โดย น้ำฟ้า » ศุกร์ 08 มี.ค. 2013 7:11 am
บทที่ ๗
“ให้คนงานยกเข่งส้มขึ้นรถได้เลยนะจอห์น”ชายหนุ่มในชุดยีนที่เพิ่งก้าวเร็วๆเข้ามาในโกดังตะโกนเร่งหนุ่มร่างเล็กซึ่งกำลังสาละวนกับการชั่งน้ำหนักส้มเกรดเออยู่กับคนงานคนอื่นๆ
จอห์นเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าโกดังคนใหม่ พลางยกแขนขวาขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกกหูก่อนรับคำ “ครับ คุณนนท์”
“ฝากด้วยนะ”นันทวัชร์ทิ้งท้าย แล้วจึงเดินลิ่วๆกลับไปขึ้นรถปิ๊กอัพสีดำคันใหญ่ก่อนพามันเคลื่อนเข้าไปยังโซนไร่ดอกไม้ เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยของคนงานที่มีหน้าที่จัดเตรียมไม้ดอกเมืองหนาวก่อนส่งขาย
แดดยามเย็นอ่อนแสงลงมากแล้ว รถปิ๊กอัพคันงามจึงจอดสนิทบนถนนด้านหน้าโรงเรือนโล่งกว้างซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าไร่ดอกไม้นานาชนิดของไร่เคียงดอย
โรงเรือนที่ว่าเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่กว้าง 10x8 เมตร เป็นโรงเรือนโล่งๆไม่มีผนัง ยกเว้นบริเวณที่เป็นห้องเก็บของเท่านั้นที่ดูมิดชิดกว่าบริเวณอื่น ภายในโรงเรือนมีเพียงโต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งทำงาน คนงานในไร่ดอกไม้ส่วนหนึ่งทำหน้าที่ชั่งและห่อหุ้มดอกไม้แต่ละกำด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆ และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่อยู่ที่แปลงดอกไม้
“เสร็จแล้วหรือครับลุงคำ”ชายหนุ่มเอ่ยถามหัวหน้าคนงานวัยปลายกลางคนหลังจากเห็นว่าดอกไม้ที่ชั่งเป็นกำละ 1 กิโลกรัมและห่อหุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ถูกบรรจุลงกล่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เสร็จแล้วครับคุณนนท์ วันนี้ดอกมัมมีไม่เยอะเลยเสร็จไว”นายอิ่นคำเอ่ยถึงดอกคริสซานติมัมน้ำเสียงสุภาพ
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนงานไปพักผ่อนได้แล้วล่ะครับ”ชายหนุ่มออกคำสั่งกลายๆขณะนั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง พลางกวาดสายตามองคนงานซึ่งต่างก็อยู่ในอิริยาบถแตกต่างกันไป
“ครับ”ชายคนเดิมรับคำ จากนั้นจึงหันไปตะโกนสั่งลูกน้องเสียงดังฟังชัด “กลับบ้านได้แล้วพวกเรา”
เมื่อเหล่าคนงานทยอยเดินออกจากโรงเรือนไปทีละคนสองคน จนเหลือเพียงเขาและนายอิ่นคำซึ่งรีๆรอๆอยู่ นันทวัชร์จึงชวนคุย “ไร่เคียงดอยนี่กว้างขวางใหญ่โตจังเลยนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม่เลี้ยงธันยาพรจะดูแลคนเดียวไหว”
นายอิ่นคำย่อตัวนั่งลงตรงข้ามชายหนุ่มและหัวเราะหึๆทั้งที่ไม่รู้สึกขำเลยแม้แต่น้อย เขายังจำภาพหญิงสาวตัวเล็กๆที่ทำงานเข้มแข็งคนนั้นได้ดีเสมอ “แม่เลี้ยงพรเป็นลูกชาวนานี่ครับคุณนนท์ เธอทำงานในไร่มาตั้งแต่ยังเล็กๆ ตอนที่พ่อเลี้ยงพงษ์พ่อของคุณลิขิตยังอยู่ แม่เลี้ยงก็ไม่ได้แตะต้องงานในไร่หรอกครับ ตอนนั้นพ่อเลี้ยงพงษ์เป็นคนดูแลทั้งหมดแล้วปล่อยให้น้องสาวได้เรียนหนังสือ แต่พอแม่เลี้ยงพรเรียนจบได้ไม่นานนักพ่อเลี้ยงกับภรรยาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปทั้งคู่ แม่เลี้ยงพรก็เลยต้องลงมาลุยงานด้วยตัวเอง โชคดีที่คนงานเก่าๆของที่นี่ต่างก็ทำงานอย่างซื่อสัตย์ไร่ของเราจึงรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างหวุดหวิด”
“คนงานเก่าๆนี่หมายถึงลุงคำด้วยใช่ไหมครับ”ชายหนุ่มย้อนถามยิ้มๆ
นายอิ่นคำพยักหน้า “ครับ ครอบครัวของผมทำงานในไร่นี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้วล่ะ ไร่เคียงดอยนี่ก็เหมือนบ้านอีกหลังหนึ่งของผมแหละครับคุณนนท์”
“ผมเข้าใจแล้วล่ะ ที่นี่เข้มแข็งเพราะทุกๆฝ่ายช่วยกัน ผมไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมแม่เลี้ยงถึงดูแลคนงานอย่างดี”เขาสรุปพลางเมินมองไปยังแสงแดดที่กำลังเคลื่อนคล้อยไปอย่างช้าๆ ลมหนาวโชยมาแผ่วเบา ทำให้ปอยผมปอยหนึ่งตกลงมาระใบหน้าชายหนุ่ม เขาจึงยกมือขวาขึ้นเสยผมและถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้”แล้วนี่ลุงคำไม่รีบกลับบ้านเหรอครับ”
“ก็ว่าจะกลับอยู่เหมือนกันครับ แล้วพอค่ำๆค่อยกลับมาเปิดไฟให้ดอกไม้”นายอิ่นคำตอบพลางลุกขึ้นยืน
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพลางยิ้ม “ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าตอนกลางคืนเราต้องเปิดไฟให้ดอกไม้บางชนิดก็ตอนมาทำงานอยู่ที่นี่แหละ”
“การเปิดไฟให้ดอกไม้ในเวลากลางคืนก็เพื่อให้ดอกไม้ของเรามีความแข็งแรง มีก้านยาวสมบูรณ์ ทำให้สามารถตัดดอกไม้ได้ตลอดทั้งปีน่ะครับ เป็นพระราชดำริของในหลวงด้วยนะ”ผู้สูงวัยอธิบายพร้อมทั้งยกมือขึ้นพนมเหนือศีรษะ
“ครับ ลุงคำตามสบายเถอะครับ ผมจะเดินเล่นอยู่แถวนี้อีกสักพัก”นันทวัชร์ลุกขึ้นยืนบ้าง และเมื่อชายสูงวัยเดินออกจากโรงเรือนไปแล้ว เขาจึงเดินลัดไปตามแปลงดอกเบญจมาศซึ่งปลูกอยู่คนละฝั่งกับดอกคริสซานติมัมที่ถูกตัดเพื่อส่งขายในวันรุ่งขึ้น
ยามนี้แดดโรยแสงจนเหลือเพียงแสงระเรื่อที่ปลายฟ้า ความหนาวเย็นจึงเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นของเวลากลางวัน
ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องไปยังฝูงนกฝูงหนึ่งซึ่งกำลังโบยบินกลับมายังต้นโพธิ์ใหญ่อันเป็นรังนอน ส่งเสียงร้องจิ๊บๆไปทั่วบริเวณจนแทบจะกลบเสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งซึ่งดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“บ๊อกๆ”เจ้าสุนัขขนปุกปุยส่งเสียงเห่าขณะแหงนหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้ยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับมัน
นันทวัชร์จึงยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาแตะริมฝีปากตนเองแล้วย่อตัวลงนั่ง พลางลูบหัวสีน้ำตาลของมันเบาๆ “จุ๊ๆ อย่าเสียงดังนะเจ้าตัวเล็ก ฉันต้องการความสงบ”
เมื่อถูกทักทายด้วยสัมผัสแผ่วเบาเจ้าปิงปองก็ดูเหมือนจะให้ความเป็นมิตรกับชายหนุ่มโดยทันที มันแกว่งหางไปมาพลางย่อตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า
“ปิงปองๆ อยู่ไหน”เสียงเจื้อยแจ้วของใครคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างบางก้าวพ้นหัวแปลงดอกเบญจมาศเข้ามาแล้วชะงักงัน เมื่อได้พบชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลอีกครั้ง
“มันกวนคุณหรือเปล่านั่น”สิตานันถาม
ชายหนุ่มสั่นหน้า จากนั้นจึงอุ้มเจ้าปิงปองขึ้นมาแนบอกและลูบหลังมันเบาๆไปพลางๆ “ไม่เลย มันน่ารักดีออก”
“แต่ก็ยังมีบางคนไม่ชอบมัน”สิตานันเหยียดปากหลังจากนึกถึงใบหน้าของมนิดาขึ้นมาขณะพูด
“ใครไม่ชอบลูกหมาตัวเล็กๆแบบนี้ก็คงจะใจร้ายเกินไปแล้วล่ะคุณว่าไหม”ชายหนุ่มชวนคุยพร้อมกับก้าวนำเด็กสาวออกไปนอกแปลงดอกไม้ ซึ่งสิตานันก็ก้าวตามไปต้อยๆพลางเอ่ยตอบ “ใช่ คนประเภทนั้นต้องมีจิตใจหยาบกระด้างน่าดูเลย แล้วแบบนี้ฉันจะยกพี่ชายให้ได้ยังไงคุณว่าปะ”
นันทวัชร์หัวเราะ หันกลับมามองหน้าเด็กสาว “ที่พูดนี่หมายถึงใครกันสาวน้อย”
สิตานันย่นจมูก “คุณคงไม่รู้จักหรอก ฉันได้ยินว่าคุณเพิ่งมาอยู่นี่”
“รู้ได้ไง”
“คุณบอกเองเมื่อวันก่อน ยังจะมาสงสัยอะไรอีก”
นันทวัชร์พยักหน้า แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จริงสินะ ผมเคยบอกคุณไปแล้วหนหนึ่งตอนที่เห็นคุณร้องไห้”
คนฟังนิ่วหน้า “ไม่ต้องมาย้ำเรื่องร้องไห้หรอกน่า ว่าแต่ผ้าเช็ดหน้าของคุณน่ะฉันยังไม่ได้เอาติดมาด้วยหรอกนะ ไม่รู้นี่ว่าจะมาเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมให้”เขาบอกอย่างใจดี
“ไม่ได้ ฉันไม่รับของคนแปลกหน้า”สิตานันเชิดหน้าบอก
ชายหนุ่มรีบหันไปทางอื่นแล้วหัวเราะ ครู่ใหญ่จึงเบนหน้ากลับมาส่งยิ้ม
ยียวน “คร้าบ คนเก่ง”
มองเห็นรอยยิ้มสดใสและดวงตาซื่อๆคู่นั้น แต่เด็กสาวกลับรู้สึกหมั่นไส้อย่างหนัก ดวงหน้าพริ้มเพราจึงแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงโดยทันที ทว่านันทวัชร์ก็มิได้สนใจ เพราะเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นร่างระหงอันคุ้นตาเดินลิ่วผ่านไป ชายหนุ่มจึงรีบผละจากสิตานันสาวเท้าเข้าไปหาน้ำบุศย์และเรียก “คุณน้ำครับ”
ผู้ถูกเรียกมีท่าทางตกใจเล็กน้อย แต่ครู่เดียวเท่านั้นเธอก็ปรับสีหน้าเป็นปกติและส่งยิ้มเย็นๆกลับมาให้เขาเช่นเคย “อ้าว คุณนนท์มาทำอะไรที่นี่คะ”
“ผมมาเดินเล่นครับ คุณน้ำล่ะมาทำอะไรที่นี่”เขาย้อนถามบ้าง
ดวงตาคู่งามมีแววไหวน้อยๆยามที่มองสบตาเขา “มาเดินเล่นเหมือนกันค่ะ เย็นๆแบบนี้อากาศดีจัง”
ตอบไปทั้งที่ใจของน้ำบุศย์ก็กังวลอยู่ไม่น้อย ด้วยเกรงเขาจะเห็นว่าเธอแอบมาพบพีรัชชัยเมื่อครู่ ทว่านันทวัชร์กลับไม่แสดงท่าทีใดๆผิดสังเกต
“คนกรุงเทพฯก็แบบนี้แหละครับ เจอมลพิษจนชิน พอได้มาอยู่ในที่อากาศดีๆเราก็จะอยากซึมซับมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด”เขาพลอยผสมโรงไปด้วย
“ใช่ค่ะ”เธอตอบกลั้วหัวเราะในใจ นึกขำที่ตนเองกังวลมากจนเกิน
“ทำงานหลายวันแล้ว งานในไร่เคียงดอยเป็นไงบ้างคะ”
“งานจะมีรายละเอียดเยอะครับ แต่ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆสมใจ”
“แสดงว่ามีความสุขกับงาน”
“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ”เขาตอบรับพลางส่งยิ้มให้กับเธอ
น้ำบุศย์ยิ้มตอบด้วยความรู้สึกเป็นมิตร การที่ได้รู้จักคนอย่างนันทวัชร์เป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยๆเขาก็ทำให้เธอยิ้มได้อยู่เสมอ โดยไม่รู้เลยว่า ภาพการสนทนาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยของคนทั้งคู่กำลังทำให้เด็กสาวซึ่งยืนอุ้มเจ้าปิงปองมองดูอยู่เกิดความรู้สึกขุ่นมัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย