โดย ภาษาสยาม » เสาร์ 16 ก.พ. 2013 3:40 pm
ม่านฟ้าสีดำเคลื่อนผ่านเดือนเพ็ญไปอย่างอ้อยอิ่ง แสงจันทร์ขาวนวลจึงคลี่ตัวออกมาแทนที่ นกกลางคืนบินผ่านไปมาพลางส่งเสียงร้องอันเยือกเย็น ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง แต่หญิงกลางคนและหญิงสาววัยไล่เลี่ยกับระมิงค์ที่เดินมาด้วยกันนั้น มิได้มีท่าทีแสดงความขลาดกลัวต่อสิ่งใดเลย ราวจะคุ้นเคยกับบรรยากาศรอบกายเป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ
เมื่อไปถึงเรือนไทยหลังใหญ่ร่มครึ้มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ราวกับบ้านสวน กาบแก้วจึงหันมาสั่งอะไรบางอย่างแก่หญิงสาวอีกคนแล้วจึงเดินขึ้นบันไดเรือนไปก่อน ระมิงค์สังเกตว่านอกจากเรือนใหญ่แล้ว ภายในอาณาเขตรั้วเดียวกันยังมีเรือนบริวารอีกหลายหลังกระจัดกระจายกันไป ซึ่งแต่ละหลังเป็นเรือนไทยใต้ถุนสูงเหมือนกันหมด
“ เจ้าชื่อระมิงค์รึ เฮาชื่อกาสะลอง ” อยู่ดีๆหล่อนก็แนะนำตัวด้วยเสียงกังวานใสเต็มไปด้วยความ
เป็นมิตร
ระมิงค์หันไปมองดวงหน้าขาวใสนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า กาสะลองเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดตามเจ้าจันทร์แว่นฟ้ามาตั้งแต่คราวแรก ดังนั้นหล่อนคงจะรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี
“ เจ้าไปอยู่หลังต้นโพธิ์นั่นได้จะได..ไปอยู่หลังต้นโพธิ์ได้อย่างไร”
ผิดคาด หญิงสาวมิได้ติดใจว่าหล่อนมาจากไหนเฉกเช่นคนอื่นๆ แต่กลับสงสัยในสิ่งที่ระมิงค์เองก็ยังตอบไม่ได้
“ มิ้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันกาสะลอง รู้แค่เพียงว่าได้ไปไหว้ศาลพญามังรายในวัดช้างค้ำ แล้วก็จำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้อีกเลย สุดท้ายก็มา..โผล่ที่นี่ ” ระมิงค์ใช้สรรพนามตามความเคยชิน
กาสะลองนิ่งพลางใช้ความคิด
“ ศาลพญามังรายก็คือศาลข้างต้นโพธิ์จะไดเล่า แต่วัดที่เราเพิ่งจากมาเมื่อครู่มิได้ชื่อวัดช้างค้ำดังที่เจ้าบอก หากแต่ชื่อวัดกานโถม ”
ระมิงค์ถึงบางอ้อ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสุรีย์รัศมิ์เคยบอกไว้ว่า วัดช้างค้ำมีอีกชื่อหนึ่ง คือวัดกานโถม แล้ว เหตุใดสาวผู้นี้จึงไม่รู้จักวัดช้างค้ำกันเล่า คงจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทุกคนไม่รู้จักกรุงเทพฯกระมัง ช่างเป็นเรื่อง ที่น่าแปลกนัก
เป็นไปได้หรือที่จะมีกลุ่มคนที่ไม่รู้จักเมืองหลวงของประเทศตนเช่นคนกลุ่มนี้ หรือว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทย แล้วเป็นประเทศอะไรกันเล่า เป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะเดินทางข้ามประเทศโดยไม่รู้สึกตัว คงจะมีแต่ในนิทานเท่านั้นกระมัง
“ กาสะลอง ”
“ เจ้า ” หญิงสาวหันขวับมาทันใด ดวงตากลมโตของนางที่สุกใสท่ามกลางความสลัวนั้นน่ามองยิ่งนัก
“ ที่นี่คือที่ไหน ”
กาสะลองมองมาอย่างค้นคว้า
“ ก็เวียงกุมกามจะไดเล่า..เวียงกุมกามอย่างไรเล่า”
ระมิงค์ทำตาปริบๆ เวียงกุมกามล่มสลายไปแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพัง แล้วทุกสิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสมันคืออะไร ความกังวลเริ่มทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของหล่อน แค่ถูก เจ้าบ่าวทรยศยังไม่พออีกหรือ เหตุใดต้องมาเจอเรื่องราวแปลกประหลาดและสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ซ้ำเติมอีกระลอก
แสงจากตะเกียงสว่างจ้าขึ้นเหนือบันไดเรือนทำให้มองเห็นทั่วบริเวณชัดเจนขึ้น ระมิงค์ยิ้มมุมปากอย่างเครียดๆ ปากเร็วเท่าความคิดหญิงสาวจึงถามกาสะลองออกไปตรงๆ
“ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือไงกาสะลอง หรือว่าไฟยังเข้ามาไม่ถึง ”
ผู้ถูกถามดูงงงวยกับสิ่งที่ได้ยิน
“ ไฟฟ้าคืออะหยังกันเจ้า..ไฟฟ้าคืออะไร ” หล่อนถามประสาซื่อ
ระมิงค์อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่ก็ทำได้แค่กัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ
“ ไฟฟ้าที่ต่อจากเสาไฟฟ้า สำหรับตู้เย็น ทีวี เตารีด เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายไงล่ะ ”
กาสะลองยิ้มแหยๆ โดยไม่ตอบ ระมิงค์จึงเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าหล่อนคงไม่รู้จักสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นเป็นแน่ แม่เจ้า...นี่มันโลกไหน เหตุใดจึงต่างกับวิถีชีวิตของหล่อนโดยสิ้นเชิง
“ กาสะลอง ขึ้นมาได้แล้ว ” เสียงของกาบแก้วร้องเรียกมาจากหน้าต่างเรือน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวจึงพาระมิงค์เดินไปยังเรือนไทยใต้ถุนโล่งที่ตระหง่านอยู่ในความสลัวของเดือนเพ็ญโดยทันที
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ตัวเรือน ระมิงค์จึงได้เห็นว่า เรือนนี้เป็นเรือนที่ร่มรื่นนัก รอบๆบันไดเรือนเต็มไปด้วยไม้ดอกนานาชนิด ที่กำลังชูช่อรับหยาดน้ำค้างยามรัตติกาล หากเป็นรุ่งเช้าหญิงสาวคงชมความงามของธรรมชาติได้มากกว่านี้
กาสะลองหยุดเดินแล้วก้มลงตักน้ำในตุ่มล้างเท้าก่อน ระมิงค์ทำตามแล้วจึงก้าวขึ้นบันไดตามไป เรือนนี้ไม่แตกต่างจากเรือนของสุรีย์รัศมิ์มากนัก หากแต่มีชายคาคลุมบันไดยื่นออกมาไม่ปล่อยบันไดให้โล่งเหมือนเรือนหลังแรก ถัดขึ้นไปเป็นชานบันไดซึ่งเชื่อมกับห้องโถงเปิดโล่ง ยกพื้นจากชานไม่เกิน 2 คืบ ซึ่งกาบแก้ว และชายชราท่าทางใจดีผู้หนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อสาวเจ้าถิ่นก้าวขึ้นไปบนยกพื้นแล้วจึงย่อตัวลงคลานเข่าเข้าไปหาคนทั้งสอง ระมิงค์ทำตามอย่างเก้ๆกังๆเพราะหล่อนไม่คุ้นเคยกับกิริยาแบบไทยเท่าไรนัก ครู่ใหญ่หญิงสาวผู้มาใหม่ก็นั่งพับเพียบลงต่อหน้า เจ้าบ้านทั้งสองคนด้วยกิริยาสงบ
“ ไหว้สาเจ้า พ่อโหรา ” กาสะลองน้อมไหว้ผู้เฒ่า ระมิงค์จึงทำตามบ้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้พบว่า เจ้าบ้านกำลังทอดสายตามองหล่อนอยู่เหมือนกัน
“ เดินทางมาไกลคงจะเหน็ดเหนื่อยนัก ” โหราจารย์เอ่ยทักอย่างใจดี
ระมิงค์ยิ้มรับ ไม่ตอบว่ากระไร แล้วจึงนั่งก้มหน้ามองพื้นเรือนที่ถูกเช็ดถูจนขึ้นเงามันปลาบ
“ นี่คือท่านพ่อ ท่านเป็นโหราจารย์ของเมืองนี้ ” กาบแก้วแนะนำเพิ่มเติม
“ ท่านพ่ออนุญาตให้เจ้าพักอยู่ที่นี่ตามรับสั่งของเจ้าจันทร์ได้ กำเดียว..เดี๋ยวเฮาจะให้
บ่าวไพร่พาไปยังห้องนอนของเจ้า ตอนนี้กำลังปัดกวาดอยู่ ”
“ ขอบคุณมากค่ะ ” หญิงสาวเอ่ยพลางยกมือขึ้นไหว้อีกครั้ง
“ เจ้านี่อู้จา..พูดจาแปลกๆ” กาบแก้วบ่นอย่างหงุดหงิด เป็นเหตุให้ชายชราหัวเราะหึหึแล้วตอบคำลูกสาวเสียเอง
“ นางจะต้องเรียนรู้เรื่องราวของกุมกามแหมเมิน..อีกนาน กว่าที่จะเข้าใจ ระมิงค์จงอยู่ที่นี่ในฐานะ ลูกสาวบุญธรรมของเฮา น้องสาวของกาบแก้ว และเสมา ” โหราจารย์อาทร เพราะผู้มากวัยรู้ดีว่าชะตาชีวิต ของตนและหญิงสาวเกื้อหนุนกันอยู่
“ นางบอกข้าเจ้าว่ามาจากกรุงเทพฯ ท่านพ่อเคยได้ยินชื่อเมืองนี้หรือไม่ ” กาบแก้วถามพลางเหลือบไปมองกาสะลองซึ่งนั่งเงียบอยู่
“ เฮาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องดอกกาบแก้ว ระมิงค์มาที่นี่เพราะดวงชะตาพามา นางมิได้มาร้าย รู้เอาไว้เท่านี้ก็พอแล้ว ” ผู้ชราตอบ
กาบแก้วนึกอยากค้อนบิดาสักวงสองวง การรับคนแปลกหน้าขึ้นมาพักบนเรือนนั้น จะหวงห้ามมิให้ถามถึงหัวนอนปลายเท้าเลยหรืออย่างไร
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน กาสะลองจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ แท้จริงแล้วข้าเจ้าก็แปลกใจโขอยู่ ระมิงค์เอ่ยถึงสิ่งที่ข้าเจ้ามิเคยได้ยินหลายอย่าง ราวกับนางมิใช่ คนในดินแดนแถบนี้ ”
ผู้ชรายิ้มอย่างพอใจ เมื่อยังเยาว์กาสะลองเป็นละอ่อน..เด็กที่เฉลียวฉลาด เมื่อเติบโตเข้าสู่รุ่นสาว นางก็เพิ่มความสุขุมรอบคอบมากยิ่งขึ้น จะว่าไปแล้วนางมีความคิดลึกซึ้งมากกว่ากาบแก้วเสียด้วยซ้ำ
“ นางมิใช่คนในแถบนี้ดอกกาสะลอง นางมาจากที่ไกลแสนไกล ” ชายชราตอบแล้วทอดสายตามองยังความมืดของนอกเรือน
“ ที่นี่เหมือนกับเป็นการใช้ชีวิตย้อนหลังไปหลายปี ไม่มีอะไรเหมือนกับบ้านที่จากมาเลย ” เมื่อระบายความในใจไปแล้ว ระมิงค์จึงหยุดคิด ย้อนหลังหรือ ใช่สิ..หรือตอนนี้หล่อนกำลังย้อนหลังไปสู่อดีต ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่เหมือนกับที่เคยเรียนในวิชาสังคมไม่มีผิด อาจจะสมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือนานกว่านั้น
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เรื่องแบบนี้มีอยู่จริงหรือ
“ ฤๅเมืองของเจ้าแตกต่างจากที่นี่ ” กาสะลองถามบ้าง
ระมิงค์พยักหน้า แล้วจึงระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หญิงสาวอยากบอกทุกคนว่าหล่อนสับสนเหลือเกินแล้ว กับทุกสิ่งที่เป็นอยู่
“ ที่นี่คือเวียงกุมกามจริงหรือคะ ” ระมิงค์โพล่งถามด้วยความอึดอัด
โหราจารย์นิ่งไปชั่วอึดใจ จึงเอ่ยตอบ
“ ที่นี่คือเวียงกุมกาม ” เมื่อเห็นหญิงสาวยังคงจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอยู่ ประมุขของบ้านจึงเอ่ยประโยคที่ระมิงค์ไม่คาดคิดออกมา
“ เวลานี้เป็นค่ำคืนของเดือนยี่เป็ง ปีไส้ พุทธศักราช 2100 ”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็สงสัยอยู่ครามครัน แต่เมื่อรับรู้เข้าจริงๆ หญิงสาวกลับช็อก ใจคอสั่นระรัว ตกตะลึงนิ่งงัน
กาบแก้วและกาสะลองมองหน้ากันอย่างแปลกใจกับกิริยาของระมิงค์ เมื่อหายตกใจหญิงสาวก็ยกมือขึ้นทาบอก ราวกับได้รับรู้เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ทั้งที่ชายสูงวัยแค่เพียงบอกวันเวลาตามที่รับรู้กันโดยสามัญ
มีเพียงระมิงค์เท่านั้นที่เข้าใจ
หล่อนกำลังเดินทางย้อนกลับมายังอดีตเมื่อสี่ร้อยปีก่อน ณ เวียงกุมกามในสมัยที่เมืองยังไม่ล่มสลาย ภาพทุกภาพที่อยู่ตรงหน้าคือภาพอดีต ที่เคยคิดว่ามีอยู่แค่เพียงในความทรงจำ
“ มิต้องกลัวสิ่งใดดอกระมิงค์ จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ” นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของเรือนจะกลับเข้าไปยังเรือนนอน
อดีตเป็นบันไดไปสู่ปัจจุบัน แล้วใครกันหนอส่งหล่อนมาที่นี่ และมาเพื่ออะไร
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้