นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » เสาร์ 08 มี.ค. 2014 9:26 am

บทที่ ๑๙

986803414176.jpg
986803414176.jpg (47.86 KiB) เปิดดู 12301 ครั้ง


แดดโรยแสงลงดุจเดียวกับสองหนุ่มสาวที่เริ่มอ่อนล้าโรยแรง เมื่อเดินทางมาจนถึงบริเวณที่มีทุ่งหญ้าโล่งกว้างระหว่างเนินเขา เอื้องฟ้าจึงนั่งแหมะลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“บ่ไหวแล้วกา”วรกายสูงเพรียวหันหลังกลับมาทอดพระเนตรและตรัสถาม

หญิงสาวยกแขนขวาขึ้นปาดเหงื่อพลางพยักหน้า แก้มใสจึงเปื้อนเปรอะไปด้วยรอยกระดำกระด่าง

เจ้าศรีหิรัญประทับนั่งลงบนผืนหญ้าเขียวขจีตรงข้ามนาง จากนั้นจึงยกหัตถ์ขึ้นเช็ดพวงแก้มสีเรื่อให้ผุดผาดดังเดิม ก่อนจะตรัสบอก “น้องคงจะเมื่อยล้าเต็มทีละ พักก่อนเต๊อะ เดี๋ยวอ้ายจะไปหาผลไม้มาให้กิน”

“ถ้าไปก็ไปโตยกัน” นางท้วงแล้วชิงลุกขึ้นยืนก่อน

“อ้ายไปบ่เมิน รออยู่นี่เต๊อะ”ตรัสพลางหยัดองค์ยืนขึ้นทันใด

เอื้องฟ้าเงยหน้าขึ้นมองตาละห้อย “ไปโตยกันดีกว่า สูจะได้บ่ต้องวกปิ๊กมา”

อุปราชหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะสบตานาง “น้องต้องสัญญามาก่อนว่าต่อไปนี้จักเรียกอ้ายว่า อ้าย”

คิ้วงามขยับเข้าหากันจนเกือบชิด “ไปหาของกิน เกี่ยวอะหยังกับคำอู้คำจา สูนี่มันลอกแลน{ลอกแลน:กะล่อน}แต๊ๆ”

แทนที่จะโกรธ ว่าที่พญาเจ้าเมืองกลับแย้มสรวล “กับคนหลึก{หลึก:ดื้อรั้น}ก็ต้องใช้เหลี่ยมพ่อง ว่าใดจะตกลงก่อเจ้า คนงาม...”

คนงาม เป็นคำชม แต่ทำไมเอื้องฟ้ากลับรู้สึกเหมือนถูกล้อเลียนไม่รู้สิ

มือนางไวกว่าที่คิด พอจบคำเขาปั๊บ มือน้อยก็ซัดผัวะลงบนอุระอันหนั่นแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของผู้ที่ทำท่าทางยียวนอยู่ตรงข้าม “จะงามบ่งามก็เรื่องของเฮา”

“แล้วน้องจะตกลงก่อ ว่ามาเลย มันใกล้ค่ำละนา” ทรงย้ำ

เจ้าของร่างน้อยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันฮึ่มฮั่มในใจ ทว่ากลับพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ได้ เฮาจะยอมทำตามที่สูต้องการ”

“เอ๊า ถ้าอย่างนั้นก็อู้ใหม่ ฝึกปากให้มันชิน”

ดวงตาสีนิลกลมโตถลึงมองตอบขณะย้ำฉาดฉาด “เจ้า อ้ายหมื่นศรี พอใจหรือยังเจ้า”

“เจ้า เชิญเจ้า เจ้านางหน้อย” ทรงล้อด้วยความพึงพอพระทัย

ยามนี้แม้แต่เสียงนกร้องจิ๊บๆอันน่ารำคาญเมื่อครู่ก็กลับฟังเพลินราวกับบทเพลงอันเสนาะโสต

เอื้องฟ้านางจะรู้ฤๅไม่ว่าหทัยของเรากำลังหวั่นไหวหนัก ไม่ว่าเจ้าจะแย้มยิ้ม หรือแง่งอนเราก็มีความสุขที่ได้เห็น แค่ขอให้เจ้าอยู่ในสายตาเท่านั้น นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า...หัวใจปฏิพัทธ์

“แต๊ๆแล้วออกไปโตยกันก็ดีละ อ้ายจะได้บ่ต้องเป็นห่วงที่ต้องทิ้งน้องไว้คนเดียว”

“แล้วจะใดสู เอ๊ย อ้ายถึงโยกโย้”นางต่อว่าน้ำด้วยท่าทีแง่งอน

“ก็อ้ายอยากให้น้องเปิดใจพ่อง แค่เรียกว่าอ้ายจะไปยากอะหยังนักหนา ปะ ไปกันได้แล้ว”ว่าพลางยื่นหัตถ์ไปตรงหน้านางก่อนจะแบออก

เอื้องฟ้านิ่งมองเป็นครู่จึงตัดสินใจวางมือลงบนหัตถ์ใหญ่นั้นและปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือเรียวของตนก้าวไปตามทุ่งหญ้าสีเขียวอันมีดอกหญ้าปลิวไสวล้อลมลัดเลาะไปตามไหล่เขาพร้อมๆกับที่ดวงตะวันกำลังอำลาฟากฟ้าทางทิศตะวันตก

ไม่นานทั้งสองก็ไปถึงใต้ต้นมะม่วงป่าขนาดกะทัดรัดทว่าลูกดกเต็มต้น เจ้าศรีหิรัญจึงเป็นผู้ปีนขึ้นไปเลือกเก็บลูกที่สุกงอมส่งให้หญิงสาวซึ่งรอรับอยู่ด้านล่าง จนเพียงพอแก่การเป็นเสบียงสำหรับวันนี้และวันถัดไป จึงกระโดดลงมาแล้วนั่งลงบนก้อนหินข้างๆหญิงสาว

“เอ๊า ของสู”เอื้องฟ้าบอกพลางยื่นมะม่วงให้

เจ้าศรีหิรัญสั่นพักตร์ “น้องมีมีดอุ่มก็ปอกแล่”

แทนที่เอื้องฟ้าจะทำตามกลับแบมือเปื้อนฝุ่นของตนให้อีกฝ่ายดู “มือเฮาเปื้อนขนาดนี้จะปอกให้สู เอ่อ อ้ายหมื่นศรีได้จะใด”

ทรงยิ้มอย่างใจเย็นขณะตรัส “ปอกไปเต๊อะ อ้ายกินได้ อยู่ป่าอยู่ดงจะให้เพียบพร้อมสมบูรณ์ได้จะใดกัน”

ระหว่างที่เอื้องฟ้ากำลังกระอักกระอ่วนใจอยู่นั้น หูของนางก็แว่วๆได้ยินเสียงที่ทำให้ยิ้มออก “น้ำ ได้ยินเสียงน้ำก่อ”

ว่าแล้วสาวเจ้าก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน จากนั้นจึงดึงหัตถ์ของผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามให้ลุกขึ้นตาม “ไปกัน”

เจ้าศรีหิรัญไม่รอให้นางพูดซ้ำ รีบก้าวตามร่างบอบบองที่เดินเร็วปานจะเหาะออกไปทันที ไม่นานทั้งสองจึงมาถึงธารน้ำเล็กๆสายหนึ่งซึ่งมีต้นน้ำมาจากน้ำตกสูงที่อยู่ไกลออกไป

“ถึงแล้ว”เอื้องฟ้ายิ้มร่าขณะบอก

เจ้าอุปราชพยักพักตร์ “ไปล้างหน้าล้างตา ล้างมือ แล้วค่อยมาปอกมะม่วง ฤๅว่าจักอาบน้ำก่อนดี มอมไปหมดทั้งตัวแล้วนี่”

“หือ ไผว่าเฮาจะอาบ”นางสั่นหน้าหวือ

“จะใดว่าบ่อาบล่ะ” ตรัสถามด้วยความประหลาดใจ ทว่าไม่กี่อึดใจก็ทรงหาคำตอบได้ด้วยพระองค์เอง “หรือว่าน้องอาย อ้ายบ่แอบดูหรอกน่า”

“ไผว่าเอาเฮาอาย เฮาขี้ค้านต่างหาก”

“บ่ต้องมาอ้าง ไปอาบเต๊อะ เอาเป็นว่า อ้ายจะนั่งหันหลังให้ลำธารอยู่บนขอนไม้นี่ น้องหันมาดูก็จะเห็นว่าอ้ายทำสิ่งใดอยู่ จะได้สบายใจ”

เอื้องฟ้านึกตรองก่อนพยักหน้า “ก็ได้ ที่ยอมนี่เพราะรำคาญสูบ่นนะ บ่ใช่อยากอาบ”

เจ้าศรีหิรัญยิ้ม “อืม อ้ายเชื่อน้อง”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » เสาร์ 08 มี.ค. 2014 9:26 am

จันทร์ข้างขึ้นทอประกายลอดกิ่งก้ามปูลงมาเป็นทาง ส่องให้เห็นว่าเอื้องฟ้ากำลังล้มตัวลงนอนใต้ร่มไม้ใหญ่ และเจ้าศรีหิรัญนั้นประทับนั่งพิงโคนต้นไม้อยู่ข้างๆกองไฟซึ่งกำลังลุกโชติช่วงท่ามกลางความมืด

เอื้องฟ้าวางศีรษะลงบนรากไม้รากหนึ่งแล้วหลับตา ทว่าเป็นนานก็ไม่สามารถเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับใหลได้จริงๆสักที เจ้าศรีหิรัญได้ยินเสียงการพลิกตัวของนางอยู่เนืองๆจึงตรัสถามแทรกเสียงหรีดหริ่งหรี่เรไรขึ้นมาบ้าง “นอนบ่หลับกา”

นางขยับตัวลุกขึ้นนั่งพลางตอบเสียงเบา “เฮาบ่ชินกับการนอนป่า”

“อดเอา วันพูกก็ได้ปิ๊กบ้านแล้ว มาอ้ายจะเล่านิทานให้ฟังเอาก่อ” ทรงปลอบนางไปเรื่อยเปื่อย

เอื้องฟ้าหัวเราะกิ๊ก “ทำอย่างกับเฮาเป็นละอ่อน”

เจ้าศรีหิรัญยิ้มให้กับกองไฟเต้นระยับ นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่นางยอมกระเทาะเปลือกความรู้สึกแสดงความเป็นมิตรกับพระองค์ “บ่มีไผรู้ดอกน่า”

“อย่างนั้นก็ เล่ามาเต๊อะ เฮาจะฟัง”

อุปราชหนุ่มเหลือบมองหน้านวลก่อนจะทรงเล่านิทานให้นางฟังด้วยสุรเสียงฉาดฉาน

“นิทานเรื่องเจ้าวรวงศ์ เจ้าวรวงศ์เป็นเจ้าเมืองเชียงแก้วมาเมินแต่ยังบ่มีพระมเหสี เพราะบ่เคยมีนางใดต้องพระทัยของพระองค์มาก่อนเลย”

“แต๊กา ในรั้วในวังมีแม่ญิงงามๆนักขนาดนี่ อ้ายจ๋อมแปงเคยบอกเฮา “นางท้วง

ผู้ถูกแย้งจึงแย้มสรวลตรัสตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “นี่มันนิทานนะเอื้องฟ้า”

“อะๆ งั้นเล่าต่อเลย” นางพยักหน้าเออออตาม

“พระองค์กึ๊ดจะเสาะหาแม่ญิงมาเป็นมเหสี จึงปลอมตัวเป็นขอทานออกไปนอกเวียงแก้ว ทรงได้พบแม่ญิงมากหน้าหลายตา แม่ญิงคนแรกที่ทรงถูกใจเป็นลูกสาวคหบดีชื่อจั๋นตา จั๋นตาเป็นแม่ญิงที่งามพร้อมทั้งกิริยา มารยาท แรกทีเดียวพระองค์กึ๊ดจะรับนางมาเป็นมเหสีจึงไปขอข้าวจากนาง จั๋นตาสั่งให้คนใช้ไล่พระองค์ออกไปจากเรือน เพราะนางบ่ชอบคนสกปรก พระองค์หันว่านางจิตใจคับแคบก็เลยเปลี่ยนใจเดินทางไปแสวงหามเหสีต่อ จนไปพบแสงนวลช่างฟ้อนคนงาม พระองค์จึงแกล้งทำแบบเดิมแหม แต่แสงนวลก็ปฏิเสธอย่างเย็นชา และเมื่อพระองค์ลอบสังเกตนางจึงได้รู้ว่านางเป็นคนขี้เหนียวมาก แม้แต่กับพ่อแม่ของนางเอง ก็เลี้ยงดูอย่างอดๆอยากๆ”

“นางสองคนเป็นคนใจแคบ บ่เหมาะที่จักเป็นมเหสีดอก แล้วเจ้าวรวงศ์ทำอย่างไรต่อ”

“เจ้าวรวงศ์ก็เดินทางต่อไปจนถึงชายป่า ก็ไปพบลูกสาวชาวบ้านคนหนึ่งกำลังเอาข้าวนึ่งออกมาวางไว้ในกระด้ง จึงทรงถามว่านางทำเพื่ออะหยัง นางก็ตอบตามแต๊ว่า เอาข้าวมาวางไว้ให้นกกิน พระองค์ก็ถามต่อว่า บ้านเจ้าก็ยากจนจะใดถึงบ่เก็บข้าวไว้กินกันในครอบครัว นางตอบว่า ถึงครอบครัวของนางจะบ่ได้ร่ำรวยเงินทองแต่ก็บ่ได้ลำบากอันใด แค่เอาข้าวมาทำทานให้สัตว์เล็กน้อยบ่เป็นหยังดอก พระองค์จึงลองขอกินข้าวบ้าง ซึ่งนางก็จัดแจงเอามาให้กินจนอิ่มหนำ สามวันถัดไปพระองค์จึงมีรับสั่งให้ทหารในวังออกมารับนางไปอภิเษกเป็นมเหสี เพราะเห็นว่าคนที่จะมาเป็นแม่เมืองของพระองค์นั้นควรจะมีน้ำใจกับคนอื่น บ่ใช่ห่วงแค่เรื่องของตนเอง”

“นางตกลงก่อ”เอื้องฟ้ายังสงสัย

“แล้วถ้าเป็นน้องจะตกลงก่อล่ะ”ตรัสถามพลางจ้องตานางไปพลาง

เอื้องฟ้าจ้องตอบเนตรคมของคนถามขณะคิด “ก็คงจะยอม บ่มีไผขัดขืนพญาเจ้าเมืองได้กระมัง”

“แล้วน้องบ่โกรธกา ที่เพิ่นปลอมตัวมาหลอกน่ะ”

“หลอกว่าเพิ่นเป็นขอทานน่ะรึ จักโกรธด้วยเหตุใดล่ะ ได้เป็นมเหสี ดีออก”

“ขอให้มันแต๊เต๊อะ จำคำของตนเองเอาไว้เน้อ”ทรงกล่าวสำทับด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียจนคนฟังทำหน้างง “จะใดเฮาต้องจำล่ะอ้ายหมื่นศรี”

เจ้าศรีหิรัญทรงหัวเราะกลบเกลื่อน “ก็เผื่อเอาไปเล่าให้ละอ่อนฟังที่เรือนฟังจะใดล่ะ นอนได้ละ วันพูกต้องเดินทางไกล ม้าก็บ่มีแล้ว”

จากนั้นพระองค์จึงทรงแกล้งหาวแล้วกระถดกายลงนอน เอื้องฟ้าจึงทำตามบ้าง แล้วกลับเด้งกายลุกขึ้นมาอีกพลางบอกอย่างตื่นเต้นและพนมมือแต้ “นั่นๆ ดาวตกแม่นก่อ”

องค์อุปราชผุดลุกขึ้น มองตามแล้วจึงพนมมือ “หันดาวตกเพิ่นให้อธิษฐานขอในสิ่งที่ต้องการ”

โดยไม่รอช้าเอื้องฟ้าจึงหลับตา ทำปากขมุบขมิบก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งในเวลาถัดมา

“น้องอธิษฐานว่าจะใด”คนแนะตรัสถามหลังจากประทับนอนยังจุดเดิมแล้ว

“เฮาขอให้พ่อครูมีความสุขแลได้บำเพ็ญดังที่เพิ่นตั้งใจเอาไว้”นางหันมองเลยกองไฟมายังผู้ที่นอนอยู่ตรงข้าม

“น้องเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน” ทรงตรัสชมลอยๆหากดวงเนตรจับอยู่ที่หน้านวลใต้แสงไฟสีระเรื่อ

“ถ้าบ่มีพ่อครู เฮาก็คงจะทุกข์ยากบ่มีคนดูแล ทุกวันนี้เฮาเหลือพ่อครูเพียงคนเดียวที่เป็นหลักชีวิต” นางเล่าเรียบเรื่อยคล้ายเป็นการระบาย โดยสีหน้ามิได้มีความเศร้าสร้อยใดๆเลย กลับมีประกายสดใสแจ่มชัดเสียด้วยซ้ำ

“ความกตัญญูนั่นแลที่จะค้ำชูน้อง เอาละตอนนี้นอนก่อนเต๊อะ วันพูกเฮาจะได้ปิ๊กเรือนแต่เช้ามืด”

เอื้องฟ้ายอมทำตามแต่โดยดี

ร่างบางค่อยๆเอนกายราบลงไปนอนกับพื้น ทว่าดวงตานั้นลอบมองเสี้ยวพักตร์ของอีกฝ่ายนิ่งนาน

เขา ที่นางไม่ไว้ใจตั้งแต่แรก กลับเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในป่าใหญ่แห่งนี้

เขาที่ทำให้หัวใจสั่นสะเทือนได้ง่ายๆเสมอเมื่อใกล้ชิดกัน ยามนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของนางเอง รู้ทั้งรู้ในเวียงวังมีหญิงงามมากมาย ใจหนอใจ เหตุใดนางจึงไม่ระมัดระวัง เผลอไผลอ่อนไหวได้อย่างไรเล่า เฮ้อ เอื้องฟ้า

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » เสาร์ 08 มี.ค. 2014 9:27 am

“พี่ดลมานั่งอยู่นี่เอง ลิลลี่ตามหาแทบแย่”เสียงแหลมๆดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของสาวสวยร่างสูงเพรียวอย่างเมริน อรัญวานิชย์

แสงสว่างในดวงตาแห่งจิตของนทีดลดับวูบลง เขาจึงเปิดเปลือกตาขึ้น มองเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อแขนกุด กางเกงยีนสั้นจู๋กำลังยืนอยู่ตรงหน้า จึงถาม “ลิลลี่มานานหรือยัง”

ดาราสาวยิ้มหวานจ๋อยก่อนตอบ “มาถึงพักนึงแล้วค่ะ เห็นพี่ดลนั่งหลับอยู่ เฝ้าเอื้องจนเพลียเลยหรือคะ”

“เปล่าหรอกครับ แสบตาน่ะพี่เลยพักสายตาบ้าง”

“อุ๊ย เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ ไปหาหมอดีไหม เดี๋ยวลิลลี่ขับรถพาไปเอง” เธอพยายามเสนอตัวเต็มที่

หากนทีดลยังยิ้ม ใจเย็น “ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นหรอกครับ แค่เคืองตาธรรมดาน่ะ เดี๋ยวก็หาย ว่าแต่ลิลลี่มีอะไรหรือเปล่า เห็นว่าตามหาพี่ตั้งนานแล้วนี่”

“ก็...ลิลลี่จะขอให้พี่ดลพาไปเยี่ยมเอื้องน่ะค่ะ ลิลลี่มัวแต่ยุ่งๆเลยไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนสักที” จะได้เห็นกับตาว่าใกล้ตายหรือยัง ประโยคท้ายเธอคิดเองในใจ

ระยะหลังๆหญิงสาวรู้สึกว่านทีดลมักจะวุ่นวายกับการดูแลคนป่วยจนห่างเหินจากเธอไป การเยี่ยมเอื้องลดาที่โรงพยาบาลคงเป็นทางเดียวที่จะได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น

“ได้สิครับ งั้นลิลลี่นั่งรออยู่นี่แป๊บนึงนะ พี่ไปเตรียมของเดี๋ยวเดียว”

“ได้ค่ะ”เรียวปากเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดรับคำพร้อมกับที่เธอย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ตัว

ทว่ายังไม่ทันที่นทีดลจะลุกขึ้นยืน นัยภาคก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาเขาเสียก่อน “พี่ดลทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะครับ คุณเจนผู้จัดการผับโทร.มาหาหลายรอบแล้ว”

พี่ชายผุดลุกขึ้นยืนก่อนถาม “เกิดอะไรขึ้นนัย”

“ไฟไหม้โรงแรมครับพี่ โซนที่เป็นผับของเราไม่เสียหาย แต่ทางโรงแรมแจ้งมาว่ายังไงก็ต้องปิดปรับปรุงทั้งชั้น”นัยภาคถ่ายทอดถ้อยคำที่รับฟังมาพลางถอนใจ

แต่หุ้นส่วนใหญ่ของผับกลับทำหน้าเรียบเฉย “ก็เอาตามนั้นแหละ พี่เองก็คิดจะถอนตัวออกมาอยู่เหมือนกันติดที่พวกเพื่อนๆไม่ยอม เหนื่อยน่ะนัย การทำธุรกิจกลางคืนมันทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว กลางวันก็นอน หัวค่ำก็ต้องรีบไปที่ผับ ครั้นจะไม่ไปดูแลเองก็ไม่ได้ ปัญหามันเยอะ”

“ครับพี่ดล”คนเป็นน้องค่อยเบาใจจึงถามกึ่งแนะนำว่า “พี่ดลจะเข้าไปดูสถานการณ์ที่ผับหน่อยไหมครับ คุณเจนกับหุ้นส่วนคนอื่นๆรออยู่”

ผู้ถูกถามเคลื่อนสายตาผ่านหน้างามของเมรินก่อนจะตรึงความสนใจไว้ที่น้องชายของตน “วันนี้นัยว่างหรือเปล่าล่ะ”

“ผมนัดรีนาไว้ว่าจะไปเยี่ยมคุณเอื้องที่โรงพยาบาลน่ะฮะ แต่ถ้าพี่ดลจะให้ไปที่ผับเป็นเพื่อน...”

พี่ชายรีบสั่นหน้า โพล่งตัดคำว่า “งั้นพี่ฝากลิลลี่ไปด้วยก็แล้วกัน พี่จะได้ดูไปทางโน้น”

“ได้ครับ” นัยภาครับคำง่ายดายแล้วจึงหันไปค้อมศีรษะให้หญิงสาวคนเดียวในที่นั้น

เมรินส่ายหน้า พยายามบ่ายเบี่ยง “ไม่เอาค่ะ ถ้างั้นลิลลี่ไปกับพี่ดลดีกว่านะ ไว้ค่อยไปโรงพยาบาลวันหลังก็ได้”

“อย่าเลย พี่ไปทำงาน ลิลลี่ไปพร้อมนัยกับคุณรีนาตอนนี้เถอะ”นทีดลปฏิเสธเสียงเข้ม บ่งบอกให้รู้ว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างเร่งรีบ

นัยภาคมองตามร่างสูงของพี่ชายที่กำลังจ้ำอ้าวไปยังที่จอดรถก่อนจะหันมายิ้มให้เมรินและถาม “เอาไงดีครับ”

หญิงสาวทำหน้าเซ็งๆพลางลอบถอนหายใจ “ลิลลี่ไม่ไปแล้วค่ะคุณนัย”
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 11 ต.ค. 2014 11:16 am

ตราบสิ้นอสงไขย

10500433_714453338632470_6873293208218696484_n.jpg
10500433_714453338632470_6873293208218696484_n.jpg (39.36 KiB) เปิดดู 11986 ครั้ง


ด้วยอำนาจแห่งแหวนนาคซึ่งถูกจารลงบนนิ้วของเธอและเขา ทำให้เอื้องลดาและนทีดลได้กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากหญิงสาวต้องไปถ่ายทำละครที่โบราณสถานแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่


ณ ที่นั้นเอื้องลดา ได้ย้อนเวลาไปยังปีพ.ศ.2015 เพื่อพบกับเขา เจ้าศรีหิรัญ ซึ่งเป็นเพียงดวงวิญญาณอารักษ์ และในขณะเดียวกันเธอต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องราวที่ท้าวบุญเรือง ราชบุตรแห่งพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่9 แห่งเมืองเชียงใหม่ถูกใส่ร้ายจากเจ้าจอมหอมุกจนต้องโทษประหารชีวิต จนเธอเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดไปด้วย ทว่าในทุกๆวินาทีในภพอดีต เธอก็ยังอุ่นใจเสมอว่ามีเขาคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา


แม้จะต่างชาติ ต่างภพ แต่เอื้องลดาก็รับรู้ความในใจของอีกฝ่ายได้ดี เธอจึงขอให้เขาเล่าเรื่องราวในอดีตชาติให้ฟัง ภาพความเป็นไประหว่างเอื้องฟ้าและเจ้าศรีหิรัญ เมื่อปี พ.ศ.1500 จึงปรากฏแก่สายตาของหญิงสาวอย่างแจ่มชัด ความรัก ความผูกพัน และโศกนาฏกรรมทำให้เอื้องฟ้าและเจ้าศรีหิรัญต้องพรากจาก หลงเหลือเอาไว้เพียงหัวใจที่ผูกกระหวัดกันอย่างแน่นเหนียว เพื่อรอคอยวันที่จะได้กลับมาอยู่เคียงข้างกันอีกครั้งและตลอดไป

๏ หมื่นแสนสรวงลวงตาว่าแสนสุข
พันหมื่นยุคเย้ายวนชวนหลงใหล
ร้อยพันชื่นดื่นหล้าลืมอาลัย
หวังหนึ่งในแดนฝันอนันตกาล

๏ มีหนึ่งน้องนางเดียวร่วมเกี่ยวข้อง
เคียงหอห้องเสน่หานิทราศานต์
เสวยรมย์สมรักร่วมจักรวาล
ผูกวิมานพิศวาสทุกชาติภพ

๏ ขอบุพเพสันนิวาสไม่คลาดเคลื่อน
ฤๅลอยเลื่อนแรมสวรรค์ยากบรรจบ
สุดโลกทิพย์ลิบหล้าอย่าเลือนลบ
จะทอนทบหาทางทวงนางคืน

๏ ถึงเคราะห์กรรมจำพรากจากสายจิต
ด้วยชีวิตปุถุชนยากทนฝืน
แต่รักนี้จีรังแสนยั่งยืน
ตายอีกหมื่นโลกธาตุไม่คลาดคลา

๏ อยู่สวรรค์ชั้นไหนจะไปห่วง
อยู่ดาวดวงใกล้ไกลจะไปหา
อยู่พรหมโลกก็จะรับเธอกลับมา
อยู่คู่อาณาจักรรักจริงใจ

๏ ตราบโลก...แยกสลายกลายเป็นผง
ตราบฟ้า..ถล่มลงอย่าสงสัย
ตราบอาทิตย์...ดับดวงยังห่วงใย
ตราบสิ้นอสงไขย...ยังใจเดียว ๚ะ๛
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » ศุกร์ 14 พ.ย. 2014 12:19 pm

สามารถดาวน์โหลดอีบุ๊ก นวนิยาย "ตราบสิ้นอสงไขย" ได้ที่



http://www.mebmarket.com/index.php?acti ... k_id=18235


middle.jpg
middle.jpg (34.03 KiB) เปิดดู 11955 ครั้ง
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฝน ทะกลกิจ » เสาร์ 03 ส.ค. 2019 10:28 pm

ชีวิตจริงอิงนิยาย...แรงบันดาลใจกว่าจะมาเป็น “ตราบสิ้นอสงไขย”

133822_resize.jpg
133822_resize.jpg (129.72 KiB) เปิดดู 7748 ครั้ง


เพราะสาวราชภัฏลำปางจะทำวิจัยนวนิยายเล่มนี้จึงตัดสินใจเล่าที่มาของพล็อตเรื่องให้ บางส่วนมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งตัวอิฉันเองนั้นแรกทีเดียวไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลย จนในช่วงหนึ่งของชีวิตได้พบเจอเรื่องที่อธิบายไม่ได้ก็เริ่มเชื่อมากขึ้น ไม่ได้เต็มร้อยหรอก แต่ทำความเข้าใจโลกอีกมุมว่า บางอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้เราก็ไม่ควรฟันธง มันอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นไม่ควรประมาท เราเลือกที่จะเชื่อไว้ ๖๐ – ๔๐ เชื่อมากกว่าไม่เชื่อ..เพราะอะไรน่ะหรือ..

เพราะมันมีอะไรแปลกๆเข้ามาในชีวิต ยกตัวอย่าง มองเห็นผู้หญิงชุดขาวที่ตนเองกระเด็นตกลงมาทับตอนรถคว่ำ ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย (แต่จริงๆคนที่เราตกใส่เป็นผู้ชาย) ดอกไม้ไม่มีที่มา (ห้องเราไม่มีใครเข้ามาและล็อกสายยู) งูใหญ่ที่ขวางหน้ารถ ซึ่งตอนแรกเหมือนตาย บีบแตรเท่าไรก็ไม่กระดิก พอยกมือขึ้นไหว้แล้วขอทาง..ก็เลื้อยไปทันที รวมถึงกรณีรถชนสี่คันรวดตอนที่เราเดินอยู่บนฟุตปาธ รถพุ่งขึ้นมาอย่างแรง ชนกระโปรง..ยังรู้สึกได้ (กระโปรงทรงเอนะ ไม่ใช่กระโปรงบาน) พอหันกลับไปมองเฮ้ยยยยยยย เกือบโดนรถชน รถกับตัวเราห่างกันไม่ถึงคืบ...

เข้าเรื่อง ความผูกพันของเอื้องลดากับนทีดล เราผูกเรื่องไว้ ๓ ชาติ ชาติแรก พ.ศ.๑๕๐๐ ช่วงก่อนประวัติศาสตร์ เราตั้งเมืองสมมติขึ้นมา ความรัก..ความผูกพันของทั้งสองเหนียวแน่นมากในชาตินี้ แต่เราก็ไม่ลืมเขียนฉาก “หนองบัวเจ็ดกอ” หรือ “หนองเขียว” หรือ “หนองป่าแพ่ง” อันเป็นหนองน้ำธรรมชาติที่มีมาตั้งแต่พญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาดอยสุเทพที่อยู่ในเขตอำเภอแม่ริม ตอนเหนือของเมืองเชียงใหม่ จากนั้นไหลลงมาทางใต้ลงสู่ “หนองบัว” ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้มุมเมืองเชียงใหม่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หนองบัวแห่งนี้เป็นแหล่งรับน้ำและกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากทางตอนเหนือ ก่อนที่จะปล่อยลงสู่คูเมืองชั้นนอกใกล้แจ่งศรีภูมิ แล้วไหลเลาะกำแพงเมืองชั้นนอกด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ไปบรรจบกับลำคูไหวไหลลงไปทางทิศใต้และลงสู่แม่น้ำปิง และลงสู่ห้วยแม่ข่าที่ไหลเลาะกำแพงเมืองชั้นนอก มีชื่อปรากฏในตำนานอีกอย่างหนึ่งว่า “แม่โถ” แต่ในสมัยหลังมักเรียกกันว่า“คลองแม่ข่า” ตามตำนานกล่าวถึงว่า ชาวเชียงใหม่ให้ความสำคัญกับแหล่งน้ำมาก หากบ้านเมืองขาดน้ำแล้วจะถือว่าบ้านเมืองชะตาขาด หากปีใดหนองบัวไม่มีน้ำ บ้านเมืองจะเป็นทุกข์ หากน้ำห้วยแก้วไม่ไหลเข้าสู่เมือง และยามกลางคืนไม่ได้ยินเสียงน้ำห้วยแก้วตกด้วยเสียงอันดังแล้ว บ้านเมืองจะเป็นทุกข์ [ตำนานพื้นเมืองล้านนาเชียงใหม่ , หน้า ๓๗-๓๘] ปัจจุบันได้สร้างถนนอัษฎาธรตัดแจ่งศรีภูมิผ่านกลางหนองบัวเจ็ดกอเพื่อไปบรรจบกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ทำให้หนองบัวเจ็ดกอหมดสภาพการเป็นหนองน้ำที่มีมาแต่สมัยพญามังรายอย่างสิ้นเชิง

ชาติที่ ๒ พ.ศ.๒๑๐๕ ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช นางเอกเป็นหลานเจ้าหมื่นด้งนคร (ผู้มีศักดิ์เป็นอาพระเจ้าติโลกราช) พบกับดวงวิญญาณเจ้าศรีหิรัญซึ่งอยู่ในสถานะอารักษ์แห่งเมือง ในชาตินี้อิงประวัติศาสตร์ช่วงที่ “ท้าวบุญเรือง” ถูกเจ้าจอมหอมุก สนมเอกพระราชบิดาใส่ร้าย จนถูกประหารชีวิต (เหตุการณ์นี้เป็นต้นกำเนิดของวัดสังเวช ในกองบิน ๔๑ และวัดร่ำเปิง)

ชาติสุดท้าย..ปัจจุบัน ที่พระนางพบกันและโยงใยสู่ม่านกาลเวลา

ทำไมนางเอกต้องย้อนอดีต เหตุผลในเรื่องเพราะความรัก และส่วนหนึ่งเพื่อให้รับรู้ความเป็นมาของพระพุทธรูปโบราณในเมืองเก่า เพื่อปกป้องรักษา [เคยเห็นมีคนรีวิวว่าไม่รุ้จะย้อนไปทำไม ไม่มีเหตุผล แต่ก็คนเดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นเข้าใจหมด]

ทำไมแต่ละชาติที่พระนางพบกันจึงห่างหลายร้อยปี [คำถามจากรีวิวเหมือนกัน ในมุมของเราที่ศึกษาจากเรื่องภพชาติ ข้อมูลการสะกดจิตของจิตแพทย์ ได้ข้อมูลว่า คนที่วิญญาณจะได้มาพบกัน เป็นเนื้อคู่กันนั้น คือวิญญาณที่ผูกพันกันมา และมีการเว้นช่วงยาวนาน ไม่ใช่เคยเป็นปู่ ย่า ตา ยาย แล้วมาเกิดใหม่เป็นลูกหลานแบบละครไทย อีกประการคือ เวลาของโลกมนุษย์และโลกวิญญาณซึ่งต่างกัน ช่วงเวลาที่พระนางไม่ได้มาบรรจบกัน เพราะต่างก็ต้องมีเวลาของตนเอง กล่าวคือ ต้องไปใช้กรรมของตนเอง จนถึงเวลาที่เหมาะสมจึงเวียนกลับมาหากันอีกครั้ง]
น้ำฝน ทะกลกิจ
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 1111
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 30 ก.ย. 2018 1:00 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฝน ทะกลกิจ » เสาร์ 03 ส.ค. 2019 10:30 pm

แรงบันดาลใจของพล็อตนี้มาจากถ้อยคำของเจ้าทรง หลายปีแล้วที่เราเกิดความสงสัยว่า เมืองเก่าในหมู่บ้าน (มีเป็นสิบแห่งที่มีโบราณสถาน) แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ดูจะมีความสำคัญมากกว่าที่อื่น ก็คือ บริเวณโละ จุดนี้จะมีต้นไม้ที่เป็นจุดสังเกต เคยมีโบราณสถานเก่าแก่ แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้ว สมัยปู่เป็นหนุ่มกรุพระที่นี่เคยแตก เป็นกรุใหญ่ถึง ๒ กรุ พบพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน และก่อนเชียงแสนหลายองค์ เราสงสัยว่าบริเวณนี้คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร บริเวณนี้มีตำนานซ้อนตำนาน คือช่วงประวัติศาสตร์มีการรบระหว่างชาวล้านนากับพม่า คนในหมู่บ้านเชื่อว่าที่นี่ผีดุมาก ไหนจะผีพม่า ไหนจะผีเมืองเก่าดั้งเดิม

1559262393393_resize.jpg
1559262393393_resize.jpg (98.58 KiB) เปิดดู 7748 ครั้ง


เมื่อสนใจเรื่องนี้ ป้าแนะนำให้ไปหาแม่ทอง แม่ทองเป็นร่างทรงพ่อปู่อนากุ เป็นหมอยาในสมัยโบราณ แต่แม่ทองไม่เหมือนร่างทรงในเมืองหรอกนะ ไม่ค่อยชอบประทับทรง ถ้าเชิญองค์มาประทับก็ใส่ขันตั้งแค่ ๙ บาท ๑๒ บาท แล้วแต่ว่าเป็นใคร ป้าบอกว่า “เจ้าเมือง” ที่เมืองเก่าเป็นเจ้านายของพ่อปู่ เคยมาประทับทรง และเล่าประวัติเมือง แต่ท่านบอกว่า ท่านไม่ใช่เจ้าทรงนะ จะมาเพียงครั้งเดียว เพื่อเล่าให้ลูกหลานรู้ถึงปูมหลังของโบราณสถานแห่งนั้น

ตอนนั้นเชื่อไหม เราตอบไม่ได้ เพียงรู้สึกว่าอยากรู้ อยากฟัง เราจึงขอให้ป้าพาไป

แม่ทองไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว แต่บอกว่าถ้าเชิญ “พ่อเมือง” ท่านไม่น่าจะมา เพราะท่านไม่ใช่ร่างทรงของแม่ ครั้งนั้นท่านมาหนเดียวแล้วไม่มาอีกเลย แต่ก็ลองเชิญ...สรุปว่ามา

ร่างทรงนั่งหันข้างให้เรา..ไม่มองหน้า เล่าตำนานกาลเก่าว่าเป็นเมืองโบราณที่แผ่นดินแยก และมีคนตายมากมาย ทุกคนยังอยู่ที่นั่น คนยุคนี้จึงมองว่าผีดุ เพราะเขาไม่ไปไหน ท่านเป็นเจ้าเมือง ชื่อเจ้าเข็มคำ มเหสีท่านตายก่อนเมืองล่ม..ไปเกิดแล้ว เหลือท่านกับเจ้าหญิงอมรา..ลูกสาว

ตอบไม่ถูกว่าเชื่อไม่เชื่อ แต่ด้วยความที่เป็นช่วงสงกรานต์เล่าจบเราจึงขอให้ท่านผูกข้อมือให้ ประโยคแรกท่านบอกว่า “ไม่เคยผูกข้อมือให้มนุษย์” แต่ก็ยอมหันมา แล้วบอกว่าจะผูกข้อมือให้เราแค่คนเดียว ตอนที่ผูกข้อมือ..คนที่ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับอย่างเราน้ำตารื้น บอกไม่ได้อีกนั่นแหละว่าทำไม หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า เวลาจะเดินทางไกลให้อธิษฐานบอกนะ ดังนั้นเวลาจะไป-กลับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่เราจึงบอกกล่าวเสมอมา

ด้วยความที่เป็นคนยุคใหม่ ไม่มีความเชื่อเรื่องเหล่านี้ จึงกลัวคนจะมองว่าบ้า อันที่จริงเราเริ่มเชื่อบ้างแล้วแหละจึงคอยบอกกล่าวเสมอเวลาจะทำอะไร ในวันที่เดินทางกลับเชียงใหม่ พอไปถึงเราก็เดินเข้าห้องนอน แอบยกมือไหว้บอกกล่าวว่ามาถึงแล้ว กลัวคนจะเห็น เดี๋ยวว่างมงาย แล้วจึงไปปักธูปบอกที่เมืองเก่า ผ่านไปหลายวันจึงไปเชิญท่านมารับของถวายได้มีโอกาสถามว่า ตอนจุดธูปบอกว่ามาถึงแล้วท่านรับรู้ไหม ร่างทรงตอบว่า “รู้สิ รู้ตั้งแต่ยกมือไหว้อยู่ในห้องแล้ว” จุดนี้เราตอบไม่ได้เลยว่า “รู้ได้อย่างไร” คงไม่มีใครมาแอบดูหรอก ถ้าจะแอบดู..ดูยังไง จังหวะต้องนรกมากถึงจะพอดีกัน

หลังจากนั้นพอกลับมากรุงเทพฯเราเคยฝัน ว่าแม่ทองเดินมาหา จับมือเราไว้ ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นชายแก่ในชุดพราหมณ์ แล้วเปลี่ยนเป็นชายหนุ่ม..โอ้โห..บอกเลยว่าในสายตาเรา..หล่อมาก เป็นคนร่างสันทัดสูงประมาณ ๑๗๕ - ๑๘๐ ผิวไม่ขาวมาก ออกไปทางสองสี คนสุดท้ายเป็นผู้หญิง ผู้หญิงคนนี้แหละพูดขึ้นว่า “ขอให้อยู่ดีมีสุข” แล้วเราก็ตกใจตื่น ใจเต้นโครมคราม ไม่รู้ว่าคิดมากแล้วฝันหรือเปล่า พอมาถามเจ้าเข็มคำท่านบอกว่า คนแรกคือพ่อปู่ ชายหนุ่มคือท่านเอง เราย้อนถามว่า ทำไมหนุ่มกว่าเวลานี้ล่ะ ท่านบอก “จะไปให้เห็นในช่วงอายุไหนก็ได้” ส่วนผู้หญิงคนสุดท้ายเป็นเพื่อนเราเอง..เพื่อนที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร เจ้าเข็มคำบอกว่า ทำให้ฝันเพราะจะได้เอาไปทำงาน..ใช่ ได้ตราบสิ้นอสงไขยมา ๑ เล่ม

วันที่ตราบสิ้นอสงไขยวางแผง ได้ส่งหนังสือฝากแม่ไป ให้แม่เชิญเจ้าเข็มคำมาประทับแล้วถวาย แม่ทำตาม เจ้าเข็มคำบอกแม่ว่า “ชาติที่แล้วเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ ลองถามดูสิ แม้แต่มดก็ไม่ฆ่า” โอ้..ข้อนี้จริง มดเกาะแก้วกาแฟเรายังเคาะออกก่อนล้างเลย ท่านบอกว่าเรามีคนดูแลนะ ชีวิตไม่มีเรื่องร้ายแรง ตรงกับที่หมอดูเอย พระเอย ชอบทักว่า เรามีองค์ เราไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไร แต่พอย้อนไปถึงเหตุการณ์รถคว่ำก็เอนเอียงนิดหน่อย เราไม่ได้ไปดูดวงหรอก ตอนที่ผึ้งต่อยเจ้าของอพาร์ทเมนต์ไปหาพระ ถามว่าทำไมผึ้งนั่นต่อยแค่เราคนเดียว พระท่านบอกว่า มีคนจะทำของใส่เขา แต่มันไม่เข้า คนนี้เขามีองค์ ตอนนั้นเรางงว่าใครจะมาทำของอะไรใส่ เราก็ไม่ได้มีศัตรูอะไรรุนแรง เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดความสงสัยผู้ชายที่ชอบเที่ยวไปบอกใครๆว่าชอบเรา มารู้ทีหลังว่าเขาชอบเล่นของ ก็มีเค้าอยู่นะ โดยรวมเขามักบอกว่า “องค์” ที่ว่าไม่ใช่เจ้าทรง หรือกุมาร แต่เป็นเทพ ดูแลเพราะร่วมบุญ เราจึงมีโอกาสได้ทำบุญอยู่เสมอ ถ้าเราทำตัวไม่ดีเขาก็จะไป...

ทุกเรื่องราวเข้ามาในชีวิตเราในช่วงทศวรรษที่แล้วนี่เอง จากคนที่ไม่เชื่อ..มันก็หวั่นไหวนะ ทุกวันนี้ไปไหนก็ไหว้พระ ไหว้เจ้าที่เสมอ สิ่งเหล่านี้ไม่รู้ว่ามีหรือไม่ แต่ถ้าเคารพนบนอบไว้ก็เป็นการดี ดีต่อตัวเราเอง ดีกว่าไปท้าทาย แต่ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่ ตราบสิ้นอสงไขยก็ได้มาจากเรื่องราวที่ได้เล่าไปแล้ว เราไม่ใช่นางเอก เรามักจะวางตนเองเป็นผู้เขียน นางเอกคือตัวละครสมมติ เพียงแค่ผูกโยงเรื่องราวที่ได้รับรู้มาเข้าด้วยกันจนหลอมรวมเป็น “ตราบสิ้นอสงไขย”

๏ หมื่นแสนสรวงลวงตาว่าแสนสุข
พันหมื่นยุคเย้ายวนชวนหลงใหล
ร้อยพันชื่นดื่นหล้าลืมอาลัย
หวังหนึ่งในแดนฝันอนันตกาล

๏ มีหนึ่งน้องนางเดียวร่วมเกี่ยวข้อง
เคียงหอห้องเสน่หานิทราศานต์
เสวยรมย์สมรักร่วมจักรวาล
ผูกวิมานพิศวาสทุกชาติภพ

๏ ขอบุพเพสันนิวาสไม่คลาดเคลื่อน
ฤๅลอยเลื่อนแรมสวรรค์ยากบรรจบ
สุดโลกทิพย์ลิบหล้าอย่าเลือนลบ
จะทอนทบหาทางทวงนางคืน

๏ ถึงเคราะห์กรรมจำพรากจากสายจิต
ด้วยชีวิตปุถุชนยากทนฝืน
แต่รักนี้จีรังแสนยั่งยืน
ตายอีกหมื่นโลกธาตุไม่คลาดคลา

๏ อยู่สวรรค์ชั้นไหนจะไปห่วง
อยู่ดาวดวงใกล้ไกลจะไปหา
อยู่พรหมโลกก็จะรับเธอกลับมา
อยู่คู่อาณาจักรรักจริงใจ

๏ ตราบโลก...แยกสลายกลายเป็นผง
ตราบฟ้า..ถล่มลงอย่าสงสัย
ตราบอาทิตย์...ดับดวงยังห่วงใย
ตราบสิ้นอสงไขย...ยังใจเดียว ๚ะ๛

รอยอดีต..ความผูกพัน.. ตอกย้ำหัวใจ..เหยียบย่ำบนผืนดิน..ถิ่นเก่า..คลับคล้ายได้ยินเสียงแว่วหวาน..ร่ำเรียก..ของใครบางคน...ที่เฝ้ารอคอยมานาน..แสนนาน
น้ำฝน ทะกลกิจ
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 1111
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 30 ก.ย. 2018 1:00 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฝน ทะกลกิจ » ศุกร์ 16 ส.ค. 2019 6:14 am

หนังสือหมดแล้วค่ะ หาอ่านได้จากอีบุ๊คส์ได้อย่างเดียว..ในช่วงนี้
20190801_081935_resize.jpg
20190801_081935_resize.jpg (73.74 KiB) เปิดดู 7700 ครั้ง
น้ำฝน ทะกลกิจ
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 1111
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 30 ก.ย. 2018 1:00 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฝน ทะกลกิจ » เสาร์ 31 ก.ค. 2021 12:00 pm

โหลดอีบุ๊ก ได้ที่ ตราบสิ้นอสงไขย https://www.mebmarket.com/ebook-18235-% ... 2%E0%B8%A2
Screen shot 2014-09-26 at 3.45.05 PM.png
Screen shot 2014-09-26 at 3.45.05 PM.png (420.51 KiB) เปิดดู 2504 ครั้ง
น้ำฝน ทะกลกิจ
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 1111
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 30 ก.ย. 2018 1:00 pm

ย้อนกลับ

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน

cron