บ้านช่องอันเงียบเชียบทำให้ผู้ที่เพิ่งก้าวผ่านกรอบประตูเข้ามาในบ้านเข้าใจว่าน้องๆของเขาคงยังไม่กลับจากเรือนใหญ่ ชายหนุ่มจึงเดินลิ่วๆขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องส่วนตัว
“ไม่กินไม่ได้นะคะน้องสตางค์ ถ้าไม่หิวข้าวก็ต้องดื่มนม เลือกเอา เพิ่งฟื้นจากเป็นลมแบบนี้ต้องบำรุงเยอะๆ“เสียงของใครคนหนึ่งดังแว่วมา เขาจึงหยุดฟังด้วยความแปลกใจ ว่าเหตุใดยายนักสืบตัวแสบจึงมาที่บ้านนี้และที่สำคัญอยู่ในห้องนอนน้องสาวจอมเฮี้ยวของเขาได้
“ฉันไม่กิน บอกแล้วไงว่าไม่กิน”เสียงสิตานันแหวขึ้นมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“โอเค ถ้าอย่างนั้นใบตองไปเตรียมนมมาให้คุณสตางค์แก้วนึง ไม่กินอะไรเลยเดี๋ยวจะหิวตอนดึกๆ”สาวคนเดิมยังคงเจ้ากี้เจ้าการ
เหนือลิขิตลอบยิ้ม ที่ผ่านมาทุกคนในบ้านไม่เคยมีใครกล้าขัดใจน้องสาวคนนี้มาก่อนเลย เนื่องจากเห็นว่าสิตานันต้องสูญเสียบิดา-มารดาไปตั้งแต่เพิ่งจำความได้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันโอ๋เธอเพื่อชดเชยความอบอุ่นที่เด็กสาวขาดไป ทว่าในวันนี้กลับมีคนมาบังคับน้องสาวของเขาอยู่แจ้วๆจะไม่ให้นึกขำได้อย่างไรล่ะ
จะรอดูซิ...ว่าระหว่างสองสาวจะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่ก่อนเสียงการสนทนาจะดังลอดออกมาอีก ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับที่ใบตองเดินตัวลีบออกมาตามคำสั่งของคนข้างใน เหนือลิขิตรีบยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เงียบ เด็กสาวจึงก้มศีรษะเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ครู่ใหญ่เสียงของน้ำบุศย์จึงดังขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ ใบตองออกไปแล้วเรามาพูดแบบเปิดใจกันเลยก็แล้วกัน”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ อย่ามาจุ้นจ้านกับฉัน ดูแลคนของตัวเองให้ดีก่อนเถอะ รู้ไหมว่าพี่ลิขิตน่ะเขาไม่ได้มีเธอคนเดียว”สิตานันขึ้นเสียงด้วยหวังว่าความจริงที่อีกฝ่ายได้รับรู้จะทำให้เจ้าตัวหยุดชะงัก แต่กลับไม่ใช่ เพราะน้ำบุศย์ได้ฟังแล้วจึงยิ้มมุมปาก “แล้วยังไงคะ นั่นมันชีวิตของเขา ตราบใดที่เรายังไม่แต่งงานกันเขาก็ยังมีสิทธิเลือก เหมือนที่เราเองก็มี”
“แสดงว่าเธอไม่ได้รักพี่ชายฉันจริงน่ะสิ”สาวน้อยตีขลุม
“ไม่ว่าพี่จะรักหรือไม่รัก ถ้าเขาไม่ซื่อสัตย์เราจะทำยังไงได้ล่ะคะ ก็ต้องปล่อยไปเพราะเราคงไม่สามารถไปปลูกฝังจิตสำนึกให้ใครได้ ทำได้อย่างเดียวคือมองดูและรับรู้ว่าควรจะเดินหน้าหรือถอยหลัง”
“เธอมันประสาท”
จบประโยคของน้องสาว เหนือลิขิตก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากน้ำบุศย์ ก่อนเธอจะพูดต่อ “เขาเรียกว่ารักอย่างใช้สมองต่างหากล่ะคะ”
“เธอกำลังด่าว่าฉันงี่เง่าไม่มีสมองใช่ไหม” น้ำเสียงของสิตานันเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด
หากอีกฝ่ายยังคงพูดเสียงหนักแต่อ่อนโยนอยู่ในที “พี่กำลังจะบอกน้องสตางค์ว่าผู้ชายแบบนั้นไม่มีค่าพอให้เราสนใจต่างหากล่ะคะ เราต้องใช้สติใคร่ครวญให้ดี ว่าในเมื่อวันนี้เขาทำร้ายจิตใจเราได้ หากเรายึดยื้อเอาไว้ สักวันหนึ่งก็ต้องเกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมอีก เพราะว่าใจเขาไม่มั่นคง ระหว่างเจ็บแล้วจบกับเจ็บแบบเรื้อรังน้องสตางค์ต้องการแบบไหน”
“แต่ว่า...ฉัน” สิตานันเริ่มอึกอัก
น้ำบุศย์ได้ทีจึงพูดต่อเสียงดังฟังชัด “เส้นทางความรักของน้องสตางค์ยังมีอีกยาวไกล วันนี้เรายังอยู่ในวัยเรียนซึ่งเป็นช่วงเวลาฝึกหัดการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ ถ้าไม่ฝึกหัวใจให้เข้มแข็งตั้งแต่ต้น ต่อไปเราก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอเอาแต่ทำร้ายตัวเอง พี่ขอถามสักคำว่าเราเจ็บแล้วเขาหันกลับมามองไหม”
“แล้วสตางค์ควรทำยังไง”สิตานันเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวและน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
เหนือลิขิตยิ้มให้กับการเปลี่ยนแปลงของน้องสาวตน แต่แล้วกลับต้องหุบฉับทันควันเมื่อได้ยินประโยคถัดไป“สตางค์จะไม่ทำร้ายตัวเองอีก”
ชายหนุ่มไม่ทันได้ยินว่าน้ำบุศย์ตอบว่าอย่างไรเพราะเขารีบเปิดประตูผัวะเข้าไปด้านในเสียก่อน “เกิดอะไรขึ้นสตางค์”
ภาพน้องสาวซึ่งนอนหน้าซีดอยู่บนเตียงทำให้เขาใจหายวาบ สิตานันหน้าเสียรีบซุกแขนเข้าไปในผ้าห่มทันควันน้ำบุศย์เห็นท่าไม่ดีจึงขยับเข้าไปใกล้เด็กสาวและวางมือลงบนไหล่บาง ก้มลงกระซิบบอก “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะอธิบายแทนเอง น้องสตางค์พักผ่อนเถอะ แต่ก่อนนอนต้องดื่มนมด้วยนะ”
ชายหนุ่มเห็นน้องสาวของเขาพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นน้ำบุศย์จึงเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตาเขา “ส่วนคุณเดี๋ยวไปคุยกันต่อที่ห้องนั่งเล่นก็แล้วกันค่ะ”