นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า
เมื่อ: เสาร์ 16 ก.พ. 2013 3:09 pm
ตอนที่ ๑
อาคารชั้นเดียวสีขาวหลังย่อมตั้งอยู่ข้างประตูรั้วอัลลอยด์ดูโดดเด่นตัดกับสีเขียวชอุ่มของสนามหญ้าญี่ปุ่นกว้างใหญ่ ซึ่งปลูกเป็นแนวไปจนจรดเทอเรซของตึกสีครีมสองชั้นที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่น ทำให้รู้ถึงรสนิยมผู้เป็นเจ้าของว่าหลงใหลในธรรมชาติสักเพียงใด
ลำแสงสีทองจางๆส่องลอดกิ่งชมพูพันธ์ทิพย์ลงมาเป็นทางยาว เรือนร่างได้สัดส่วนในชุดเสื้อลายสก็อตแขนกุดสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีครีมจึงต้องย้ายทำเลจากที่ยืนสำรวจด้านนอกสำนักงาน เข้าไปทรุดนั่งลงบนชุดรับแขกสีน้ำตาลในตัวอาคารแทน
เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากด้านหลังประตูแบบบานพับอันเป็นโซนห้องทำงานที่มีโต๊ะตั้งอยู่ 5 ตัว ติดกับห้องส่วนตัวของเธอและพี่กฤตินซึ่งอยู่เยื้องไปทางปีกขวา
น้ำบุศย์และกฤตินพี่ชายของเธอมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ ต้องการจัดตั้งสำนักงานนักสืบ เนื่องจากกฤตินนั้นเป็นอดีตนายตำรวจ แต่ด้วยความเบื่อหน่ายต่อระบบราชการทำให้เขาหันกลับมารับผิดชอบธุรกิจของครอบครัวแทน ทว่าชายหนุ่มก็ยังแอบซ่อนความฝันเล็กๆว่าอยากมีสำนักงานนักสืบเป็นของตนเอง ดังนั้นทันทีที่น้ำบุศย์น้องสาวคนเดียวของเขาเรียนจบและเธอเห็นดีเห็นงามด้วย แน่นอนความฝันอันเลือนรางย่อมผนวกกันเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เสียงหัวเราะดังมาไม่ขาดสาย ขณะที่น้ำบุศย์หันมองไปรอบๆสำนักงานนักสืบบุศยาอย่างพึงพอใจ อาคารหลังนี้มีการจัดตกแต่งอย่างสวยงามและเป็นสัดส่วน โดยเฉพาะบริเวณที่เธอนั่งอยู่ซึ่งเป็นมุมรับแขกอันแสนเรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ด้วยดอกไม้สีสดที่เด่นไสวอยู่กลางห้องอันประดับประดาด้วยกระจกรอบทิศ มีผ้าม่านลูกไม้สีขาวยาวระพื้นคอยบังแสงแดด ทั้งยังทำให้ห้องเรียบๆนี้ดูอ่อนหวานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆหลังจากหญิงสาวเอนหลังพิงโซฟาตัวยาว ดวงตามองเหม่อทะลุกระจกหน้าต่างไปยังพื้นสนามซึ่งดอกชมพูพันธ์ทิพย์ร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด พลางนึกถึงคำพูดของบิดาในวันที่สองพี่น้องปรารภถึงการจัดตั้งสำนักงานนักสืบแห่งนี้
“พ่อไม่เห็นด้วยหรอกนะ ติน น้ำ” คุณอภิสัยหันมองลูกทั้งสองสลับกันก่อนเอ่ยต่อ “งานนักสืบน่ะมีแต่คนในละครหรือในนิยายเท่านั้นแหละที่จะประสบความสำเร็จ ใครมันจะมาสืบอะไรกันนักหนา ถ้าลูกอยากมีกิจการที่สร้างขึ้นกับมือของตัวเองก็หาอะไรที่คนจำเป็นต้องกินต้องใช้สิ อย่างเช่น ร้านอาหาร โรงงานน้ำดื่ม แบบนี้ถึงจะอยู่ได้”
“แต่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่น้ำกับพี่ตินอยากทำนะคะคุณพ่อ” น้ำบุศย์ทำหน้าง้ำโพล่งขึ้นเมื่อถูกขัดใจ พ่อของเธอก็เป็นแบบนี้ทุกทีแหละ อะไรที่ตัวเองคิดว่าไม่ดี ไม่ใช่ ก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมลูกเมียให้เชื่อตาม ดีที่ยังไม่เผด็จการเท่านั้นแหละ
“ชีวิตคนนะลูก ไม่มีใครสามารถทำตามใจอยากได้ทั้งหมดหรอก อีกอย่างที่พ่อห่วงที่สุดก็คือน้ำนี่แหละ น้ำเป็นผู้หญิง ช่วงนี้พี่ตินเขามัวแต่ดูแลโครงการบ้านจัดสรร จะให้มาตามเราไปสืบโน่นสืบนี่ไม่ได้หรอกนะ”
“เรามีทีมงานของเราอยู่แล้วครับคุณพ่อ”กฤตินเสริมขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าหน้าน้องสาวชักจะหงิกเป็นใบผักกูดขึ้นทุกทีๆ
คุณอภิสัยยกมือขึ้นกอดอกแล้วจึงยิ้มเยือกเย็น นึกในใจว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง เขาควรจะปล่อยให้ลูกๆเรียนรู้ปัญหาด้วยตนเองจะดีกว่า“เอาล่ะ ถ้าลูกมั่นอกมั่นใจกันขนาดนั้นล่ะก็ ลองดู แต่พ่อไม่ให้ไปเปิดสำนักงานไกลๆหรอกนะ ตั้งมันที่หน้าบ้านเรานี่แหละ”
คิ้วเรียวของลูกสาวคนเล็กเลิกขึ้นสูงลิบ “แต่บ้านเราไม่ใช่ที่ชุมชนนะคะคุณพ่อ ทำเลดีๆมันต้องย่านที่คนพลุกพล่านกว่านี้”
บิดาหัวเราะหึๆตอบเสียงเข้ม “บ้านเราก็ติดถนนใหญ่ เป็นทางผ่าน สะดวกสบาย ไม่ได้ไกลปืนเที่ยง พ่อจะให้โอกาสพวกแกสัก 3 เดือน ถ้ายังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตาตินก็ต้องทำงานให้พ่ออย่างเดียว ส่วนยายน้ำก็ต้องเรียนต่อจนได้เป็นอัยการ ตกลงไหม”
น้ำบุศย์กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ หันมองพี่ชายอย่างขอความคิดเห็น กฤตินส่งยิ้มมาให้ด้วยท่าทีไม่ยี่หระ หญิงสาวจึงสูดลมหายใจลึกๆก่อนพยักหน้า “ตกลงค่ะ น้ำสัญญาว่าถ้าไปไม่รอด น้ำจะยอมเป็นอัยการเหมือนที่คุณพ่ออยากให้เป็นแน่นอนค่ะ”
พี่ตินน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ถึงสำนักงานนักสืบจะไปรอดไม่รอดก็อยู่ตัว แต่เธอนี่สิ ตอนแรกอยากเรียนศิลปะบิดาก็หาว่าเป็นงานที่ไม่มั่นคง อยากเป็นตำรวจหญิงมารดาก็บ่นว่าอันตราย อยากให้เรียนนิติศาสตร์มากกว่า เมื่อเธอยอมทำตามใจท่านแล้ว พอเรียนจบเบนเข็มมาเป็นนักสืบ ท่านก็ไม่น่าจะมาขัดแข้งขัดขาอีก เฮ้อ...
เพล้ง!
เสียงขวดหล่นกระทบพื้นดังกังวาน หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดขึ้นเดินไปชะโงกที่ประตู ได้ยินเพียงเสียงหวีดร้องของภูมิชญาหนุ่มร่างใหญ่หัวใจสาวและเสียงขอโทษขอโพยของพริมาภานักสืบสาวเพื่อนของเธอดังมาจากทางด้านหลัง จึงส่งเสียงร้องถามออกไปดังๆว่า “อะไรแตกเหรอ พรีม”
สาวแว่นร่างบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกระโปรงลายพร้อยสีชมพูจึงทำหน้าเจื่อนๆชะโงกหน้าออกมาตอบ “ขวดน้ำมันหอยน่ะ”
“น้ำมันหอยอะไรมาอยู่ที่นี่ ในสำนักงานเราไม่มีห้องครัวนะ”
“พรีมซื้อมาเองแหละ เห็นมันลดราคาก็เลยซื้อมาตั้ง 5 ขวด”
“แล้วนี่แตกไปกี่ขวด”เจ้าของสำนักงานซักต่อ
พริมาภายกมือขึ้นเสยผมที่ตกลงมาระใบหน้าก่อนตอบเสียงเบาหวิว “แตกหมดเลย”
“มา เดี๋ยวน้ำไปช่วยเก็บ”
พริมาภารีบสั่นหน้าด้วยความเกรงใจแล้วดันเพื่อนกลับเข้าไปยังห้องเดิม “ไม่ต้องหรอก พรีมมีคำแพงคอยช่วยอยู่แล้วนี่”เธอหมายถึงแม่บ้านประจำสำนักงานบุศยาที่ยืมตัวมาจากตึกใหญ่นั่นเอง
น้ำบุศย์ก้มหน้าซ่อนยิ้ม พลางโบกไม้โบกมือ “งั้นรีบไปทำความสะอาดต่อเถอะ หยึย คงมันเยิ้มเลยสิเนี่ย” พูดพลางทำท่าประกอบก่อนจะหมุนตัวกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง มองคนสวนของบิดาที่กำลังขะมักเขม้นกับการจัดแต่งสวนน้ำตกให้เป็นโซนป่าลึกตามที่บิดาของเธอสั่งอย่างสนใจ
อาคารชั้นเดียวสีขาวหลังย่อมตั้งอยู่ข้างประตูรั้วอัลลอยด์ดูโดดเด่นตัดกับสีเขียวชอุ่มของสนามหญ้าญี่ปุ่นกว้างใหญ่ ซึ่งปลูกเป็นแนวไปจนจรดเทอเรซของตึกสีครีมสองชั้นที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่น ทำให้รู้ถึงรสนิยมผู้เป็นเจ้าของว่าหลงใหลในธรรมชาติสักเพียงใด
ลำแสงสีทองจางๆส่องลอดกิ่งชมพูพันธ์ทิพย์ลงมาเป็นทางยาว เรือนร่างได้สัดส่วนในชุดเสื้อลายสก็อตแขนกุดสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีครีมจึงต้องย้ายทำเลจากที่ยืนสำรวจด้านนอกสำนักงาน เข้าไปทรุดนั่งลงบนชุดรับแขกสีน้ำตาลในตัวอาคารแทน
เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากด้านหลังประตูแบบบานพับอันเป็นโซนห้องทำงานที่มีโต๊ะตั้งอยู่ 5 ตัว ติดกับห้องส่วนตัวของเธอและพี่กฤตินซึ่งอยู่เยื้องไปทางปีกขวา
น้ำบุศย์และกฤตินพี่ชายของเธอมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ ต้องการจัดตั้งสำนักงานนักสืบ เนื่องจากกฤตินนั้นเป็นอดีตนายตำรวจ แต่ด้วยความเบื่อหน่ายต่อระบบราชการทำให้เขาหันกลับมารับผิดชอบธุรกิจของครอบครัวแทน ทว่าชายหนุ่มก็ยังแอบซ่อนความฝันเล็กๆว่าอยากมีสำนักงานนักสืบเป็นของตนเอง ดังนั้นทันทีที่น้ำบุศย์น้องสาวคนเดียวของเขาเรียนจบและเธอเห็นดีเห็นงามด้วย แน่นอนความฝันอันเลือนรางย่อมผนวกกันเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เสียงหัวเราะดังมาไม่ขาดสาย ขณะที่น้ำบุศย์หันมองไปรอบๆสำนักงานนักสืบบุศยาอย่างพึงพอใจ อาคารหลังนี้มีการจัดตกแต่งอย่างสวยงามและเป็นสัดส่วน โดยเฉพาะบริเวณที่เธอนั่งอยู่ซึ่งเป็นมุมรับแขกอันแสนเรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ด้วยดอกไม้สีสดที่เด่นไสวอยู่กลางห้องอันประดับประดาด้วยกระจกรอบทิศ มีผ้าม่านลูกไม้สีขาวยาวระพื้นคอยบังแสงแดด ทั้งยังทำให้ห้องเรียบๆนี้ดูอ่อนหวานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆหลังจากหญิงสาวเอนหลังพิงโซฟาตัวยาว ดวงตามองเหม่อทะลุกระจกหน้าต่างไปยังพื้นสนามซึ่งดอกชมพูพันธ์ทิพย์ร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด พลางนึกถึงคำพูดของบิดาในวันที่สองพี่น้องปรารภถึงการจัดตั้งสำนักงานนักสืบแห่งนี้
“พ่อไม่เห็นด้วยหรอกนะ ติน น้ำ” คุณอภิสัยหันมองลูกทั้งสองสลับกันก่อนเอ่ยต่อ “งานนักสืบน่ะมีแต่คนในละครหรือในนิยายเท่านั้นแหละที่จะประสบความสำเร็จ ใครมันจะมาสืบอะไรกันนักหนา ถ้าลูกอยากมีกิจการที่สร้างขึ้นกับมือของตัวเองก็หาอะไรที่คนจำเป็นต้องกินต้องใช้สิ อย่างเช่น ร้านอาหาร โรงงานน้ำดื่ม แบบนี้ถึงจะอยู่ได้”
“แต่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่น้ำกับพี่ตินอยากทำนะคะคุณพ่อ” น้ำบุศย์ทำหน้าง้ำโพล่งขึ้นเมื่อถูกขัดใจ พ่อของเธอก็เป็นแบบนี้ทุกทีแหละ อะไรที่ตัวเองคิดว่าไม่ดี ไม่ใช่ ก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมลูกเมียให้เชื่อตาม ดีที่ยังไม่เผด็จการเท่านั้นแหละ
“ชีวิตคนนะลูก ไม่มีใครสามารถทำตามใจอยากได้ทั้งหมดหรอก อีกอย่างที่พ่อห่วงที่สุดก็คือน้ำนี่แหละ น้ำเป็นผู้หญิง ช่วงนี้พี่ตินเขามัวแต่ดูแลโครงการบ้านจัดสรร จะให้มาตามเราไปสืบโน่นสืบนี่ไม่ได้หรอกนะ”
“เรามีทีมงานของเราอยู่แล้วครับคุณพ่อ”กฤตินเสริมขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าหน้าน้องสาวชักจะหงิกเป็นใบผักกูดขึ้นทุกทีๆ
คุณอภิสัยยกมือขึ้นกอดอกแล้วจึงยิ้มเยือกเย็น นึกในใจว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง เขาควรจะปล่อยให้ลูกๆเรียนรู้ปัญหาด้วยตนเองจะดีกว่า“เอาล่ะ ถ้าลูกมั่นอกมั่นใจกันขนาดนั้นล่ะก็ ลองดู แต่พ่อไม่ให้ไปเปิดสำนักงานไกลๆหรอกนะ ตั้งมันที่หน้าบ้านเรานี่แหละ”
คิ้วเรียวของลูกสาวคนเล็กเลิกขึ้นสูงลิบ “แต่บ้านเราไม่ใช่ที่ชุมชนนะคะคุณพ่อ ทำเลดีๆมันต้องย่านที่คนพลุกพล่านกว่านี้”
บิดาหัวเราะหึๆตอบเสียงเข้ม “บ้านเราก็ติดถนนใหญ่ เป็นทางผ่าน สะดวกสบาย ไม่ได้ไกลปืนเที่ยง พ่อจะให้โอกาสพวกแกสัก 3 เดือน ถ้ายังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตาตินก็ต้องทำงานให้พ่ออย่างเดียว ส่วนยายน้ำก็ต้องเรียนต่อจนได้เป็นอัยการ ตกลงไหม”
น้ำบุศย์กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ หันมองพี่ชายอย่างขอความคิดเห็น กฤตินส่งยิ้มมาให้ด้วยท่าทีไม่ยี่หระ หญิงสาวจึงสูดลมหายใจลึกๆก่อนพยักหน้า “ตกลงค่ะ น้ำสัญญาว่าถ้าไปไม่รอด น้ำจะยอมเป็นอัยการเหมือนที่คุณพ่ออยากให้เป็นแน่นอนค่ะ”
พี่ตินน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ถึงสำนักงานนักสืบจะไปรอดไม่รอดก็อยู่ตัว แต่เธอนี่สิ ตอนแรกอยากเรียนศิลปะบิดาก็หาว่าเป็นงานที่ไม่มั่นคง อยากเป็นตำรวจหญิงมารดาก็บ่นว่าอันตราย อยากให้เรียนนิติศาสตร์มากกว่า เมื่อเธอยอมทำตามใจท่านแล้ว พอเรียนจบเบนเข็มมาเป็นนักสืบ ท่านก็ไม่น่าจะมาขัดแข้งขัดขาอีก เฮ้อ...
เพล้ง!
เสียงขวดหล่นกระทบพื้นดังกังวาน หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดขึ้นเดินไปชะโงกที่ประตู ได้ยินเพียงเสียงหวีดร้องของภูมิชญาหนุ่มร่างใหญ่หัวใจสาวและเสียงขอโทษขอโพยของพริมาภานักสืบสาวเพื่อนของเธอดังมาจากทางด้านหลัง จึงส่งเสียงร้องถามออกไปดังๆว่า “อะไรแตกเหรอ พรีม”
สาวแว่นร่างบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกระโปรงลายพร้อยสีชมพูจึงทำหน้าเจื่อนๆชะโงกหน้าออกมาตอบ “ขวดน้ำมันหอยน่ะ”
“น้ำมันหอยอะไรมาอยู่ที่นี่ ในสำนักงานเราไม่มีห้องครัวนะ”
“พรีมซื้อมาเองแหละ เห็นมันลดราคาก็เลยซื้อมาตั้ง 5 ขวด”
“แล้วนี่แตกไปกี่ขวด”เจ้าของสำนักงานซักต่อ
พริมาภายกมือขึ้นเสยผมที่ตกลงมาระใบหน้าก่อนตอบเสียงเบาหวิว “แตกหมดเลย”
“มา เดี๋ยวน้ำไปช่วยเก็บ”
พริมาภารีบสั่นหน้าด้วยความเกรงใจแล้วดันเพื่อนกลับเข้าไปยังห้องเดิม “ไม่ต้องหรอก พรีมมีคำแพงคอยช่วยอยู่แล้วนี่”เธอหมายถึงแม่บ้านประจำสำนักงานบุศยาที่ยืมตัวมาจากตึกใหญ่นั่นเอง
น้ำบุศย์ก้มหน้าซ่อนยิ้ม พลางโบกไม้โบกมือ “งั้นรีบไปทำความสะอาดต่อเถอะ หยึย คงมันเยิ้มเลยสิเนี่ย” พูดพลางทำท่าประกอบก่อนจะหมุนตัวกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง มองคนสวนของบิดาที่กำลังขะมักเขม้นกับการจัดแต่งสวนน้ำตกให้เป็นโซนป่าลึกตามที่บิดาของเธอสั่งอย่างสนใจ