“สูจะไปไหน”เสียบแหบแห้งที่จู่ๆก็ดังขึ้นข้างตัวเป็นเหตุให้หญิงสาวผู้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดถึงกับสะดุ้งโหยงและหันขวับ มองไปยังริมลำธารอันเป็นทิศทางที่มาของเสียงดังกล่าว
แล้วกลับต้องชะงัก เมื่อพบว่าผู้ที่ยืนนิ่งรออยู่เป็นผู้ทรงศีลในชุดสีขาวสะอาด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ“ดิฉันจะไปที่เมืองเก่าสลีคำค่ะ”
ชายในชุดขาวพยักหน้า “สูคงจะหมายถึงเมืองอนันตกาลสินะ”
คิ้วเรียวสวยไร้การตกแต่งขยับเข้าหากันเมื่อย้อนถาม “เมืองอนันตกาลที่ว่านี่หมายถึงเมืองเก่าที่อยู่ใกล้ๆนี่หรือคะ”
“อืม แม่นละ ยามนี้กาลล่วงเลยมายาวนาน ผู้คนคงจะตั้งจื้อเมืองต๋ามตี้ปร๋ากฏแก่สายต๋า เพราะบ่เกยฮู้ว่าจื้อดั้งเดิมของเมืองนั้นคือ อนันตกาล”
“ประหลาดจัง ไม่มีใครรู้เลยหรือคะท่าน”
ผู้ทรงศีลพยักหน้า “ก็คงจะเหมือนตี้บ่เกยฮู้ว่าลำน้ำสายนี้เกยเป๋นแม่น้ำอันกว้างใหญ่เมื่อปันปี๋ก่อน”
“แม่น้ำสายกว้างใหญ่”หญิงสาวทวนคำพลางหันไปมองลำธารสายเล็กๆซึ่งไหลรินขนาบทางเดินจากทิศเหนือจรดทิศใต้ด้วยความรู้สึกหม่นหมอง กาลเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้มากมายเหลือเกิน
“ใหญ่ถึงขนาดเฮือสำเภาแล่นผ่านมาได้หลายลำเทียวนา”ผู้เฒ่าชุดขาวสำทับ
“นานวันไปธารน้ำคงจะตื้นเขินขึ้น น่าเสียดายนะคะ อาจจะเหมือนเวียงกุมกามที่อยู่ใต้เมืองเชียงใหม่ลงไป ซึ่งน้ำปิงเปลี่ยนสายจนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองในตำนานอยู่หลายชั่วอายุคน”หญิงสาวโต้ตอบผู้มาใหม่พร้อมกับก้าวเดินไปราวกับเป็นคนที่คุ้นเคยกันมานาน โดยที่ไม่มีความรู้สึกหวาดระแวงใดๆทั้งสิ้น
“เมืองแห่งนี้เกิดก่อนเวียงกุมกามหลายปี๋นัก เมินเสียจ๋นแทบจะบ่หลงเหลือความทรงจ๋ำใดๆเอาไว้เลย”
“ปกติเมืองอื่นจะเหลือจารึกเอาไว้บ้าง แล้วเมืองนี้ไม่มีหรือคะ”
“มี”ผู้ทรงศีลหยุดเดิน หันมามองผู้ถามด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ “แต่จ๋มอยู่ใต้ดิน บ่มีไผเซาะปะ”
เอื้องลดารู้สึกสะดุดใจ หันมามอง หากก็ยังก้าวเดินต่อไปไม่หยุด อีกไม่ถึงสิบเมตรก็จะเข้าสู่อาณาเขตของเมืองเก่าสลีคำแล้ว“ทำไมท่านถึงรู้ล่ะคะ คนทั่วไปรู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”
ชายในชุดขาวไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับขยับมุมปากใต้หนวดเครานั้นให้มียิ้มน้อยๆ“ตี้แห่งนี้มีหลายสิ่งตี้คนทั่วไปสัมผัสบ่ได้ นอกจากคนตี้ได้ฮับอนุญาตเต้าอั้นนะลูก”
“ค่ะ”หญิงสาวรับคำและก้าวผ่านประตูทางเข้าโบราณสถานไปยืนอยู่บนพื้นดินที่ปกคลุมด้วยผืนหญ้าสีเขียวครึ้ม สายตาคู่งามเปลี่ยนวิถีจับจ้องไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนกอดอกอยู่ข้างพระธาตุหรือที่ภาษาเหนือเรียกว่ากู่กุด
“อ้าว คุณเอื้อง ตื่นแต่เช้าจังเลยนะครับ”เขาถามพลางก้าวฉับๆเข้ามาหา
เอื้องลดายิ้มให้อีกฝ่ายแต่ไกล แล้วจึงหันกลับมามองคู่สนทนาคนเก่า
แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ผู้ชราในชุดขาวไม่อยู่เสียแล้ว
“คุณเอื้องมาทำอะไรที่นี่ครับ อย่าบอกนะว่ามาสำรวจสถานที่ถ่ายทำ” ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยถาม หลังจากเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ
นางเอกสาวสั่นหน้า “เปล่าหรอกค่ะ เอื้องแค่มาตามหาเด็กคนนั้น”
“คุณหมายถึงหมากคำ”
“ค่ะ เด็กคนนั้นแหละ แต่ก็ไม่เจอเลยค่ะ เจอแต่คนแก่แต่งตัวคล้ายๆพราหมณ์”
ชยานนท์เลิกคิ้ว สบสายตาคมนิ่ง หัวใจไหวหวั่นลึกๆทว่าเขายังคงมีสติไต่ถามถึงสิ่งที่ฟังแล้วข้องใจ “ผมไม่เคยเห็นว่ามีชีปะขาวหรือพราหมณ์อยู่แถวนี้เลยนะฮะ”
“อ้าว ก็คนที่เดินมาพร้อมกับเอื้องไงคะ ตอนแรกๆเห็นคุณมองอยู่ก่อนแล้ว น่าจะทันเห็น เอ่อ จะเรียกอะไรดีล่ะ พราหมณ์คนนั้น”หญิงสาวท้วงอย่างแปลกใจ หล่อนพูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่แหม็บๆ ในจังหวะที่ชยานนท์เองก็มองอยู่ แล้วชายหนุ่มจะไม่ทันเห็นได้อย่างไรกัน
ทว่าคนฟังกลับยิ้ม สั่นหน้าช้าๆ “ผมเห็นคุณเอื้องตั้งแต่เดินพ้นโค้งริมฝายน้ำ ก่อนจะมาถึงประตูทางเข้าแล้วล่ะครับ คุณเดินมาคนเดียว ไม่มีใครเดินมาด้วยเลย”
“อะไรกันคะ เป็นไปได้ยังไง”เอื้องลดาถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจสุดขีด