นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:47 pm

girls_drawing10.jpg
girls_drawing10.jpg (36.55 KiB) เปิดดู 9406 ครั้ง


บทที่ ๕

ประตูไม้เปิดออกหลังเจ้าของห้องเช็คผ่านช่องตาแมวแล้วว่า ผู้ที่มาเคาะประตูเรียกในช่วงเวลาหลังสี่ทุ่มคืนนี้คือบุคคลที่ไว้ใจได้


“ยังไม่นอนใช่ไหมน้องเอื้อง พี่กลับมาดึกไปหน่อย พอดีเพื่อนชวนไปเดินไนท์บาร์ซ่าน่ะ”นาถนรีรีบถามทันทีที่ได้เผชิญหน้ากับผู้ซึ่งยืนยิ้มแป้นรออยู่


“เพิ่งอาบน้ำเสร็จค่ะ เข้ามาข้างในก่อนสิคะพี่นัท”เอื้องลดาเชื้อเชิญแล้วจึงเดินเข้าไปก่อน


นาถนรีทำตามอย่างว่าง่าย หล่อนเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะที่เจ้าของห้องนั่งหมิ่นเหม่อยู่ที่ขอบเตียงฝั่งตรงข้ามกับฝ่ายแรก


“พี่ลืมปฏิเสธคุณนนท์ให้น้องเอื้อง พอโทร.ไปตอนสองทุ่มเขากลับบอกว่าน้องเอื้องเพิ่งออกไป ตกลงเปลี่ยนใจรับนัดคุณนนท์ตอนหลังเหรอ”ผู้เป็นแขกเปิดประเด็นด้วยสีหน้ายิ้มๆ


เอื้องลดาจ้องผู้ถามเขม็งขณะตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ “เอื้องไปที่คุ้มเพราะต้องการพบอ.ชัยพงษ์พ่อของคุณชยานนท์ค่ะ แต่ท่านไม่อยู่ เขาก็เลยเข้าใจผิดว่าเอื้องตั้งใจจะไปทานข้าวด้วย”


“แล้วน้องเอื้องทำยังไงล่ะ”


“เอื้องก็บอกว่าไม่ค่อยหิว ขอทานแค่ผลไม้น่ะค่ะ เขาก็ไม่ว่าอะไร”


“ตายแล้ว พี่ต้องขอโทษจริงๆ ดีนะที่คุณนนท์ไม่ใช่คนเรื่องมาก ก็เลยไม่ถือสาน่ะ ว่าแต่ได้คุยอะไรกันบ้างล่ะ”


“ดูๆแล้วเขาคงอยากถามเอื้องเรื่องเด็กเมื่อกลางวันน่ะค่ะ ท่าทางเขาสนใจเรื่องนี้มาก แถมรู้อีกต่างหากว่าเด็กชื่อหมากคำ”


นาถนรีหรี่ตาลงเล็กน้อย “หมายความว่าไง สรุปเด็กนั้นเป็นคน หรือว่าคุณนนท์ติดต่อกับผีได้”


“ยังไม่ชัดเจนค่ะ พอดีคุณนัยเข้ามาเสียก่อนเลยไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ”


“เฮ้อ คุณนัยนะคุณนัย แทนที่จะกระจ่าง ดันมาขัดขวางเสียนี่”


“อย่าตำหนิเลยค่ะ จริงๆคุณนัยตั้งใจจะให้เอื้องไปปรึกษาอ.ชัยพงษ์เรื่องนี้เพราะท่านมีความรู้เกี่ยวกับความเชื่อและประวัติของเมืองล้านนาดีน่ะค่ะ”


“อืม ใช่ พี่ได้ยินมาว่าอ.ชัยพงษ์ท่านบวชเรียนจนอายุสามสิบต้นๆ แต่คุณพ่อของท่านดันมาเสีย พอไม่มีใครดูแลคุณแม่ท่านถึงสึกนะ”


“ถ้างั้นก็แสดงว่าอาจารย์อายุห่างจากเจ้าสกุลรัตน์หลายปีสิคะ”


“ก็ใช่น่ะสิ” นาถนรีรับคำแล้วจึงหัวเราะ “ถ้าเอื้องเจอท่านทั้งสองคนแล้วจะแปลกใจ เจ้าสกุลรัตน์ดูสวยเนี้ยบ ทันสมัย แต่อ.ชัยพงษ์จะออกแนวสมถะและดูคงแก่เรียน ท่านมีดีกรีดอกเตอร์ทางโบราณคดีแล้วยังจบปริญญาโททางวิทยาศาสตร์ด้วยนะ”


“โห เรียนสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะคะ”


คนเล่าพยักหน้า “แต่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อไสยศาสตร์ด้วยน่ะ ดังนั้นไม่ว่าคนหัวใหม่หรือหัวเก่าก็คุยกับท่านได้”


“เอื้องชักอยากจะพบท่านแล้วสิคะ”


“โอย เราถ่ายละครอีกเป็นเดือนยังไงก็ได้พบแน่ ไม่ต้องห่วง เอาล่ะ พี่แวะมาดูเฉยๆเดี๋ยวจะกลับไปอาบน้ำนอนแล้ว”คนพูดบอกพลางลุกขึ้นยืน


เจ้าของห้องจึงลุกตามและจูงมืออีกฝ่ายเดินไปยังประตูห้อง ก่อนจะเปิดมันออก“ฝันดีนะคะพี่นัท”


คนเป็นพี่ยิ้มพลางจ้องหน้า “น้องเอื้องก็เหมือนกัน อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนล่ะ”


น้องสาวพยักหน้า “ไม่ลืมแน่นอนค่ะ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:48 pm

ดวงตาเรียวคมมองกวาดรอบกายอย่างช้าๆ หมอกสีขาวโพลนลอยเอื่อยอยู่ใต้เงื้อมเงาร่มครึ้มของต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ หม่นมัวจนมองไม่เห็นฉากหลัง เนิ่นนาน ทั่วบริเวณยังคงเงียบงันปราศจากสรรพเสียงใดๆ เงียบเสียจนชายหนุ่มแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจตนเอง


เรือนร่างสูงโปร่งหากเต็มไปด้วยมัดกล้ามสมชายชาตรีขยับตัว ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความระแวดระวัง แล้วจู่ๆชายชราซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีขาวคล้ายพราหมณ์ก็ก้าวผ่านม่านหมอกทึบออกมาจากหลังดงไม้


ดวงตาคมกล้าจับจ้องอีกฝ่ายเขม็งแต่ชยานนท์ก็มิได้ถอยหนีหรือขลาดกลัว เขายังคงตรึงเท้าเอาไว้ ณ จุดเดิม รอจนผู้สูงวัยเดินเข้ามาใกล้ ไม่สิ ต้องใช้คำว่าเคลื่อนตัวเข้ามามากกว่าเพราะเพียงแค่พริบตาเดียวชายชราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว โดยที่ไม่มีการก้าวเดินเลยสักนิด และยิ่งอยู่ใกล้มากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งมองเห็นแสงสว่างเมลืองมลังที่ปรากฏอยู่รอบกายชายชรามากเท่านั้น


ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยแค่พอมองเห็นว่าชายชุดขาวกำลังยื่นมือออกมาหาเขาและแบออก


สิ่งที่วางอยู่กลางอุ้งมือเหี่ยวย่นคือแหวนนาควงไม่ใหญ่นัก ถ้านำมาสวมน่าจะพอดีกับนิ้วก้อยของเขามากกว่านิ้วอื่นๆ ชายหนุ่มพินิจดูแหวนวงนั้นอยู่ครู่ใหญ่จึงเงยหน้าขึ้นคล้ายกำลังใช้สายตาถามคำถาม


พ่อปู่อินถามองตอบมาด้วยสายตาปรานี พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นเบาๆ “ก๋รรมเก่าบังต๋าบังใจ๋เอาไว้ จงเร่งสร้างบารมีขึ้นเต๊อะพ่อพญา ผลแห่งความดีจักจ้วยเหลือทุกคนได้”


คล้ายถูกมนต์สะกด ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับแหวนนาคมาสวมไว้


แสงสีทองสุกปลั่งเปล่งรัศมีออกจากแหวนวงน้อย สว่างไสวเสียจนดวงตาพร่ามัว ชยานนท์หลับตาลงด้วยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวใต้ร่มเงาไม้สลีคู่แห่งเมืองเก่าสลีคำ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:48 pm

ดวงตาที่ปิดสนิทขยับเล็กน้อยก่อนจะเปิดออกขณะที่เจ้าตัวผุดลุกขึ้นนั่งกลางที่นอนและพบว่าเวลานี้มีเพียงแสงไฟนอกเรือนส่องลอดเข้ามาตามช่องว่างระหว่างม่านสีน้ำเงินเข้ม ไม่มีหมอกสลัวและไม้สลีที่เพิ่งเห็นในความนิมิต


เมื่อหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในฝันเมื่อครู่ ชยานนท์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงยกมือซ้ายของตนขึ้นมาดูและพบว่านิ้วก้อยเรียวยาวของตนว่างเปล่า ไม่มีแหวนนาค ไม่ได้เป็นไปตามความฝันเลย


เรียวปากหยักลึกขยับมุมขึ้นเล็กน้อย นึกขำที่ตนเองเชื่อความฝันเป็นตุเป็นตะ นี่ถ้าพบว่าแหวนวงนั้นสวมอยู่ในนิ้วของตนจริงๆคงประหลาดนัก


แต่ก็มีทางเป็นไปได้อยู่บ้าง ในเมื่อเขายังสามารถมองเห็นหมากแก้วกับหมากคำได้เลยนี่นา อีกใจค้านก่อนที่ชายหนุ่มจะขยับตัวเปลี่ยนเป็นท่านอนแล้วข่มตาลงอีกครั้ง


รอให้เช้าก่อนเถอะ เขาจะไปยังเมืองเก่าสลีคำ สถานที่ในความฝันซึ่งชยานนท์มั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างไม่ธรรมดาซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:49 pm

เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วบนต้นไม้ข้างบ้านพักเป็นเหตุให้ร่างบอบบางซึ่งนอนอยู่บนเตียงสี่เสาเริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด


เอื้องลดาเงี่ยหูฟังสรรพเสียงรอบตัวแล้วยิ้มกริ่ม โชคดีที่หล่อนเลือกพักอยู่ไกลตัวเมืองดังเช่นรีสอร์ตพิงครัตน์แห่งนี้จึงมีโอกาสได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดเจือปน เสียดายที่คืนแรกนั้นหญิงสาวอ่อนเพลียจากการเดินทาง จึงทำให้นอนตื่นสาย เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เขาว่าคนตื่นเช้านั้นได้เปรียบ วันนี้หล่อนคงต้องฉกฉวยความได้เปรียบเอาไว้ให้ชุ่มปอดก่อน คิดดังนั้นเอื้องลดาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน หยิบผ้าเช็ดตัวหนานุ่มเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยความรู้สึกสดชื่น


แม้จะอยู่ในช่วงกลางเดือนเมษายนแต่อากาศยามค่ำคืนจนถึงเช้าตรู่ของเมืองเชียงใหม่นั้นยังค่อนข้างเย็นต่างจากช่วงเวลากลางวันลิบลับ หญิงสาวจึงรีบอาบน้ำด้วยความรวดเร็วก่อนจะใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่พันตัวออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าสดใส จากนั้นจึงปลดเสื้อสีตองอ่อนเนื้อผ้าเบาพลิ้วจากไม้แขวนออกมาสวม ตามด้วยกางเกงสามส่วนสีขาวสะอาด เสร็จแล้วตวัดผมยาวสลวยของตนมวนขึ้นเป็นมวย ทว่าก็ยังมีไรผมปอยเล็กๆระอยู่สองข้างแก้มดูเก๋ไก๋


ดวงตาปราศจากการแต่งแต้มจ้องมองภาพตนเองในกระจกอย่างพึงพอใจ ครู่ใหญ่หญิงสาวจึงหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กๆสีน้ำตาลขึ้นคล้องไหล่ ก้าวเดินไปยังประตูห้อง เปิดมันออกช้าๆเพื่อรับกลิ่นอายแห่งอรุณ


ความสว่างเริ่มแทรกตัวผ่านความมืดเข้ามาแล้ว หากก็ยังมีหมอกจางๆให้เห็นอยู่บนยอดดอยสุเทพไกลๆ สองตาของหล่อนทอดมองไปเบื้องหน้าซึ่งมีผืนหญ้าและดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ขณะที่สองขาก้าวไปตามทางเดินปูด้วยอิฐที่เรียงรายจนจรดด้านหลังรีสอร์ตซึ่งมีประตูไม้บานเล็กๆสำหรับเปิดออกไปสู่ภายนอกอันเป็นเส้นทางสำหรับเดินไปยังโบราณสถานสลีคำ


หญิงสาวยังคงเดินทอดน่องไปช้าๆไม่เร่งรีบ ราวสามนาทีก็มาถึงประตูรั้ว หล่อนเปิดมันออกอย่างเบามือก่อนแทรกกายผ่านกรอบประตูออกมายืนด้านนอกอาณาเขตรีสอร์ต


สายลมเย็นพัดกรูเข้ามาต้องผิวเนื้อนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เอื้องลดาเหยียบย่างออกมาถึงบริเวณใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่ หญิงสาวยกสองมือขึ้นลูบเรียวแขนซึ่งขนอ่อนกำลังชูชัน พร้อมทั้งหันมองรอบกายอย่างพินิจ ด้วยรู้สึกราวกับว่าตนเองมิได้อยู่เพียงลำพัง


ณ วินาทีนั้น หากเอื้องลดาก้มลงมองนิ้วก้อยที่สวมแหวนนาคสักนิดก็คงจะพบว่าแหวนวงน้อยกำลังเปล่งรัศมีแรเหลือบทองวูบวาบอร่ามตา


แต่ไม่เลย เวลานี้หญิงสาวกำลังเงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ เนื่องจากได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกล้วยไม้สีเหลืองซึ่งห้อยลงมาเป็นพวงระย้าเหนือคาคบไม้สูงส่งกลิ่นโชยชายรวยริน เห็นดอกเอื้องครั้งใดพานให้ใจกระหวัดไปถึงคุณยายผู้ล่วงลับ ผู้เป็นคนตั้งชื่อ “เอื้องลดา”ให้กับหลานสาวคนเดียวคนนี้


คุณอัญชลีแม่ของหล่อนเคยเล่าให้ฟังว่า คุณยายสายหยุดเป็นชาวเชียงใหม่โดยกำเนิด ส่วนคุณตานั้นเป็นตำรวจรถไฟซึ่งเดินทางไปมาระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพฯบ่อยครั้ง ท่านทั้งสองจึงพบรักกันและคุณยายได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯหลังแต่งงาน แต่น่าเสียดายที่คุณยายสายหยุดอายุสั้นนักจึงทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างคุณอัญชลีและญาติๆที่เชียงใหม่พลอยห่างเหินตามไปด้วย
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 30 มิ.ย. 2013 4:49 pm

“สูจะไปไหน”เสียบแหบแห้งที่จู่ๆก็ดังขึ้นข้างตัวเป็นเหตุให้หญิงสาวผู้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดถึงกับสะดุ้งโหยงและหันขวับ มองไปยังริมลำธารอันเป็นทิศทางที่มาของเสียงดังกล่าว


แล้วกลับต้องชะงัก เมื่อพบว่าผู้ที่ยืนนิ่งรออยู่เป็นผู้ทรงศีลในชุดสีขาวสะอาด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ“ดิฉันจะไปที่เมืองเก่าสลีคำค่ะ”


ชายในชุดขาวพยักหน้า “สูคงจะหมายถึงเมืองอนันตกาลสินะ”


คิ้วเรียวสวยไร้การตกแต่งขยับเข้าหากันเมื่อย้อนถาม “เมืองอนันตกาลที่ว่านี่หมายถึงเมืองเก่าที่อยู่ใกล้ๆนี่หรือคะ”


“อืม แม่นละ ยามนี้กาลล่วงเลยมายาวนาน ผู้คนคงจะตั้งจื้อเมืองต๋ามตี้ปร๋ากฏแก่สายต๋า เพราะบ่เกยฮู้ว่าจื้อดั้งเดิมของเมืองนั้นคือ อนันตกาล”


“ประหลาดจัง ไม่มีใครรู้เลยหรือคะท่าน”


ผู้ทรงศีลพยักหน้า “ก็คงจะเหมือนตี้บ่เกยฮู้ว่าลำน้ำสายนี้เกยเป๋นแม่น้ำอันกว้างใหญ่เมื่อปันปี๋ก่อน”


“แม่น้ำสายกว้างใหญ่”หญิงสาวทวนคำพลางหันไปมองลำธารสายเล็กๆซึ่งไหลรินขนาบทางเดินจากทิศเหนือจรดทิศใต้ด้วยความรู้สึกหม่นหมอง กาลเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้มากมายเหลือเกิน


“ใหญ่ถึงขนาดเฮือสำเภาแล่นผ่านมาได้หลายลำเทียวนา”ผู้เฒ่าชุดขาวสำทับ


“นานวันไปธารน้ำคงจะตื้นเขินขึ้น น่าเสียดายนะคะ อาจจะเหมือนเวียงกุมกามที่อยู่ใต้เมืองเชียงใหม่ลงไป ซึ่งน้ำปิงเปลี่ยนสายจนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองในตำนานอยู่หลายชั่วอายุคน”หญิงสาวโต้ตอบผู้มาใหม่พร้อมกับก้าวเดินไปราวกับเป็นคนที่คุ้นเคยกันมานาน โดยที่ไม่มีความรู้สึกหวาดระแวงใดๆทั้งสิ้น


“เมืองแห่งนี้เกิดก่อนเวียงกุมกามหลายปี๋นัก เมินเสียจ๋นแทบจะบ่หลงเหลือความทรงจ๋ำใดๆเอาไว้เลย”


“ปกติเมืองอื่นจะเหลือจารึกเอาไว้บ้าง แล้วเมืองนี้ไม่มีหรือคะ”


“มี”ผู้ทรงศีลหยุดเดิน หันมามองผู้ถามด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ “แต่จ๋มอยู่ใต้ดิน บ่มีไผเซาะปะ”


เอื้องลดารู้สึกสะดุดใจ หันมามอง หากก็ยังก้าวเดินต่อไปไม่หยุด อีกไม่ถึงสิบเมตรก็จะเข้าสู่อาณาเขตของเมืองเก่าสลีคำแล้ว“ทำไมท่านถึงรู้ล่ะคะ คนทั่วไปรู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”


ชายในชุดขาวไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับขยับมุมปากใต้หนวดเครานั้นให้มียิ้มน้อยๆ“ตี้แห่งนี้มีหลายสิ่งตี้คนทั่วไปสัมผัสบ่ได้ นอกจากคนตี้ได้ฮับอนุญาตเต้าอั้นนะลูก”


“ค่ะ”หญิงสาวรับคำและก้าวผ่านประตูทางเข้าโบราณสถานไปยืนอยู่บนพื้นดินที่ปกคลุมด้วยผืนหญ้าสีเขียวครึ้ม สายตาคู่งามเปลี่ยนวิถีจับจ้องไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนกอดอกอยู่ข้างพระธาตุหรือที่ภาษาเหนือเรียกว่ากู่กุด


“อ้าว คุณเอื้อง ตื่นแต่เช้าจังเลยนะครับ”เขาถามพลางก้าวฉับๆเข้ามาหา


เอื้องลดายิ้มให้อีกฝ่ายแต่ไกล แล้วจึงหันกลับมามองคู่สนทนาคนเก่า


แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ผู้ชราในชุดขาวไม่อยู่เสียแล้ว


“คุณเอื้องมาทำอะไรที่นี่ครับ อย่าบอกนะว่ามาสำรวจสถานที่ถ่ายทำ” ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยถาม หลังจากเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ


นางเอกสาวสั่นหน้า “เปล่าหรอกค่ะ เอื้องแค่มาตามหาเด็กคนนั้น”


“คุณหมายถึงหมากคำ”


“ค่ะ เด็กคนนั้นแหละ แต่ก็ไม่เจอเลยค่ะ เจอแต่คนแก่แต่งตัวคล้ายๆพราหมณ์”


ชยานนท์เลิกคิ้ว สบสายตาคมนิ่ง หัวใจไหวหวั่นลึกๆทว่าเขายังคงมีสติไต่ถามถึงสิ่งที่ฟังแล้วข้องใจ “ผมไม่เคยเห็นว่ามีชีปะขาวหรือพราหมณ์อยู่แถวนี้เลยนะฮะ”


“อ้าว ก็คนที่เดินมาพร้อมกับเอื้องไงคะ ตอนแรกๆเห็นคุณมองอยู่ก่อนแล้ว น่าจะทันเห็น เอ่อ จะเรียกอะไรดีล่ะ พราหมณ์คนนั้น”หญิงสาวท้วงอย่างแปลกใจ หล่อนพูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่แหม็บๆ ในจังหวะที่ชยานนท์เองก็มองอยู่ แล้วชายหนุ่มจะไม่ทันเห็นได้อย่างไรกัน


ทว่าคนฟังกลับยิ้ม สั่นหน้าช้าๆ “ผมเห็นคุณเอื้องตั้งแต่เดินพ้นโค้งริมฝายน้ำ ก่อนจะมาถึงประตูทางเข้าแล้วล่ะครับ คุณเดินมาคนเดียว ไม่มีใครเดินมาด้วยเลย”


“อะไรกันคะ เป็นไปได้ยังไง”เอื้องลดาถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจสุดขีด
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:21 pm

บทที่ ๖

ตั้งแต่บทนี้ เปลี่ยนชื่อพระเอกมาเป็น "นทีดล"นะคะ


(เปลี่ยนชื่อพระเอกมาเป็นนทีดลนะคะ)



“คุณคงเจอผีหลอกกลางวันเสียแล้วล่ะ”


ดวงตาสีนิลของคนฟังวาวประกายแห่งความสงสัยขณะสบสายตาคมกริบของชายหนุ่มเจ้าถิ่น “นี่คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมคะ”


นทีดลระบายยิ้มน้อยๆที่มุมปากหากสีหน้ากลับจริงจังในยามตอบ “ผมพูดจริง แต่ก็นั่นแหละที่นี่มีอะไรหลายอย่างที่เหลือเชื่ออยู่เสมอ”


“คุณจะยืนยันเหรอคะ ว่าเมื่อกี้เอื้องคุยอยู่กับผีน่ะ”


ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาไปรอบตัวก่อนจะตอบ “ก็คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้แล้วล่ะครับ ดูเอาเถอะ ถ้าพ่อขาวที่คุณพบไม่ใช่ผีแล้วตอนนี้ท่านหายไปไหน”


เอื้องลดามองตามสายตาของอีกฝ่ายพลางสั่นหัว “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ พ่อขาวรูปนั้นเล่าให้เอื้องฟังว่าที่นี่มีจารึกโบราณฝังอยู่ แถมยังบอกอีกว่าลำธารข้างนอกนั่นเคยเป็นแม่น้ำสายหลักที่มีเรือสำเภาเข้ามาจอดเทียบได้ด้วย”


“แล้วคุณคิดว่าท่านบอกคุณทำไม”เขาจ้องดวงหน้านวลรอคำตอบ


หญิงสาวกรอกตาไปมาแล้วจึงจ้องตอบเขาตรงๆ “คงเพราะอยากให้คนรู้มั้งคะ โดยใช้เอื้องเป็นสื่อ”


“แล้วทำไมต้องเป็นคุณเอื้องล่ะครับ”เขายังคงถามต่อด้วยกระแสเสียงเรียบนิ่ง สายตาประสานดวงตาคู่งามไม่ละ จนผู้ถูกถามรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าจนต้องเสไปมองทางอื่นแทน


ไม่เข้าใจเหมือนกัน เหตุใดหัวอกหัวใจจึงมักจะสั่นไหวยามที่ได้สบตาเขา ชายหนุ่มแปลกหน้าทว่าช่างคุ้นใจเสียเหลือเกิน


หรือหล่อนกำลังหลงเสน่ห์เขากันนะ จึงพยายามสร้างเหตุผลขึ้นมาหลอกตัวเอง


“เอื้องน่าจะเป็นคนที่ได้รับอนุญาตให้รับรู้เรื่องนี้มั้งคะ”


ชายหนุ่มจึงค่อยยิ้มออกเมื่อเห็นว่าตนเองตีขลุมหญิงสาวได้สำเร็จ ยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ใครสักคนเข้าใจถึงทุกสิ่งที่เป็นอยู่เวลานี้ “ที่คุณได้รับอนุญาตก็เพราะเคยมีความผูกพันกับที่นี่ไงละครับ”


ถ้อยคำของเขารั้งใจเอื้องลดาให้นึกถึงคำพูดของปู่สุนทรขึ้นมาทันควัน “การที่ทุกคนได้มาพบกันอีกครั้ง เพราะต่างก็เคยมีความผูกพันต่อกันมาก่อน”


หรือจะเป็นดังว่าจริงๆกันหนอ


“แต่อย่าคิดมากเลย ในเมืองเก่ามักจะเต็มไปด้วยดวงวิญญาณหลายประเภท รวมไปถึงอารักษ์ที่ปักปักรักษาเมืองมาแต่เดิมด้วย”


หญิงสาวกะพริบตาปริบๆมองผู้พูดอย่างทึ่งๆ ผู้ชายหัวใหม่อย่างเขานี่หรือจะเชื่อเรื่องเร้นลับที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างนี้


“นี่คุณสนใจเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ”หล่อนหลุดปากถามไปเบาๆ


นทีดลหัวเราะหึๆ “ก็คุณพ่อของผมศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่นี่ครับ ท่านมักจะเล่าให้ผมฟังบ่อยๆ”


“เอื้องก็ทราบมาเหมือนกันค่ะ ว่าอ.ชัยพงษ์พ่อของคุณนทีดลเป็นนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของล้านนา”


นทีดลยิ้มน้อยๆตามแบบฉบับ “แล้วก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยครับ”


“เอื้องเองก็อยากปรึกษาท่านค่ะ ว่าสิ่งที่เอื้องพบเจอมาเนี่ยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งดีหรือสิ่งร้าย ที่สำคัญเอื้องไม่รู้ประเพณีของภาคเหนือ เกรงว่าจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรลงไป”


“ช่วงนี้คุณพ่อผมอยู่บ้านทุกวันแหละครับ ถ้าคุณเอื้องว่างช่วงไหนก็แวะไปพบท่านได้”


เอื้องลดาระบายยิ้มเต็มหน้า “จริงนะคะคุณนทีดล”


หากชายหนุ่มกลับทำหน้าตายเข้าใส่ ก่อนจะบอก “เรียกผมว่าดลเฉยๆดีกว่า”


“ได้ค่ะคุณดล ว่าแต่เอื้องอยากฟังเรื่องเด็กคนนั้น เอ่อ หมากคำน่ะค่ะ คุณดลช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม”


“ได้สิครับ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เราไปกราบกู่ข้างในกันก่อนดีกว่า เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่เมือง”


เอื้องลดาเพิ่งนึกขึ้นได้จึงโคลงศีรษะไปมา “จริงสิคะ วันนี้เป็นวันสงกรานต์ คงเป็นเพราะเอื้องถ่ายละครทุกวันก็เลยลืมวันลืมคืนน่ะค่ะ”


“ถ้างั้นเชิญทางนี้เลยครับ”ชายหนุ่มผายมือแล้วรอให้หญิงสาวเดินนำไปก่อนจึงก้าวตามไปอย่างช้าๆ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:22 pm

599369_196731497142863_2066912164_n.jpg
599369_196731497142863_2066912164_n.jpg (32.9 KiB) เปิดดู 9374 ครั้ง


“กึ๊ดจะยะหยังแหมแล้วหมากคำ”หมากเงินร้องถามน้องสาวเสียงดังเมื่อเห็นว่าหมากคำกำลังทำลับๆล่อๆอยู่ด้านหลังสองหนุ่มสาวที่กำลังจุดธูปไหว้พระธาตุโบราณอยู่เบื้องหน้า


หนูน้อยเอียงหน้ามามองพี่ชายพลางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก หมากแก้วเห็นแล้วหัวเราะ “ยะหยั่งกับเวลาเฮาอู้กั๋นแล้วมนุษย์เปิ้นจะได้ยินจะอั้นล่ะ คนละภพภูมิกั๋น ถึงแม้จะอยู่ใกล้เต้าใด ก็สื่อบ่ถึงกั๋นหรอก ถ้าเฮาบ่ตั้งใจ๋หื้อเป๋นน่ะ”


หมากคำทำหน้าง้ำเข้าใส่ “น้องฮู้แล้ว น้องก็แค่ลืมไปบ่ดาย”


หมากแก้วขยับเข้าไปยืนข้างน้องสาวพลางถามต่อ “ทีนี้น้องจะบอกอ้ายได้หรือยังว่าน้องมีเจตนาจะยะใด”


“น้องจะยู้พ่อพญากับน้าเอื้องเข้าใส่กั๋น”


พี่ชายทำตาโต ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้หน้ากลมแป้นแล้วจึงถาม “ยู้จะใดกา”


หมากคำหัวเราะกิ๊ก “ยู้หื้อเข้าใกล้กั๋น ฮักกั๋นจะใดล่ะเจ้า”


หมากแก้วได้ฟังจึงกอดอกครุ่นคิด “ฤๅน้องกึ๊ดว่าตั๋วเก่าเป๋นเทพแห่งความฮัก”


ไหล่เล็กๆขยับไปมาเลียนแบบพวกมนุษย์ พร้อมทั้งทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา “ถ้าเป๋นไปได้ก็ดีกะเจ้า น้องจะได้จ้วยหื้อทั้งสองคนสมหวัง”


“แต่พ่อปู่เกยบอกอ้ายว่า ก่อนตี้วิญญาณทุกดวงจะไปเกิดจะต้องกิ๋นน้ำลืมจ้าด เพื่อหื้อลืมอดีต บ่หลงเหลือบุพเพนิวาสนุสสติญาณ เมื่อเป๋นจะอี้แล้วน้องฮู้ได้จะใดว่าทั้งสองคนใค่หื้อน้องจ้วย”


ปากเล็กๆบนใบหน้ากลมแป้นเบะออกด้วยความเอาแต่ใจ แล้วจึงเถียง “อ้ายบ่ฮู้อะหยัง น้องลักหันทั้งสองคนสบต๋ากั๋นปิ๊งๆหลายเตื้อแล้ว แหมบ่ปอน้าเอื้องก็มักจะแป๋งหน้าแดงอย่างหน่วยผักแคบเวลาอยู่ใกล้ๆพ่อพญา”


หมากแก้วเม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะ ก่อนจะปราม “แต่น้องก็ต้องระวังเพราะมันบ่ใจ้หน้าที่ของเฮานา”


หมากคำยักคิ้วให้พี่ชาย จากนั้นจึงหันไปมองสองหนุ่มสาวที่ตนเองหมานมั่นปั้นมือเอาไว้ เมื่อได้จังหวะที่ทั้งคู่ปักธูปลงในกระถางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำท่าจะลุกขึ้นยืน เด็กน้อยจึงโถมกายเข้าไปชนเอื้องลดาโครมใหญ่


“หมากคำ!” หมากแก้วร้องเสียงหลง ทว่ากลับไม่ทันการ เวลานี้เอื้องลดากำลังเสียหลักเซไปข้างๆกู่อันเต็มไปด้วยก้อนอิฐแตกหักเสียแล้ว
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:23 pm

“คุณเอื้อง!”นทีดลโพล่งร้องขึ้นทันทีที่เห็นว่าอยู่ดีๆหญิงสาวข้างกายเซถลา เขารีบตวัดแขนแกร่งออกไปรับร่างระหงเอาไว้ได้ทัน ทว่าก็ยังทำให้คนทั้งคู่ต้องล้มกลิ้งลงไปกองบนพื้นหญ้าเขียวขจีโดยไม่ทันตั้งตัว
แม้ชายหนุ่มจะยังครองสติมั่น สองแขนของเขาโอบประคองร่างกลมกลึงเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เศษอิฐกระแทกผิวเนื้ออันบอบบางของหล่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกคล้ายมีแสงสีทองพุ่งวาบเข้าตา ก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืด นิ่งสนิท


แล้วภาพแสงไฟลุกโชติช่วงก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับที่ต้นตองตึงสูงใหญ่อันเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ทำท่าจะล้มลงมายังทิศทางที่เขาและหล่อนพากันวิ่งหนีมา


“บ่าวหน้อย ระวัง!”ชายคนนั้นตะโกนลั่น เขาที่มองอย่างไรก็ไม่คุ้นตา แต่กลับมาบางสิ่งคอยบอกหล่อนว่า เขาคือคนเดียวกับชายที่อยู่ข้างกายหล่อนเวลานี้...นทีดล


เอื้องลดามองเห็นร่างของตนเองซึ่งอยู่ในชุดผ้าฝ้าย กางเกงสีกรมท่ายาวครึ่งหน้าแข้ง และโพกหัวด้วยผ้าสีขาวกำลังถูกอ้อมแขนกำยำของนทีดลตวัดดึงให้พ้นจากเพลิงนรก


ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆลงไปกองกับพื้นโดยที่ชายหนุ่มใช้ร่างของตนรองรับร่างอีกฝ่ายไว้


วินาทีนั้นหญิงสาวสัมผัสได้ถึงลมหายใจผะแผ่ว เสียงหัวใจของเขาที่เต้นตึกตักและคำถาม “เจ็บตี้ไหนก่อบ่าวหน้อย”


เอื้องลดาสั่นหน้าพร้อมทั้งยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วขณะสองตาเบิกกว้าง “ขะใจ๋ลุกขึ้นเวยๆ ไฟป่าลามมาแล้ว”



“คุณเอื้องเป็นยังไงบ้างครับ”เสียงของนทีดลตัวจริงที่ดังแทรกเสียงไม้โดนความร้อนดังเปรี๊ยะๆในมโนภาพนั้นทำให้หญิงสาวเกือบสะดุ้ง


“เอ่อ มะ ไม่เป็นไรค่ะ”เสียงสาวเอ่ยออกไปสุ้มเสียงสั่น อีกใจวนถามตนเองว่าที่ผ่านมาจะเป็นความฝัน ความจริง หรือเพียงสิ่งลวงตา


“ผมเห็นคุณเอื้องหลับตา นิ่งไป ก็เข้าใจว่าคงจะเป็นลม” เขาบอกเล่าความคิดตน พร้อมๆกับพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาคมยังจ้องดวงหน้างามซีดเผือดนั้นเขม็ง “ดูสิหน้าซีดเชียว”


แต่ก่อนที่เอื้องลดาจะโต้ตอบ ทั้งคู่กลับรู้สึกว่าอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งตะวันยามเช้าซึ่งทำท่าจะทอแสงอยู่เมื่อครู่นั้นเลือนหายหลบเร้นหลังหมู่เมฆทะมึนแทน
ดุจเดียวกับที่สองพี่น้องซึ่งยืนมองอยู่ไม่ไกลกำลังรับรู้ในเวลานี้


“อ้ายหมากแก้วฝนจะตกแล้ว”หมากคำหันไปบอกพี่ชายรัวเร็ว ราวต้องการถามว่าจะทำอย่างไรต่อดี


หมากแก้วพยักหน้า ก่อนหันมองไปยังท้องฟ้าทิศตะวันออกพลางขมวดคิ้ว “พ่อปู่เกยบอกกับอ้ายว่า เมฆฝนตี้เกิดขึ้นโดยบ่มีสาเหตุ คือบ่มีฝนตกตี้อื่นและบ่มีลมปั๊ดปามานั่นบ่ใจ้ฝนตี้มาจากธรรมชาติ”


“แสดงว่าเป๋นฝนอาคมก๋าเจ้า”หมากคำถามด้วยแววตาตื่นเต้น


หากพี่ชายยังคงตอบเรียบเรื่อย “ก็บ่แน่ อาจจะเป๋นอาคม เอเพศ หรือต้นเหตุแห่งความมหัศจรรย์อื่นใดก็ได้ แต่ยามนี้อ้ายว่าเฮาปิ๊กคุ้มก่อนตี้พ่อปู่จะเซาะหาดีกว่า”


“เจ้า”หมากคำพยักหน้าและทำตามคำแนะนำของผู้เป็นพี่แต่โดยดี
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:24 pm

ไม่กี่อึดใจสายฝนก็ถั่งโถมลงมาราวฟ้ารั่วผสมผสานเสียงฟ้าร้องครืนๆดังลั่น นทีดลจึงตัดสินใจจูงมือเอื้องลดาเดินแกมวิ่งไปยังต้นสลีสีเขียวครึ้มซึ่งมีโพลงแคบๆพอให้ทั้งสองซุกตัวหลบฝนได้


“ตอนแรกไม่มีท่าทีว่าฝนจะตกเลย” หญิงสาวเปรยขึ้นมาลอยๆ


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ หันมองหล่อนซึ่งยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ยามนี้เส้นผมของเอื้องลดาเปียกลู่ติดศีรษะดุจเดียวกับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นจึงเป็นเหตุให้ร่างระหงสั่นน้อยๆด้วยความเหน็บหนาว นทีดลยืนนิ่ง แปลกใจนักที่ภาพอันแสนจะธรรมดานี้สามารถสั่นสะเทือนใจเขาได้ทั้งดวง ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆเพื่อปัดปอยผมซึ่งระใบหน้าของหล่อนออก


แล้วความทรงจำแห่งอดีตก็กะเทาะเปลือกที่ห่อหุ้มหัวใจของเขา…


ทั้งๆที่สายตามองเห็นเอื้องลดาอยู่ตรงหน้า แต่ภาพที่ไหลปรี่อยู่ในสมองเวลานี้กลับเป็นภาพที่หล่อนกำลังนั่งพิงอยู่กับอกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นสิ่งที่เขาย้อนรำลึกได้ก็เลือนหายไป


เมื่อความคิดคำนึงกลับคืนสู่ปกติเขาจึงเอ่ยถาม “หนาวมากไหมครับ”


เอื้องลดาเงยหน้าขึ้นมองผู้ถามก่อนพยักหน้า ยามนี้ใบหน้าของหล่อนขาวซีด เรียวปากบางเป็นสีคล้ำอย่างเห็นได้ชัด
หล่อนคงหนาวมากจริงๆ แล้วเขาจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรดี
นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่นทีดลจึงตัดสินใจดึงมือบอบบางเย็นเฉียบนั้นมากุมไว้เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กันและกัน พลางกระซิบ “ขออนุญาตนะครับ”


เอื้องลดาพยักหน้าน้อยๆ แล้วจึงเสมองออกไปด้านนอกเพื่อหลบสายตาอีกฝ่าย หล่อนปฏิเสธตนเองไม่ได้เลย ว่านับตั้งแต่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่นี้แล้ว ในใจก็บังเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้น


เหมือนจะมีสายใยแห่งความผูกพันร้อยรัดระหว่างเขาและหล่อน


อา...นี่เรากำลังคิดไปเองหรือเปล่านะ เอื้องลดาเริ่มสงสัยตนเองขึ้นมาทันใด


เปรี้ยง!


แต่แล้วความคิดของหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาดังลั่น ความรู้สึกบอกว่าจุดที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง


เอื้องลดากรีดร้อง หลับตาปี๋ นทีดลจึงเลื่อนสองแขนขึ้นมาโอบร่างสั่นเทาเอาไว้โดยสัญชาตญาณ


“ไม่ต้องกลัวครับคุณเอื้อง”เขาปลอบแทรกเสียงฝนแผ่วเบา


นางเอกสาวทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักและปล่อยให้ร่างของตนอยู่ในอาณัติของชายหนุ่มโดยดุษณีเนื่องจากยังอกสั่นขวัญหายอยู่ไม่น้อย
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:24 pm

“หยึย น้องจะต๋าเป๋นต้อแล้วเจ้าอ้ายหมากแก้ว”หมากคำซึ่งยื่นหน้าออกจากหน้าต่างไม้แห่งคุ้มเจ้านางส่งเสียงร้องลั่น


หมากแก้วรีบวิ่งเข้ามาเกาะขอบหน้าต่างชะเง้อมองบ้าง “อะหยังกา”


หมากคำซึ่งหน้าแดงปลั่ง หลับหูหลับตาชี้ไปยังต้นสลีคู่ “หั้นลอเจ้า”


พี่ชายมองตามแล้วจึงหัวเราะ “ก็ตะกี้ฟ้าผ่า น้าเอื้องคงจะหื้อพ่อพญาปลอบขวัญกระมัง เข้าไปในคุ้มได้แล้วหมากคำ เป๋นละอ่อนบ่ดีผ่อ”


หมากคำย่นจมูกและยิงฟันใส่พี่ชาย จากนั้นจึงแกล้งสะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปด้านใน ปล่อยให้ผู้เป็นพี่ซึ่งเวลานี้หันหลังพิงกรอบหน้าต่างมองตามพลางส่ายหัวอย่างระอาใจ



หลังฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาไม่นาน สายฝนอันกระหน่ำรุนแรงเมื่อครู่ก็เหือดหายไปราวกับปิดสวิตซ์ และไม่ช้าแสงแดดรำไรก็เริ่มทอประกายออกมาจากท้องฟ้าทางทิศตะวันออก


“ฝนหยุดตกแล้ว เรากลับกันเถอะครับ”


“ค่ะ หนาวจะแย่แล้วเหมือนกัน” หญิงสาวบ่นอุบขณะปล่อยให้เขาพยุงออกมาจากโพลงไม้ด้วยความระมัดระวังเนื่องจากพื้นดินหลังฝนตกนั้นลื่นนัก


“เดินระวังนะครับคุณเอื้อง”เขาสำทับ


หญิงสาวรับคำสั้นๆว่า ค่ะ โดยที่สายตาคู่งามมิได้จับจ้องคู่สนทนาเลยสักนิด เนื่องจากหล่อนกำลังมองเห็นร่างของผู้ชราในชุดขาวยืนอยู่ใต้ร่มไม้สลีคำที่ยังมีน้ำฝนเกาะอยู่ตามกิ่งใบหยดติ๋งๆ


“นั่นไงคะพ่อขาว”เอื้องลดาโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น


นทีดลมองตามก่อนจะหันกลับมามองผู้พูดอย่างชั่งใจ “คุณเอื้องบอกว่าท่านอยู่ตรงไหนนะครับ”


“ก็ใต้ต้นสลีสีเหลืองทองนั่นไงคะ”


คิ้วเข้มของเขาเริ่มขยับเขาหากัน เมื่อเขม้นมองแล้วไม่เห็นดังที่เจ้าหล่อนบอก “ไม่เห็นมีอะไรเลย เอ๊ะ!แล้วนั่นแสงอะไรฮะ”


เอื้องลดามองตามปลายนิ้วของอีกฝ่ายบ้าง ไม่ช้าจึงก้าวพรวดๆเข้าไปยังจุดที่พื้นดินแตกอ้าออกจากกันเป็นทางยาวและมีแสงสีทองหม่นๆเปล่งประกายออกมาวูบวาบ


“ระวังนะครับ” ที่นี่อันตราย เขากลืนประโยคท้ายเอาไว้ในใจเสีย พร้อมทั้งแตะแขนเรียวเบาๆเป็นการบอกให้อีกฝ่ายถอยออกมาก่อน “เดี๋ยวผมช่วยดูให้”


“ค่ะ” เอื้องลดาเบี่ยงตัวให้เขาแล้วกอดอกชะเง้อชะแง้มองตามร่างสูง


ฝ่ายชายหนุ่มนั้นรีบจ้ำอ้าวเข้าไปชะโงกหน้ามองหาต้นเหตุแห่งแสงซึ่งอยู่ในรอยแยก เมื่อพบแล้วเขาจึงลงนั่ง โน้มตัวลงไปหยิบสิ่งที่มองเห็นเด่นชัดเหนือผืนดินสีน้ำตาลเข้มฉ่ำน้ำฝน ก่อนที่จะลุกขึ้น เดินกลับไปหาหญิงสาวพลางแบมือขวาให้หล่อนดู


“แหวนนาค”น้ำเสียงของเอื้องลดามีร่องรอยของความประหลาดใจเด่นชัด ก็จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแหวนในมือเขาช่างเหมือนแหวนที่หล่อนสวมอยู่ราวกับแกะ


“แหวนนี่เหมือนของเอื้องเลยค่ะ”บอกพลางยื่นมือให้เขาดูบ้าง


นทีดลนิ่งอึ้ง ชั่งใจอยู่ชั่วครู่จึงบอกเล่าเรื่องราวในฝันให้นางเอกสาวฟังแต่โดยดี “เมื่อคืนผมฝันว่ามีผู้ชายในชุดขาวมอบแหวนแบบนี้ให้กับผม เช้านี้ก็เลยเดินมาที่นี่เพราะก่อนสะดุ้งตื่นผมมองเห็นต้นสลีคำด้วย เลยคิดว่าน่าจะมีอะไรเชื่อมโยงกัน”


เอื้องลดาหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากได้พบเหตุการณ์อันเหลือเชื่อมาหลายต่อหลายครั้ง หล่อนก็ชักจะเริ่มเอนเอียงแล้วล่ะ “หรือจะเป็นพ่อขาวรูปเดียวกันกับที่เอื้องเจอคะ”


“ผมเองก็ไม่แน่ใจ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าเหตุการณ์มันจะเกี่ยวพันกันแบบนี้”


หญิงสาวยิ้มพลางแตะหลังมือของเขาเบาๆ “คุณดลเก็บแหวนเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ แล้วมารอดูกันว่า แหวนคู่นี้เกี่ยวข้องกับเรายังไง”


อีกครั้งที่คิ้วของนทีดลขมวดเข้าหากัน ยามจ้องหน้านวลนิ่ง


ผู้ถูกมองแปลความหมายได้ไม่ยากจึงพยักหน้าและมอบรอยยิ้มบางๆให้แก่เขา พร้อมทั้งยืนยัน “เชื่อเอื้องเถอะค่ะ แล้วกลับไปที่รีสอร์ตกัน ระหว่างทางเอื้องจะเล่าเรื่องของเอื้องที่เกี่ยวข้องกับแหวนนาคนี่ให้ฟัง”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:27 pm

บทที่ ๗

4a23b2f597c16227f1dd2e50c5076376.jpg
4a23b2f597c16227f1dd2e50c5076376.jpg (191.28 KiB) เปิดดู 9760 ครั้ง


ตั้งแต่บทนี้เปลี่ยนสรรพนามแทนผู้หญิงเป็น "เธอ"นะคะ


เมื่อสองหนุ่มสาวเดินผ่านบริเวณที่มีแสงแดดอุ่นเข้ามาสู่อาณาเขตของพิงครัตน์รีสอร์ตด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก็เป็นช่วงเวลาอันประจวบเหมาะกับที่เอื้องลดาเล่าเรื่องแหวนนาคของตนจบลงพอดีและทิ้งท้ายว่า “เอื้องค่อนข้างมั่นใจว่าคำพูดของคุณปู่สุนทรมักจะเป็นจริงเสมอค่ะ


“เหมือนเป็นคนที่มีซิกเซ้นส์อะไรแบบนั้นน่ะหรือครับ”


เอื้องลดาพยักหน้า “ก็อาจจะเป็นไปได้ค่ะ แต่เอื้องขอมองแบบวิทยาศาสตร์ก่อน เอื้องว่าท่านใช้เหตุผลในการคิดผนวกกับการคาดเดาสถานการณ์ได้ดีน่ะค่ะ ก็เลยตรงเผงบ่อยๆ”


“งั้นถ้าคุณได้คุยกับพ่อผมคุณคงชอบ”นทีดลชี้นำ


ดาราสาวยิ้มกว้างจนมองเห็นลักยิ้มน่ามองสองข้างแก้มก่อนรวบรัด “ก็คุณดลรับปากเอื้องเอาไว้แล้วนี่คะว่าจะให้ไปพบท่านได้ในช่วงสงกรานต์ ใจจริงก็อยากพบท่านเช้านี้เลยแต่เอื้องติดถ่ายละครช่วงเก้าโมงน่ะค่ะ ตอนนี้เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหมคะ ทิ้งไว้แบบนี้คงได้จูงมือกันป่วยแน่”


“ก็ดีนะครับ ถ้าคุณจะจูงมือผมจริงๆ”เขาพูดติดตลกตรงข้ามกับแววตาซึ่งมีรอยหวานเจืออยู่ หากหญิงสาวกลับทำตาเขียวปั๊ดตอบด้วยคิดว่าเขาเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น “ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ เดี๋ยวทำให้คิวถ่ายละครของชาวบ้านเขารวนหมด”


นทีดลยิ้ม เขารับรู้ได้ว่ากำลังมีอะไรร้อนๆวิ่งเข้าสู่หัวใจ ทำให้รู้สึกอ่อนหวานและอบอุ่นผสมผสานอย่างบอกไม่ถูก ยามนี้เขาจึงยินดีที่จะยืนมองเธอนิ่งๆมากกว่าต่อล้อต่อเถียงใดๆทั้งสิ้น แต่กระนั้นสองหูของชายหนุ่มก็ยังได้ยินเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นถนนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างชัดเจน


“มีความสุขจังเลยนะคะพี่ดล เอื้องลดา”เสียงเล็กแหลมดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเมรินที่กำลังเดินผ่านมุมน้ำตกจำลองออกมาด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตรนัก


“อ้าว นี่ลิลลี่ย้ายของเสร็จตั้งแต่เช้าเลยหรือครับ”นทีดลย้อนถามธุระโดยมิได้สนใจคำพูดก่อนหน้าของผู้มาใหม่

เมรินแกล้งค้อนขวับใส่ชายหนุ่มแล้วปรายหางตามองเอื้องลดาก่อนจะตอบด้วยเสียงที่บังคับให้เรียบเย็นตรงกันข้ามกับอารมณ์แท้จริงที่เป็นอยู่ “ก็คุณนัยน่ะสิคะบอกว่าให้ลิลลี่ออกมาแต่เช้า ไม่งั้นรถจะติดแถวคูเมืองเพราะคนเล่นสงกรานต์กันเยอะ ลิลลี่ก็เลยต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า แล้วอะไรกันคะ พอมาถึงที่นี่โทร.หาพี่ดลก็ไม่มีคนรับ ที่แท้...”


“ขอตัวก่อนนะคะคุณดล เดี๋ยวเอื้องต้องรีบไปถ่ายละครอีก”เอื้องลดาพูดแทรกขึ้นเมื่อรู้ดีว่าอีกฝ่ายเจตนาว่ากระทบตน


หึ...เมรินนี่ช่างทำตัวได้ขวางโลกสมคำล่ำลือจริงๆ นี่ขนาดกับเธอที่ร่วมงานกันนับครั้งได้และไม่เคยมีปัญหากันเลยสักครั้ง ก็ยังถูกเธอฟาดงวงฟาดงาใส่จนได้

หากคนถูกแทรกกลับหัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “เอื้องคงยังไม่รู้มั้งว่าพี่คณินเปลี่ยนเวลาถ่ายทำเป็นช่วงบ่าย แล้วก็ย้ายไปถ่ายฉากสงกรานต์ที่วัดเจ็ดยอด เพราะเมื่อกี้ฝนตกหนัก ไม่สะดวกที่จะถ่ายทำในโบราณสถานน่ะ”


“อ้าวเหรอ ขอบคุณมากนะลิลลี่ แต่ยังไงเอื้องก็ต้องขอตัวอยู่ดีแหละ เชิญตามสบายนะ”กล่าวจบเอื้องลดาก็แกล้งส่งยิ้มให้นทีดลก่อนจะเดินลิ่วๆไปตามถนนปูด้วยอิฐอย่างไม่สนใจผู้ที่อยู่เบื้องหลัง


“ว่าแต่ลิลลี่ตามหาพี่ทำไมครับ”นทีดลทำลายความเงียบขึ้นก่อนหลังจากอยู่กันตามลำพัง


เมรินจึงหันกลับมาให้ความสนใจในตัวเขาต่อ “ก็ลิลลี่อยากจะขอบคุณพี่ดลน่ะค่ะที่จัดการเรื่องที่พักเร็วทันใจจริงๆ”


“พี่แค่โทรบอกนัยกริ๊งเดียวก็เรียบร้อยแล้วล่ะครับ อีกอย่างมันเป็นหน้าที่ของทางรีสอร์ตที่ต้องดูแลลูกค้าด้วย ไม่เห็นจะต้องขอบอกขอบใจอะไรเลย”


“ค่ะ แล้วนี่พี่ดลไปไหนกันมาคะ ดูซิ เปียกมะล็อกมะแลกกันทั้งสองคนเชียว”ปากของเมรินถามขณะที่สายตามองเขาอย่างจับผิด แค่เห็นชายหนุ่มเดินมาพร้อมกับเอื้องลดาต่อมริษยาของเธอก็ทำงานอย่างเต็มพิกัดแล้ว พานให้ลืมถ้อยคำที่ตนบอกเพื่อนทั้งสองว่าจะพยายามทำตัวเป็นหญิงสาวที่น่ารักในสายตาของนทีดลจนได้


“พี่ไปไหว้กู่มาน่ะ วันนี้เป็นวันสังขารล่อง คนเหนือเขาจะทำสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเช่น สระเกล้าดำหัว ไหว้พระ ทำความสะอาดบ้านอะไรทำนองนี้”


“แล้วเอื้องลดาล่ะคะ”


“ไม่รู้สิ พี่บังเอิญไปเจอเธอที่นั่น...”


เมรินเบะปากแล้วจึงต่อให้เสียเอง “ก็เลยหลบฝนอยู่ด้วยกันเป็นนานสองนานใช่ไหมคะ”


นทีดลรู้ดีว่าถูกประชดแต่กลับยิ้มสู้“ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ โดนฝนแบบนี้ถ้าไม่รีบสระผมอาจจะเป็นไข้ได้”บอกพลางเขาก็แอบนึกถึงถ้อยคำของสาวอีกนางที่เพิ่งเดินจากไปแล้วหัวเราะ “จูงมือกันป่วย”ดูเธอก็มีอารมณ์ขันกับเขาเหมือนกันแฮะ


“หัวเราะอะไรคะพี่ดล”เมรินชักจะอารมณ์ไม่บรรเจิดเพราะไฟริษยากำลังลามเลียอยู่ทั่วตัวแล้วในเวลานี้


แต่แทนที่จะตอบ นทีดลกลับสั่นหน้าและย้ำ “พี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”


สายตาไม่พอใจจ้องตามร่างสูงที่เพิ่งเดินจากไปไม่ละ และเมื่อเขาลับหายไปหลังน้ำตกจำลองแล้ว ดาราสาวจึงระบายความโกรธด้วยการกระชากกิ่งดอกหางนกยูงเต็มแรง


ทว่ากิ่งไม้เจ้ากรรมซึ่งเพิ่งถูกตัดแต่งไปเมื่อเย็นวานกลับบาดมือเธอจนเป็นทางยาว เลือดสีแดงไหลซึมออกมาอย่างรวดเร็ว เมรินกรีดร้องเสียงหลง แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครได้ยิน เธอจึงรีบเดินแกมวิ่งออกไปทางสำนักงานรีสอร์ตด้วยสีหน้าตกใจ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » เสาร์ 06 ก.ค. 2013 9:29 pm

เอื้องลดาเอนกายพิงเก้าไม้สักมองทัศนียภาพนอกระเบียงอันเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้อย่างพึงพอใจ ขณะนึกถึงเหตุการณ์ช่วงสายซึ่งนทีดลดั้นด้นไปเคาะประตูเรียกเธอถึงห้องเพื่อให้ตามมาพบบิดาของเขาที่คุ้มเวียงพิงค์ และเมื่อมาถึงเขาก็แนะนำเธอให้รู้จักกับเจ้าสกุลรัตน์ผู้เป็นมารดาก่อนจะพาหญิงสาวมานั่งรออยู่ตรงมุมนั่งเล่นนอกระเบียงแห่งนี้ แล้วเจ้าตัวก็ขอตัวไปเชิญบิดาในห้องทำงานด้วยตนเอง


“นี่ไงครับพ่อ คุณเอื้องที่ผมเล่าให้ฟัง”น้ำเสียงของนทีดลดังขึ้น หญิงสาวจึงหันกลับมามองพร้อมทั้งลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้นทำความเคารพชายวัยต้นปิจฉิมร่างสูงในชุดเสื้อม่อฮ่อม กางเกงสะดอซึ่งเดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเจือยิ้ม


ผู้สูงวัยรับไหว้พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆบุตรชายซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับเอื้องลดาและถามอย่างไม่อ้อมค้อม “ที่มาขอพบนี่มีอะไรหรือแม่หนู”


“คือเอื้องเห็นผีเด็กตอนถ่ายละครน่ะค่ะก็เลยอยากมาปรึกษาว่ามีอะไรที่ทำไปแล้วอะไรไม่ถูกไม่ควรหรือเปล่า ที่กังวลเพราะพักหลังๆมานี่ เอื้องมักจะพบเจออะไรแปลกๆบ่อยน่ะค่ะ”


เจ้าของบ้านพยักหน้า “ก่อนอื่น หนูเรียกฉันว่าพ่อครูดีกว่านะ คำว่าอาจารย์อะไรนี่ฉันไม่ค่อยชอบหรอก คำว่าครูมันหนักแน่นยิ่งใหญ่ สื่ออะไรได้ชัดเจนกว่าเยอะ ส่วนเรื่องที่หนูเล่ามา ฟังแล้วก็ยังไม่เห็นเลยว่าผีจะหลอกหนูตรงไหน การที่ดวงวิญญาณออกมาปรากฏตัวนั้นมีอยู่หลายสาเหตุ ขอส่วนบุญก็ใช่ เคยผูกพันกันมาก่อนก็ใช่ หรือมองอีกด้านก็อาจจะมาเพื่อปกปักรักษาเราก็เป็นได้”


“ค่ะ เอื้องก็หาเหตุผลไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาเอื้องยังไม่เคยเห็นผีสางเลยค่ะ เพิ่งจะเจอครั้งแรกก็ที่เมืองเก่าสลีคำนี่แหละค่ะพ่อครู”


“ทุกอย่างมีที่มาที่ไปเสมอ โลกนี้มีความเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่ตลอดเวลา ทุกคนที่เวียนว่ายมาพบกันนั่นก็เป็นเพราะต่างมีเวรกรรมต่อกัน หรือไม่ก็อาจจะเกิดมาเพื่อเกื้อหนุนกันตามบุญทำกรรมแต่งแต่หนหลัง” ผู้ชราอธิบายต่อ


นทีดลซึ่งนิ่งฟังอยู่นานเพิ่งนึกขึ้นได้จึงหันบอกหญิงสาวว่า “ผมเล่าเรื่องแหวนนาคสองวงนั่นให้พ่อฟังแล้วนะครับ”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน

cron