
- พลิกผืนฟ้าหารัก.jpg (62.22 KiB) เปิดดู 8514 ครั้ง
บทนำ
ธงราชนาวีโบกสะบัดอยู่เหนือเรือทะยานชล ระวางขับน้ำ 475 ตันซึ่งกำลังแล่นอยู่กลางมหาสมุทรด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก
เช้านี้คลื่นลมแรงจนสายน้ำกระเซ็นขึ้นมาบนลำเรือเป็นระยะและบางคราวก็ทำให้เรือลำใหญ่ไหวเอนไปมาตามระลอกคลื่น แต่กลับไม่สามารถทำให้นายทหารหลายสิบนายที่ยืนเข้าแถวเป็นรูปตัวยูอยู่บนดาดฟ้าเรือเกิดความสะทกสะท้านใจได้ ด้วยพวกเขานั้นถือว่าการใช้ชีวิตบนเรือได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสียแล้ว
เสียงนกหวีดเรือดังขึ้น ตามด้วยคำสั่ง ตรง ของต้นเรือ ชั่วครู่นายทหารหนุ่มในชุดปกติสีกากีจึงก้าวออกมายืนอยู่กลางดาดฟ้าเรือด้วยท่วงท่าองอาจ ดวงตาคมกริบมองตรงไปเบื้องหน้า ขณะที่ใบหน้าคมสันยังคงเรียบเฉย
“เรือโทชนวีร์ ทิฐินันท์ ขอรายงานบัญชีพล คงสังกัด 70 คงกอง 70 ”ต้นเรือทำความเคารพแล้วจึงกล่าวรายงาน
จากนั้นนายทหารยามจึงออกมารายงานความเรียบร้อย ก่อนที่ผู้การหนุ่มจะให้โอวาทและปล่อยให้นายทหารในความดูแลของตนกลับไปทำหน้าที่ต่างๆที่ค้างไว้อีกครั้ง
เมื่ออยู่เพียงลำพังชายหนุ่มจึงกอดอกยืนนิ่ง ดวงตายาวรีทอดมองกระแสคลื่นที่เข้ามาปะทะเรือลำใหญ่ด้วยท่าทางเลื่อนลอย หลายวันมาแล้วที่เขารอนแรมอยู่กลางมหาสมุทรร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายสิบชีวิตซึ่งร่วมเป็นร่วมตายปฏิบัติหน้าที่ดูแลตรวจจับเรือดำน้ำ โดยมีเรือโทชนวีร์ เพื่อนรักผู้ดำรงตำแหน่งต้นเรือเป็นผู้ช่วยมือขวา
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเป็นจังหวะจะโคนทำให้ผู้การหนุ่มปล่อยความนึกคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล จวบจนรัศมีสีทองสดใสถูกก้อนเมฆทะมึนบดบังจนดูหม่นมัวไปทั่วอาณาบริเวณ อีกทั้งยังมีสายลมพัดกรรโชกรุนแรง เขาจึงคิดจะเดินลงไปจากดาดฟ้าเรือ ทว่าอาการหน้ามืดกลับเกิดขึ้นโดยฉับพลันจนชายหนุ่มต้องใช้มือขวาจับราวเหล็กข้างลำเรือเอาไว้ และยกมือข้างซ้ายขึ้นมาปิดหน้าตนเอง เพื่อกันรัศมีสว่างจ้าซึ่งกำลังพวยพุ่งเข้าตา แล้วจึงค่อยๆอ่อนแสงจนปรากฏภาพเรือลำใหญ่หลายลำที่ลอยประจันหน้ากันอยู่กลางทะเลลึก พร้อมกับเสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นบริเวณท้ายเรือลำหนึ่ง แรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้เขาเซจนเกือบล้มลง หากนายทหารหนุ่มก็ยังแข็งใจออกคำสั่ง “รีบเอาอะไหล่ไปซ่อมเครื่องถือท้ายเรือเถอะจ่า”
ว่าแล้วเขาจึงก้าวพรวดๆฝ่าเปลวเพลิงลุกโชติช่วง ไปยังบริเวณท้ายเรือเพื่อทำหน้าที่ดูแลอาวุธแทนต้นปืนที่เสียชีวิตไปแล้ว
ควันไฟผสมก๊าซพิษกระจายอยู่ทั่วลำเรือ ทว่ามิได้ทำให้ลูกประดู่ทั้งหลายย่อท้อแม้แต่น้อย นายทหารทุกนายต่างฮึดสู้ และร้องตะโกน “สู้ต่อไป เรายังไม่แพ้”
การต่อสู้ดำเนินไปด้วยความดุเดือด เวลานั้นเขามองเห็นเพื่อนร่วมอาชีพล้มลงไปกองกับพื้นคนแล้วคนเล่า มิหนำซ้ำเมื่อลูกระเบิดจากเครื่องบินลำหนึ่งกระหน่ำลงไปสู่ห้องครัวก็ยิ่งทำเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น
ดวงตายาวรีจ้องมองปืนใหญ่เรือ แล้วเม้มริมฝีปากจนเป็นสันตรง ก่อนจะรวบรวมสมาธิเล็งปืนไปยังเป้าหมายด้วยความหวังสุดท้ายที่คุโชนอยู่ในอก
ตูม!...
กระสุนปืนลูกหนึ่งจู่โจมท้ายเรือของเหล่าปัจจามิตรอย่างจังจนเกิดเพลิงไหม้ควันโขมง ผู้คนที่อยู่รอบกายเขาจึงพากันโห่ร้องกึกก้องด้วยความดีใจ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรีบเปิดไซเรนและชักธงพรานส่งสัญญาณถอนกำลังจ้าละหวั่น
“”ไชโย...ไชโย”น้ำเสียงแห่งความปีติยังคงดังก้องหู หากสิ่งที่ชัดเจนอยู่ในหัวใจเวลานี้กลับเป็นคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งดังแว่วๆคล้ายลอยมาตามลมว่า “เรือลามอตต์ปิเกต์ถอยแล้ว ไชโย!”
“ผู้การ ผู้การ”เรือเอกชนวีร์เอ่ยเรียกซ้ำๆ แต่นาวาตรีอนันต์ทวีปยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ต้นเรือจึงเปลี่ยนวิธีเรียกเป็นการกระตุกข้อมืออีกฝ่ายแรงๆ พลางเรียก “เจ้าทิว”
นาวาตรีอนันต์ทวีปสะดุ้งเฮือก หันมองเพื่อนด้วยสายตาซึ่งบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจเด่นชัด “เกิดอะไรขึ้น”
ผู้ถูกถามพรูลมหายใจออกมาเบาๆและจ้องมองใบหน้าคมสันของเพื่อนอย่างพินิจ “ฝนตกจะแล้ว มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”
ผู้การหนุ่มจึงหันไปมองรอบตัว ก่อนจะพบว่าเรือทยานชลกำลังลอยล่องอยู่เหนือมหาสมุทรอันเต็มไปด้วยบรรยากาศขมุกขมัวเช่นเดิม มิใช่ตกอยู่ในภาวะสงครามดังที่เขามองเห็นเมื่อครู่
อา...นี่เขามองเห็นเหตุการณ์ในอดีตอีกแล้วใช่ไหม