Forever… I Believe In You โดย..ข้าวปั้น

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Forever… I Believe In You โดย..ข้าวปั้น

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 13 ก.ค. 2008 9:14 am

ประวัติผู้เขียน
ข้าวปั้น

ชื่อจริง จิราภรณ์ สุขบุญสังข์ ( ออย )

เกิด ๒๐ กันยายน ๒๕๓๔

สาวน้อยผู้สร้างจินตนาการจากความเหงา

ตอน ๑
แด่...พระผู้เป็นเจ้า

ฉันอยู่ได้อีกไม่นาน....ใช่แล้ว ฉันควรจะตายไปตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะการเสียสละของเค้า ก็คงจะไม่มีฉันในวันนี้อีกต่อไปแล้ว....


...มันเป็นความทรงจำที่ฉันไม่อาจจะลืมได้ลง...
.
.
.
.
3 ปีก่อน


“นี่!...คิม คิบอม ฉันถามจริงเถอะ นายไม่เบื่อบ้างรึไงที่ต้องเข้าโบสถ์ทุกครั้งที่ว่างเพื่อมาสวดมนต์ไหว้พระเจ้าแบบนี้น่ะ? +o+”

เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อหน่างเต็มทน แถมยังกิริยาที่ไม่สำรวมอีก ทั้งหมดเป็นการกระทำและความประพฤติของเอง....ลี ยองเจ ก็ให้ตายเถอะ

ฉันนั่งอยู่ในโบสถ์นี้มามากกว่าสองชั่วโมงแล้วนะ แล้วที่ฉันจะบ่น...บ่น....บ่น....และบ่นเจ้าหมอนี่มันจะแปลกอะไรตรงไหน เซ็งจะตายอยู่แล้ว =o=


“.......” ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่าน(ฉันเอง)เรียก อีตาบ้าคิม คิบอม ยังคงสวดมนต์(ในใจ)ไม่เลิก


“คิม คิบอม!” ฉันรีเควสอีกครั้ง


“.........” นิ่ง


“คิม คิบอม! ฉันจะกลับบ้าน!!”


“..............” เงียบ


“คิบอม!!”


“..................” ไร้การตอบรับ


“คิม บองซอก!” ฮ่าๆ ล้อชื่อพ่อเลย อยากไม่สนใจฉันดีนัก (น้องๆหนูๆถ้าอยากเป็นเด็กดี อย่าทำตามนะจ๊ะ

มันไม่ดี๊...ไม่ดีจ๊ะ....แต่ขอบอกว่าสะใจมาก.....ก....ก ^o^)


“ลี ยองเจ เธออยากตายคาโบสถ์รึไง?” เป็นน้ำเสียงทุ้มแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา


ไชโย!! ไม้ตายนี้ได้ผลเกินคาด อีตาบ้าคิบอมหยุดสวดมนต์แล้ว....แต่หันมาทำตาขวาง หน้าดุแทน


“กะ...กลับ...กลับบ้าน!” เป็นคำสั่งเด็ดขาดจากฉัน (แต่ทำไมถึงได้พูดติดอ่างฟะ! -..-)


“เลิกทำตัวเป็นเด็กๆที่งอแงอยากกลับบ้านได้แล้ว โตจนเลียก้นหมาไม่ถึงแล้วนะ”


“ห๊ะ?!” ดู๊...ดู กล้าพูดได้ไงว่าเลียก้นหมาไม่ถึง อย่างฉันแค่ก้มก็เลียถึงแล้วย่ะ


“นี่ถ้าไม่ติดว่าแม่นายเป็นเพื่อนรักของแม่ฉันนะ ป่านนี้นายได้ลงไปกองที่พื้นด้วยไอ้นี่แล้ว” ไม่พูดเปล่า ฉันชูกำปั้นพร้อมแยกเขี้ยวใส่


“ฮึ....ยัยปลาทอง เตี้ยๆอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้ ก็เอาเลยสิถ้าความสูงของเธอไม่ต่างจากฉันถึงยี่สิบเซนต์นะ”

รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏบนหน้าหล่อขาวใส (จำใจชมนะเนี่ย.....แต่.....มันก็เป็นเรื่องจริงง่ะ -_-!)


“ห๊ะ?! นายว่าไงนะ?” เย็นไว้ลูก เย็นไว้ หายใจเข้าลึกๆ ระงับ...ระงับ


“นายกล้ามากที่หลอกว่าจะพาฉันไปเที่ยวที่ดีๆ ถ้าฉันรู้แต่แรกนะว่านายจะพาฉันมาที่นี่ ฉันไม่มีทางมาเด็ดขาด!”


“เธอควรหัดเคารพสถานที่และศาสดาของศาสนาบ้างนะ ยองเจ” แล้วคุณชายก็เดินมานั่งข้างๆฉันพร้อมกับสั่งสอน.....อีตาบ้าคิบอม

นายเป็นบาทหลวงรึไง


“ไม่ต้องมาสอน ฉันรู้ดีว่าฉันควรทำอะไร”


“แล้วไง?” คิบอมตีหน้าตายท้าทาย


“ฮึ้ย!! ฉันจะกลับบ้าน พูดกับนายแล้วมันจี๊ด” ฉันรีบเดินพรวดพราดออกจากโบสถ์ แต่ก่อนจะออกไป ฉันนึกขึ้นได้ว่าต้องพูดอะไรทิ้งท้ายหน่อย


“คิม คิบอม...ฉันนับถือพุทธ! ไม่ใช่คริสต์!” แล้วก็ออกไปจากโบสถ์จริงๆ


“เรื่องนั้นฉันรู้แล้วล่ะน่า....” คิบอมพูดยิ้มๆในอาการหงุดหงิดของเพื่อนสาวฝีปากกล้า


“ชอบทำให้โมโหดีนัก ดี! งั้นกลับคนเดียวไปเลย งอนแล้ว” ฉันนั่งบ่นพึมพำบนรถประจำทาง


.
.
“วันนี้แกออกไปไหนมา?” พี่ฮันกยอง พี่ชายจอมหวงก้าง(ก้างที่ว่าก็คือฉันเองแหละ)ถามอย่างไม่สบอารมณ์

ในขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาครบทุกคนไม่ขาดและไม่เกิน


“โบสถ์” ฉันตอบสั้นๆ


“ครอบครัวเรานับถือพุทธ แกไปโบสถ์ทำพระแสงแยงตูดอะไร?”


“คิบอมชวน” ตอบสั้นๆได้ใจความอีกครั้ง


“คิบอม? ไอ้เจ้าบ้านั่น...แกออกไปกับมันมาเรอะ?” พี่ฮันกยองเลือดขึ้นหน้า


“อือ....แม่ค่ะขอข้าวเพิ่ม”


“ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าอย่าไปไหนมาไหนกับมัน ถ้าจะไปต้องมีฉันไปด้วย”


“พี่ไปก็เกะกะเปล่าๆ แล้วอีกอย่างหมอนั่นก็เป็นเพื่อนฉันมาตั้งแต่สามขวบ ไม่เห็นมีอะไรไม่น่าไว้ใจสักหน่อย”


“แกควรเปิดใจบ้างนะฮันกยอง แกก็รู้ว่าคิบอมกับยองเจโตมาด้วยกัน ก็ต้องสนิทสนมกันเป็นเรื่องธรรมดา”


“ใช่แล้วค่ะ....พ่อพูดถูกที่สุด” ฉันยกนิ้วโป้งให้พ่อ


“แม่เองก็รู้ว่าลูกหวงน้อง แต่หวงมากไปยองเจจะขาดความเป็นส่วนตัวนะลูก ลูกควรจะให้โอกาสแก่น้องบ้าง”


“ถูกอีกนั่นแหละค่ะ” ฉันทำท่าถูกต้องนะคร้าบ...บ.....บ


“จะเป็นใครก็ได้ผมไม่ว่า แต่ต้องไม่ใช่เจ้านั่น ผมไม่ชอบมัน!” ว่าแล้วก็เดินปึงปังออกไปจากห้องอาหาร


“ไม่ชอบน่ะดีแล้ว ถ้าเกิดพี่ชอบผู้ชายขึ้นมาฉันคงรับไม่ได้แน่ๆ” ฉันรีบยิงมุขตลกใส่...แต่ก็ไม่ทัน


คงจะสงสัยใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมพี่ชายสุดที่รักเลือดกรุ๊ปบี ผู้มีนิสัยยึดมั่นในตนเอง หรือที่เรียกว่า หัวแข็ง

อย่างพี่ฮันกยองถึงได้จงเกลียดจงชังคิบอมนัก นั่นก็เพราะว่า.....สมัยเด็กๆ คุณแม่ของคิบอมจะพาคิบอมมาเล่นที่บ้านฉันอยู่บ่อยๆ

แล้วก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่ฉันเกิดบ้าพลังขึ้นมา คิดว่าเป็นพี่แล้วเก่งเสมอ เลยได้ทำการท้าคิบอมเล่นมวยปล้ำ แต่ผลที่ออกมาคือคิบอมชนะ

พี่ฮันกยองเกิดรับไม่ได้ที่พ่ายแพ้ต่อคนที่อายุน้อยกว่าถึงสี่ปี จึงท้าอีกครั้ง.....อีกครั้ง.....อีกครั้ง....และผลที่ออกมาคือ

พี่ฮันกยองกระดูกแขนหักต้องเข้าเฝือกนานถึงสี่เดือน มันเป็นความทรงจำที่แย่สำหรับพี่ (แต่ฮาสำหรับฉัน) จนวันนี้ถ้าใครไปล้อเรื่องนี้กับพี่เข้า

พี่ก็จะโกรธชนิดแทบจะตัดขาดความสัมพันธ์กันเลย....แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนตัวการจะจำได้อยู่รึเปล่า เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น

หมอนั่นก็ไม่มาที่บ้านฉันอีกเลย เพราะทุกครั้งที่มา พี่จะปิดประตูพร้อมลงกลอนอย่างดี เพื่อไม่ให้เข้ามาได้

แถมยังมาพาลให้ฉันเลิกคบกับหมอนี่อีก เฮ้อ....คนบ้าอะไรไม่รู้จักโต แถมหวงน้องยังกับหมาหวงก้างอีก
.
.
“ยองเจ กีฬาสีปีนี้เธอลงอะไร?” ชเว จินจู สาวเท่ห์เจ้าของผมซอยสีน้ำตาลเข้ม ถามฉันพร้อมกับกางสมุด

ที่คุณเธอจดรายการกีฬาทุกประเภทอย่างละเอียดถี่ยิบให้ฉันดู


“ขอบคุณเพื่อนรักที่อุตส่ามาถาม แต่เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉัน...ม่าย-ลง-ม่าย-เล่น-ส้าก...ก...ก-กา-อย่าง”


“เฮ้ย! ไม่ได้ๆ ปีนี้เค้าบังคับ ต้องลงหนึ่งประเภทเป็นอย่างต่ำ” ปาร์ค ยูริม สาวหวานประจำกลุ่มรีบค้านทันที


“จริงอ่ะ...งั้นก็โดดแบบทุกปีไม่ได้สิ”


“ของชัวร์ ขนาดฉันยังลงว่ายน้ำเลย” คิม ฮานึลเจ้าของฉายา“สาวเปรี้ยว”บอกฉัน ......ยัยบ๊องเอ๊ย ฉันก็เห็นเธอลงว่ายน้ำทุกปีน่ะแหละ

แล้วจะมาบอกทำไมย่ะ-..-


“ฉันลงวิ่งสี่ร้อยเมตร” จินจูบอกบ้าง เธอเองก็เหมือนกันน่ะแหละ ลงวิ่งทุกปี ไม่บอกก็รู้-_-!


“เทนนิส” ยูริมชี้นิ้วที่ตัวเอง ยัยนี่มาแปลก เห็นทุกปีเอาแต่เชียร์ ไม่คิดว่าจะเล่นเทนนิสเป็น นึกว่าจะลงเชียร์ลีดเดอร์ซะอีกนะเนี่ย


“อ๋อย....แย่ชะมัด =o=” ฉันเบ้หน้า


“เธอเล่นบาสได้ก็ลงบาสหญิงสิ ยัยปลาทอง” น้ำเสียงทุ้มอันคุ้นหูแถมด้วยประโยคสุดท้าย ฉันแทบไม่ต้องหันไปดูเลยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

และแน่ใจมากขึ้นไปอีกกับการทักทายยามเช้าด้วยการพาดกระเป๋าลงบนหัวฉัน


“เลิกเรียกฉันว่ายัยปลาทองได้แล้ว!-o-” ฉันปัดกระเป๋าออกจากหัว อีตาบ้า!! เห็นหัวฉันเป็นโต๊ะวางกระเป๋ารึไง


“ยัยนี่ลงบาสหญิง” สิ้นเสียงการตัดสิ้นใจโดยพลการของคิบอม (คิดจะถามความสมัครใจฉันบ้างไหม?)

จินจูก็รีบจดชื่อฉันลงในสมุดรายชื่อนักกีฬาของห้อง3-D


“เฮ้ย!! จินจูลบชื่อฉันออกเลยนะ ฉันไม่ลง”


“แล้วเธอจะลงกีฬาอะไรล่ะ? เดี๋ยวแก้ให้”


“ไม่ลง” ตอบอย่างไม่คิด ทันทีทันใด


“ก็บอกแล้วไงว่าเค้าบังคับ...เค้าบังคับน่ะได้ยินไหม?” ฮานึลทำเสียงแหลม (คาดว่าคุณเธอน่าจะดัดเสียง.....พูดดีๆก็ได้

จะไปดัดทำไมให้แสบแก้วหู)


“กะจะโดดแบบทุกปีล่ะสิ” น้าน.....ดันรู้ทันอีกนะ ปาร์ค ยูริม ยัยเพื่อนบ้า! TT-TT


“ลงบาสน่ะแหละสิ้นเรื่อง” คิบอมตัดสินใจให้ฉัน (อีกแล้วนะ TToTT )

พร้อมๆกับจินจูที่รีบวิ่งปรู๊ดปร๊าดออกจากห้องไปส่งสมุดรายชื่อนักกีฬากับอาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง........เวรกรรม.....กะจะโดดแบบทุกปีแล้วแท้ๆ

ดันต้องมาเล่นบาสเกตบอล.....ลี ยองเจ จะกระโดดต้นสับปะรดตาย TT..TT แง้......
.
.
“ทำไมนายต้องลากฉันมาโบสถ์กับนายทุกๆครั้งที่นายมาด้วยไม่ทราบ?”


“ถึงเธอจะนับถือพุทธ แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเธอเข้าวัดสวดมนต์สักครั้ง ดังนั้นเพื่อกันเธอตกนรก เธอจึงจำเป็นที่จะต้องมาที่นี่กับฉันทุกครั้ง”

อยู่ๆมาแช่งให้ตกนรกซะงั้น ตกลงนายหวังดีอ่ะเปล่าเนี่ย -_-!


“แล้วถ้าฉันตามนายมาทุกครั้งมันจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นกับฉันรึไง?”


“มีแน่ ถ้าเธอตั้งใจ”


“ตั้งใจ? ตั้งใจอะไร?” หากสังเกตดีๆจะเห็นเครื่องหมายคำถามและดับเบิ้ล ง-งู ปรากฏบนหน้าขาวใสไรสิวของฉัน (โฮะๆ

ขอชมตัวเองหน่อย....คงไม่ว่ากันนะ ^o^)


“อธิษฐานไงล่ะ” คิบอมพูดพร้อมกับกุมมือไว้ระดับอกและพยักหน้าให้ฉันทำตาม


“แล้วไงต่อ?” ฉันเริ่มอยากรู้ขั้นตอนต่อไป


“ก้มหน้าลงเล็กน้อย.....แล้วหลับตาช้าๆ”


“อธิษฐานได้ยัง?”


“อือ”


“ถ้าขอมากๆพระเจ้าคงไม่โกรธใช่เปล่า?”


“เออ”


เอาล่ะ จะอธิษฐานแล้วนะ....อะฮื้ม!....พระผู้เป็นเจ้า ท่านคงจะไม่โกรธลูกนะถ้าลูกจะขอมากหน่อย คือลูกมีเรื่องหนักใจมากมาย.....แต่วางใจได้

ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก....อ้อ! อีกอย่างคือลูกนับถือศาสนาพุทธ ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังคงจะช่วยลูกใช่ไหม ลูกจะขอแล้วนะ

ขอให้พ่อและแม่มีสุขภาพที่แข็งแรง
อืม....ขอให้พี่ฮันกยองสอบผ่านทุกวิชา ไม่มีตกไม่มีซ่อม เพราะลูกสงสารพ่อกับแม่เหลือเกินที่ต้องเสียเงินไปมากมายกับการสอบซ่อมของพี่
ขอให้เพื่อนๆของฉันมีความสุข
ขอให้ฉันกล้าบอกรักหมอนี่ซะที
ลูกขอครบหมดแล้ว ยังไงก็ช่วยให้ลูกสมหวังด้วยนะค่ะ...อาเมน


“เธอกะจะขอให้คุ้มทั้งชีวิตเลยรึไง?” ทันทีที่ลืมตาหมอนี่ก็เริ่มกระแหนะกระแหนฉันทันที


“ชิ...ที่นายล่ะ”


“ฉันไม่เคยขอพรกับพระเจ้า”


“อ้าว.....จริงอ่ะ?”


“........” อะไรของหมอนี่ คิดจะยิ้มก็ยิ้มซะงั้น.....โอ๊ย...รอยยิ้มของนายมันเจิดจรัสจนฉันไม่กล้ามองแล้ว คนอะไรหล่อชะมัด -////-


“ฉันแค่รู้สึกสบายใจที่ได้มายืนต่อหน้าพระเจ้า...ถึงแม้จะนานเป็นสองสามชั่วโมงก็ตาม”


“คบกันมาตั้งนานเพิ่งรู้ก็วันนี้นี่แหละว่านายมันแปลกพิลึกคน”


“..........” ชิ้ง.....ชิ้ง....ชิ้ง.....คราวนี้เป็นสายตาดุที่ส่งมาแทนรอยยิ้ม


“จ้า....จ้า.....ลี ยองเจ พูดผิดไปแล้ว ขอโทษจ้า-.-“


“เดโอการ์ชิส”


“ห๊ะ?” ช่างสรรหาคำแปลกๆมาพูดนะนายเนี่ย


“เป็นคำขอบคุณพระเจ้าน่ะ.....เป็นคำที่ฉันชอบที่สุด เวลาที่ฉันมีเรื่องสำคัญอะไรแล้วไม่กล้าพูดตรงๆออกมา ฉันก็จะพูดคำนี้แหละ”


“อย่างเช่นอะไร?”


“.............” คิบอมยิ้มอีกครั้ง


“เดโอการ์ชิสยองเจ”


“ห๊ะ?....อะไรของนาย?”


“ความลับ....เดี๋ยวสักวันเธอก็เข้าใจเอง”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: Forever… I Believe In You โดย..ข้าวปั้น

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 13 ก.ค. 2008 9:15 am

บทที่ 2


โชคชะตา


เสียงร้องเชียร์จากเหล่านักเรียนชายหญิงที่ต่างพากันมาดูการแข่งบาสเกตบอลดังกึกก้องไปทั่วโรงยิม

แผ่นป้ายและผ้าผืนใหญ่ถูกขีดเขียนเป็นข้อความให้กำลังใจนักกีฬาภายในสนาม

ที่นั่งบนสแตนเชียร์หรือแม้แต่ที่ยืนเต็มเปี่ยมไปด้วยผู้คนมากมายจนไม่เหลือที่ว่าง

เพราะหากทุกคนพลาดการแข่งนัดนี้ไปแล้วคงจะพากันรู้สึกเสียดายไปตลอดชีวิตแน่ (ที่พูดนี่ไม่ได้โอเว่อร์นะ)

การแข่งนัดนี้เป็นการแข่งนัดสำคัญระหว่างปี 3-D ตัวแทนจากสีน้ำเงิน และปี 3-G ตัวแทนจากสีแดง

ศึกบาสเกตบอลชายระหว่างสองสีสองห้องนี้ถือว่าเป็นศึกที่ดุเดือดเลือดพล่าน (บรรยายซะน่ากลัว)

ที่ไม่มีใครสามารถเดาเกมการเล่นได้ด้วยเพราะฝีมือที่สูสีพอกัน ปีที่แล้วห้องD คว้าแชมป์ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 (ตั้งแต่อยู่มัธยมต้นปี 3)

ด้วยคะแนน69 ต่อ 68 ห่างกันเพียงแต้มเดียว แถมนี่ยังเป็นรอบชิงชนะเลิศอีก

จึงไม่แปลกเลยที่ตลอดเวลาการแข่งเหล่าผู้ชมทั้งหลายจะพากันลุ้นตัวโก่งตัวงอคล้ายกับสัญลักษณ์ของอุปกรณ์กีฬายี่ห้อ “ไนกี้”

(ฮาไหมเนี่ย -_-) แล้วอีกไม่กี่นาทีก็จะจบการแข่งขันแล้วด้วย


“คิบอมเป็นกัปตันทีมอีกแล้วนะปีนี้ หมอนั่นเล่นเก่งชะมัด” ยูริมพูดไปจกป๊อปคอร์นไป .....นี่แม่คุณนึกว่ามาดูหนังโรงอยู่รึไงนะ=_=


“ก็ดีแล้วนี่ หมอนั่นคุมเกมดีจะตาย แถมยังมี โจ กยูฮยอน ลงแข่งเป็นคู่หูอีก แบบนี้ยิ่งเป๊ะเข้าไปใหญ่ ห้องเราได้แชมป์ชัวร์!”

คำพูดของจินจูปลุกระดมกองเชียร์ของ3-Dให้ส่งเสียงเฮลั่นโรงยิม เชื่อได้เลยว่าพวกนี้กำลังข่มทีมคู่ต่อสู้อยู่เห็นๆ


“สองคนนั้นเป็นเพื่อนรักกันเล่นไม่เข้าขากันก็บ้าแล้ว” ฉันบ่นเซ็งๆ ก็จะไม่ให้เซ็งได้ไงล่ะ อุตส่าคิดหาทางหนีได้แล้ว

แต่ยัยฮานึลดันรู้ทันล็อคขาฉันด้วยขาของคุณเธออีก แล้วแบบนี้อิฉันจะไปไหนรอด


“อ๊ะ......อ๊ะ!....อ๊าก!!!! ไชโย!!” จินจู ยูริม ฮานึล เพื่อนๆชาว3-D และแม้แต่กองเชียร์แฟนพันธ์แท้ของห้องD

ต่างพากันกระโดดตัวลอยปล่อยเสียงเฮทันทีที่แต้มสุดท้ายลงห่วงก่อนที่นกหวีดของกรรมการจะดังขึ้น


“63 ต่อ 59 ปี 3-D เป็นฝ่ายชนะ” เสียงประกาศบอกแต้มผ่านไมโครโฟนเรียกเสียงหวีดร้องเฮฮาจากทีมกองเชียร์3-Dอีกครั้ง


มันก็น่าดีใจอยู่หรอกนะที่คว้าแชมป์มาได้ แต่เกมต่อไปนี่สิ.....ฉันจะต้องลงแข่งแล้ว แถมยังต้องเจอกับทีมหญิงของ3-G

ที่กำลังเดือดเป็นไฟคิดจะแก้แค้นแทนทีมชายอีก.....ดูแต่ละคนสิ....ตัวเล็กๆอย่างฉันมีหวังแบนติดสนามแน่ TT..TT TT-TT TToTT........


“สู้ตายขาดดิ้นนะเพื่อน^o^” ยูริมชูสองนิ้ว สัญลักษณ์สู้ตาย.....ใช่....ฉันได้ตายติดสนามสมใจเธอแน่ ปาร์ค ยูริม ToT


“คว้าแชมป์สมัยที่ 2 มาให้ได้นะเพื่อน” โห....ดูคุณ คิม ฮานึล เธอฝากความหวัง ยังมีหน้ามาตีไหล่ฉันป๊าบ....ป๊าบ....ป๊าบอีก


“ถ้าชนะ ฉันเลี้ยงเนื้อย่างของโปรดเธอเอง” จินจูใจปล้ำ ควักปึกแบงค์ออกมาโชว์


“ถึงฉันจะชอบเนื้อย่างแต่เห็นทีแบบนี้ไม่ไหวแน่”


“เธอเก่งบาสจะตาย แค่นี้จิ๊บๆ” รู้ดีซะแล้ว ปาร์ค ยูริม วอนโดนเตะแล้วแก


“รีบๆไปลงชื่อไปกัปตันลี” จินจูผลักฉันให้เดิน


“ยองเจไม่ใช่ขี้ๆ ดูดีๆน่ารักที่สุด สู้ๆสู้ตาย สู้ๆนะเพื่อน” แล้วสามศรีเพื่อนเกลอก็คิดเพลงแปลกให้กำลังใจฉัน ตามติดมาด้วยเสียงเฮของ3-

D........ไม่ทราบว่าจะคึกกันทำไมนักหนา -..-


“คุณ ลี ยองเจ” เสียงหนึ่งเรียกฉันให้หยุดเดิน (กำลังจะไปรวมตัวลูกทีม)


“ค่ะ?” ฉันเลิกคิ้วเล็กน้อย


“หวังว่าทีมของเราทั้งสองคนคงเล่นกันด้วยดีนะคะ^-^” เธอยิ้มและยื่นมือออกมา


“อะ....อ๋อ....ค่ะ^-^” ฉันรีบยื่นมือไปจับ ก็เป็นคนดีนี่นา


“โอ๊ย!” ให้ตายเถอะ ยัยบ้านี่บีบมือฉันซะแรงเลย คนอุตส่าสมานฉัน ที่บอกว่านิสัยดีเมื่อกี้ขอคืนคำโดยด่วน ยัยนี่นิสัยยอดแย่อุบาทว์ที่สุด!!!


“ไม่ทันไรก็โดนประกาศศึกแล้วนะยองเจ” คิบอมมาขยี้หัวฉัน คิดจะมาเยาะเย้ยกันสินะ


“ถ้าจะลำบากแล้วนะ^-^” คยู (ชื่อเล่นของกยูฮยอน) ยิ้มกว้าง


“พวกนายไปจุดชนวนให้ทีมฉันลำบากแล้วนี่ สบายใจกันดีสินะ” ประชดนะเนี่ย...ประชด


“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว แกล้งเธอให้ลำบากนั่นหล่ะความสุขฉันเลย”

คิบอมเอื้อมมือมาถอดสร้อยคอไม้กางเขนเงินที่ฝากไว้ออกจากคอฉัน พร้อมๆกับยิ้มเย้ยที่มุมปาก ก่อนจะเดินไปนั่งบนสแตนเชียร์ที่มี3-

Dนั่งกันอยู่


“สู้เค้านะยองเจ” คยูให้กำลังใจแล้วเดินตามเพื่อนรักไป


โอย.....ฉันล่ะจะบ้าตาย ทำไมปีนี้ฉันต้องมารับภาระบ้าๆแบบนี้ด้วยนะ สู้นอนเล่นตากลมในสวนแบบทุกปียังดีกว่าเยอะ


“รวมทีมๆ” ฉันเรียกลูกทีมเพื่อทำการวางแผนการเล่น


“อึนยอง...เธอเป็นการ์ดขวา คอยส่งลูก.....เฮซอง เธอเป็นการ์ดซ้าย คอยคุ้มกันฉัน ส่วนเธอจองวอน เป็นเซ็นเตอร์ คอยรุกพร้อมๆกับฉัน

และซูจอง เธอเป็นแดนหลัง คอยตั้งรับและคุ้มกันไม่ให้เค้าทำแต้มได้ ส่วนฉันจะรุกทุกพื้นที่ในสนามเอง

นอกนั้นทำตามแผนที่ซ้อม.....เอาล่ะ รวมพลัง!” ทุกคนประสานมือ


“3-D สู้ตาย!!” แล้วตะโกนลั่น กองเชียร์จึงบ้าจี้ส่งเสียงหวีดร้องเฮฮาอีกรอบ


ปีนี้เป็นปีแรกที่ฉันรับหน้าที่อันใหญ่หลวง(รึเปล่า?)โดยการเป็นกัปตันทีมบาสหญิง แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม

แต่ตอนนี้ฉันชักคึกขึ้นมาเพราะยัยกัปตันทีมนั่นซะแล้ว.......3-G อย่าหวังจะได้แชมป์เลย ลี ยองเจคนนี้ขอสู้ตาย........เพื่อเนื้อย่าง
.
.
.
.
“ฮ่าๆ แบบนี้สิค่อยสมกับ ลี ยองเจ ผู้ชอบเอาชนะและเกลียดความพ่ายแพ้หน่อย ^o^” ฮานึลกอดคอฉันอย่างมีความสุขจนแทบหลุดโลก

คงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าคุณเธอกำลังดีใจเรื่องอะไร


“ผู้ชายชนะ63 ต่อ 59 ผู้หญิงชนะ 41 ต่อ 25 เรียกว่าชนะขาดลอยเลยนะเนี่ย ^-^”

ตามมาด้วยยูริมที่ในปากเต็มไปด้วยเนื้อย่างและมือที่กำลังจกอาหารอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่หัวโต๊ะยันท้ายโต๊ะ


“ชิชะ ! ทำเป็นใจเสาะก่อนแข่ง ที่ไหนได้ก็เสือซ่อนเล็บนี่เอง” จินจูเกาคางฉัน ต้องขอบพระคุณยัยนี่อย่างสูงที่สั่งอาหารดีๆมาเต็มโต๊ะ

กะว่าถ้าตังค์ไม่พอจ่ายจะเป็นจอมยุทธ์ให้ดู......ก็ชักดาบไงล่ะ -..-


“พวกเธอก็ดีแต่พูดนะแหละ ไม่รู้หรอกว่ากว่าฉันจะเอาชนะมาได้มันลำบากยากเย็นขนาดไหน ง่ำๆ” บ่นเสร็จก็ทำการกินต่อ


“หวัดดีค่ะ” ฉันรับโทรศัพท์หลังจากพิจารณาดูเบอร์ที่ไม่ค่อยจะคุ้นตานัก


“สวัสดีครับ คุณ ลี ยองเจ ใช่ไหมครับ?” เป็นเสียงของชายวัยประมาณสี่สิบปีที่พูดตอบกลับมา ใช่.....เสียงนี้ฉันเคยได้ยินมาก่อน

ฉันรีบลุกออกมาจากโต๊ะแล้วตรงไปที่ห้องน้ำหญิง


“ใช่ค่ะ ฉัน ลี ยองเจ ค่ะ”


“ผมหมอ คัง ซองกู จากโรงพยาบาลคังนัมซองโมนะครับ ผมเป็นหมอที่คุณมาปรึกษาอาการป่วยในสัปดาห์ที่แล้วนะครับ

คือ....ผมโทรมาบอกว่าคุณป่วยเป็นโรคจริงๆ แต่ผมยังไม่แน่ใจนัก จึงอยากให้คุณรีบที่นี่เพื่อทำการตรวจอีกครั้ง”


“ฉันเป็นอะไรรึค่ะ?”


“............เอาเป็นว่าแล้วผมจะรอนะครับ….ตู๊ด.....ตู๊ด.....ตู๊ด......”


“ใครโทรมาหรอยองเจ?” จินจูถามฉันทันที่ที่ฉันกลับมาที่โต๊ะ


“โทษทีนะ พอดีเมื่อกี้พี่ฮันกยองโทรมาตาม” ฉันโกหก


“ว้า....พี่ชายเธอเนี่ยทำตัวยังกับพ่อหวงลูกสาววัยสามขวบ น่าเบื่อชะมัด” ยูริมตีหน้าบึ้งทำปากจู๋มือ


“โทษทีนะ ^-^”


“กลับระวังๆนะ ^o^” ฮานึลสั่งทิ้งท้าย จินจูโบกมือบ๊ายบาย และยูริมที่ทำปากจู๋ไม่เลิก


ตลอดทางที่ฉันนั่งรถไปที่โรงพยาบาลคังนัมซองโม หัวฉันมันคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา ฉันกำลังจะตายงั้นเหรอ?

เป็นคำถามที่ฉันถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา


“ขอโทษนะครับที่รบกวนให้มาถึงที่นี่” ชายร่างสูง สวมแว่นตา ในชุดกราวน์สีขาวบริสุทธิ์เดินเข้ามาทักฉันที่กำลังนั่งคอยอยู่ในห้อง

พยาบาลสาวสวยรูปร่างดีที่เดินตามเค้าเข้ามายืนยิ้มให้ฉัน แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูมีความสุขนัก ในมือของเธอกำลังถือแฟ้มอะไรบางอย่าง

หมอคังนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามฉัน


“ฉันเป็นอะไรรึค่ะ?”


“เอ่อ.....ผมเองก็ยังไม่แน่ใจแม้จะทำการตรวจหลายครั้งแล้วก็ตาม”


“บอกฉันมาเถอะค่ะ ฉันเป็นอะไรกันแน่?”


“.............” หมอคังนิ่งเงียบไม่ตอบใดๆ


“ฉันถามว่าฉันเป็นโรคอะไร?!!” ฉันถามอย่างหมดความอดทน


“.............” ใบหน้าของหมอปรากฏสีหน้าลำบากใจ เค้าถอนหายใจก่อนจะรับแฟ้มจากพยาบาล


“โรคหัวใจ....คุณเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว”


“...........” ฉันไม่รู้ว่าน้ำตามันไหลออกมาได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำมามันไหลออกมาตอนไหน คำพูดของหมอทำให้ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


“แต่ผมยังไม่ปักใจเชื่อ จึงอยากให้คุณลองตรวจอีกรอบ”


“พอเถอะค่ะ....ก็หมอบอกฉันเองไม่ใช่เหรอค่ะว่าตรวจหลายรอบแล้ว

นั่นก็ย่อมต้องหมายความว่าผลการตรวจทุกครั้งที่ออกมาก็ต้องเหมือนเดิม....อย่าพยายามให้ความหวังฉันเลยนะค่ะ”


“...........”
“.............”
“.........”
“อีกนานเท่าไหร่?”


“ครับ?”


“โอกาสที่ฉันจะยังใช้ชีวิตบนโลกนี้ต่อไป เหลืออีกเท่าไหร่?”


“คุณยองเจครับ ผมยังไม่อยากให้คุณตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ คุณยังมีโอกาสถ้าหากได้รับการบริจาคหัวใจ”


“ฉันบอกว่าอย่าให้ความหวังฉันไงค่ะ.....บอกฉันมาเถอะว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่?”


“.............” หมอคังถอนหายใจ


“1 เดือนครับ”


“งั้นเหรอ 1 เดือนงั้นเหรอ.....” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้อง......แค่ช่วงเวลา 1 เดือนที่เหลือฉันจะไม่บอกใคร

เรื่องนี้ฉันจะไม่บอกให้ใครรู้เด็ดขาด..........บริจาคหัวใจงั้นเหรอ.....แค่ช่วงเวลาเท่านี้มันจะไปทันอะไร ฉันไม่เหลือโอกาสแล้ว

ช่วยไม่ได้นี่นา....ก็ใครให้เกิดมาเป็นโรคนี้หล่ะ.......นี่คงเป็นการลงโทษจากสวรรค์ที่ฉันไม่ยอมสวดมนต์แน่ๆ......ร่างของฉันทรุดลงนั่งที่พื้น

น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด ฉับซบหน้าลงกับหัวเข่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะร้องไห้ พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปเป็น ลี ยองเจคนเดิม ลี

ยองเจที่ร่าเริงและสดใส ไม่ใช่ลี ยองเจ ผู้อ่อนแอคนนี้


.
.
.
.
*-You are the one-*


“ค-ร้า-บ....” คิบอมงัวเงียรับโทรศัพท์ทั้งที่ตายังคงปิดอยู่


“อะไรเนี่ย! ยังนอนอยู่อีกเหรอ....คิม คิบอม นายรีบๆตื่นได้แล้ว”


“อื๋อ.....ยองเจเหรอ เธอจะบ้ารึไงโทรมาแต่เช้า รู้ไหมว่านี่มันกี่โมง”


“6 โมงเช้า”


“ยัยบ้า ฉันไม่ได้ถามเธอ ฉันดุเธอต่างหาก โทรมามีอะไร?”


“ฉันคอยนายอยู่ที่โบสถ์นะ ห้ามมาช้าล่ะ ถ้านายมาช้าเกินครึ่งชั่วโมงนับจากที่วางสายนายเจอดีแน่

แค่นี้แหละ.....ตู๊ด.....ตู๊ด......ตู๊ด.....ตู๊ด......”


“อ้าว? เฮ๊ย! นี่ ยองเจ....เฮ้....ยัยบ้าเอ๊ย นึกคึกไงไปโบสถ์แต่เช้าฟะ” คิบอมเดินหัวเสียคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ

แม้เค้าจะยังคงง่วงอยู่ก็ตาม แต่เค้าก็ไม่คิดที่จะนอนต่อเพราะอากาศที่หนาวเหน็บของข้างนอก เค้าคิดว่าถ้าเกิดเค้าไปช้า ลี ยองเจ

คงจะไดเป็นปอดบวมแน่


“ฮ้า.....หนาวชะมัด” ฉันถูมือแล้วเอามาปิดหู


“อีตาบ้าคิม คิบอม ถ้าฉันแข็งตายไปจริงๆฉันจะตามหลอกหลอนนายคนแรกเลย มาเร็วหน่อยสิ”


“ถ้าเธอป็นผีคงจะเฮี้ยนน่าดูเลยนะ” คิบอมเดินมาจากทางเข้า ชุดที่หมอนี่ใส่มาดูอบอุ่นน่าดู

แต่ติดตรงที่จะดูอึมครึมเพราะสีดำทั้งชุดนี่แหละ นายจะมางานศพใครแต่เช้าไม่ทราบ


“คิดแล้วเชียวว่าปลาทองความจำสั้นอย่างเธอคงจะลืมเอามาแน่ๆ”

แล้วก็เอาผ้าพันคอผืนหนาสีฟ้าที่หยิบมาเผื่อพันรอบที่คอของฉัน....ฉันรักนายก็ตรงนี้นี่แหละ นายมันเป็นพวกปากร้ายใจดีเสมอ^-^


“.......” นี่....ถ้าหากวันหนึ่งฉันเกิดตายไปจริงๆ ไม่สามารถที่จะอยู่ข้างนายแบบนี้ต่อไปได้อีก นายจะทำยังไงเหรอ


“......อะไรของเธอ อยู่ๆก็มาจ้องหน้า ทึ้งในความหล่อของฉันรึไง?”


“แหวะ....จะอ้วก หล่อตายล่ะ” ว่าไปนั่น แต่ในใจกลับแทบจะละลาย


“แล้วมีอะไรถึงโทรเรียกฉันมาแต่เช้า?”


“เปล่า.....เอ๊ะ! หรือว่ามี”


“คิดจะกวนโอ๊ยกันรึไง -..-“


“ล้อเล่นจ้า....ก็แค่อยากเจอนาย”


“หื๋อ?” คิบอมทำตาโต


“ก็ไหนๆนายก็ต้องมาโบสถ์อยู่แล้วนี่ สู้มาแต่เช้าแบบนี้ดีกว่าเยอะ^o^”


“นั่นน่ะนะเหตุผล”


“ใช่.....หรือว่านายไม่ชอบ”


“เปล่า....ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่เมื่อคืนฉันเล่นเกมเพลจนตีสาม แล้วเธอก็โทรมาปลุกอีก ฉันก็เลยยังง่วงอยู่”


“งั้นนายผิดเองที่เล่นเกมจนดึกจนดื่นหามรุ่งหามค่ำ”


“ยัยปลาทอง” คิบอมขยี้ผมฉัน


“โอ๊ย!!!....เจ็บง่ะ TToTT” เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยนะเนี่ย ฉันพยายามแกะผมออกจากกระดุมเสื้อคิบอม

เพราะลมแท้ๆทำให้ผมฉันเข้าไปพันกันกระดุมเสื้อคิบอม TT..TT


“มานี่.....ปล่อยมือ!” คิบอมดึงตัวฉันเข้าไปใกล้ เค้าก้มหน้าลงเพื่อจะได้เห็นปลายเส้นผมฉันได้ชัดเจน มือขวาจับหัวฉันเบาๆไม่ให้ขยับหนี

ปลายนิ้วจากมือขวากำลังพยายามแกะผมออกอย่างนิ่มนวล ลมหายใจแผ่วเบาและอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาถึงฉันทำเอาฉันไม่กล้าหายใจ

อ๊าก....อายจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว -////-


“เอ้า!!.....หลุดแล้ว”


“-////-” หน้าฉันต้องแดงแน่ๆ ไม่กล้าเงยหน้าอ่ะ


“ยองเจ”


“-////-“ ไม่เอาไม่เงยหน้า....เขิน


“เฮ้! ไม่ได้ยินที่ฉันเรียกรึไง?.......” คิบอมจับหน้าฉันเงยขึ้น ฉันหลับตาปี๋

อ๊าก......จะจับอีกนานไหนเนี่ย!!........ฉันตัดสินใจค่อยๆลืมตาทีละข้าง อยากโดดต้นหญ้าตาย หมอนี่จ้องฉันเขม็งเลยง่า.... TT-TT


หมอนี่ต้องรู้แล้วแน่ๆเลย TToTT ฮือ........


“-_-“
“-////-“
“-_-“
“T////T“
“-_-“
“TT////TT”


“-_-“
ทนไม่ไหวแล้ว! ฉันแกะมือคิบอมออก


“ยองเจ”


“อะ....อะไร?”


“เธอจะเอายังไง?”


“ห๊ะ?”


“เธอจะบอกชอบฉันก่อนหรือจะให้ฉันบอกรักเธอก่อน”


“OoO” อึ้งสิค่ะสถานการณ์แบบนี้ แต่เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังเขินมากกว่าอึ้ง -////- กล้าพูดได้ไงเนี่ย อีตาบ้าคิบอม


“จะเอายังไง?”


“เอ่อ -////-”


“เร็วเข้า ตอบมา” คิบอมจับแก้มฉัน


“เอ่อ....เอ่อ...คือว่า..... -////-.....ฉัน..... -////-“


“ว่ามาสิ”


“ฉัน...... -////- ......ฉัน -////- .....คือว่า -////- .....ฉัน -////- .....ฉันปวดขี้!!” แล้วก็รีบวิ่งหนีสุดฝีเท้า

(ภาษาชาวบ้านเรียกว่าใส่เกียร์หมา) แต่ก่อนที่จะวิ่งไปไหนได้ไกล มือของคนที่ต้องการคำตอบก็คว้าหมับเข้าที่เอวของฉันไว้ทัน


“โอเค....งั้นฉันพูดก่อนก็ได้” คิบอมกระชับแขนแน่นขึ้นอีกกว่าเดิม ก้มหน้ากระซิบที่หูฉัน


“เดโอการ์ชิส.....ฉันรักเธอ ยองเจ”


“o////o”


“คำตอบล่ะ? ^-^”


“เร็วๆสิ”


“-////-“ แค่ดูหน้าฉันนายก็น่าจะรู้แล้วนะ


“ยองเจ” คิบอมทำเสียงเข้ม


“-////-“ ก็บอกแล้วไง บอกจากสีหน้าที่แดงแป๊ดเป็นสตอเบอรี่


“คำตอบล่ะ.....เร็วๆเข้า”


“..........” ฉันพยักหน้า


“พูดสิ”


“อือ” ฉันตอบ


“อะไรนะ ไม่ได้ยิน”


“-////-“ จงใจแกล้งกันชัดๆ


“เร็วๆเข้า ลี ยองเจ”


“ชอบ”


“ห๊ะ?!”


“ชอบ”


“ว่าไงนะ?”


“ก็บอกแล้วไง”


“แต่ฉันยังไม่พอใจ”


“ฉันไม่พูดแล้ว”


“งั้นฉันก็จะกอดเธออย่างนี้จนกว่าเธอจะยอมพูด ดีเหมือนกันตัวเธออุ่นดี นิ่มด้วย^-^”


“อ๋า!! ปล่อยนะ อึดอัด”


“งั้นก็พูดมาก่อนสิ”


“เอียงหูมาใกล้ๆสิ-////-“


“^-^” คิบอมทำตามที่ฉันบอก


“ฉันเองก็รักนายเหมือนกัน” -////- TT..TT -////- TT-TT -////- TToTT -////- แง......พูดไปแล้วอ่ะ....เขินจนแทบแทรกแผ่นดินหน

ี ยังมีหน้ามายิ้มอีกอีตาบ้า นายมันทุเรศ..... -////-


“ฉันรู้ตั้งแต่คำแรกแล้ว^-^” คิบอมกระซิบที่ข้างหูฉันอีกครั้ง ตามมาด้วย


จุ๊บ! ที่แก้ม


-////- หมอนี่หอมแก้มฉันเฉยเลย -////-


“ผม คิม คิบอม สมหวังในรักที่แอบชอบมาตลอด 16 ปีแล้วครับ!!!!!” คิบอมตะโกนป่าวประกาศ

โรคร้ายที่ฉันอุดปากหมอนี่ไม่ทันเพราะโดนกอดแน่นกว่าเก่าอีก -////-
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: Forever… I Believe In You โดย..ข้าวปั้น

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 13 ก.ค. 2008 9:16 am

บทที่ 3


ตลอดไป....


“พักนี้เธอเป็นอะไรไปรึเปล่า ดูผอมลงเยอะเลยนะ” จินจูถาม


“นั่นสิ ฉันสังเกตมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วแล้วนะ เป็นอะไรรึเปล่า?” ฮานึลขมวดคิ้ว


“เปล่าหรอก^-^” ฉันโกหก


“จริงเหรอO_o” ยูริมจ้องฉันเขม็ง


“อือ^-^”


“แต่ฉันมามันแปลกๆ เพราะปกติเธอจะกินเอากินเอา แต่พักนี้กลับกินได้น้อย แถมแค่วิ่งไม่กี่เมตรเธอก็หอบอย่างหนักแล้ว เป็นอะไรรึเปล่า

บอกพวกเราได้นะ”


“^-^ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก สบายดีทุกอย่า ดูสิ^-^” ฉันเหวี่ยงแขนเพื่อจะได้โกหกสมจริง.....ขอโทษนะทุกคน

ฉันไม่กล้าบอกความจริงให้พวกเธอรู้หรอก......ขอโทษนะ


“อ๊ะ!....จริงสิ พอดีฉันนัดคิบอมไว้ ต้องรีบไปแล้ว งั้นทุกคนฉันไปก่อนนะ บ๊ายบาย^-^” ฉันทนที่จะอยู่โกหกเพื่อนๆต่อไม่ไหว

จึงรีบหนีออกมา.....นี่ก็จะครบหนึ่งเดือนแล้ว ฉันคงต้องตายจริงๆสินะ
.
.
“ยองเจ!!” คิบอมตะโกนเรียกฉันทันทีที่ฉันเดินมาถึงสนามบาส ใบหน้าของเค้าดูสดใสร่าเริงเหมือนเด็กๆ


“คอยก่อนนะ เดี๋ยวก็เลิกแล้ว”


“อื้อ^-^” พอฉันตอบรับ คิบอมก็รีบวิ่งกลับไปที่สนาม...ฉันชอบทุกอย่างที่เค้าเป็น ชอบท่าทีที่จริงจังในทุกๆเรื่อง ชอบใบหน้าที่ใจดี

ชอบนิสัยที่มักจะห่วงคนอื่นก่อนตนเองเสมอ ฉันรักทุกอย่างที่เค้าเป็น....แต่อีกไม่นาน ฉันก็คงจะไม่มีทางได้สัมผัสเค้าแบบนี้แล้ว


“เจ.....ยองเจ.....ยองเจ.....เฮ้! ยัยปลาทอง!!”


“หือ....”


“ยังจะมาหืออีก เธอหลับได้ไงเนี่ย หนาวจะตายเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”


“........” ฉันงัวเงียเอามือขยี้ตา


“กลับเถอะเย็นแล้ว” คิบอมเดินจูงมือฉัน เค้าเอามือฉันซุกเข้าไปในกระเป๋านอกของเค้า


“อุ่นไหม?”


“ก็งั้นๆ”


“ยัยบ๊อง คนอุตส่าหาที่อุ่นๆให้ เห็นมือเย็นยังกับน้ำแข็ง”


“นี่แนะ!!” ฉันเอามือทั้งสองตีเบาๆที่แก้มของเค้า


“เย็นเจี๊ยบเลยใช่ไหมล่ะ^o^”


“ยัยบ๊องเอ๊ย” เค้าเคาะที่หัวฉันเบาๆแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน


“ฉันมีอะไรจะให้เธอด้วย หลับตาก่อนสิ” คิบอมพูดเขินๆ


“อะไรของนาย ลืมตาไม่ได้รึไง?”


“เถอะน่า ทำตามที่ฉันบอกเถอะ”


ฉันหลับตาลงตามที่เค้าบอก


“ลืมตาได้แล้ว”


ภาพของสร้อยคอไม้กางเขนสีเงินปรากฏตรงหน้าฉัน คิบอมใส่มันที่มือของฉัน ฉันพิจารณาจนมาถึงด้านหลังของจี้

ตัวอักษรเกาหลีถูกสลักอย่างบรรจง มันมีใจความสั้นว่า


ลี ยองเจ ฉันรักเธอ


“................”


“ไม่ชอบเหรอ”


“.........” ฉันส่ายหน้า


“โล่งอก ฉันทำเองเลยนะ ถ้าเธอชอบฉันก็ดีใจแล้ว^-^”


“.............” ฉันพยักหน้า


“เป็นอะไรไป?! ร้องไห้ทำไม?”


“...........” ฉันสวมกอดคิบอม อย่าทำแบบนี้....นายกำลังทำให้ฉันไม่อยากปล่อยมือของนาย ฉันไม่อยากตายเลยคิบอม

ฉันไม่อยากจากนายเลย............


“ยองเจ”


“..........” ฉันปล่อยเค้า


“ คิบอม...ขอบคุณนะ ตลอดเวลาสามสัปดาห์ที่คบกันฉันมีความสุขมาก.....แต่ต่อจากนี้ไป เราอย่าเจอกันเลยนะ”


“ยองเจ.....เธอรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังพูดอะไร”


“รู้สิ.....แล้วฉันก็ตั้งใจจะบอกนาย......ขอบคุณนะ” ฉันรีบวิ่งหนี.....วิ่งสุดแรง

เท่าที่คนป่วยอย่างฉันจะวิ่งได้......น้ำตากำลังไหลออกมาอย่างหนัก.....ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก ฉันกำลังร้องไห้อย่างหนักต่างหาก..........พระเจ้า

ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นลูกด้วย
.
.
.
“แม่คะ จากนี้ไปแม่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ”


“จู่ๆเป็นอะไร ทำไมพูดแปลก ไม่สบายรึเปล่า?”


“เปล่าคะ....หนูแค่อยากจะบอกแม่เฉยๆ^-^....ก็แม่ชอบละเลยเรื่องของตัวเองประจำ”


“แหม....ดูพูดเข้า”


“พ่อคะ....พ่อก็ควรรักษาสุขภาพร่างกายบ้างนะ อย่าเอาแต่ทำงานหนักสิ หัดมีเวลาให้ครอบครัวบ้าง”


“แกนึกบ้าอะไรขึ้นมา ยองเจ”


“ก็แค่อยากพูดเท่ๆ”


“แล้วฉันล่ะ แกอยากจะบอกอะไร?” พี่ฮันกยองอมยิ้ม


“พี่น่ะเหรอ....แค่เลิกทำตัวเป็นภาระของพ่อแม่ก็พอแล้ว”


“=_=” พี่ฮันกยองถึงกับสะอึก พ่อและแม่พากันหัวเราะชอบใจ.......นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายของฉันแล้ว ที่จะได้กินข้าวพร้อมหน้ากับทุกคน พ่อคะ

แม่คะ พี่ฮันกยอง ที่ฉันพูดไป มันคือการสั่งเสียครั้งสุดท้ายของฉันจริงนะ.......ขอโทษนะคะ.......


.
.
.
.
ฉันหนีออกจากบ้านมากลางดึก แม่ พ่อและพี่หลับกันแล้ว

ฉันหันกลับไปมองบ้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป..........ขอโทษนะคะทุกคน

แต่ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะฉันที่เป็นโรคหัวใจ.......ยกโทษให้ฉันด้วย


“ยองเจ!!” เสียงทุ้มที่ฉันคุ้นหูเป็นอย่างดีดังขึ้นจากข้างหลัง คิบอมนั่นเอง นี่....หมอนี่นั่งตรงนี้มาตลอดเลยเหรอ

ฉันพยายามจะวิ่งหนีแต่ก็ถูกรั้งไว้ก่อน


“เธอจะหนีฉันไปไหน? ทำไม...ทำไมถึงพูดแบบนั้น?!”


“ปล่อยฉันเถอะ”


“บอกเหตุผลมาสิ!!!” มือใหญ่บีบไหล่ทั้งสองฉันเต็มแรง


“ยองเจ....เธอมีอะไรในใจ บอกฉันมาสิ ทำไมต้องไม่เจอกันอีก ฉันทำอะไรให้เธอโกรธรึไง บอกฉันสิ!!!”


“พอเถอะคิบอม”


“ฉันถามเหตุผลเธออยู่!!!”


“นาย....กลับบ้านไปเถอะนะ มือนายเย็นมากแล้วเดี๋ยวไม่สบายนะ^-^”


“เธอฝืนยิ้ม....บอกสิว่าเธอโกหก เรื่องที่เธอพูด บอกสิว่าเธอโกหกฉัน!!!”


“.............”


“ยองเจ!!!”


“.......ฉันกำลังจะตาย......ฉันเป็นโรคหัวใจ”


“โกหก”


“ฉันบอกความจริงกับนายแล้ว ปล่อยฉันเถอะ”


“เธอโกหก”


“...........”


“บอกสิว่าไม่จริง เธอโกหก!!!”


“พอซะที!!! ทำไมนายถึงยังไม่เข้าใจฉันอีก นายเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉันมาตลอด ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ถึงกลับไม่เข้าใจ!!!”

ฉันไม่ควรตะคอกเค้าเลย คิบอมไม่ผิดสักนิด ฉันต่างหากที่ผิด.....อย่าร้องไห้นะ ลี ยองเจ ถ้าเธอร้องไห้คิบอมก็จะทรมานไปด้วย อย่าร้องไห้นะ


“ยองเจ”


“ฉัน.....ฉันเกลียดนาย.....ได้ยินไหม ฉันเกลียดนาย!!!” แล้วฉันก็วิ่งหนีเค้าอีกครั้ง คิบอมเพียงแค่ยืนนิ่ง

เค้าไม่วิ่งตามฉันมา.....แบบนี้แหละดีแล้ว......


เท้าของฉันหยุดที่ริมถนน......ใช่แล้ว จุดประสงค์ที่ฉันหนีออกมาก็คือที่นี่ ฉันยืนหลับตา ภาพของแม่ พ่อ และพี่ที่ยิ้มอย่างมีความสุขปรากฏขึ้น

เสียงหัวเราะของจินจู ยูริม ฮานึลและคยูดังขึ้น ตามมาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนและน้ำเสียงที่เรียกชื่อฉันของคิบอม ภาพในวัยเด็กที่ฉันมีความสุข

ทุกเวลาที่ฉันอยู่กับคิบอมค่อยๆเลือนหายไป ฉันทำร้ายเค้าไปแล้ว..........ขอโทษนะ


เอี๊ยด!!!!!!


โครม!!!
.
.
.
.
.
.
.
“ยองเจ......” คิบอมยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มที่อ่อนโยนจากคนที่ฉันรัก


“คิบอม?” ร่างคิบอมเริ่มเลือนราง


“ฉันต้องไปแล้ว”


“ไปไหน?”


“เค้าเรียกฉันแล้ว”


“ไม่เอา.....อย่าไปนะ อย่าทิ้งฉันไป คิบอม”


“แล้วฉันจะคอยเธอนะ ยองเจ”


“คิบอม ไม่นะ!! อย่าไป!!!”


“ฉันรักเธอนะ รักมาตลอด ยองเจ.....ลาก่อน”


“คิบอม!! ไม่นะ!!อย่าไป!!!”


ฉันลืมตาขึ้น แสงสว่างจากหลอดไฟส่องเข้าที่ตาฉัน ก่อนที่ร่างสูงของพี่ฮันกยองจะวิ่งเข้ามา ฉันกำลังนอนอยู่ที่เตียงสีขาวบริสุทธิ์

รอบตัวฉันมีสายโยงเต็มไปหมด ฉันรีบดันตัวลุกขึ้นนั่ง


“แม่ พ่อ ยองเจฟื้นแล้ว!!” พ่อและแม่รีบวิ่งเข้ามากอดฉัน


“อยู่ๆทำแบบนั้นทำไมล่ะลูก ทำไมไม่บอกแม่” แม่ร้องไห้


“จู่ๆแกก็หนีออกจากบ้าน พ่อกับแม่มารู้ก็ตอนที่โรงพยาบาลโทรมาแจ้งที่บ้าน ทำไมถึงทำแบบนั้น” พ่อดุฉัน แต่ใบหน้าไม่ปรากฏสีหน้าโกรธ


“........” พี่ฮันกยองเพียงแค่ยิ้มและลูบหัวฉันเบาๆ


“ยองเจ!!!” จินจู ฮานึล และยูริมโผล่มาจากหลังประตูทางเข้าห้อง ในมือเต็มไปด้วยผลไม้และดอกไม้


“แล้วคิบอมล่ะคะ?!” ฉันรีบถามเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อกี้


“.....................” ไม่มีใครตอบคำถามฉัน


“พี่ฮันกยอง” ฉันมองหน้าพี่


“..........” พี่ฮันกยองส่ายหัว


“หมะ.....หมายความว่าไง?” ฉันน้ำตาคลอ


“หมอนั่นตายแล้ว” จินจูตอบ


“ไม่จริง”


“เค้าวิ่งเข้าไปปกป้องลูก.....แล้วหัวใจ...”


“........”


“เค้ายกให้ลูก”


“!!!”


“ยองเจ”


“พ่อคะ บอกสิว่าทุกคนโกหก”


“..........”


“ฮานึล”


“..........”


“ยูริม”


“...........”


“ไม่จริง.....ฉันไม่เชื่อ....โกหก....ทุกคนโกหก!!!” ฉันรีบลงจากเตียงแกะสายที่โยงมาติดที่ตามตัวฉันออก


“ตั้งสติหน่อยสิ ยองเจ” พี่ฮันกยองดึงฉัน


“ไม่....ฉันไม่เชื่อ พี่โกหก.....พี่โกหก!!!” พี่ฮันกยองกอดฉันที่ร้องไห้ฟูมฟาย.....ไม่จริงใช่ไหม....บอกฉันสิ คิบอม บอกสิว่านายยังไม่ตาย

บอกสิว่านายยังอยู่ข้างฉันเสมอ.....ฉันไม่เชื่อ...........

.
.
.
.
“นายมันแย่มากที่ทิ้งฉันไว้ กล้าดียังไง” ฉันยืนพูดหน้าหลุมศพของคนที่ฉันรัก
“นายไม่กลัวว่าฉันจะไปปิ๊งใครใหม่รึไง....อีตาบ้า นายห้ามไปเกิดก่อนฉันนะ ไม่งั้นนายเจอดีแน่” ฉันยกกำปั้นใส่
“..............”
“นี่.....ฉันก็อายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะ.....มีหวังฉันได้ขึ้นคลานแน่ๆเลย นายคงกำลังขำฉันอยู่บนสวรรค์สินะ”
พระเจ้า...ลูกรักผู้ชายคนนี้ แล้วจะผิดไหม ถ้าลูกจะยังรักเค้าต่อไป.....คำขอข้อสุดท้ายของลูก ได้โปรดช่วยรับไปด้วยนะคะ......ช่วยบอกหมอนั่นด้วยนะคะว่าฉันรักเค้าที่สุดและจะรักตลอดไป
...เดโอการ์ชิส คิม คิบอม...

จบ...
.........................................................................
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am


ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน

cron