นวนิยาย วาดรักกลางตะวัน โดย น้ำฟ้า
เมื่อ: เสาร์ 26 พ.ย. 2011 7:39 am
๑.
แดดสีทองจางๆส่องลอดคาคบไม้มายังร่างระหงที่นั่งอยู่บนเครือเถาวัลย์ซึ่งทอดตัวลงมาแล้วเกี่ยวกระหวัดเป็นเกลียวเชือกขึ้นไปยังไม้เต็งต้นใหญ่เสียดสล้าง
ต่ำลงไป หญิงสาวอีกคนกำลังนั่งสาละวนกับการปั่นด้ายอยู่บนโขดหินพลางฮัมเพลงด้วยภาษาประจำเผ่าอย่างอารมณ์ดี
แดดเริ่มลับทิวเขาทางด้านหลัง แสงสีจางทอดตัวไกลออกไป เธอทั้งสองจึงพากันลุกขึ้น ก้าวตามทางเดินแคบๆ ซึ่งมีดอกหญ้าต้นสูงทว่าบอบบางเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว
ดวงตากลมโตของผู้เดินนำหน้าจับจ้องไปยังดอยสูงอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านผากิ่วแล้วคลี่ยิ้มจางๆ “อามิว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์มาให้เด็กๆเรียนนะอาลูผะ”
ดวงตายาวรีของผู้ฟังเลิกขึ้นสูงขณะหันขวับไปมองเพื่อน“จะดีเหรอมาลิน”
ผู้ถูกเรียกว่ามาลินทำหน้ามุ่ย“บอกแล้วไงว่าให้เรียกชื่อเล่น อามิ ตามเดิม”
อาลูผะหยุดเดินเสียดื้อๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับมือเรียวเฉลาของเพื่อนมากุมไว้“แต่ลุงกาเนสั่งให้เรียกอามิ ว่ามาลินนี่นา”
“เฮ้อ” มาลินเบะปากทำท่าเหม็นเบื่อ“ไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไร ถึงอยากให้อามิเป็นคนเมืองเสียจัง ถึงได้สั่งทุกคนให้เรียกเหมือนที่อาลูผะว่า”
“ลุงกาเนคงจะมีเหตุผลแหละ ทุกคนในเผ่าเราถึงเชื่อถือพ่อของมา…ละ…เอ่อ อามิมาก”อาลูผะแก้ต่างให้
มาลินสั่นหน้า เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของบิดานัก หญิงสาวเติบโตขึ้นท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาและเข้าใจมาตลอดว่าตนเองเป็นชนเผ่าอีก้อ อีกทั้งภาคภูมิใจในเชื้อสายของตนอยู่เสมอ แม้จะถูกส่งไปเรียนต่อในเมืองจนจบมหาวิทยาลัยเธอก็ไม่เคยปกปิดชาติกำเนิดของตน แต่บิดานี่สิกลับพยายามให้หญิงสาวทำตัวเป็นคนเมืองอยู่ตลอดเวลา พยายามเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามและสอนการวางตัวที่แตกต่างจากคนในเผ่า มิรันตีเคยคิดว่าพ่อกาเนของเธอภาคภูมิใจความเป็นคนเมืองของภรรยามาก จึงต้องการให้ลูกสาวคนเดียวดำเนินรอยตามบ้าง ในวันนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองคิดไม่ผิดแม้แต่น้อย
“ลุงกาเนคงอยากให้อามิมีอนาคตที่ดี เจอผู้ชายดีๆ ไม่ต้องมาทำสวนทำไร่เหมือนคนเผ่าเรากระมัง” อาลูผะเดา
“อยู่แบบนี้อามิก็ไม่ต้องทำสวนนี่ คอยรับซื้อของในไร่ไปขาย หรือทำสัมปทานป่าไม้แบบพ่อก็ได้นี่นา”มาลินเถียง
“เอาเถอะน่า ผู้ใหญ่ต้องมองการไกลกว่าเราสิ ลุงกาเนรักอามิมาก ไม่งั้นตอนส่งอามิไปเรียนต่อในกรุงเทพฯคงไม่ลงทุนให้อาลูผะตามไปด้วยหรอก”
ปัง…ปัง !!
เสียงปืนดังขึ้นกลางป่าลึก หญิงสาวทั้งสองจึงเงียบเสียงลง จ้องหน้ากันอยู่ครู่ใหญ่ มาลินจึงเอ่ยขึ้นก่อน“ใครล่าสัตว์อีกแล้วล่ะ”
“นั่นสิ หรือจะเป็นลองกา” อาลูผะหมายถึงเพื่อนสนิทของเธอทั้งสองซึ่งเป็นนักล่าสัตว์ตัวยง เนื่องจากชายหนุ่มดำเนินรอยตามหู่ลองบิดาผู้เป็นพรานป่าและหมอประจำเผ่า
“ไปอาบน้ำที่น้ำตกกันเถอะ อยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”มาลินเปลี่ยนเรื่อง
“อ้าว แล้วทำไมอามิไม่กลับไปอาบน้ำที่บ้าน”เพื่อนสาวท้วง ด้วยรู้ดีว่าลุงกาเนนั้นหวงลูกสาวเพียงใด จึงห้ามมิให้มาลินออกไปอาบน้ำที่น้ำตกดังชาว
อีก้อคนอื่นๆ แล้วสร้างห้องอาบน้ำอันหรูหราเอาไว้ในบ้านหรือจะเรียกให้ถูกคือคฤหาสน์กลางป่าของเธอกับมารดาอีกด้วย
“ไม่ล่ะ วันนี้อามิอยากอาบน้ำที่นี่”
“ดื้อจริงๆ”
“ช่วยไม่ได้ ก็อามิไม่เห็นว่าการที่เราดำเนินชีวิตแบบอีก้อจะผิดตรงไหนนี่”
“จ้ะ แม่คนรักถิ่นเกิด งั้นก็รีบไปกันเถอะ ถ้าแดดลับ น้ำคงจะเย็นมากขึ้น หน้าฝนแบบนี้น้ำไม่อุ่นไอดินเหมือนหน้าหนาวนะอามิ”
มาลินยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆเรียงเรียบ ก่อนเดินแกมวิ่งตามแสงแดดอ่อนลงจากดอยไปด้วยความพึงพอใจ
สายน้ำอันไหลเรื่อยกระเซ็นเป็นฟองฟู่เมื่อพ้นจากหน้าผาสูงร่วงหล่นลงสู่ชะง่อนหินเบื้องล่าง เสียงน้ำสาดซ่าแทรกเจือด้วยเสียงกรีดปีกของแมลงฟังดูคล้ายเสียงดนตรีซึ่งบรรเลงด้วยฝีมือแห่งธรรมชาติ นานๆทีจะมีเสียงหัวเราะสดใสประสานกันคิกคักดังขึ้นจากสองสาวผู้กำลังเริงร่าอยู่ท่ามกลางสายน้ำ
“ใกล้ค่ำแล้วกลับกันหรือยังอามิ” อาลูผะชวนเมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว
“กำลังสนุกเลยอาลูผะ” มาลินค้านอย่างเอาแต่ใจ พลางวักน้ำใส่เพื่อนจ้าละหวั่น
อาลูผะทำตาม แล้วจึงว่ายหนีกลับขึ้นฝั่ง มาลินหัวเราะคิกคักก่อนจะชะงักเมื่อเห็นต้นจำปีป่าสั่นไหวราวกับมีใครมาเขย่า ดวงตากลมโตจดจ้องอย่างระมัดระวังยามที่เห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงสีดำกำลังเซถลามาปะทะต้นประดู่โดยแรงจนฟ้ามุ่ยช่อโตบนคาคบสั่นสะเทือน
หญิงสาวใช้สองมือโอบร่างกลมกลึงของตนแน่น ราวกับมือน้อยจะสามารถอำพรางเรือนร่างเปล่าเปลือยเอาไว้ได้ ยิ่งยามที่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหันมา สายตาคมปลาบคู่นั้นยิ่งทำให้หนาวเยือกเข้าไปในอก ทว่าเมื่อหญิงสาวกวาดมองทั่วร่างของเขากลับพบว่า บริเวณไหล่ซ้ายของชายหนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด อา…เสียงปืนเมื่อครู่นี้นั่นเอง
“เกิดอะไรขึ้นกับนาย”มิรันตีถามแทรกเสียงน้ำ
ชายหนุ่มไม่ตอบกลับยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นทำนองให้เงียบเสียง จังหวะเดียวกับที่เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังใกล้เข้ามา หญิงสาวพอปะติดปะต่อความคิดได้จึงกวักมือเรียกเพื่อนของตนซึ่งเพิ่งแต่งตัวเสร็จ อาลูผะเดินอ้อมไปหาอีกฝ่ายแล้วอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นหนุ่มหล่อกำลังพยายามหลบเร้นอยู่ข้างโขดหิน
“อย่าเพิ่งถามอะไร พาเขาหลบไปก่อนเถอะ”มาลินรีบบอก
อาลูผะพยักหน้า แล้วเข้าไปพยุงชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าไปหลบในดงไม้ที่มีไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมก่อนกลับมานั่งปั่นด้ายอยู่บนโขดหินข้างน้ำตกตามเดิม
เสียงพูดคุยและฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่นานชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อแขนยาวผ่าหน้าสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ สวมกางเกงผ้าฝ้ายและหมวกสีเดียวกันเกือบสิบคนก็มาถึง หลายคนทำท่าลุกลี้ลุกลนค้นหาอะไรบางอย่าง อาลูผะจึงร้องถาม “พวกสูทำอะไรกัน”
“สูเห็นคนถูกยิงผ่านมาทางนี้มั้ยอาลูผะ” ชายร่างล่ำเตี้ยซึ่งถือปืนยาวถามเสียงดังลั่น
“ไม่มีหรอก พวกสูรีบออกไปจากตรงนี้เลยนะ”เธอรีบบอก
“ไม่ได้ หมู่เฮากำลังตามหาคนอยู่” ชายคนเดิมตอบเสียงเข้ม
“ ไม่งั้นเฮาจะบอกลุงกาเน”
“ก็ท่านกาเนแหละที่สั่งพวกเฮาให้ตามล่ามัน” ชายร่างสูงหน้าเสี้ยมตอบแทน
“แต่ลุงกาเนคงจะโกรธมากถ้ารู้ว่าพวกสูมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆน้ำตก ช่วงที่อามิอาบน้ำอยู่น่ะสิ” อาลูผะทำขึ้นจมูกอย่างเป็นต่อ
ชายกลางคนทั้งหมดเริ่มถอยกรูด หันไปปรึกษากันอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงสลายตัวออกไปค้นหาทางอื่น
เห็นดังนั้นมาลินจึงทำท่าโล่งอก เหลือบมองไปยังจุดที่ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ ก่อนหันไปหาเพื่อนที่รอท่าอยู่ “อาลูผะรีบไปตามลองกามาเถอะ”
“แล้วอามิล่ะ จะอยู่กับเจ้าคนนี้ได้เหรอ”
“ไม่เป็นไร อาลูผะเอาเสื้อผ้าไปวางไว้ฝั่งโน้นหน่อย แล้วรีบทำตามที่บอกเถอะ เริ่มมืดค่ำละ”
เมื่อสวมเสื้อผ้าจนมิดชิดดีแล้ว มิรันตีจึงเดินลุยน้ำตกข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแนวป่าซึ่งชายแปลกหน้าซ่อนตัวอยู่
พุ่มไม้ใหญ่นั้นดูสงบเงียบ ครั้นหญิงสาวแหวกใบไม้เข้าไปจึงพบว่า ร่างสูงโปร่งของชายผู้นั้นกำลังอยู่ในอาการสลบไสล รอยเลือดยังคงเกรอะกรังส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง มาลินถอยหลังออกมานั่งรอ พลางพิศดูเสี้ยวหน้านั้นด้วยแววตาอ่อนโยน
เขาคงไม่ใช่คนร้ายหรอกกระมัง ดูจากการแต่งตัวแล้วชายหนุ่มน่าจะเป็นคนจากในเมืองมากกว่าชาวชนเผ่าซึ่งอาศัยอยู่แถบนี้
ดวงตาที่หลับพริ้มอยู่นั้นขยับเพียงเล็กน้อย เมื่อริมฝีปากสีสดครางออกมาเบาๆ ขณะมือใหญ่เอื้อมไปลูบเหนือรอยแผลแผ่วเบา หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้คว้ามือใหญ่นั้นมากุมไว้ พลางบอก “อย่าจับแผล มันสกปรก ทนนิดนึงนะ อาลูผะกำลังไปตามคนมาช่วยนายอยู่”
ดวงตาคู่นั้นเปิดออก วงศ์ตะวันมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาพร่าพราย ทว่าเขายังมองเห็นความงดงามของดวงหน้าขาวใส ภายใต้หมวกแหลมทรงสูงประดับด้วยกระดุม เหรียญตราและลูดปัดหลากสีได้อย่างชัดเจน
“เธอเป็นใคร”เสียงถามนั้นแหบปนสั่น
“เฮาชื่ออามิ เฮาจะช่วยนาย อดทนก่อนนะ ลองกากำลังมาแล้ว”
แม้จะสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร แต่ชายหนุ่มก็ไม่ปริปากถาม ทำได้เพียงสงบนิ่งรอคอยตามคำหญิงสาวบอก ขณะที่มือใหญ่ยังเกาะกุมมือบอบบางไว้แน่น
เสียงเหยียบใบไม้ดังสวบสาบใกล้เข้ามา สักพักจึงปรากฏร่างของอาลูผะและชายหนุ่มรูปร่างสันทัดอีกคนซึ่งสวมเครื่องแต่งกายไม่ต่างจากพวกที่ตามล่าเขาเมื่อครู่
วงศ์ตะวันหันไปสบตาสาวน้อยที่นั่งอยู่เคียงข้าง มิรันตีสั่นหน้าก่อนอธิบาย “ไม่ต้องกลัวหรอกนาย คนนี้คือเพื่อนเราชื่อลองกา ไม่ใช่คนพวกนั้น”
“รีบพาเขาออกไปก่อนเถอะอามิ”ลองการีบบอก
“พาไปไหนกันลองกา”อาลูผะโพล่งถาม
“คงพาไปหาลุงหู่ลองในหมู่บ้านไม่ได้”มาลินวิเคราะห์
“ใช่ เฮาต้องพาเขาไปพักในกระท่อมท้ายไร่ก่อนถึงจะปลอดภัย”ลองกาตอบ
“งั้นเดี๋ยวอามิไปตามลุงหู่ลองเอง”มาลินขันอาสา
“ไม่ต้องหรอก มาช่วยดูลู่ทางนี่เถอะ พ่อของเฮากำลังต้มยาสมุนไพรอยู่ที่กระท่อม”ลองกาสรุปแล้วพยุงชายหนุ่มแปลกหน้าให้ลุกขึ้น ก่อนพากันโขยกเขยกออกไปตามทางเดินที่ดูขาวโพลนอยู่ใต้แสงจันทร์
“เราต้องตามไปไหมอามิ”อาลูผะหันมาถามบ้าง
ผู้ถูกถามพยักหน้า “ไปสิ เผื่อจะช่วยได้บ้าง ถ้าลูกน้องของพ่อตามมา”
ในความรู้สึกสะลึมสะลือ มือหนาใหญ่ถูกวางลงบนริมฝีปากของเขาแล้วกดหนักๆจนชายหนุ่มไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยได้ ไหนจะความเจ็บปวดบริเวณไหล่ซ้ายนั้นอีกเล่าที่ทำให้ชาหนึบไปจนตลอดลำตัว ขณะที่สองหูของวงศ์ตะวันได้ยินเสียงพูดคุยพึมพำ และเสียงฟืนถูกไฟเผาแตกดังเปรี๊ยะๆ
ชายหนุ่มพยายามลืมตาขึ้นด้วยความหนักอึ้ง เขามองเห็นชายแก่กำลังสาละวนทำอะไรบางอย่างอยู่บนแคร่ ขณะที่ชายหนุ่มอีกคนนั้นปิดปากเขาอยู่
วงศ์ตะวันพยายามดิ้นรนขยับกายหนี แต่ครู่เดียวความเจ็บปวดที่ถั่งโถมมาก็ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาดับสิ้นลง มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณไหล่ซ้าย อะไรบางอย่างกำลังกรีดเข้าไปในเนื้อของเขา ชายหนุ่มพยายามสะบัดมือและแข้งขาเพื่อหลีกหนีจากความเจ็บนั้น ทว่าทุกอย่างในร่างกายกลับถูกตรึงเอาไว้มั่น สุดท้ายวงศ์ตะวันก็ทำได้เพียงยินยอมรับสภาพความเจ็บปวดจนสลบไปอีกครั้งหนึ่ง
“เขาจะตายมั้ยลุงหู่ลอง” มาลินถามหลังจากปล่อยมือจากแขนกำยำและยกขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผม
พ่อหมอประจำเผ่าสั่นหน้าจนหนวดเคราสีขี้เถ้าสะบัดน้อยๆ “ไม่ตายหรอกอามิ แต่ถ้าเราไม่ผ่าลูกกระสุนออกให้สิ เขาคงไม่รอด”
“เขาจะสลบไปนานมั้ยพ่อ”ลองกาถาม
“ก็แล้วแต่สภาพร่างกายของเขานั่นแหละ ข้าเอาสมุนไพรโปะที่แผลให้แล้ว ไม่นานก็คงดีขึ้น”หู่ลองตอบ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เบาใจ อามิกลับเข้าบ้านก่อนนะลุงหู่ลอง ป่านนี้พ่อคงเป็นห่วงแย่แล้วล่ะ” มาลินลุกขึ้นยืน ปรับชายกระโปรงให้เข้าที่เล็กน้อยจึง
ดึงมืออาลูผะก้าวออกไปจากกระท่อมตามเส้นทางที่มองเห็นจากแสงจันทร์
สาวงามทั้งสองจูงมือกันเดินไปตามทางเดินคดเคี้ยวของแนวเขาอย่างไม่ยี่กระต่อความมืดมิด สายลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ ดอกหญ้าต้นสูงเกือบท่วมหัวไหวระริกราวกำลังเริงระบำตามท่วงทำนองเสียงดนตรีพื้นบ้านซึ่งดังอยู่ไกลๆ
ดวงตาเหม่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า หากใครจะรู้เล่าว่าในใจของมิรันตีมองเห็นใบหน้าของผู้ใด เขา…ผู้ที่เพียงสบตากันเพียงเสี้ยววินาที ไม่น่าเชื่อเลยว่า ดวงตาคมกริบคู่นั้นจะแทรกซึมอยู่ในหัวใจจนป่านนี้
แดดสีทองจางๆส่องลอดคาคบไม้มายังร่างระหงที่นั่งอยู่บนเครือเถาวัลย์ซึ่งทอดตัวลงมาแล้วเกี่ยวกระหวัดเป็นเกลียวเชือกขึ้นไปยังไม้เต็งต้นใหญ่เสียดสล้าง
ต่ำลงไป หญิงสาวอีกคนกำลังนั่งสาละวนกับการปั่นด้ายอยู่บนโขดหินพลางฮัมเพลงด้วยภาษาประจำเผ่าอย่างอารมณ์ดี
แดดเริ่มลับทิวเขาทางด้านหลัง แสงสีจางทอดตัวไกลออกไป เธอทั้งสองจึงพากันลุกขึ้น ก้าวตามทางเดินแคบๆ ซึ่งมีดอกหญ้าต้นสูงทว่าบอบบางเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว
ดวงตากลมโตของผู้เดินนำหน้าจับจ้องไปยังดอยสูงอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านผากิ่วแล้วคลี่ยิ้มจางๆ “อามิว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์มาให้เด็กๆเรียนนะอาลูผะ”
ดวงตายาวรีของผู้ฟังเลิกขึ้นสูงขณะหันขวับไปมองเพื่อน“จะดีเหรอมาลิน”
ผู้ถูกเรียกว่ามาลินทำหน้ามุ่ย“บอกแล้วไงว่าให้เรียกชื่อเล่น อามิ ตามเดิม”
อาลูผะหยุดเดินเสียดื้อๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับมือเรียวเฉลาของเพื่อนมากุมไว้“แต่ลุงกาเนสั่งให้เรียกอามิ ว่ามาลินนี่นา”
“เฮ้อ” มาลินเบะปากทำท่าเหม็นเบื่อ“ไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไร ถึงอยากให้อามิเป็นคนเมืองเสียจัง ถึงได้สั่งทุกคนให้เรียกเหมือนที่อาลูผะว่า”
“ลุงกาเนคงจะมีเหตุผลแหละ ทุกคนในเผ่าเราถึงเชื่อถือพ่อของมา…ละ…เอ่อ อามิมาก”อาลูผะแก้ต่างให้
มาลินสั่นหน้า เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของบิดานัก หญิงสาวเติบโตขึ้นท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาและเข้าใจมาตลอดว่าตนเองเป็นชนเผ่าอีก้อ อีกทั้งภาคภูมิใจในเชื้อสายของตนอยู่เสมอ แม้จะถูกส่งไปเรียนต่อในเมืองจนจบมหาวิทยาลัยเธอก็ไม่เคยปกปิดชาติกำเนิดของตน แต่บิดานี่สิกลับพยายามให้หญิงสาวทำตัวเป็นคนเมืองอยู่ตลอดเวลา พยายามเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามและสอนการวางตัวที่แตกต่างจากคนในเผ่า มิรันตีเคยคิดว่าพ่อกาเนของเธอภาคภูมิใจความเป็นคนเมืองของภรรยามาก จึงต้องการให้ลูกสาวคนเดียวดำเนินรอยตามบ้าง ในวันนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองคิดไม่ผิดแม้แต่น้อย
“ลุงกาเนคงอยากให้อามิมีอนาคตที่ดี เจอผู้ชายดีๆ ไม่ต้องมาทำสวนทำไร่เหมือนคนเผ่าเรากระมัง” อาลูผะเดา
“อยู่แบบนี้อามิก็ไม่ต้องทำสวนนี่ คอยรับซื้อของในไร่ไปขาย หรือทำสัมปทานป่าไม้แบบพ่อก็ได้นี่นา”มาลินเถียง
“เอาเถอะน่า ผู้ใหญ่ต้องมองการไกลกว่าเราสิ ลุงกาเนรักอามิมาก ไม่งั้นตอนส่งอามิไปเรียนต่อในกรุงเทพฯคงไม่ลงทุนให้อาลูผะตามไปด้วยหรอก”
ปัง…ปัง !!
เสียงปืนดังขึ้นกลางป่าลึก หญิงสาวทั้งสองจึงเงียบเสียงลง จ้องหน้ากันอยู่ครู่ใหญ่ มาลินจึงเอ่ยขึ้นก่อน“ใครล่าสัตว์อีกแล้วล่ะ”
“นั่นสิ หรือจะเป็นลองกา” อาลูผะหมายถึงเพื่อนสนิทของเธอทั้งสองซึ่งเป็นนักล่าสัตว์ตัวยง เนื่องจากชายหนุ่มดำเนินรอยตามหู่ลองบิดาผู้เป็นพรานป่าและหมอประจำเผ่า
“ไปอาบน้ำที่น้ำตกกันเถอะ อยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”มาลินเปลี่ยนเรื่อง
“อ้าว แล้วทำไมอามิไม่กลับไปอาบน้ำที่บ้าน”เพื่อนสาวท้วง ด้วยรู้ดีว่าลุงกาเนนั้นหวงลูกสาวเพียงใด จึงห้ามมิให้มาลินออกไปอาบน้ำที่น้ำตกดังชาว
อีก้อคนอื่นๆ แล้วสร้างห้องอาบน้ำอันหรูหราเอาไว้ในบ้านหรือจะเรียกให้ถูกคือคฤหาสน์กลางป่าของเธอกับมารดาอีกด้วย
“ไม่ล่ะ วันนี้อามิอยากอาบน้ำที่นี่”
“ดื้อจริงๆ”
“ช่วยไม่ได้ ก็อามิไม่เห็นว่าการที่เราดำเนินชีวิตแบบอีก้อจะผิดตรงไหนนี่”
“จ้ะ แม่คนรักถิ่นเกิด งั้นก็รีบไปกันเถอะ ถ้าแดดลับ น้ำคงจะเย็นมากขึ้น หน้าฝนแบบนี้น้ำไม่อุ่นไอดินเหมือนหน้าหนาวนะอามิ”
มาลินยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆเรียงเรียบ ก่อนเดินแกมวิ่งตามแสงแดดอ่อนลงจากดอยไปด้วยความพึงพอใจ
สายน้ำอันไหลเรื่อยกระเซ็นเป็นฟองฟู่เมื่อพ้นจากหน้าผาสูงร่วงหล่นลงสู่ชะง่อนหินเบื้องล่าง เสียงน้ำสาดซ่าแทรกเจือด้วยเสียงกรีดปีกของแมลงฟังดูคล้ายเสียงดนตรีซึ่งบรรเลงด้วยฝีมือแห่งธรรมชาติ นานๆทีจะมีเสียงหัวเราะสดใสประสานกันคิกคักดังขึ้นจากสองสาวผู้กำลังเริงร่าอยู่ท่ามกลางสายน้ำ
“ใกล้ค่ำแล้วกลับกันหรือยังอามิ” อาลูผะชวนเมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว
“กำลังสนุกเลยอาลูผะ” มาลินค้านอย่างเอาแต่ใจ พลางวักน้ำใส่เพื่อนจ้าละหวั่น
อาลูผะทำตาม แล้วจึงว่ายหนีกลับขึ้นฝั่ง มาลินหัวเราะคิกคักก่อนจะชะงักเมื่อเห็นต้นจำปีป่าสั่นไหวราวกับมีใครมาเขย่า ดวงตากลมโตจดจ้องอย่างระมัดระวังยามที่เห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงสีดำกำลังเซถลามาปะทะต้นประดู่โดยแรงจนฟ้ามุ่ยช่อโตบนคาคบสั่นสะเทือน
หญิงสาวใช้สองมือโอบร่างกลมกลึงของตนแน่น ราวกับมือน้อยจะสามารถอำพรางเรือนร่างเปล่าเปลือยเอาไว้ได้ ยิ่งยามที่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหันมา สายตาคมปลาบคู่นั้นยิ่งทำให้หนาวเยือกเข้าไปในอก ทว่าเมื่อหญิงสาวกวาดมองทั่วร่างของเขากลับพบว่า บริเวณไหล่ซ้ายของชายหนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด อา…เสียงปืนเมื่อครู่นี้นั่นเอง
“เกิดอะไรขึ้นกับนาย”มิรันตีถามแทรกเสียงน้ำ
ชายหนุ่มไม่ตอบกลับยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นทำนองให้เงียบเสียง จังหวะเดียวกับที่เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังใกล้เข้ามา หญิงสาวพอปะติดปะต่อความคิดได้จึงกวักมือเรียกเพื่อนของตนซึ่งเพิ่งแต่งตัวเสร็จ อาลูผะเดินอ้อมไปหาอีกฝ่ายแล้วอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นหนุ่มหล่อกำลังพยายามหลบเร้นอยู่ข้างโขดหิน
“อย่าเพิ่งถามอะไร พาเขาหลบไปก่อนเถอะ”มาลินรีบบอก
อาลูผะพยักหน้า แล้วเข้าไปพยุงชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าไปหลบในดงไม้ที่มีไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมก่อนกลับมานั่งปั่นด้ายอยู่บนโขดหินข้างน้ำตกตามเดิม
เสียงพูดคุยและฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่นานชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อแขนยาวผ่าหน้าสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ สวมกางเกงผ้าฝ้ายและหมวกสีเดียวกันเกือบสิบคนก็มาถึง หลายคนทำท่าลุกลี้ลุกลนค้นหาอะไรบางอย่าง อาลูผะจึงร้องถาม “พวกสูทำอะไรกัน”
“สูเห็นคนถูกยิงผ่านมาทางนี้มั้ยอาลูผะ” ชายร่างล่ำเตี้ยซึ่งถือปืนยาวถามเสียงดังลั่น
“ไม่มีหรอก พวกสูรีบออกไปจากตรงนี้เลยนะ”เธอรีบบอก
“ไม่ได้ หมู่เฮากำลังตามหาคนอยู่” ชายคนเดิมตอบเสียงเข้ม
“ ไม่งั้นเฮาจะบอกลุงกาเน”
“ก็ท่านกาเนแหละที่สั่งพวกเฮาให้ตามล่ามัน” ชายร่างสูงหน้าเสี้ยมตอบแทน
“แต่ลุงกาเนคงจะโกรธมากถ้ารู้ว่าพวกสูมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆน้ำตก ช่วงที่อามิอาบน้ำอยู่น่ะสิ” อาลูผะทำขึ้นจมูกอย่างเป็นต่อ
ชายกลางคนทั้งหมดเริ่มถอยกรูด หันไปปรึกษากันอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงสลายตัวออกไปค้นหาทางอื่น
เห็นดังนั้นมาลินจึงทำท่าโล่งอก เหลือบมองไปยังจุดที่ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ ก่อนหันไปหาเพื่อนที่รอท่าอยู่ “อาลูผะรีบไปตามลองกามาเถอะ”
“แล้วอามิล่ะ จะอยู่กับเจ้าคนนี้ได้เหรอ”
“ไม่เป็นไร อาลูผะเอาเสื้อผ้าไปวางไว้ฝั่งโน้นหน่อย แล้วรีบทำตามที่บอกเถอะ เริ่มมืดค่ำละ”
เมื่อสวมเสื้อผ้าจนมิดชิดดีแล้ว มิรันตีจึงเดินลุยน้ำตกข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแนวป่าซึ่งชายแปลกหน้าซ่อนตัวอยู่
พุ่มไม้ใหญ่นั้นดูสงบเงียบ ครั้นหญิงสาวแหวกใบไม้เข้าไปจึงพบว่า ร่างสูงโปร่งของชายผู้นั้นกำลังอยู่ในอาการสลบไสล รอยเลือดยังคงเกรอะกรังส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง มาลินถอยหลังออกมานั่งรอ พลางพิศดูเสี้ยวหน้านั้นด้วยแววตาอ่อนโยน
เขาคงไม่ใช่คนร้ายหรอกกระมัง ดูจากการแต่งตัวแล้วชายหนุ่มน่าจะเป็นคนจากในเมืองมากกว่าชาวชนเผ่าซึ่งอาศัยอยู่แถบนี้
ดวงตาที่หลับพริ้มอยู่นั้นขยับเพียงเล็กน้อย เมื่อริมฝีปากสีสดครางออกมาเบาๆ ขณะมือใหญ่เอื้อมไปลูบเหนือรอยแผลแผ่วเบา หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้คว้ามือใหญ่นั้นมากุมไว้ พลางบอก “อย่าจับแผล มันสกปรก ทนนิดนึงนะ อาลูผะกำลังไปตามคนมาช่วยนายอยู่”
ดวงตาคู่นั้นเปิดออก วงศ์ตะวันมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาพร่าพราย ทว่าเขายังมองเห็นความงดงามของดวงหน้าขาวใส ภายใต้หมวกแหลมทรงสูงประดับด้วยกระดุม เหรียญตราและลูดปัดหลากสีได้อย่างชัดเจน
“เธอเป็นใคร”เสียงถามนั้นแหบปนสั่น
“เฮาชื่ออามิ เฮาจะช่วยนาย อดทนก่อนนะ ลองกากำลังมาแล้ว”
แม้จะสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร แต่ชายหนุ่มก็ไม่ปริปากถาม ทำได้เพียงสงบนิ่งรอคอยตามคำหญิงสาวบอก ขณะที่มือใหญ่ยังเกาะกุมมือบอบบางไว้แน่น
เสียงเหยียบใบไม้ดังสวบสาบใกล้เข้ามา สักพักจึงปรากฏร่างของอาลูผะและชายหนุ่มรูปร่างสันทัดอีกคนซึ่งสวมเครื่องแต่งกายไม่ต่างจากพวกที่ตามล่าเขาเมื่อครู่
วงศ์ตะวันหันไปสบตาสาวน้อยที่นั่งอยู่เคียงข้าง มิรันตีสั่นหน้าก่อนอธิบาย “ไม่ต้องกลัวหรอกนาย คนนี้คือเพื่อนเราชื่อลองกา ไม่ใช่คนพวกนั้น”
“รีบพาเขาออกไปก่อนเถอะอามิ”ลองการีบบอก
“พาไปไหนกันลองกา”อาลูผะโพล่งถาม
“คงพาไปหาลุงหู่ลองในหมู่บ้านไม่ได้”มาลินวิเคราะห์
“ใช่ เฮาต้องพาเขาไปพักในกระท่อมท้ายไร่ก่อนถึงจะปลอดภัย”ลองกาตอบ
“งั้นเดี๋ยวอามิไปตามลุงหู่ลองเอง”มาลินขันอาสา
“ไม่ต้องหรอก มาช่วยดูลู่ทางนี่เถอะ พ่อของเฮากำลังต้มยาสมุนไพรอยู่ที่กระท่อม”ลองกาสรุปแล้วพยุงชายหนุ่มแปลกหน้าให้ลุกขึ้น ก่อนพากันโขยกเขยกออกไปตามทางเดินที่ดูขาวโพลนอยู่ใต้แสงจันทร์
“เราต้องตามไปไหมอามิ”อาลูผะหันมาถามบ้าง
ผู้ถูกถามพยักหน้า “ไปสิ เผื่อจะช่วยได้บ้าง ถ้าลูกน้องของพ่อตามมา”
ในความรู้สึกสะลึมสะลือ มือหนาใหญ่ถูกวางลงบนริมฝีปากของเขาแล้วกดหนักๆจนชายหนุ่มไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยได้ ไหนจะความเจ็บปวดบริเวณไหล่ซ้ายนั้นอีกเล่าที่ทำให้ชาหนึบไปจนตลอดลำตัว ขณะที่สองหูของวงศ์ตะวันได้ยินเสียงพูดคุยพึมพำ และเสียงฟืนถูกไฟเผาแตกดังเปรี๊ยะๆ
ชายหนุ่มพยายามลืมตาขึ้นด้วยความหนักอึ้ง เขามองเห็นชายแก่กำลังสาละวนทำอะไรบางอย่างอยู่บนแคร่ ขณะที่ชายหนุ่มอีกคนนั้นปิดปากเขาอยู่
วงศ์ตะวันพยายามดิ้นรนขยับกายหนี แต่ครู่เดียวความเจ็บปวดที่ถั่งโถมมาก็ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาดับสิ้นลง มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณไหล่ซ้าย อะไรบางอย่างกำลังกรีดเข้าไปในเนื้อของเขา ชายหนุ่มพยายามสะบัดมือและแข้งขาเพื่อหลีกหนีจากความเจ็บนั้น ทว่าทุกอย่างในร่างกายกลับถูกตรึงเอาไว้มั่น สุดท้ายวงศ์ตะวันก็ทำได้เพียงยินยอมรับสภาพความเจ็บปวดจนสลบไปอีกครั้งหนึ่ง
“เขาจะตายมั้ยลุงหู่ลอง” มาลินถามหลังจากปล่อยมือจากแขนกำยำและยกขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผม
พ่อหมอประจำเผ่าสั่นหน้าจนหนวดเคราสีขี้เถ้าสะบัดน้อยๆ “ไม่ตายหรอกอามิ แต่ถ้าเราไม่ผ่าลูกกระสุนออกให้สิ เขาคงไม่รอด”
“เขาจะสลบไปนานมั้ยพ่อ”ลองกาถาม
“ก็แล้วแต่สภาพร่างกายของเขานั่นแหละ ข้าเอาสมุนไพรโปะที่แผลให้แล้ว ไม่นานก็คงดีขึ้น”หู่ลองตอบ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เบาใจ อามิกลับเข้าบ้านก่อนนะลุงหู่ลอง ป่านนี้พ่อคงเป็นห่วงแย่แล้วล่ะ” มาลินลุกขึ้นยืน ปรับชายกระโปรงให้เข้าที่เล็กน้อยจึง
ดึงมืออาลูผะก้าวออกไปจากกระท่อมตามเส้นทางที่มองเห็นจากแสงจันทร์
สาวงามทั้งสองจูงมือกันเดินไปตามทางเดินคดเคี้ยวของแนวเขาอย่างไม่ยี่กระต่อความมืดมิด สายลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ ดอกหญ้าต้นสูงเกือบท่วมหัวไหวระริกราวกำลังเริงระบำตามท่วงทำนองเสียงดนตรีพื้นบ้านซึ่งดังอยู่ไกลๆ
ดวงตาเหม่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า หากใครจะรู้เล่าว่าในใจของมิรันตีมองเห็นใบหน้าของผู้ใด เขา…ผู้ที่เพียงสบตากันเพียงเสี้ยววินาที ไม่น่าเชื่อเลยว่า ดวงตาคมกริบคู่นั้นจะแทรกซึมอยู่ในหัวใจจนป่านนี้