์ตะวันแล้วก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารโดยไม่สนใจผมและหนามเตย ผมรู้สึกสงสัยที่เขตต์ตะวันแสดงทีท่าเกรงอกเกรงใจลำธาร จึงแอบสะกิดถามหนามเตยเบาๆ

“ พ่อของลำธารเขาใหญ่กว่าผู้ว่าเหรอ พวกนั้นถึงได้ยอมไปโดยดีน่ะ ”

“ เปล่าหรอก แต่ลำธารเป็นน้องสาวพี่ต้นน้ำ ประธานนักเรียน ”

เมื่อได้คำตอบอันน่าพอใจผมจึงเริ่มลงมือรับประทานอาหารของตนเองบ้าง โดยที่สัญชาตญาณลึกๆบอกว่ามีสายตาสามคู่กำลังจ้องมองมาจากทางด้านหลัง

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

ดอกตะแบกสีม่วงร่วงลงมาเกลื่อนถนนซีเมนต์ที่ทอดยาวไปจนถึงหน้าประตูโรงเรียน ผมก้มลงไปเก็บดอกตะแบกดอกเล็กๆที่เห็นว่าสวย แล้วรีบออกไปยืนรอครูนิสาที่ประตูทางเข้า

“ รอใครเจ้าเด็กดอย ” เสียงแหบๆดังขึ้นอีกครั้ง ที่แท้ก็เป็นสามคนเมื่อกลางวันนี่เอง

ผมไม่ตอบเนื่องจากไม่พอใจสรรพนามที่เขาใช้เรียกแทนชื่อผม เปล่าเลยผมไม่ได้อายที่มีคนบอกว่าผมเป็นชาวเขา แต่ด้วยน้ำเสียงและกิริยาหยามหยันนั้นต่างหากที่ทำให้ผมเลือดขึ้นหน้า

“ โผะ อะ แค เหราะ มา ฝะ หยะ ฮา เธอ ด้า กี ” หนึ่งในสามยังคงล้อเลียนต่อ

ผมพยายามหันไปมองต้นไม้ข้างทางแล้วเดินเลี่ยงออกมา แต่ดูเหมือนทั้งสามคนจะ

ไม่ยอมง่ายๆ

“ กลับแล้วเหรออาเลา ” เสียงของลำธารดังขึ้นทำให้คู่กรณีทั้งสามค่อยๆเบี่ยงตัวหลีกทาง

ให้ผมโดยง่าย เขตต์ตะวันรีบเดินเข้าไปทักลำธารอย่างยินดี

“ ลำธารจะกลับแล้วเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่ง ”

“ มารังควานอะไรเพื่อนฉันอีกล่ะ อันธพาลจริงๆ ” เธอไม่ตอบแต่กลับย้อนถามแทน

“ ไม่ได้ทำอะไรนะ พี่แค่มาถามถึงลำธารเท่านั้นเอง ” เขตต์ตะวันโกหกหน้าตาเฉย

“ กลับหรือยังลำธาร ” เด็กหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินเข้ามาสมทบถามหัวหน้าของผมอย่าง

สนิทสนม

“จ๊ะ กำลังจะกลับ นี่เพื่อนหนูชื่ออาเลา ” ประโยคท้ายหันมาแนะนำผม ผมจึงยกมือไหว้เนื่องจากเห็นเป็นรุ่นพี่

“ สวัสดีน้อง พี่ชื่อต้นน้ำเป็นพี่ชายของลำธาร ” พี่ต้นน้ำบอกอย่างใจดี

“ อ้าว! เขตต์ ปิง เอก มาทำอะไรที่นี่ ”

“ มารอพี่นั่นแหละ จะมาชวนไปเตะบอล ” เขตต์ตะวันเฉไฉ

“ คงไม่ล่ะ วันนี้คุณพ่อไม่อยู่ ต้องพาลำธารไปส่งบ้าน ” พี่ต้นน้ำปฏิเสธ

เมื่อรถเก๋งสีดำของครูนิสาเคลื่อนที่เข้ามาใกล้บริเวณที่ผมยืนอยู่ ผมจึงเดินออกมาจากกลุ่มแล้วก้าวขึ้นรถ พลางคิดในใจว่าท่าทางชีวิตในโรงเรียนของผมจะไม่ราบรื่นเท่าใดนัก

เพราะเพียงแค่วันแรกก็มีคนไม่ชอบขี้หน้าเสียแล้ว

≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » จันทร์ 25 ส.ค. 2008 7:10 pm



“ กลอนสุภาพหรือที่เราเรียกกันว่ากลอนแปด คือกลอนที่มีวรรคละ ๗ – ๙ คำ นักเรียนดูแผนผังกลอนบนกระดาน แล้วลองสังเกตสัมผัสของกลอนนะคะ ว่าแต่ละวรรคมีสัมผัสอย่างไรบ้าง แล้ว

ลองแต่งมาคนละ ๑ บท เดี๋ยวครูจะเรียกให้มาอ่านหน้าชั้นเรียน ” ครูสุทธิพรกำลังสอนวิธีการแต่งกลอนแปด

ผมพยายามตั้งใจฟังและทำความเข้าใจกับสิ่งที่ครูสอน แต่ก็รู้สึกว่ามีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจ หนามเตยเองก็ทำหน้ายุ่งเหยิง แสดงว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เราไม่กล้ายกมือถามคุณครู จึงตัดสิน

ใจใช้ปากกาเขี่ยหลังลำธารแทน

“ อะไร!!” เธอหันขวับมาแหวใส่ทันที

“ เราสองคนไม่ค่อยเข้าใจ เรากลัวจะแต่งผิด เธอมาช่วยหน่อยสิ ”หนามเตยวอน

“ ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอก เอางี้..มาช่วยกันสามคนก็แล้วกัน ” ลำธารสรุป

วันนั้น..แม้ผมจะพยายามจำฉันทลักษณ์ของกลอนได้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะใช้คำไหนจึงจะถูกต้องตามสัมผัสและได้ใจความตรงกับที่ต้องการ ท้ายชั่วโมงคุณครูสุ่มตัวอย่างตามเลข

ที่ให้นักเรียนออกมาอ่านกลอนที่ตนเองแต่งหน้าชั้นเรียน

“ เด็กชายอาเลา แซ่หมี่ ” ครูประกาศชื่อผมเป็นคนแรก

ใจผมเต้นตึกตัก ผมไม่เคยออกไปพูดในที่ที่มีคนฟังมากมายขนาดนี้ ผมก้าวออกไปด้วย

ใจสั่นๆ อีกทั้งพยายามบังคับขาทั้งสองไม่ให้สั่นตามไปด้วย เมื่อทำความเคารพคุณครูและทักทายผู้ฟังตามหลักการพูดแล้ว ผมจึงอ่านกลอนที่ลำธารและหนามเตยมาช่วยแต่ง



“ กุหล่าป่าสีแดด่อน้อน้อ

อยู่โบดอม่ามีคราคราเห

ผลิกลิบาชูช่อยาเยเย

งาโดเด่พรี้หวาล้อเล่โล”

เสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนๆในห้องเรียนทำให้ผมหน้าชา ทุกคนขบขันผมที่พูดภาษากลางไม่ชัด ผมจึงรู้สึกเหมือนตนเองเป็นตัวตลก เป็นมนุษย์ประหลาดที่แตกต่างจากผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า

การที่ผมเป็นชาวเขาคงจะเป็นเส้นที่มาแบ่งแยกตนเองออกจากผู้คนเหล่านี้ ผมจึงรู้สึกสะเทือนใจจนร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า รีบวิ่งพรวดพราดออกจากห้องเรียน

นอกอาคารฝนตกลงมาเป็นสาย ผมยังคงวิ่งออกไปอย่างไร้จุดหมาย ท่ามกลางสายฝนที่หล่นมาทำให้รู้สึกเหน็บหนาว แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นใจ เหมือนเม็ดฝนช่วยบดบังแยกผมออกมาจากผู้คน

รอบข้าง ผู้คนเหล่านั้นที่เขาต่างจากผมโดยสิ้นเชิง

ผมวิ่งตัดสนามฟุตบอลไปยังอาคารอุตสาหกรรม แล้วเดินอ้อมหลังอาคารไปยังห้องน้ำชาย ผมยืนนิ่งแล้วมองตนเองในกระจก ดวงตายาวรีของผมแดงก่ำ น้ำตาค่อยๆไหลออกมาเอ่อขอบตา

ผมใช้หลังมือตนเองปาดน้ำตาที่ค่อยๆรินลงมาอาบสองแก้ม วันนี้ผมช่างอ่อนแอเหลือเกิน ผมอยากกลับบ้าน กลับไปยังถิ่นกำเนิดที่มีผู้คนเผ่าพันธุ์เดียวกัน ที่ไม่มีใครมาหัวเราะขบขันเย้ยหยันผมดังเช่นวันนี้

“ หากจุดหมายของเจ้าอยู่บนดอย การเดินทางนั้นช่างยาวไกลนัก ต้องผ่านความเมื่อยล้าและอุปสรรคนานัปการ ที่จะเข้ามาเป็นสาเหตุให้เจ้าหยุดเดิน แต่ถ้าเจ้าตั้งมั่นเดินต่อไปเรื่อยๆ เจ้าจะผ่าน

ไปถึงจุดหมายในวันหนึ่ง ตาไม่ได้สอนให้เจ้างมงายปักใจเชื่อในสิ่งที่ทองไม่เห็น หากเจ้ามองลึกลงไป ความเชื่อเหล่านี้ก็สร้างกำลังใจแก่เราได้ ชีวิตหนึ่งจะก้าวต่อไปไม่ได้ หากไร้สิ้นความหวังและกำลังใจ ”

คำพูดของคุณตาที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท ปลุกความรู้สึกฮึดสู้ให้ฟื้นคืน หลังจากที่มันหลับใหลไปนานแสนนาน ผมรองน้ำจากก๊อกขึ้นมาล้างหน้า แล้วเดินย้อนกลับไปยังห้องเรียน

เมื่อผมเดินเข้าไปนั้นห้องทั้งห้องเงียบเชียบ สายตาทุกคู่ล้วนมองมาที่ผม ครูสุทธิพรเดินเข้ามาหาแล้วระบายยิ้มอ่อนๆ

“ อย่าเสียใจไปเลยอาเลา คนเราเกิดมาไม่เหมือนกันหรอก เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ในเมือง ต้องปรับตัวอีกมาก กว่าจะชินกับวิถีชีวิตของที่นี่คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ที่เพื่อนๆเขาหัวเราะเพราะเขา

รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งครูได้อธิบายให้ทุกคนฟังแล้วว่า อย่าวัดคนที่ชาติกำเนิดหรือสิ่งที่เป็นส่วนประกอบเปลือกนอกของเขา คุณค่าของคนอยู่ที่ความดีและความรู้ความสามารถ แม้วันนี้

อาเลาจะยังพูดไม่ชัด แต่กลอนของเธอก็เป็นกลอนที่ได้คะแนนมากที่สุดในห้องนะ พระเจ้ามอบสองเท้าให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่ให้มาเพื่อถอยหลังหนี ..จำเอาไว้ ”


กล่าวจบครูสุทธิพรก็เก็บของแล้วเดินออกไปจากห้อง

หนามเตยรีบลุกออกมาตบไหล่ผมเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ ลำธารเดินออกมาพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ

“ พวกเราเสียใจที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีนะอาเลา พวกเราขอโทษ ”

นี่คือคำพูดจากเพื่อนๆ ที่ผมยังจดจำไม่ลืมจนถึงวันนี้


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈

แดดยามบ่ายอ่อนแสงลงเมื่อมีเมฆครึ้มสีดำมาแทนที่ สายลมที่เคยโชยมาเบาๆกลับพัด

แรงขึ้น ต้นชัยพฤกษ์ต้นใหญ่ไหวเอนจนกลีบดอกร่วงหล่นจนเต็มสนามหญ้า ราวกับฝีมือจิตรกร

ที่แต้มจุดสีเหลืองอร่ามลงบนผืนผ้าสีเขียวแก่ วันนี้ครูนิสามีประชุมจนถึงห้าโมงเย็น ผมจึงมานั่งเล่นเพียงลำพังบนม้านั่งหินอ่อนข้างสนาม

“ เดี๋ยวข้าผูกเชือกรองเท้าก่อน ”

เสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆทำให้ผมอดหันไปมองไม่ได้ เด็กผู้ชายห้องเดียวกับผมสามสี่คนกำลังตะโกนคุยกันอยู่ ผมยังจำไม่ได้หรอกว่าใครชื่ออะไรบ้าง จำได้แค่ว่าเป็นกลุ่มที่นั่งข้างประตู

แล้วคอยแซวเพื่อนผู้หญิงที่เดินผ่านมา

“ อ้าว ! มานั่งตรงนี้ทำไมล่ะ ”

เพื่อนคนที่ผูกสายรองเท้าถาม เมื่อเขาผูกสายรองเท้าเสร็จแล้วหันมาเห็นผมพอดี

“ รอครูนิสาประชุมเสร็จ ” ผมตอบสั้นๆ

“ โอ๊ย ..ประชุมครูก็โน่นห้าโมงครึ่ง เบื่อแย่ เอ็งจะมารอทำไม ไปกับพวกข้าก่อนป่ะ

จะพาไปเที่ยว รับรองว่าสนุก ” อีกคนชวน

ผมไม่ตอบเพราะลังเล อีกสามชั่วโมงผมก็คงเบื่อเหมือนที่เพื่อนๆบอกจริงๆ

“ ข้าชื่อบอย นี่ตู่ เค็น ตั้น เพื่อนห้องเราห้องนั้น ไปด้วยกันสิจะได้สนิทกัน ” บอยชวนพลางถือวิสาสะดึงกระเป๋านักเรียนไปจากมือผม

“ ไม่ดีกว่า กลัวครูนิสามาไม่เจอ ” ผมปฏิเสธ

“ เฮ้ย! ไม่เอาน่าเพื่อน นายจะได้รู้ว่าคนที่นี่เค้าอยู่กันยังไง ” ตู่ดึงแขนผมให้ลุกขึ้น

ผมตัดสินใจไปกับกลุ่มของบอยเพราะอยากเรียนรู้ว่าคนในเมืองเขาอยู่กันอย่างไร เหมือนดังที่ตู่บอก ในวันนี้ผมคงได้รู้เห็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน บนดอยสูงมีแต่ต้นไม้ ไม่มีอะไรน่าสนใจ

เหมือนในเมือง ดีเหมือนกันที่มีเพื่อนคอยแนะนำ




บอยพาผมเดินเข้าซอยแคบๆผ่านลานจอดรถที่มีรถยนต์จอดเต็มไปหมด กลิ่นบุหรี่ฉุนๆ

โชยมาเมื่อผมเดินผ่านห้องน้ำ เราทั้งห้าเดินขึ้นบันไดเล็กๆแคบๆไปยังห้องที่มีประตูกระจกมืดๆ

บอยเป็นคนผลักประตูเข้าไปก่อนที่ไอเย็นๆจะลอยมาปะทะใบหน้าผม

“ เข้ามาสิอาเลา ” เค็นดันผมให้เข้าไปก่อน

ห้องนี้เป็นห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผมมองไม่เห็นหน้าต่างเพราะมีผ้าม่านสีน้ำเงินปิด

ทั้งสี่ด้าน บอยเดินเข้าไปคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานที่เคาน์เตอร์แล้วเดินกลับมาบอกให้พวกผมไปนั่งรอที่โซฟาตัวยาวด้านหลังห้อง ตู่และตั้นให้ความสนใจกับการเตะฟุตบอลในโทรทัศน์

จอใหญ่ราวกับโรงหนัง แต่เค็นนั้นดูใส่ใจกับโต๊ะสนุกเกอร์ที่กำลังส่งเสียงเชียร์กันดังลั่นมากกว่า

“ ว่าไงเค็นวันนี้พนันกันมั้ย ” ผู้ชายอายุราวยี่สิบกว่าๆเดินเข้ามาตบบ่าเค็น

“ ไม่เอาอ่ะพี่วุธ ช่วงนี้เสียบ่อยไม่มีงบแล้ว ” เค็นปฏิเสธ

“ ให้กู้เอามั้ยล่ะ พนันกันขำๆร้อยสองร้อย ” พี่วุธพยายามชักชวน

“ ไว้วันหลังพี่ เออ..นี่เพื่อนผมชื่ออาเลา เพิ่งลงมาจากดอย ” เค็นเปลี่ยนเรื่องมาแนะนำ

ผมแทน
ผมยกมือไหว้แล้วนั่งนิ่งฟังคนทั้งสองคุยกันในเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ในเมืองมีอะไรที่แตกต่างจากบ้านของผมมากจริงๆ น่าขอบใจเพื่อนๆทั้งสี่ที่แนะนำให้ผมได้รู้จักอะไรๆมากยิ่งขึ้น มิเช่นนั้นผมคงดักดานอยู่เช่นเดิม
“ อาเลาไปเล่นสนุกเกอร์กันมั้ย ใครเล่นไม่เป็นถือว่าเชย มาข้าจะสอนเอง ” เค็นชวน
ผมลุกตามไปอย่างว่าง่าย ที่นี่เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน เค็นแนะนำวิธีการเล่นแก่ผมแล้วให้ทดลองเล่น ผมคงดูเก้ๆกังๆในสายตาเขา เค็นจึงเล่นให้ดูใหม่หลายครั้ง

“ เค็น ได้ของแล้ว พาอาเลาออกมาสิ ” เสียงบอยตะโกนเรียกมาจากด้านหน้าเคาน์เตอร์

ตู่และตั้นลุกขึ้นเดินไปรวมกับบอยเรียบร้อยแล้ว เมื่อผมและเค็นเดินไปถึงบอยจึงพาเรา

ทั้งสี่เดินเข้าประตูเล็กๆทางด้านหลังทีวีจอใหญ่

ห้องที่บอยพาไปนั้นทั้งอับและมืด เป็นห้องที่ตกแต่งตามความชอบส่วนตัวเจ้าของจริงๆเพราะของใช้ในห้องล้วนเป็นสีดำและน้ำตาลเท่านั้น บนหัวเตียงขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยรูปปั้น

หัวกะโหลกรมควันจนดำเมี่ยม มีธูปเทียนที่จุดไฟแล้วปักอยู่ราวกับบ้านของหมอผี เพื่อนๆของผมทั้งสี่คนดูคุ้นเคยกับห้องนี้มากเป็นพิเศษ ตู่เดินเข้าไปเปิดเพลงจากเครื่องเสียงราคาแพงที่ตั้งอยู่

ข้างเตียง บอยล้วงกระเป๋าหยิบเอาของบางอย่างที่ห่อในกระดาษทิชชู่ขึ้นมาวางไว้กลางเตียง

ตั้นเอื้อมมือไปเปิดบานเลื่อนหัวเตียงแล้วหยิบกระดาษสีเงินพร้อมไม้ขีดไฟออกมา เค็นยิ้มแล้วหันมามองผม

“ นี่คือยาแก้เครียดนะอาเลา เวลาพวกเราเครียดเราจะมาที่นี่กันเสมอ ”




บอยแกะห่อกระดาษทิชชู่ที่มียาเม็ดเล็กๆสีส้มอยู่ในนั้น ๕ เม็ด เขาหยิบยาขึ้นมาหนึ่งเม็ดแล้วหักออกเป็นสี่ส่วน ตั้นยื่นกระดาษสีเงินพร้อมทั้งไม้ขีดไฟให้ บอยรับไปแล้วพับกระดาษสีเงินให้มีรูปร่าง

คล้ายกระทง แล้วใส่ยาลงไป ๑ ซีก

“ ขาเดียวมันจะพอเหรอบอย ” ตู่แซว

“ ต้องค่อยๆสิโว้ย เดี๋ยวน็อค ” บอยตอบอย่างอารมณ์ดี

บอยจุดไม้ขีดไฟก่อนจะนำไปจ่อกระดาษสีเงิน แล้วค่อยๆสูดควันกลิ่นเหม็นที่ออกมาจากกระดาษนั้นอย่างสำราญ เมื่อหมดซีกแรกแล้วบอยก็นั่งทำตาเยิ้มอย่างมีความสุข

“ ลองดูสิอาเลา ยาคลายเครียด ” ตั้นชวนผม

“ มาเดี๋ยวทำให้ แต่ครั้งต่อไปต้องทำเองนะโว้ย ” เค็นบอกแล้วหยิบกระดาษสีเงินขึ้นมา

“ เฮ้ย! เสียงเอะอะอะไร ” ตั้นบอก พลางใช้รีโมทปิดเสียงเพลงที่ดังอยู่

เค็นลุกขึ้นไปยืนข้างประตูด้านหน้าแล้วเอียงหูแนบกับบานประตู ก่อนจะหันมาหน้าตาตื่น

“ ตำรวจมา ”

ทั้งสี่คนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทางประตูหนีไฟทางด้านหลัง ผมวิ่งลงไปจากบันไดวนและชันนั้นอย่างทุลักทุเล เค็นนำทางพวกเราออกมาจนถึงถนนใหญ่แล้วจึงโบกรถสองแถว

สีแดงให้พาไปส่งที่โรงเรียน

เมื่อไปถึงพบว่าครูนิสาจอดรถรออยู่ก่อนแล้ว เพื่อนทั้งสี่ของผมจึงเลี่ยงเดินออกไปทางโรงยิมฯ ผมเองก็รีบวิ่งไปขึ้นรถ ตลอดทางที่นั่งไปกับครูนิสาผมรู้สึกเหมือนตนเองทำผิดอย่าง

ใหญ่หลวง เพราะการที่เพื่อนๆวิ่งหนีตำรวจแสดงว่าเขาจะต้องทำเรื่องที่ผิดกฎหมายแน่นอน

สักวันหนึ่งผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าทั้งสี่คนนั้นทำผิดอะไร


≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈≈
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: ไอดินกลิ่นฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » จันทร์ 25 ส.ค. 2008 7:15 pm



“ นี่..เมื่อวานเธอไปกับพวกเจ้าบอยเหรออาเลา ” ลำธารเดินคิ้วขมวดมาถามผมตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเจอผมในเช้าวันนี้

“ เธอรู้ได้ยังไงเหรอ ” ผมย้อนถาม

“ ฉันเห็น ” เธอตอบอย่างล้อมกรอบไม่ให้ผมปฏิเสธได้เลย

“ ไม่รู้หรือไงว่าพวกนั้นติดเที่ยว เล่นการพนัน เธอไปยุ่งด้วยเดี๋ยวจะพลอยฟ้าพลอยฝนไปกับเขาด้วยหรอก ฉันรู้จักเพื่อนๆห้องเราดี เพราะเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันตอนประถม ” เมื่อเห็นผมเงียบ

เธอจึงรุกต่อ
“ ฉันคงไม่ไปด้วยอีก เพราะฉันรู้แล้วว่าเขาทำในสิ่งที่ผิด ” ผมตอบช้าๆเน้นๆเสียง

ลำธารทำตาโตแล้วเขยิบเข้ามากระซิบกระซาบ

“ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ ”

“ สัญญาสิว่าจะปิดเป็นความลับ ” ผมขอคำยืนยันเพราะเกรงจะมีปัญหากับกลุ่มบอย

เมื่อเธอพยักหน้าหงึกๆผมจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากออกไปกับบอยและเพื่อนๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ยิ่งฟังลำธารก็ยิ่งทำหน้าเครียดยิ่งขึ้น

“ เธอรู้มั้ยว่าไอ้ยาเม็ดสีส้มนั่นน่ะ เค้าเรียกว่ายาบ้า ดีนะที่ตำรวจมาก่อน ไม่งั้นเธอก็คง

ติดยาไปกับพวกเขาด้วย ไม่ได้การล่ะฉันจะต้องบอกครูไพโรจน์ ”

“ เฮ้ย! เธอเพิ่งสัญญานะว่าจะปิดเป็นความลับ ” ผมท้วง

ลำธารขมวดคิ้วเพราะเธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของผม เธอมองว่าปัญหานี้ควรต้องรีบแก้ไข แต่ผมกลับคิดว่าหากกลุ่มนั้นรู้ คงไม่ปล่อยผมไว้แน่

“ ไง ..อาเลา ” เสียงของบอยดังขึ้นพร้อมกับมือหนักๆที่วางบนบ่าผม และสายตาที่จ้องเขม็งราวกับจะปรามว่า “ อะไรไม่ควรพูดก็อย่าพูดนะ ”

“ เพิ่งมาเหรอบอย ” ผมถามแก้เก้อ

“ เมื่อวานฉันเห็นเธอพาอาเลาออกไปด้วยนะบอย ฉันไม่อยากให้เธอพาเพื่อนไปที่

แบบนั้น อาเลาเขาไม่รู้จักโลกแบบเธอหรอก ” ลำธารโพล่งขึ้นมา

บอยหันมามองหน้าเธอด้วยดวงตาขุ่นๆ

“ เป็นผู้หญิงก็อยู่ส่วนผู้หญิงอย่ามายุ่งนะยายทอม ลูกผู้ชายต้องรู้จักเรียนรู้โลกกว้าง ”

“ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอพาคนดีๆไปเสียคนหรอกบอย ” ลำธารเบ้ปาก

“ ป่ะ..อาเลา ไปห้องสมุดกัน ”

ว่าแล้วลำธารก็ดึงแขนผมออกมาจากห้องเรียน





“ ชั่วโมงต่อไปครูจะให้นักเรียนจับคู่กันออกมาสนทนากันหน้าห้องตามบทสนทนาหน้า ๔๒ สำหรับวันนี้นักเรียนเลิกเรียนได้ค่ะ ” ครูภาษาอังกฤษผู้แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดสรุปก่อนจะเดิน

ออกจากห้องไป

“ ฉันไม่ค่อยชอบวิชาภาษาอังกฤษเลย เวลาต้องเรียน Conversation เนี่ย ฉันมักจะจำบทสนทนาไม่ได้ ” ลำธารบ่น

“ ฉันก็เหมือนกัน เธอยังดีที่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาเต็มที่ แต่ฉันสิเรียนช้ากว่าเธอ ”

ผมสนับสนุน

“ ก็หมั่นท่องศัพท์สิจ๊ะอาเลา ไม่มีอุปสรรคชนิดใดที่จะเอาชนะความเพียรพยายามได้หรอก”ครูนิสาเดินเข้ามาเมื่อไรไม่รู้

“ ครูสุทธิพรเล่าถึงปัญหาของอาเลาให้ครูฟังแล้ว ” ครูพูดต่อ

“ ครับครู ” ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี

“ เราอาจจะต้องใช้ความพยายามในการฝึกฝน และใช้สติ ทุกครั้งที่อาเลาพูดจะต้องฝึกให้มันชัดเจนขึ้น ถ้าเราคิดจะเรียนต่อสูงๆมีหน้าที่การงานที่ดีต่อไปภายภาคหน้า การพูดจาฉาดฉานชัดเจน

เป็นบุคลิกลักษณะที่ดีของผู้นำ ” ครูนิสายิ้มให้กำลังใจ

“ หนูก็จะพยายามเหมือนกันค่ะครู ” ลำธารเห็นด้วยกับคำแนะนำของครู

“ ผมจะพยายามให้มากขึ้นครับครู ผมจะฝึกพูดหน้ากระจกทุกเช้าทุกเย็น ” ผมยืนยัน




“ เดี๋ยวฉันช่วยอีกแรงหนึ่งนะ ” ลำธารอาสา

ผมยิ้มรับในน้ำใจของเพื่อน ‘ในยามที่ชีวิตเกิดปัญหา นั่นคือเวลาที่เราจะค้นพบเพื่อนแท้’

พ่อเคยสอนผมไว้ก่อนลงจากดอย คำสอนทั้งหลายของพ่อ มักจะเกิดเหตุให้เห็นจริงเสมอ ผมคิดพลางเก็บของใส่กระเป๋านักเรียน

“ กลับกันหรือยังจ๊ะ เด็กๆ ” ครูนิสากวาดสายไปทั่วห้องเรียน

“ กลับกันเถอะครับครู ไปนะลำธาร เจอกันพรุ่งนี้เช้า ” ผมยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง

วันนี้คงเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันของผม ที่ได้ตั้งใจเอาไว้ว่า จะพยายามทำในสิ่งที่ยาก ให้เป็นจริงขึ้นมาให้ได้ คงจะจริงอย่างที่ครูบอก “ ไม่มีอุปสรรคใดที่จะเอาชนะความเพียรพยายามได้ ”

แน่นอน มันเป็นสัจธรรมที่พิสูจน์ได้จริง




“ สะ-กะ-วา ” ผมพยายามอ่านกลอนสักวาให้คุณตาฟัง

“ สัก-กะ-วา เอาใหม่สิอาเลา คำที่มีตัวสะกดเราต้องเน้นเสียง ”คุณตาแนะ

“ สัก-กะ-วา ” ผมพยายามพูดตามท่าน

คุณตายิ้มอย่างยินดีเมื่อผมพูดได้ตามที่ท่านสอน

“ เจ้าจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเจ้าจะหลุดพูดไม่ชัดอีก ลองพูดประโยคยาวๆซิ ช้าๆชัดๆ”

“ สักวาหวานอื่นมีหมื่อแส” ผมยิ้มแหยๆเมื่อรู้ว่าตัวเองหลุดในตอนท้าย

“ ไม่เป็นไร ใหม่ๆก็ต้องมีพลาดกันทุกคนแหละ ลองดูอีกทีนะ” คุณตาให้กำลังใจ

“ สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ” ผมพยายามอ่าน

“ พูดตามตานะ ไม่เหมือนแม้นพจมานอันหวานหอม ”

“ ไม่เหมือนแม้นพจมานอันหวานหอม ” ผมพยายามเน้นเสียงให้เหมือนคุณตาให้มากที่สุด

แม้คุณตาจะประเมินว่าการออกเสียงของผมเป็นที่น่าพอใจ แต่สำหรับผมแล้วรู้ตัวเองดีว่า หากไม่ตั้งสติให้ดี ก็จะพูดไม่ชัดดังเดิม เมื่อผมเล่าเหตุการณ์ให้หนามเตยและลำธารฟัง

เพื่อนทั้งสองจึงลงความเห็นว่า

“ เราสองคนเชื่อว่าเธอต้องทำได้แน่นอนอาเลา แต่มันต้องใช้เวลา ”

ผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมจึงพยายามหาบทกลอนไปฝึกอ่านออกเสียงวันละบท ซึ่งต่อมาสำเนียงของผมก็ชัดเจนขึ้นตามลำดับ จนครูสุทธิพรสังเกตได้และ

เอ่ยถามเมื่อผมนำการบ้านไปส่งที่โต๊ะ

“ อาเลามาเรียนที่นี่ได้สามเดือน แต่พูดจาชัดเจนมากขึ้นจนผิดสังเกต ”

“ ผมพยายามฝึกพูดทุกเย็นครับครู ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะฝึกไปเรื่อยๆครับ ” ผมเล่าตามความจริง

“ ดีแล้วเย็นๆมาอ่านหนังสือให้ครูฟังก็ได้นะ ครูจะได้ช่วยแนะนำ ตอนนี้อาเลาพูดชัดขึ้นมาก แต่ถ้าออกเสียงคำควบกล้ำให้ชัดเจนมากกว่านี้ จะดีมากเลยนะจ๊ะ ”

“ ครูอนุญาตให้ผมมาอ่านหนังสือให้ฟังทุกเย็นได้หรือครับ” ผมเห็นครูต้องฝึกนักเรียนที่อ่านทำนองเสนาะอยู่จึงรู้สึกเกรงใจ

“ ได้สิจ๊ะอาเลา มันไม่ได้ใช้เวลานานอะไรเลย ถ้าเธอมีความตั้งใจขนาดนี้ ครูก็ยินดีที่จะส่งเสริม ”ครูยืนยัน

ผมรู้สึกราวกับตนเองค้นพบสิ่งที่หามานาน ครูสุทธิพรเป็นครูที่ใส่ใจนักเรียนมาก ผมเชื่อว่าจะต้องได้รับคำแนะนำดีๆจากครูอย่างแน่นอน ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกเฉยๆ ต่อความตั้งใจจริงของครู

แต่สำหรับผมแล้วรู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน ผมไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวยอย่างเพื่อนคนอื่นๆ แต่กลับมีครูที่ดีมาคอยใส่ใจเช่นนี้ ผมยกมือไหว้ครูแล้วเดินออกมาจากห้องพักครูด้วยหัวใจที่พองโต ผมไม่ได้หวังว่าจะ

ต้องสูงส่งอย่างใครๆแต่ก็อยากเป็นคนที่ได้เรียนรู้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเก็บสิ่งเหล่านี้ไปพัฒนาบ้านผาดำที่ผมรัก เท่านั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมแล้ว





เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใดพี่เอย

เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า

สองเผือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่

สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ

เสียงพี่เอกดนัยอ่านทำนองเสนาะดังก้องกังวาน ทุกวันที่ผมไปรออ่านหนังสือให้ครูสุทธิพรฟังนั้น ผมจะเข้าไปก่อนเวลาเสมอ เพื่อไปนั่งฟังพี่เขาฝึกอ่านทำนองเสนาะ

“ หลับใหลนี่ต้องเอื้อนมากกว่านี้เอกดนัย พยายามทอดเสียงเชื่อมคำว่าหลับใหลกับลืมตื่นอย่าให้เสียงขาดไม่งั้นเสียงจะขาดเป็นห้วง ” ครูสุทธิพรแนะ

ผมแอบได้ยินครูสุทธิพรบอกกับพี่เอกดนัยว่าทางจังหวัดจะจัดประกวดแข่งขันทางวิชาการในเดือนหน้า ซึ่งคุณครูจะส่งพี่เอกดนัยเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการอ่านทำนองเสนาะ พี่เอกดนัยเป็นรุ่นพี่ที่ม.๖

ที่มีความสามารถทางการอ่านทำนองเสนาะอย่างหาตัวจับยาก และยังมีความรับผิดชอบสูง น้อยครั้งที่ผมจะเห็นเขามาขออนุญาตไม่มาฝึกซ้อมแต่ก็ด้วยเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ

ผมมานั่งฟังพี่เอกดนัยทุกวันจนจำบทอ่านได้หมด แล้วกลับไปฝึกอ่านที่บ้านเองบ้าง จริงๆแล้วผมเองก็อยากทำได้เหมือนพี่เขา แต่ก็ไม่กล้าขอครูสุทธิพรด้วยเกรงว่าจะเป็นการได้คืบ

เอาศอก เพราะเท่านี้ครูก็เหนื่อยมากพอแล้ว

“ เป็นไงอาเลานั่งฟังเพลินเลยสิ ” พี่เอกดนัยแซว

“ ครับพี่ ” ผมรับคำเฉยๆเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี

“ มานี่สินั่งอ่านเป็นเพื่อนพี่ จะได้ไม่ต้องนั่งเหงาคนเดียว ” อยู่ดีๆพี่เอกดนัยก็มาชวนผมไปอ่านด้วย โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

“ ไม่ดีกว่าครับ ผมยังอ่านไม่เป็นเลย ” ผมปฏิเสธ

ครูสุทธิพรวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ แล้วหันมาจ้องหน้าผม

“ ดีเหมือนกันนะอาเลา ฝึกเอาไว้ ปีการศึกษาหน้าพี่เขาเรียนจบ เผื่อเราจะอ่านแทนพี่เขาได้ ”

“ ครับ ” ผมรับคำโดยไม่รีรอเพราะใจนั้นอยากหัดอ่านอยู่แล้ว

ผมค่อยๆเริ่มอ่านเบาๆตามพี่เอกดนัยไปก่อน ครูสุทธิพรนั่งฟังเราทั้งคู่ พอได้มาอ่านจริงๆผมจึงได้รู้ว่า การอ่านทำนองเสนาะนี้ยากไม่ใช่เล่น นอกจากจะต้องเอื้อนเสียงแล้ว ในแต่ละวรรคยังมี

เสียงสูงต่ำเป็นจังหวะจะโคน จึงจะอ่านได้ไพเราะ แม้วันนี้ผมจะยังอ่านได้ไม่ดีนัก แต่ที่ผมได้รับในขณะนี้คือ...โอกาส ซึ่งหาได้ยากเหลือเกินในชีวิตนี้
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm


ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน

cron