Re: นวนิยาย สืบลับลิขิตรัก น้ำฟ้า
เมื่อ: ศุกร์ 08 มี.ค. 2013 7:12 am
ร่างผอมบางซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นเอี้ยวตัวกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงเหยียบย่ำใบไม้ดังกรอบแกรบใกล้เข้ามา “อ้าวหนูน้ำ”
“เห็นใบตองบอกว่าคุณน้ามาอยู่ที่นี่ น้ำก็เลยตามมาน่ะค่ะ” น้ำบุศย์ตอบเมื่อเห็นสายตาแปลกใจของอีกฝ่ายก่อนจะหันไปยิ้มเก๋ไก๋ให้พยาบาลสาวพลางบอกว่า “คุณพยาบาลไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวน้ำจะดูแลคุณน้าให้เอง”
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะลลิล”คุณธันยาพรเอ่ยอนุญาต
พยาบาลสาวรับคำเบาๆแล้วเดินเลี่ยงออกไป
หลังจากนั้นน้ำบุศย์จึงเข็นรถเข็นของผู้สูงวัยไปยังใต้ต้นไทรแล้วนั่งลงบนม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ขณะที่คุณธันยาพรเองก็นั่งอยู่บนรถเข็นอย่างสงบ สายตาทอดมองดอกไม้สีสดก่อนจะถอนหายใจ “อยู่ที่นี่เหงาไหมลูก”
“ไม่หรอกค่ะคุณน้า ที่นี่มีอะไรให้ทำเยอะแยะ”คำตอบของหญิงสาวค้านกับความนึกคิดของตนเองโดยสิ้นเชิง
คุณธันยาพรพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “จริงสิ ความรักทำให้คนเรามีความสุขได้เสมอ ถ้าเราได้อยู่กับคนที่เรารัก”
“ดูคุณน้าจะให้ความสำคัญกับความรักมากนะคะ”น้ำบุศย์พยายามชง เพื่อให้อีกฝ่ายค่อยๆขยายความออกมา
ผู้สูงวัยพยักหน้า “ใช่ น้าอยู่กับความรักและคำว่ารอมากกว่าครึ่งชีวิต”
“แล้วทุกวันนี้ล่ะคะ”นักสืบสาวพยายามตีกรอบให้แคบเข้ามาเรื่อยๆ
“ทุกวันนี้คง...ไม่รอแล้ว แต่...”ผู้เล่าหยุดกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ซึ่งน้ำบุศย์รู้ดีว่าคุณธันยาพรกำลังพยายามกลืนความรู้สึกในใจลงไปด้วย “คนเราอาจจะหักใจได้ แต่มันก็ทำได้บ้างเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ทั้งหมด”
“แสดงว่าคุณน้ายังรักเขาอยู่หรือคะ”น้ำบุศย์ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นและถามต่อเสียงอ่อน
คุณธันยาพรหลับตาลง ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง “สายสัมพันธ์นั้นไม่สามารถตัดได้ง่ายๆเหมือนตัดเชือกหรอกลูก”
“น้ำอยากฟังเรื่องความรักของคุณน้าจังเลยค่ะ”
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขไร่เคียงดอย สายตาที่ทอดมองผู้อ่อนวัยกว่าก็ดูอ่อนโยนดุจเดียวกับน้ำเสียงตอบรับ “ได้สิ”
“ขอบคุณค่ะคุณน้า”หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอันปกปิดความยินดีไว้ไม่มิด
เธอกำลังขยับเข้าไปใกล้คำว่า “ความสำเร็จ”เรื่อยๆแล้วใช่ไหม...
ลมหนาวพัดพาความเงียบงันให้ครอบคลุมอาณาบริเวณอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ราวอึดใจผู้สูงวัยจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องของตนเองด้วยน้ำเสียงอันกรุ่นไปด้วยความเศร้า
“น้ากับเขาพบรักกันตอนเรียนมหา’ลัย เราเรียนอยู่ต่างคณะแต่ด้วยความที่ชอบกิจกรรมเหมือนกันก็เลยทำให้เราสนิทสนมกันในที่สุด”
จบประโยคนั้นคุณธันยาพรจึงหันมายิ้มให้น้ำบุศย์ หากเป็นรอยยิ้มที่ช่างเศร้าหมองนัก หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปกุมมือผอมบางนั้นเอาไว้แล้วยิ้มตอบ “ถึงความรักจะจากไปนานสักแค่ไหน แต่ความทรงจำจะคงอยู่กับเราไปจนตายค่ะคุณน้า แม้ในยามรักนั้นเราจะพบทั้งทุกข์และสุขมากมายแค่ไหน แต่สิ่งที่จะตกเป็นตะกอนในใจเราคือความสุข เพราะไม่มีใครอยากเก็บความทุกข์เอาไว้กับตัวหรอกค่ะ”
คนฟังเบือนหน้าหลบสายตาหญิงสาวรุ่นลูกไปอีกทาง ปล่อยให้ดวงตาบวมแดงปลดปล่อยน้ำตาออกมา ความทรงจำเก่าๆและบรรยากาศอันเงียบเหงาทำให้คุณธันยาพรไม่อาจหักห้ามความสะเทือนใจได้ ซึ่งน้ำบุศย์ก็เข้าใจดี เธอจึงไม่เร่งเร้า ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความรู้สึก เนิ่นนานคุณธันยาพรจึงหันกลับมา “แต่บางทีเราก็เจ็บปวดเกินกว่าจะทนรับมันไหว”
“กาลเวลาอาจจะไม่สามารถลบริ้วรอยแผลใจได้ทั้งหมด แต่มันก็ทำให้แผลนั้นเจือจางลงได้ไม่ใช่หรือคะ”
“อาจจะใช่ แต่ก็ใช้ได้กับคนที่เดินทางไปข้างหน้าเท่านั้นแหละ สำหรับคนที่ย่ำอยู่กับที่แล้ว ทุกวันที่ผ่านไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
“สมัยนั้นคุณน้าเรียนที่ไหนคะ”น้ำบุศย์เริ่มตะล่อมถามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มห่างไกลออกไปจากเรื่องที่อยากรู้พอสมควรแล้ว
“น้าเรียนที่กรุงเทพฯจ้ะ”
“คุณน้าคนนั้นเป็นคนลำปางเหมือนกันหรือเปล่าคะ”
“บ้านเขาอยู่ต่างจังหวัดน่ะ ตอนเรียนเขาก็เลยต้องมาพักอยู่ใกล้มหา’ลัย...”เล่ามาถึงตรงนี้น้ำเสียงของคุณธันยาพรก็เริ่มสั่น และยิ่งดูเศร้าสร้อยเมื่อเอ่ยประโยคถัดไป “ตอนนั้นน้า ก็ เอ่อ พักอยู่กับเขา”
น้ำบุศย์กะพริบตาถี่ๆ นึกในใจว่าอย่างนี้นี่เองผู้สูงวัยจึงฝังใจนัก ด้วยความเป็นหญิงนั้นหากพลาดพลั้งตกเป็นของใครเราก็มักจะทึกทักเอาเองว่าเราเป็นของเขา โดยลืมเลือนไปว่าแท้จริงแล้วชีวิตยังเป็นของเราอยู่
“ทุกการตัดสินใจของเราสองคนเป็นเพราะความรักนะหนูน้ำ เราสัญญากันว่าจะแต่งงานกันให้ได้ แต่เขาฐานะ ไม่ดี เราจึงต้องช่วยกันเก็บเงินแต่งงาน” พูดจบคุณธันยาพรก็ก้มหน้าลงมองมือตนเอง แน่นอน น้ำบุศย์เชื่อว่านั่นคือวิธีการกลบเกลื่อนรอยน้ำตาไม่ให้เธอเห็น แต่ก่อนที่เรื่องราวในอดีตจะถูกขยายความมากไปกว่านั้น เสียงกระดิ่งเล็กๆก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงเล็กแหลมของสิตานัน “น้าพรมาอยู่นี่เอง สตางค์ตามหาแทบแย่เลย”
เด็กสาวเดินลิ่วๆเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างน้าสาวและน้ำบุศย์ “พี่ลิขิตให้สตางค์มาตามน้าพรค่ะ บอกว่าอากาศเย็นมากแล้ว”
ผู้สูงวัยฝืนยิ้ม “ทำเหมือนน้าเป็นเด็กๆเลยนะ”
สิตานันหัวเราะเบาๆ “ก็น้าพรทำเพื่อพวกเรามามากแล้วนี่คะ เราก็ต้องดูแลน้าพรบ้าง กลับเข้าบ้านกันเถอะค่ะเดี๋ยวสตางค์เข็นรถให้เอง”
เมื่อผู้เป็นน้าพยักหน้า เด็กสาวจึงวางเจ้าปิงปองลงกับพื้นแล้วปรายตามองน้ำบุศย์หน่อยหนึ่ง ก่อนก้าวฉับๆไปยืนอยู่ด้านหลังรถเข็นและเข็นมันไปตามถนนลูกรังโดยไม่สนใจใครบางคนที่ยืนเคว้งอยู่เพียงลำพัง
หากคุณธันยาพรก็ยังใส่ใจหลานสาวคนใหม่จึงหันกลับมา
ตะโกนบอก “เดี๋ยวพบกันที่โต๊ะอาหารนะหนูน้ำ”
“เห็นใบตองบอกว่าคุณน้ามาอยู่ที่นี่ น้ำก็เลยตามมาน่ะค่ะ” น้ำบุศย์ตอบเมื่อเห็นสายตาแปลกใจของอีกฝ่ายก่อนจะหันไปยิ้มเก๋ไก๋ให้พยาบาลสาวพลางบอกว่า “คุณพยาบาลไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวน้ำจะดูแลคุณน้าให้เอง”
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะลลิล”คุณธันยาพรเอ่ยอนุญาต
พยาบาลสาวรับคำเบาๆแล้วเดินเลี่ยงออกไป
หลังจากนั้นน้ำบุศย์จึงเข็นรถเข็นของผู้สูงวัยไปยังใต้ต้นไทรแล้วนั่งลงบนม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ขณะที่คุณธันยาพรเองก็นั่งอยู่บนรถเข็นอย่างสงบ สายตาทอดมองดอกไม้สีสดก่อนจะถอนหายใจ “อยู่ที่นี่เหงาไหมลูก”
“ไม่หรอกค่ะคุณน้า ที่นี่มีอะไรให้ทำเยอะแยะ”คำตอบของหญิงสาวค้านกับความนึกคิดของตนเองโดยสิ้นเชิง
คุณธันยาพรพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “จริงสิ ความรักทำให้คนเรามีความสุขได้เสมอ ถ้าเราได้อยู่กับคนที่เรารัก”
“ดูคุณน้าจะให้ความสำคัญกับความรักมากนะคะ”น้ำบุศย์พยายามชง เพื่อให้อีกฝ่ายค่อยๆขยายความออกมา
ผู้สูงวัยพยักหน้า “ใช่ น้าอยู่กับความรักและคำว่ารอมากกว่าครึ่งชีวิต”
“แล้วทุกวันนี้ล่ะคะ”นักสืบสาวพยายามตีกรอบให้แคบเข้ามาเรื่อยๆ
“ทุกวันนี้คง...ไม่รอแล้ว แต่...”ผู้เล่าหยุดกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ซึ่งน้ำบุศย์รู้ดีว่าคุณธันยาพรกำลังพยายามกลืนความรู้สึกในใจลงไปด้วย “คนเราอาจจะหักใจได้ แต่มันก็ทำได้บ้างเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ทั้งหมด”
“แสดงว่าคุณน้ายังรักเขาอยู่หรือคะ”น้ำบุศย์ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นและถามต่อเสียงอ่อน
คุณธันยาพรหลับตาลง ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง “สายสัมพันธ์นั้นไม่สามารถตัดได้ง่ายๆเหมือนตัดเชือกหรอกลูก”
“น้ำอยากฟังเรื่องความรักของคุณน้าจังเลยค่ะ”
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขไร่เคียงดอย สายตาที่ทอดมองผู้อ่อนวัยกว่าก็ดูอ่อนโยนดุจเดียวกับน้ำเสียงตอบรับ “ได้สิ”
“ขอบคุณค่ะคุณน้า”หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอันปกปิดความยินดีไว้ไม่มิด
เธอกำลังขยับเข้าไปใกล้คำว่า “ความสำเร็จ”เรื่อยๆแล้วใช่ไหม...
ลมหนาวพัดพาความเงียบงันให้ครอบคลุมอาณาบริเวณอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ราวอึดใจผู้สูงวัยจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องของตนเองด้วยน้ำเสียงอันกรุ่นไปด้วยความเศร้า
“น้ากับเขาพบรักกันตอนเรียนมหา’ลัย เราเรียนอยู่ต่างคณะแต่ด้วยความที่ชอบกิจกรรมเหมือนกันก็เลยทำให้เราสนิทสนมกันในที่สุด”
จบประโยคนั้นคุณธันยาพรจึงหันมายิ้มให้น้ำบุศย์ หากเป็นรอยยิ้มที่ช่างเศร้าหมองนัก หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปกุมมือผอมบางนั้นเอาไว้แล้วยิ้มตอบ “ถึงความรักจะจากไปนานสักแค่ไหน แต่ความทรงจำจะคงอยู่กับเราไปจนตายค่ะคุณน้า แม้ในยามรักนั้นเราจะพบทั้งทุกข์และสุขมากมายแค่ไหน แต่สิ่งที่จะตกเป็นตะกอนในใจเราคือความสุข เพราะไม่มีใครอยากเก็บความทุกข์เอาไว้กับตัวหรอกค่ะ”
คนฟังเบือนหน้าหลบสายตาหญิงสาวรุ่นลูกไปอีกทาง ปล่อยให้ดวงตาบวมแดงปลดปล่อยน้ำตาออกมา ความทรงจำเก่าๆและบรรยากาศอันเงียบเหงาทำให้คุณธันยาพรไม่อาจหักห้ามความสะเทือนใจได้ ซึ่งน้ำบุศย์ก็เข้าใจดี เธอจึงไม่เร่งเร้า ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความรู้สึก เนิ่นนานคุณธันยาพรจึงหันกลับมา “แต่บางทีเราก็เจ็บปวดเกินกว่าจะทนรับมันไหว”
“กาลเวลาอาจจะไม่สามารถลบริ้วรอยแผลใจได้ทั้งหมด แต่มันก็ทำให้แผลนั้นเจือจางลงได้ไม่ใช่หรือคะ”
“อาจจะใช่ แต่ก็ใช้ได้กับคนที่เดินทางไปข้างหน้าเท่านั้นแหละ สำหรับคนที่ย่ำอยู่กับที่แล้ว ทุกวันที่ผ่านไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
“สมัยนั้นคุณน้าเรียนที่ไหนคะ”น้ำบุศย์เริ่มตะล่อมถามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มห่างไกลออกไปจากเรื่องที่อยากรู้พอสมควรแล้ว
“น้าเรียนที่กรุงเทพฯจ้ะ”
“คุณน้าคนนั้นเป็นคนลำปางเหมือนกันหรือเปล่าคะ”
“บ้านเขาอยู่ต่างจังหวัดน่ะ ตอนเรียนเขาก็เลยต้องมาพักอยู่ใกล้มหา’ลัย...”เล่ามาถึงตรงนี้น้ำเสียงของคุณธันยาพรก็เริ่มสั่น และยิ่งดูเศร้าสร้อยเมื่อเอ่ยประโยคถัดไป “ตอนนั้นน้า ก็ เอ่อ พักอยู่กับเขา”
น้ำบุศย์กะพริบตาถี่ๆ นึกในใจว่าอย่างนี้นี่เองผู้สูงวัยจึงฝังใจนัก ด้วยความเป็นหญิงนั้นหากพลาดพลั้งตกเป็นของใครเราก็มักจะทึกทักเอาเองว่าเราเป็นของเขา โดยลืมเลือนไปว่าแท้จริงแล้วชีวิตยังเป็นของเราอยู่
“ทุกการตัดสินใจของเราสองคนเป็นเพราะความรักนะหนูน้ำ เราสัญญากันว่าจะแต่งงานกันให้ได้ แต่เขาฐานะ ไม่ดี เราจึงต้องช่วยกันเก็บเงินแต่งงาน” พูดจบคุณธันยาพรก็ก้มหน้าลงมองมือตนเอง แน่นอน น้ำบุศย์เชื่อว่านั่นคือวิธีการกลบเกลื่อนรอยน้ำตาไม่ให้เธอเห็น แต่ก่อนที่เรื่องราวในอดีตจะถูกขยายความมากไปกว่านั้น เสียงกระดิ่งเล็กๆก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงเล็กแหลมของสิตานัน “น้าพรมาอยู่นี่เอง สตางค์ตามหาแทบแย่เลย”
เด็กสาวเดินลิ่วๆเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างน้าสาวและน้ำบุศย์ “พี่ลิขิตให้สตางค์มาตามน้าพรค่ะ บอกว่าอากาศเย็นมากแล้ว”
ผู้สูงวัยฝืนยิ้ม “ทำเหมือนน้าเป็นเด็กๆเลยนะ”
สิตานันหัวเราะเบาๆ “ก็น้าพรทำเพื่อพวกเรามามากแล้วนี่คะ เราก็ต้องดูแลน้าพรบ้าง กลับเข้าบ้านกันเถอะค่ะเดี๋ยวสตางค์เข็นรถให้เอง”
เมื่อผู้เป็นน้าพยักหน้า เด็กสาวจึงวางเจ้าปิงปองลงกับพื้นแล้วปรายตามองน้ำบุศย์หน่อยหนึ่ง ก่อนก้าวฉับๆไปยืนอยู่ด้านหลังรถเข็นและเข็นมันไปตามถนนลูกรังโดยไม่สนใจใครบางคนที่ยืนเคว้งอยู่เพียงลำพัง
หากคุณธันยาพรก็ยังใส่ใจหลานสาวคนใหม่จึงหันกลับมา
ตะโกนบอก “เดี๋ยวพบกันที่โต๊ะอาหารนะหนูน้ำ”