Forever… I Believe In You โดย..ข้าวปั้น
เมื่อ: อาทิตย์ 13 ก.ค. 2008 9:14 am
ประวัติผู้เขียน
ข้าวปั้น
ชื่อจริง จิราภรณ์ สุขบุญสังข์ ( ออย )
เกิด ๒๐ กันยายน ๒๕๓๔
สาวน้อยผู้สร้างจินตนาการจากความเหงา
ตอน ๑
แด่...พระผู้เป็นเจ้า
ฉันอยู่ได้อีกไม่นาน....ใช่แล้ว ฉันควรจะตายไปตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะการเสียสละของเค้า ก็คงจะไม่มีฉันในวันนี้อีกต่อไปแล้ว....
...มันเป็นความทรงจำที่ฉันไม่อาจจะลืมได้ลง...
.
.
.
.
3 ปีก่อน
“นี่!...คิม คิบอม ฉันถามจริงเถอะ นายไม่เบื่อบ้างรึไงที่ต้องเข้าโบสถ์ทุกครั้งที่ว่างเพื่อมาสวดมนต์ไหว้พระเจ้าแบบนี้น่ะ? +o+”
เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อหน่างเต็มทน แถมยังกิริยาที่ไม่สำรวมอีก ทั้งหมดเป็นการกระทำและความประพฤติของเอง....ลี ยองเจ ก็ให้ตายเถอะ
ฉันนั่งอยู่ในโบสถ์นี้มามากกว่าสองชั่วโมงแล้วนะ แล้วที่ฉันจะบ่น...บ่น....บ่น....และบ่นเจ้าหมอนี่มันจะแปลกอะไรตรงไหน เซ็งจะตายอยู่แล้ว =o=
“.......” ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่าน(ฉันเอง)เรียก อีตาบ้าคิม คิบอม ยังคงสวดมนต์(ในใจ)ไม่เลิก
“คิม คิบอม!” ฉันรีเควสอีกครั้ง
“.........” นิ่ง
“คิม คิบอม! ฉันจะกลับบ้าน!!”
“..............” เงียบ
“คิบอม!!”
“..................” ไร้การตอบรับ
“คิม บองซอก!” ฮ่าๆ ล้อชื่อพ่อเลย อยากไม่สนใจฉันดีนัก (น้องๆหนูๆถ้าอยากเป็นเด็กดี อย่าทำตามนะจ๊ะ
มันไม่ดี๊...ไม่ดีจ๊ะ....แต่ขอบอกว่าสะใจมาก.....ก....ก ^o^)
“ลี ยองเจ เธออยากตายคาโบสถ์รึไง?” เป็นน้ำเสียงทุ้มแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา
ไชโย!! ไม้ตายนี้ได้ผลเกินคาด อีตาบ้าคิบอมหยุดสวดมนต์แล้ว....แต่หันมาทำตาขวาง หน้าดุแทน
“กะ...กลับ...กลับบ้าน!” เป็นคำสั่งเด็ดขาดจากฉัน (แต่ทำไมถึงได้พูดติดอ่างฟะ! -..-)
“เลิกทำตัวเป็นเด็กๆที่งอแงอยากกลับบ้านได้แล้ว โตจนเลียก้นหมาไม่ถึงแล้วนะ”
“ห๊ะ?!” ดู๊...ดู กล้าพูดได้ไงว่าเลียก้นหมาไม่ถึง อย่างฉันแค่ก้มก็เลียถึงแล้วย่ะ
“นี่ถ้าไม่ติดว่าแม่นายเป็นเพื่อนรักของแม่ฉันนะ ป่านนี้นายได้ลงไปกองที่พื้นด้วยไอ้นี่แล้ว” ไม่พูดเปล่า ฉันชูกำปั้นพร้อมแยกเขี้ยวใส่
“ฮึ....ยัยปลาทอง เตี้ยๆอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้ ก็เอาเลยสิถ้าความสูงของเธอไม่ต่างจากฉันถึงยี่สิบเซนต์นะ”
รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏบนหน้าหล่อขาวใส (จำใจชมนะเนี่ย.....แต่.....มันก็เป็นเรื่องจริงง่ะ -_-!)
“ห๊ะ?! นายว่าไงนะ?” เย็นไว้ลูก เย็นไว้ หายใจเข้าลึกๆ ระงับ...ระงับ
“นายกล้ามากที่หลอกว่าจะพาฉันไปเที่ยวที่ดีๆ ถ้าฉันรู้แต่แรกนะว่านายจะพาฉันมาที่นี่ ฉันไม่มีทางมาเด็ดขาด!”
“เธอควรหัดเคารพสถานที่และศาสดาของศาสนาบ้างนะ ยองเจ” แล้วคุณชายก็เดินมานั่งข้างๆฉันพร้อมกับสั่งสอน.....อีตาบ้าคิบอม
นายเป็นบาทหลวงรึไง
“ไม่ต้องมาสอน ฉันรู้ดีว่าฉันควรทำอะไร”
“แล้วไง?” คิบอมตีหน้าตายท้าทาย
“ฮึ้ย!! ฉันจะกลับบ้าน พูดกับนายแล้วมันจี๊ด” ฉันรีบเดินพรวดพราดออกจากโบสถ์ แต่ก่อนจะออกไป ฉันนึกขึ้นได้ว่าต้องพูดอะไรทิ้งท้ายหน่อย
“คิม คิบอม...ฉันนับถือพุทธ! ไม่ใช่คริสต์!” แล้วก็ออกไปจากโบสถ์จริงๆ
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้วล่ะน่า....” คิบอมพูดยิ้มๆในอาการหงุดหงิดของเพื่อนสาวฝีปากกล้า
“ชอบทำให้โมโหดีนัก ดี! งั้นกลับคนเดียวไปเลย งอนแล้ว” ฉันนั่งบ่นพึมพำบนรถประจำทาง
.
.
“วันนี้แกออกไปไหนมา?” พี่ฮันกยอง พี่ชายจอมหวงก้าง(ก้างที่ว่าก็คือฉันเองแหละ)ถามอย่างไม่สบอารมณ์
ในขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาครบทุกคนไม่ขาดและไม่เกิน
“โบสถ์” ฉันตอบสั้นๆ
“ครอบครัวเรานับถือพุทธ แกไปโบสถ์ทำพระแสงแยงตูดอะไร?”
“คิบอมชวน” ตอบสั้นๆได้ใจความอีกครั้ง
“คิบอม? ไอ้เจ้าบ้านั่น...แกออกไปกับมันมาเรอะ?” พี่ฮันกยองเลือดขึ้นหน้า
“อือ....แม่ค่ะขอข้าวเพิ่ม”
“ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าอย่าไปไหนมาไหนกับมัน ถ้าจะไปต้องมีฉันไปด้วย”
“พี่ไปก็เกะกะเปล่าๆ แล้วอีกอย่างหมอนั่นก็เป็นเพื่อนฉันมาตั้งแต่สามขวบ ไม่เห็นมีอะไรไม่น่าไว้ใจสักหน่อย”
“แกควรเปิดใจบ้างนะฮันกยอง แกก็รู้ว่าคิบอมกับยองเจโตมาด้วยกัน ก็ต้องสนิทสนมกันเป็นเรื่องธรรมดา”
“ใช่แล้วค่ะ....พ่อพูดถูกที่สุด” ฉันยกนิ้วโป้งให้พ่อ
“แม่เองก็รู้ว่าลูกหวงน้อง แต่หวงมากไปยองเจจะขาดความเป็นส่วนตัวนะลูก ลูกควรจะให้โอกาสแก่น้องบ้าง”
“ถูกอีกนั่นแหละค่ะ” ฉันทำท่าถูกต้องนะคร้าบ...บ.....บ
“จะเป็นใครก็ได้ผมไม่ว่า แต่ต้องไม่ใช่เจ้านั่น ผมไม่ชอบมัน!” ว่าแล้วก็เดินปึงปังออกไปจากห้องอาหาร
“ไม่ชอบน่ะดีแล้ว ถ้าเกิดพี่ชอบผู้ชายขึ้นมาฉันคงรับไม่ได้แน่ๆ” ฉันรีบยิงมุขตลกใส่...แต่ก็ไม่ทัน
คงจะสงสัยใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมพี่ชายสุดที่รักเลือดกรุ๊ปบี ผู้มีนิสัยยึดมั่นในตนเอง หรือที่เรียกว่า หัวแข็ง
อย่างพี่ฮันกยองถึงได้จงเกลียดจงชังคิบอมนัก นั่นก็เพราะว่า.....สมัยเด็กๆ คุณแม่ของคิบอมจะพาคิบอมมาเล่นที่บ้านฉันอยู่บ่อยๆ
แล้วก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่ฉันเกิดบ้าพลังขึ้นมา คิดว่าเป็นพี่แล้วเก่งเสมอ เลยได้ทำการท้าคิบอมเล่นมวยปล้ำ แต่ผลที่ออกมาคือคิบอมชนะ
พี่ฮันกยองเกิดรับไม่ได้ที่พ่ายแพ้ต่อคนที่อายุน้อยกว่าถึงสี่ปี จึงท้าอีกครั้ง.....อีกครั้ง.....อีกครั้ง....และผลที่ออกมาคือ
พี่ฮันกยองกระดูกแขนหักต้องเข้าเฝือกนานถึงสี่เดือน มันเป็นความทรงจำที่แย่สำหรับพี่ (แต่ฮาสำหรับฉัน) จนวันนี้ถ้าใครไปล้อเรื่องนี้กับพี่เข้า
พี่ก็จะโกรธชนิดแทบจะตัดขาดความสัมพันธ์กันเลย....แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนตัวการจะจำได้อยู่รึเปล่า เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น
หมอนั่นก็ไม่มาที่บ้านฉันอีกเลย เพราะทุกครั้งที่มา พี่จะปิดประตูพร้อมลงกลอนอย่างดี เพื่อไม่ให้เข้ามาได้
แถมยังมาพาลให้ฉันเลิกคบกับหมอนี่อีก เฮ้อ....คนบ้าอะไรไม่รู้จักโต แถมหวงน้องยังกับหมาหวงก้างอีก
.
.
“ยองเจ กีฬาสีปีนี้เธอลงอะไร?” ชเว จินจู สาวเท่ห์เจ้าของผมซอยสีน้ำตาลเข้ม ถามฉันพร้อมกับกางสมุด
ที่คุณเธอจดรายการกีฬาทุกประเภทอย่างละเอียดถี่ยิบให้ฉันดู
“ขอบคุณเพื่อนรักที่อุตส่ามาถาม แต่เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉัน...ม่าย-ลง-ม่าย-เล่น-ส้าก...ก...ก-กา-อย่าง”
“เฮ้ย! ไม่ได้ๆ ปีนี้เค้าบังคับ ต้องลงหนึ่งประเภทเป็นอย่างต่ำ” ปาร์ค ยูริม สาวหวานประจำกลุ่มรีบค้านทันที
“จริงอ่ะ...งั้นก็โดดแบบทุกปีไม่ได้สิ”
“ของชัวร์ ขนาดฉันยังลงว่ายน้ำเลย” คิม ฮานึลเจ้าของฉายา“สาวเปรี้ยว”บอกฉัน ......ยัยบ๊องเอ๊ย ฉันก็เห็นเธอลงว่ายน้ำทุกปีน่ะแหละ
แล้วจะมาบอกทำไมย่ะ-..-
“ฉันลงวิ่งสี่ร้อยเมตร” จินจูบอกบ้าง เธอเองก็เหมือนกันน่ะแหละ ลงวิ่งทุกปี ไม่บอกก็รู้-_-!
“เทนนิส” ยูริมชี้นิ้วที่ตัวเอง ยัยนี่มาแปลก เห็นทุกปีเอาแต่เชียร์ ไม่คิดว่าจะเล่นเทนนิสเป็น นึกว่าจะลงเชียร์ลีดเดอร์ซะอีกนะเนี่ย
“อ๋อย....แย่ชะมัด =o=” ฉันเบ้หน้า
“เธอเล่นบาสได้ก็ลงบาสหญิงสิ ยัยปลาทอง” น้ำเสียงทุ้มอันคุ้นหูแถมด้วยประโยคสุดท้าย ฉันแทบไม่ต้องหันไปดูเลยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
และแน่ใจมากขึ้นไปอีกกับการทักทายยามเช้าด้วยการพาดกระเป๋าลงบนหัวฉัน
“เลิกเรียกฉันว่ายัยปลาทองได้แล้ว!-o-” ฉันปัดกระเป๋าออกจากหัว อีตาบ้า!! เห็นหัวฉันเป็นโต๊ะวางกระเป๋ารึไง
“ยัยนี่ลงบาสหญิง” สิ้นเสียงการตัดสิ้นใจโดยพลการของคิบอม (คิดจะถามความสมัครใจฉันบ้างไหม?)
จินจูก็รีบจดชื่อฉันลงในสมุดรายชื่อนักกีฬาของห้อง3-D
“เฮ้ย!! จินจูลบชื่อฉันออกเลยนะ ฉันไม่ลง”
“แล้วเธอจะลงกีฬาอะไรล่ะ? เดี๋ยวแก้ให้”
“ไม่ลง” ตอบอย่างไม่คิด ทันทีทันใด
“ก็บอกแล้วไงว่าเค้าบังคับ...เค้าบังคับน่ะได้ยินไหม?” ฮานึลทำเสียงแหลม (คาดว่าคุณเธอน่าจะดัดเสียง.....พูดดีๆก็ได้
จะไปดัดทำไมให้แสบแก้วหู)
“กะจะโดดแบบทุกปีล่ะสิ” น้าน.....ดันรู้ทันอีกนะ ปาร์ค ยูริม ยัยเพื่อนบ้า! TT-TT
“ลงบาสน่ะแหละสิ้นเรื่อง” คิบอมตัดสินใจให้ฉัน (อีกแล้วนะ TToTT )
พร้อมๆกับจินจูที่รีบวิ่งปรู๊ดปร๊าดออกจากห้องไปส่งสมุดรายชื่อนักกีฬากับอาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง........เวรกรรม.....กะจะโดดแบบทุกปีแล้วแท้ๆ
ดันต้องมาเล่นบาสเกตบอล.....ลี ยองเจ จะกระโดดต้นสับปะรดตาย TT..TT แง้......
.
.
“ทำไมนายต้องลากฉันมาโบสถ์กับนายทุกๆครั้งที่นายมาด้วยไม่ทราบ?”
“ถึงเธอจะนับถือพุทธ แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเธอเข้าวัดสวดมนต์สักครั้ง ดังนั้นเพื่อกันเธอตกนรก เธอจึงจำเป็นที่จะต้องมาที่นี่กับฉันทุกครั้ง”
อยู่ๆมาแช่งให้ตกนรกซะงั้น ตกลงนายหวังดีอ่ะเปล่าเนี่ย -_-!
“แล้วถ้าฉันตามนายมาทุกครั้งมันจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นกับฉันรึไง?”
“มีแน่ ถ้าเธอตั้งใจ”
“ตั้งใจ? ตั้งใจอะไร?” หากสังเกตดีๆจะเห็นเครื่องหมายคำถามและดับเบิ้ล ง-งู ปรากฏบนหน้าขาวใสไรสิวของฉัน (โฮะๆ
ขอชมตัวเองหน่อย....คงไม่ว่ากันนะ ^o^)
“อธิษฐานไงล่ะ” คิบอมพูดพร้อมกับกุมมือไว้ระดับอกและพยักหน้าให้ฉันทำตาม
“แล้วไงต่อ?” ฉันเริ่มอยากรู้ขั้นตอนต่อไป
“ก้มหน้าลงเล็กน้อย.....แล้วหลับตาช้าๆ”
“อธิษฐานได้ยัง?”
“อือ”
“ถ้าขอมากๆพระเจ้าคงไม่โกรธใช่เปล่า?”
“เออ”
เอาล่ะ จะอธิษฐานแล้วนะ....อะฮื้ม!....พระผู้เป็นเจ้า ท่านคงจะไม่โกรธลูกนะถ้าลูกจะขอมากหน่อย คือลูกมีเรื่องหนักใจมากมาย.....แต่วางใจได้
ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก....อ้อ! อีกอย่างคือลูกนับถือศาสนาพุทธ ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังคงจะช่วยลูกใช่ไหม ลูกจะขอแล้วนะ
ขอให้พ่อและแม่มีสุขภาพที่แข็งแรง
อืม....ขอให้พี่ฮันกยองสอบผ่านทุกวิชา ไม่มีตกไม่มีซ่อม เพราะลูกสงสารพ่อกับแม่เหลือเกินที่ต้องเสียเงินไปมากมายกับการสอบซ่อมของพี่
ขอให้เพื่อนๆของฉันมีความสุข
ขอให้ฉันกล้าบอกรักหมอนี่ซะที
ลูกขอครบหมดแล้ว ยังไงก็ช่วยให้ลูกสมหวังด้วยนะค่ะ...อาเมน
“เธอกะจะขอให้คุ้มทั้งชีวิตเลยรึไง?” ทันทีที่ลืมตาหมอนี่ก็เริ่มกระแหนะกระแหนฉันทันที
“ชิ...ที่นายล่ะ”
“ฉันไม่เคยขอพรกับพระเจ้า”
“อ้าว.....จริงอ่ะ?”
“........” อะไรของหมอนี่ คิดจะยิ้มก็ยิ้มซะงั้น.....โอ๊ย...รอยยิ้มของนายมันเจิดจรัสจนฉันไม่กล้ามองแล้ว คนอะไรหล่อชะมัด -////-
“ฉันแค่รู้สึกสบายใจที่ได้มายืนต่อหน้าพระเจ้า...ถึงแม้จะนานเป็นสองสามชั่วโมงก็ตาม”
“คบกันมาตั้งนานเพิ่งรู้ก็วันนี้นี่แหละว่านายมันแปลกพิลึกคน”
“..........” ชิ้ง.....ชิ้ง....ชิ้ง.....คราวนี้เป็นสายตาดุที่ส่งมาแทนรอยยิ้ม
“จ้า....จ้า.....ลี ยองเจ พูดผิดไปแล้ว ขอโทษจ้า-.-“
“เดโอการ์ชิส”
“ห๊ะ?” ช่างสรรหาคำแปลกๆมาพูดนะนายเนี่ย
“เป็นคำขอบคุณพระเจ้าน่ะ.....เป็นคำที่ฉันชอบที่สุด เวลาที่ฉันมีเรื่องสำคัญอะไรแล้วไม่กล้าพูดตรงๆออกมา ฉันก็จะพูดคำนี้แหละ”
“อย่างเช่นอะไร?”
“.............” คิบอมยิ้มอีกครั้ง
“เดโอการ์ชิสยองเจ”
“ห๊ะ?....อะไรของนาย?”
“ความลับ....เดี๋ยวสักวันเธอก็เข้าใจเอง”
ข้าวปั้น
ชื่อจริง จิราภรณ์ สุขบุญสังข์ ( ออย )
เกิด ๒๐ กันยายน ๒๕๓๔
สาวน้อยผู้สร้างจินตนาการจากความเหงา
ตอน ๑
แด่...พระผู้เป็นเจ้า
ฉันอยู่ได้อีกไม่นาน....ใช่แล้ว ฉันควรจะตายไปตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะการเสียสละของเค้า ก็คงจะไม่มีฉันในวันนี้อีกต่อไปแล้ว....
...มันเป็นความทรงจำที่ฉันไม่อาจจะลืมได้ลง...
.
.
.
.
3 ปีก่อน
“นี่!...คิม คิบอม ฉันถามจริงเถอะ นายไม่เบื่อบ้างรึไงที่ต้องเข้าโบสถ์ทุกครั้งที่ว่างเพื่อมาสวดมนต์ไหว้พระเจ้าแบบนี้น่ะ? +o+”
เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อหน่างเต็มทน แถมยังกิริยาที่ไม่สำรวมอีก ทั้งหมดเป็นการกระทำและความประพฤติของเอง....ลี ยองเจ ก็ให้ตายเถอะ
ฉันนั่งอยู่ในโบสถ์นี้มามากกว่าสองชั่วโมงแล้วนะ แล้วที่ฉันจะบ่น...บ่น....บ่น....และบ่นเจ้าหมอนี่มันจะแปลกอะไรตรงไหน เซ็งจะตายอยู่แล้ว =o=
“.......” ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่าน(ฉันเอง)เรียก อีตาบ้าคิม คิบอม ยังคงสวดมนต์(ในใจ)ไม่เลิก
“คิม คิบอม!” ฉันรีเควสอีกครั้ง
“.........” นิ่ง
“คิม คิบอม! ฉันจะกลับบ้าน!!”
“..............” เงียบ
“คิบอม!!”
“..................” ไร้การตอบรับ
“คิม บองซอก!” ฮ่าๆ ล้อชื่อพ่อเลย อยากไม่สนใจฉันดีนัก (น้องๆหนูๆถ้าอยากเป็นเด็กดี อย่าทำตามนะจ๊ะ
มันไม่ดี๊...ไม่ดีจ๊ะ....แต่ขอบอกว่าสะใจมาก.....ก....ก ^o^)
“ลี ยองเจ เธออยากตายคาโบสถ์รึไง?” เป็นน้ำเสียงทุ้มแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา
ไชโย!! ไม้ตายนี้ได้ผลเกินคาด อีตาบ้าคิบอมหยุดสวดมนต์แล้ว....แต่หันมาทำตาขวาง หน้าดุแทน
“กะ...กลับ...กลับบ้าน!” เป็นคำสั่งเด็ดขาดจากฉัน (แต่ทำไมถึงได้พูดติดอ่างฟะ! -..-)
“เลิกทำตัวเป็นเด็กๆที่งอแงอยากกลับบ้านได้แล้ว โตจนเลียก้นหมาไม่ถึงแล้วนะ”
“ห๊ะ?!” ดู๊...ดู กล้าพูดได้ไงว่าเลียก้นหมาไม่ถึง อย่างฉันแค่ก้มก็เลียถึงแล้วย่ะ
“นี่ถ้าไม่ติดว่าแม่นายเป็นเพื่อนรักของแม่ฉันนะ ป่านนี้นายได้ลงไปกองที่พื้นด้วยไอ้นี่แล้ว” ไม่พูดเปล่า ฉันชูกำปั้นพร้อมแยกเขี้ยวใส่
“ฮึ....ยัยปลาทอง เตี้ยๆอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้ ก็เอาเลยสิถ้าความสูงของเธอไม่ต่างจากฉันถึงยี่สิบเซนต์นะ”
รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏบนหน้าหล่อขาวใส (จำใจชมนะเนี่ย.....แต่.....มันก็เป็นเรื่องจริงง่ะ -_-!)
“ห๊ะ?! นายว่าไงนะ?” เย็นไว้ลูก เย็นไว้ หายใจเข้าลึกๆ ระงับ...ระงับ
“นายกล้ามากที่หลอกว่าจะพาฉันไปเที่ยวที่ดีๆ ถ้าฉันรู้แต่แรกนะว่านายจะพาฉันมาที่นี่ ฉันไม่มีทางมาเด็ดขาด!”
“เธอควรหัดเคารพสถานที่และศาสดาของศาสนาบ้างนะ ยองเจ” แล้วคุณชายก็เดินมานั่งข้างๆฉันพร้อมกับสั่งสอน.....อีตาบ้าคิบอม
นายเป็นบาทหลวงรึไง
“ไม่ต้องมาสอน ฉันรู้ดีว่าฉันควรทำอะไร”
“แล้วไง?” คิบอมตีหน้าตายท้าทาย
“ฮึ้ย!! ฉันจะกลับบ้าน พูดกับนายแล้วมันจี๊ด” ฉันรีบเดินพรวดพราดออกจากโบสถ์ แต่ก่อนจะออกไป ฉันนึกขึ้นได้ว่าต้องพูดอะไรทิ้งท้ายหน่อย
“คิม คิบอม...ฉันนับถือพุทธ! ไม่ใช่คริสต์!” แล้วก็ออกไปจากโบสถ์จริงๆ
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้วล่ะน่า....” คิบอมพูดยิ้มๆในอาการหงุดหงิดของเพื่อนสาวฝีปากกล้า
“ชอบทำให้โมโหดีนัก ดี! งั้นกลับคนเดียวไปเลย งอนแล้ว” ฉันนั่งบ่นพึมพำบนรถประจำทาง
.
.
“วันนี้แกออกไปไหนมา?” พี่ฮันกยอง พี่ชายจอมหวงก้าง(ก้างที่ว่าก็คือฉันเองแหละ)ถามอย่างไม่สบอารมณ์
ในขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาครบทุกคนไม่ขาดและไม่เกิน
“โบสถ์” ฉันตอบสั้นๆ
“ครอบครัวเรานับถือพุทธ แกไปโบสถ์ทำพระแสงแยงตูดอะไร?”
“คิบอมชวน” ตอบสั้นๆได้ใจความอีกครั้ง
“คิบอม? ไอ้เจ้าบ้านั่น...แกออกไปกับมันมาเรอะ?” พี่ฮันกยองเลือดขึ้นหน้า
“อือ....แม่ค่ะขอข้าวเพิ่ม”
“ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าอย่าไปไหนมาไหนกับมัน ถ้าจะไปต้องมีฉันไปด้วย”
“พี่ไปก็เกะกะเปล่าๆ แล้วอีกอย่างหมอนั่นก็เป็นเพื่อนฉันมาตั้งแต่สามขวบ ไม่เห็นมีอะไรไม่น่าไว้ใจสักหน่อย”
“แกควรเปิดใจบ้างนะฮันกยอง แกก็รู้ว่าคิบอมกับยองเจโตมาด้วยกัน ก็ต้องสนิทสนมกันเป็นเรื่องธรรมดา”
“ใช่แล้วค่ะ....พ่อพูดถูกที่สุด” ฉันยกนิ้วโป้งให้พ่อ
“แม่เองก็รู้ว่าลูกหวงน้อง แต่หวงมากไปยองเจจะขาดความเป็นส่วนตัวนะลูก ลูกควรจะให้โอกาสแก่น้องบ้าง”
“ถูกอีกนั่นแหละค่ะ” ฉันทำท่าถูกต้องนะคร้าบ...บ.....บ
“จะเป็นใครก็ได้ผมไม่ว่า แต่ต้องไม่ใช่เจ้านั่น ผมไม่ชอบมัน!” ว่าแล้วก็เดินปึงปังออกไปจากห้องอาหาร
“ไม่ชอบน่ะดีแล้ว ถ้าเกิดพี่ชอบผู้ชายขึ้นมาฉันคงรับไม่ได้แน่ๆ” ฉันรีบยิงมุขตลกใส่...แต่ก็ไม่ทัน
คงจะสงสัยใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมพี่ชายสุดที่รักเลือดกรุ๊ปบี ผู้มีนิสัยยึดมั่นในตนเอง หรือที่เรียกว่า หัวแข็ง
อย่างพี่ฮันกยองถึงได้จงเกลียดจงชังคิบอมนัก นั่นก็เพราะว่า.....สมัยเด็กๆ คุณแม่ของคิบอมจะพาคิบอมมาเล่นที่บ้านฉันอยู่บ่อยๆ
แล้วก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่ฉันเกิดบ้าพลังขึ้นมา คิดว่าเป็นพี่แล้วเก่งเสมอ เลยได้ทำการท้าคิบอมเล่นมวยปล้ำ แต่ผลที่ออกมาคือคิบอมชนะ
พี่ฮันกยองเกิดรับไม่ได้ที่พ่ายแพ้ต่อคนที่อายุน้อยกว่าถึงสี่ปี จึงท้าอีกครั้ง.....อีกครั้ง.....อีกครั้ง....และผลที่ออกมาคือ
พี่ฮันกยองกระดูกแขนหักต้องเข้าเฝือกนานถึงสี่เดือน มันเป็นความทรงจำที่แย่สำหรับพี่ (แต่ฮาสำหรับฉัน) จนวันนี้ถ้าใครไปล้อเรื่องนี้กับพี่เข้า
พี่ก็จะโกรธชนิดแทบจะตัดขาดความสัมพันธ์กันเลย....แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนตัวการจะจำได้อยู่รึเปล่า เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น
หมอนั่นก็ไม่มาที่บ้านฉันอีกเลย เพราะทุกครั้งที่มา พี่จะปิดประตูพร้อมลงกลอนอย่างดี เพื่อไม่ให้เข้ามาได้
แถมยังมาพาลให้ฉันเลิกคบกับหมอนี่อีก เฮ้อ....คนบ้าอะไรไม่รู้จักโต แถมหวงน้องยังกับหมาหวงก้างอีก
.
.
“ยองเจ กีฬาสีปีนี้เธอลงอะไร?” ชเว จินจู สาวเท่ห์เจ้าของผมซอยสีน้ำตาลเข้ม ถามฉันพร้อมกับกางสมุด
ที่คุณเธอจดรายการกีฬาทุกประเภทอย่างละเอียดถี่ยิบให้ฉันดู
“ขอบคุณเพื่อนรักที่อุตส่ามาถาม แต่เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉัน...ม่าย-ลง-ม่าย-เล่น-ส้าก...ก...ก-กา-อย่าง”
“เฮ้ย! ไม่ได้ๆ ปีนี้เค้าบังคับ ต้องลงหนึ่งประเภทเป็นอย่างต่ำ” ปาร์ค ยูริม สาวหวานประจำกลุ่มรีบค้านทันที
“จริงอ่ะ...งั้นก็โดดแบบทุกปีไม่ได้สิ”
“ของชัวร์ ขนาดฉันยังลงว่ายน้ำเลย” คิม ฮานึลเจ้าของฉายา“สาวเปรี้ยว”บอกฉัน ......ยัยบ๊องเอ๊ย ฉันก็เห็นเธอลงว่ายน้ำทุกปีน่ะแหละ
แล้วจะมาบอกทำไมย่ะ-..-
“ฉันลงวิ่งสี่ร้อยเมตร” จินจูบอกบ้าง เธอเองก็เหมือนกันน่ะแหละ ลงวิ่งทุกปี ไม่บอกก็รู้-_-!
“เทนนิส” ยูริมชี้นิ้วที่ตัวเอง ยัยนี่มาแปลก เห็นทุกปีเอาแต่เชียร์ ไม่คิดว่าจะเล่นเทนนิสเป็น นึกว่าจะลงเชียร์ลีดเดอร์ซะอีกนะเนี่ย
“อ๋อย....แย่ชะมัด =o=” ฉันเบ้หน้า
“เธอเล่นบาสได้ก็ลงบาสหญิงสิ ยัยปลาทอง” น้ำเสียงทุ้มอันคุ้นหูแถมด้วยประโยคสุดท้าย ฉันแทบไม่ต้องหันไปดูเลยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
และแน่ใจมากขึ้นไปอีกกับการทักทายยามเช้าด้วยการพาดกระเป๋าลงบนหัวฉัน
“เลิกเรียกฉันว่ายัยปลาทองได้แล้ว!-o-” ฉันปัดกระเป๋าออกจากหัว อีตาบ้า!! เห็นหัวฉันเป็นโต๊ะวางกระเป๋ารึไง
“ยัยนี่ลงบาสหญิง” สิ้นเสียงการตัดสิ้นใจโดยพลการของคิบอม (คิดจะถามความสมัครใจฉันบ้างไหม?)
จินจูก็รีบจดชื่อฉันลงในสมุดรายชื่อนักกีฬาของห้อง3-D
“เฮ้ย!! จินจูลบชื่อฉันออกเลยนะ ฉันไม่ลง”
“แล้วเธอจะลงกีฬาอะไรล่ะ? เดี๋ยวแก้ให้”
“ไม่ลง” ตอบอย่างไม่คิด ทันทีทันใด
“ก็บอกแล้วไงว่าเค้าบังคับ...เค้าบังคับน่ะได้ยินไหม?” ฮานึลทำเสียงแหลม (คาดว่าคุณเธอน่าจะดัดเสียง.....พูดดีๆก็ได้
จะไปดัดทำไมให้แสบแก้วหู)
“กะจะโดดแบบทุกปีล่ะสิ” น้าน.....ดันรู้ทันอีกนะ ปาร์ค ยูริม ยัยเพื่อนบ้า! TT-TT
“ลงบาสน่ะแหละสิ้นเรื่อง” คิบอมตัดสินใจให้ฉัน (อีกแล้วนะ TToTT )
พร้อมๆกับจินจูที่รีบวิ่งปรู๊ดปร๊าดออกจากห้องไปส่งสมุดรายชื่อนักกีฬากับอาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง........เวรกรรม.....กะจะโดดแบบทุกปีแล้วแท้ๆ
ดันต้องมาเล่นบาสเกตบอล.....ลี ยองเจ จะกระโดดต้นสับปะรดตาย TT..TT แง้......
.
.
“ทำไมนายต้องลากฉันมาโบสถ์กับนายทุกๆครั้งที่นายมาด้วยไม่ทราบ?”
“ถึงเธอจะนับถือพุทธ แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเธอเข้าวัดสวดมนต์สักครั้ง ดังนั้นเพื่อกันเธอตกนรก เธอจึงจำเป็นที่จะต้องมาที่นี่กับฉันทุกครั้ง”
อยู่ๆมาแช่งให้ตกนรกซะงั้น ตกลงนายหวังดีอ่ะเปล่าเนี่ย -_-!
“แล้วถ้าฉันตามนายมาทุกครั้งมันจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นกับฉันรึไง?”
“มีแน่ ถ้าเธอตั้งใจ”
“ตั้งใจ? ตั้งใจอะไร?” หากสังเกตดีๆจะเห็นเครื่องหมายคำถามและดับเบิ้ล ง-งู ปรากฏบนหน้าขาวใสไรสิวของฉัน (โฮะๆ
ขอชมตัวเองหน่อย....คงไม่ว่ากันนะ ^o^)
“อธิษฐานไงล่ะ” คิบอมพูดพร้อมกับกุมมือไว้ระดับอกและพยักหน้าให้ฉันทำตาม
“แล้วไงต่อ?” ฉันเริ่มอยากรู้ขั้นตอนต่อไป
“ก้มหน้าลงเล็กน้อย.....แล้วหลับตาช้าๆ”
“อธิษฐานได้ยัง?”
“อือ”
“ถ้าขอมากๆพระเจ้าคงไม่โกรธใช่เปล่า?”
“เออ”
เอาล่ะ จะอธิษฐานแล้วนะ....อะฮื้ม!....พระผู้เป็นเจ้า ท่านคงจะไม่โกรธลูกนะถ้าลูกจะขอมากหน่อย คือลูกมีเรื่องหนักใจมากมาย.....แต่วางใจได้
ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก....อ้อ! อีกอย่างคือลูกนับถือศาสนาพุทธ ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังคงจะช่วยลูกใช่ไหม ลูกจะขอแล้วนะ
ขอให้พ่อและแม่มีสุขภาพที่แข็งแรง
อืม....ขอให้พี่ฮันกยองสอบผ่านทุกวิชา ไม่มีตกไม่มีซ่อม เพราะลูกสงสารพ่อกับแม่เหลือเกินที่ต้องเสียเงินไปมากมายกับการสอบซ่อมของพี่
ขอให้เพื่อนๆของฉันมีความสุข
ขอให้ฉันกล้าบอกรักหมอนี่ซะที
ลูกขอครบหมดแล้ว ยังไงก็ช่วยให้ลูกสมหวังด้วยนะค่ะ...อาเมน
“เธอกะจะขอให้คุ้มทั้งชีวิตเลยรึไง?” ทันทีที่ลืมตาหมอนี่ก็เริ่มกระแหนะกระแหนฉันทันที
“ชิ...ที่นายล่ะ”
“ฉันไม่เคยขอพรกับพระเจ้า”
“อ้าว.....จริงอ่ะ?”
“........” อะไรของหมอนี่ คิดจะยิ้มก็ยิ้มซะงั้น.....โอ๊ย...รอยยิ้มของนายมันเจิดจรัสจนฉันไม่กล้ามองแล้ว คนอะไรหล่อชะมัด -////-
“ฉันแค่รู้สึกสบายใจที่ได้มายืนต่อหน้าพระเจ้า...ถึงแม้จะนานเป็นสองสามชั่วโมงก็ตาม”
“คบกันมาตั้งนานเพิ่งรู้ก็วันนี้นี่แหละว่านายมันแปลกพิลึกคน”
“..........” ชิ้ง.....ชิ้ง....ชิ้ง.....คราวนี้เป็นสายตาดุที่ส่งมาแทนรอยยิ้ม
“จ้า....จ้า.....ลี ยองเจ พูดผิดไปแล้ว ขอโทษจ้า-.-“
“เดโอการ์ชิส”
“ห๊ะ?” ช่างสรรหาคำแปลกๆมาพูดนะนายเนี่ย
“เป็นคำขอบคุณพระเจ้าน่ะ.....เป็นคำที่ฉันชอบที่สุด เวลาที่ฉันมีเรื่องสำคัญอะไรแล้วไม่กล้าพูดตรงๆออกมา ฉันก็จะพูดคำนี้แหละ”
“อย่างเช่นอะไร?”
“.............” คิบอมยิ้มอีกครั้ง
“เดโอการ์ชิสยองเจ”
“ห๊ะ?....อะไรของนาย?”
“ความลับ....เดี๋ยวสักวันเธอก็เข้าใจเอง”