นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 6:59 pm

มือแกร่งเทน้ำจากคนโทดินเผาลงในกระบวยเล็กๆทำจากกะลามะพร้าวจนครบจำนวนคนแล้วยื่นมันให้เอื้องลดาน้ำไปเสิร์ฟต่ออีกทอด


หญิงสาวทำหน้าที่ของตนแล้วจึงหันกลับมาจ้องคนโททรงสูงและถาม “คนโทใส่น้ำนี่เรียกว่าอะไรคะ”


“เรียกว่าน้ำต้นครับ เป็นภาชนะใส่น้ำที่มีมาแต่โบราณ”


“น้ำต้นที่ตั้งไว้บนร้านน้ำใช่ไหมคุณดล นัทนึกว่าเป็นหม้อใหญ่ๆเสียอีก”นาถนรีซึ่งนั่งขัดสมาธิอย่างสบายอารมณ์เป็นผู้ถาม


ร้านอาหารที่นทีดลพาสองสาวมารับประทานอาหารเย็นนั้นเป็นร้านที่ตกแต่งสไตล์ล้านนาแท้ๆและจัดมุมให้ลูกค้าอย่างเป็นสัดส่วน ทั้งสามจึงเลือกนั่งบนระเบียงที่ยื่นออกไปเหนือสระซึ่งมีดอกบัวสีขาวและชมพูบานสล้าง


“คุณนัทคิดถูกแล้วล่ะ ที่อยู่บนร้านน้ำเป็นหม้อน้ำขนาดใหญ่ ส่วนน้ำต้นนี่เอาไว้รับแขกบนบ้านครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใช้กันแล้วล่ะ ใช้ตู้เย็นแทน”นทีดลเล่าแล้วเบี่ยงตัวหลบให้พนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาวางลงบนขันโตกไม้สักซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสาม


“อุ๊ย มาแล้ว แกงฮังเลของโปรด”นาถนรีทำท่าลูบปากขณะพูด


นทีดลจึงเลื่อนก่องข้าวไปให้เธอ ก่อนจะหันไปหยิบจานซึ่งมีช้อนและช้อนส้อมวางอยู่ครบลงตรงหน้าเอื้องลดา “กลัวคุณเอื้องจะทานข้าวเหนียวไม่เป็น ผมเลยขอจานมาให้น่ะฮะ”


เอื้องลดาย่นคิ้ว “ไม่เอาค่ะ ทานข้าวแบบคนเหนือก็ต้องใช้มือปั้นข้าวเหนียวถึงจะได้อารมณ์ มา เอื้องลองทำแบบพี่นัทบ้าง”


ว่าแล้วหญิงสาวก็เปิดฝาก่องข้าวแล้วใช้มือปั้นข้าวเหนียวเป็นคำเล็กๆ ชูขึ้น “สบายมากค่ะคุณดล”


ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงแนะนำเมนูอาหาร “ในถ้วยเล็กๆนั่นน้ำพริกอ่อง ชามใหญ่นั่นผักกาดจอ ส่วนนี่ก็ คั่วโฮะ แกงฮังเล แล้วที่หั่นพอคำนั่นไส้อั่วครับ”


เอื้องลดาจิ้มข้าวเหนียวลงบนน้ำพริกอ่องเป็นอย่างแรก นทีดลจึงใช้ช้อนส้อมจิ้มแตงกวาหั่นเป็นคำส่งให้ “เครื่องเคียงครับ”


หญิงสาวยื่นมือไปรับช้อนส้อมจากมือเขา พูดกลั้วหัวเราะ “ทำเหมือนเอื้องเป็นเด็กเลย”


ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้ม ไม่ตอบว่ากระไร นาถนรีจึงแกล้งกระแอมกระไอขึ้น ก่อนจะแซว “แกงฮังเลนี่ว่าหวานแล้วนะคะ ยังไม่หวานเท่าคนแถวนี้เลย”


เอื้องลดาหันไปตีเผียะลงบนขาพี่สาวเบาๆ “พี่นัท พูดอะไรเนี่ย”


นาถนรีตีหน้าตาย แกล้งสะกิดนทีดลซึ่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงหน้า “พูดชัดๆเลยดีไหมคะคุณดล น้องเอื้องเขาไม่เข้าใจ”


ผู้ถูกถามเหลือบตามองเอื้องลดาแวบหนึ่ง แล้วค่อยตอบออกไปอย่างหนักแน่น “ก็ดีเหมือนกันครับคุณนัท คุณเอื้องจะได้รู้ว่าผมคิดยังไงกับเธอ”


นาถนรีแทบจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน ส่วนนางเอกสาวผู้ถูกพาดพิงนั้นรีบก้มหน้างุด ทำเป็นหยิบอาหารใส่ปากปกปิดความขัดเขิน


‘เอาแล้วซี ทำเป็นเดาใจเขามาทั้งวัน ครั้นพอเขาจะเริ่มเกริ่นบ้าง ก็ถึงกับไปไม่เป็นเชียวนะเอื้องลดา’ หญิงสาวบ่นตนเองในใจ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:01 pm

บทที่ ๑๐

1369486837.jpg
1369486837.jpg (51.99 KiB) เปิดดู 8210 ครั้ง


แสงสีแดงเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเลื่อนลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว ภายในพิงครัตน์รีสอร์ตจึงมีแสงสีนวลจากโคมไฟสนามเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นพัดมาไหวๆ เงากิ่งไม้จึงไหวพะเยิบพะยาบตามแรงลม ครู่ใหญ่จึงมีเงาสะท้อนร่างมนุษย์ทาบทับบนทางเดินปูด้วยอิฐถึงสองเงาเคียงกัน ร่างนั้นเคลื่อนไปยังบ้านพักหลังหนึ่งซึ่งปลูกสร้างอยู่ริมฝายน้ำเล็กๆและมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งลดหลั่นไปตามชั้นของโขดหินอย่างวสยงามลงตัว


“ผมส่งแค่นี้นะฮะ”นัยภาคบอกหลังจากเดินตามหญิงสาวมาจนถึงที่พักของเธอ


เอริน่าหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มพร้อมทั้งคลี่ยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงเรียบ “ขอบคุณมากนะคะคุณนัยที่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนรีน่า”


เขายิ้มตอบ ใบหน้าขาวผ่องคมสันดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่างๆผมจะพาคุณรีน่าไปขับรถชมวิวเมืองเชียงใหม่บ้าง”


“สัญญาแล้วนะคะ จะมาบิดพลิ้วทีหลังไม่ได้นะคุณนัย”


คนถูกรวบรัดหัวเราะชอบใจ เขาคงยินดีมาก ถ้าเธอจะรวบรัดเช่นนี้บ่อยๆ “ครับ ถ้าผิดสัญญาผมยินดีให้ปรับ สำหรับคืนนี้ฝันดีนะครับ”


“ค่ะ ขอให้คุณนัยฝันดีเหมือนกันนะคะ” เธอยกมือขวาขึ้นโบกไปมาแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆเข้าไปในบ้านพักซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความสว่างไสวจากดวงไฟที่เธอเพิ่งกดเปิดสวิตซ์


ร่างบางเอนลงบนที่นอนซึ่งยังปูผ้าคลุมเตียงเอาไว้ก่อนจะกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูละครช่วงเย็นซึ่งกำลังประคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นางแบบสาวส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย เธอชอบละครคลาสสิกมากกว่าแนวแรงๆจึงกดรีโมตปิดเพื่อให้ภายในห้องอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง เงียบเสียจนได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนที่เดินอยู่บนถนนด้านล่างซึ่งเธอจำได้ว่าเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงของนทีดล


ความอยากรู้ทำให้นางแบบสาวลุกขึ้นจากที่นอน แง้มหน้าต่างไม้ออกดูจึงพบว่านทีดลและนาถนรีกำลังเดินไปส่งเอื้องลดาที่บ้านพักซึ่งอยู่ถัดจากบ้านพักของเธอไปอีกสี่ห้าหลัง


ด้วยความห่วงเพื่อนเอรีน่าจึงล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทร.ไปเล่าให้เมรินฟัง ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า เธอจึงหันรีหันขวางเดินไปดูยังจุดที่คิดว่าน่าจะวางโทรศัพท์มือถือราคาแพงของตนเอาไว้ สำหรับนางแบบสาวแล้วโทรศัพท์เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ใช้เล่นอินเทอร์เน็ต เล่มเกมเครียดคลาย เป็นที่เซฟข้อมูลนัดหมาย และที่สำคัญเป็นสื่อกลางสำหรับติดต่องาน


แล้วเธอจะลืมทิ้งไว้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่ไปเดินเล่นเธอยังถือมันติดมือไปด้วยเลยนี่นา


ฉุกคิดมาถึงจุดนี้คิ้วเรียวได้รูปก็ขมวดมุ่น ‘ตายแล้ว เธอลืมโทรศัพท์เอาไว้บนพื้นตอนที่จุดธูปไหว้กู่เก่าในโบราณสถาน หากปล่อยทิ้งแล้วไว้เกิดฝนตกเล่า หรือถ้าพรุ่งนี้เช้ามีใครมาพบมันก่อนเธอเล่า จะทำอย่างไรดี’


คิดดังนั้นนางแบบสาวจึงตัดสินใจหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเดินทาง ใจอยากจะขอร้องให้มาริสาและเมรินไปเป็นเพื่อนอยู่หรอก แต่สองคนนั้นออกไปเดินห้างตั้งแต่หัวค่ำแล้วป่านนี้ก้ยังไม่กลับมา ‘เฮ้อ!อย่าไปกลัวความมืดเลยเอรีน่า เธอก็แค่รีบเดินจ้ำๆไปที่โบราณสถานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกลับมาเท่านั้นเอง’


เมื่อไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านั้น สาวลูกครึ่งจึงเปิดประตูห้องพักเดินลิ่วๆลงไปด้านล่าง ก้าวไปตามทางเดินซึ่งเวลานี้มองเห็นเป็นสีเหลืองอมส้มตามสีของแสงจากโคมไฟสนาม


“นั่นรีน่าหรือเปล่า” เสียงร้องถามดังขึ้นขณะที่เธอเดินมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง
เอรีน่าหันขวับไปตามเสียงเรียกและพบว่าผู้ที่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านพักคือเอื้องลดา


“นั่นเธอจะไปไหนมืดค่ำ”นางเอกสาวลุกจากเก้าอี้เดินมาเกาะราวระเบียงพร้อมทั้งชะโงกหน้าถาม


ด้วยความที่ไม่ใช่คนเจ้าทิฐิสาวลูกครึ่งจึงตอบไปตามจริง “รีน่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่กู่เก่าน่ะ ว่าจะกลับไปเอา”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:02 pm

เอื้องลดาอ้าปากค้าง เป็นครู่จึงแสดงความเห็น “แต่มันมืดค่ำแล้วนะ ถึงคืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงก็เถอะ ยังไงการเดินในที่มืดๆแบบนั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”


อีกฝ่ายยักไหล่ “ทำไงได้ล่ะ รีน่าต้องใช้มันติดต่องาน แล้วพรุ่งนี้ก็มีเดินแบบด้วย ถ้าไม่รีบกลับไปเอาก็คงติดต่องานลำบาก รีน่าไม่อยากเสียชื่อเพราะผิดคำพูด มันดูไม่น่าเชื่อถือ”


คนฟังพยักหน้าแล้วจึงเสนอตัว “งั้นเดี๋ยวเอื้องไปเป็นเพื่อนเอง”


เอรีน่าขมวดคิ้ว ย้อนถาม “จริงเหรอ”


เอื้องลดาหัวเราะ “จริงสิ จะปล่อยให้รีน่าไปคนเดียวได้ยังไง ยังไงเราก็เพื่อนร่วมวงการเดียวกัน”


ว่าแล้วนางเอกสาวก็ก้าวลงบันไดมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังแปลกใจไม่หายที่ได้เห็นน้ำใจของคนที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อนดังเช่นเธอผู้นี้ ผู้ที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย


“ไปสิ จะได้รีบไปรีบกลับ เอ หรือจะโทร.ไปขอให้คุณดลส่งคนไปเป็นเพื่อนเราดีล่ะ”เอื้องลดาแนะ


“อย่าเลย รีน่าเกรงใจเขา เมื่อครู่คุณนัยก็เพิ่งมาส่งรีน่าที่นี่ จริงๆเอื้องไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ รีน่าไปคนเดียวได้”


ทว่าเอื้องลดากลับสั่นหน้า “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”


หญิงสาวทั้งสองเดินมาจนถึงประตูเล็กซึ่งล็อกกลอนเอาไว้จากด้านใน เอื้องลดาจึงเป็นผู้เปิดมันแล้วก้าวออกไปก่อน
ประตูปิดลง จึงเป็นการบดบังรัศมีของแสงไฟนีอ

อนตามไปด้วย โชคดีที่คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างฟ้า การเดินไปตามทางอันมืดสลัวจึงไม่ลำบากมากนัก ทว่าสองสาวก็พยายามก้าวเร็วๆด้วยความระมัดระวัง


“ริมแม่น้ำแบบนี้อากาศเย็นสบายดีจังนะ”เอรีน่าชวนคุย


“ใช่จ้ะ บรรยากาศกลางคืนนี่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ว่าเป็นประสาทหู ตา จมูก ต่างก็ได้รับสัมผัสเท่าเทียมกัน หูได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกและแมลงกลางคืน ตามองเห็นภาพใต้แสงจันทร์สีเงิน จมูกได้กลิ่นดอกเอื้องคำหอมกรุ่นลอยมาตามลม”เอื้องลดาต่ออย่างเคลิ้มๆ


นางแบบสาวพยักหน้า “แต่ความมืดก็น่ากลัวนะเอื้อง”


“น่ากลัวและน่าค้นหาไปพร้อมๆกัน”เอื้องลดาตอบเสียงเรียบ สายตาทอดมองไปยังทางโค้งเบื้องหน้าซึ่งมีกอไผ่กอใหญ่เป็นสัญลักษณ์ แล้วความร้อนผ่าวบริเวณโคนนิ้วก้อยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก้มหน้าลงมองแหวนในมือซึ่งบัดนี้เปล่งประกายวูบวาบเด่นชัด เธอจึงรีบซุกมือเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงเนื่องจากเกรงว่าเอรีน่าจะถามในสิ่งที่เธอเองก็ตอบไม่ได้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:02 pm

“อ้ายหมากแก้วขะใจ๋ไปห้ามน้าเอื้องบ่หื้อเข้าเขตเมือง”เสียงเล็กๆของหมากคำรัวเร็ว เครือสั่นด้วยความห่วงใยผู้เป็นน้าในอดีตชาติของตน


“หากว่าเฮาไปปรากฏตั๋วต่อหน้าน้าเอื้องเพลานี้ น้าเอื้องก็อาจจะตกใจ๋และตี้สำคัญแม่ญิงตี้มาโตยหั้นก็คงหวาดผวาเป๋นแน่”หมากแก้วค้าน
หมากคำเดินจ้ำอ้าวไปยืนด้านหน้าพี่ชายแล้วยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมทั้งทำหน้าตาเคร่งเครียด “แล้วจะยะจะได น้องกลั๋วน้าเอื้องจักเป๋นอันตรายจากคนฮ้ายตี้อยู่ในเมืองเก่า”


หมากแก้วเกาหัวแกรก “หรือว่าเฮาจักไปขัดขวางโดยตี้บ่อหื้อไผหันตั๋ว”


“น้องว่าเฮาไปจัดก๋ารหลอกคนฮ้ายสองคนนั้นหื้อหนีไปดีกว่าเจ้า”หมากคำวางแผน


ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้าพลางคว้าข้อมือเล็กๆของน้องสาวทันใด“อั้นก็ไปจัดก๋ารได้ละ”


“บ่ต้องยะจะไดทั้งนั้นล่ะ หมากแก้ว หมากคำ”เสียงของพ่อปู่ดังขึ้น สองพี่น้องจึงชะงัก


หมากคำทำหน้าละห้อยเดินเข้าไปหาผู้เป็นปู่และแหงนหน้าคอตั้งบ่า “มีคนฮ้ายจะเข้ามาลักสมบัติในเขตเมืองเฮาเจ้า น้าเอื้องก็ก๋ำลังจะเข้าไปตี้หั้น หมากคำกลั๋วว่ามันจะทำร้ายน้าเอื้องเจ้า”


“หากเป๋นอย่างนั้นก็แปล๋ว่าคนเหล่านั้นมีเวรก๋รรมต่อกั๋น อย่างใดก็หนีเวรก๋รรมบ่พ้นดอก”


“น้าเอื้องเป๋นคนดี จะไดต้องมีเวรก๋รรมโตยเล่าพ่อปู่”หมากแก้วถามบ้าง
พ่อปู่อินตาวางมือลงบนศีรษะจ้อยพลางอธิบายใจอย่างใจเย็น “เวรก๋รรมเป๋นเสมือนเงาของเฮากู้คน คนเฮาเกิดมาหลายภพหลายชาติ สร้างก๋รรมสร้างเวรเอาไว้ ทั้งที่เฮาฮู้ตั๋วและบ่ฮู้ตั๋ว แต่ก๋รรมนั้นก็จะต้องโตยมาตันสักวันหนึ่ง”


“แต่น้าเอื้องทำความดีเอาไว้นัก จะไดผลบุญบ่จ้วยเล่า”หมากคำถามเสียงขึ้นจมูก


พ่อปู่อินตาจึงจูงมือเล็กๆนั้นให้เดินตามไปอย่างช้าๆ “บุญก็คือบุญ ก๋รรมก็คือก๋รรม บุญก็จักเสริมสร้างบารมีหื้อเฮาไปตางหน้า ส่วนก๋รรมนั้นเฮาก็ต้องชดใช้ บุญก๋รรมอยู่คนละส่วน บ่เกี่ยวข้องกั๋น ดังนั้นเมื่อสิ่งใดจะเกิด เฮาก็บ่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ปล่อยหื้อมันเป๋นไปต๋ามชะต๋าชีวิตของน้าเจ้าเต๊อะ เวลานี้เจ้าสองต๋นปิ๊กคุ้มได้ละ”


“เจ้า”เสียงเล็กๆสองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ทว่าหมากแก้วและหมากคำก็ยังไม่วายมองตามร่างระหงของเอื้องลดาไปด้วยความเป็นห่วง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อังคาร 23 ก.ค. 2013 7:03 pm

เงาตะคุ่มสองเงากำลังหันรีหันขวางอยู่ข้างๆกู่โบราณคล้ายกับกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ชั่วครู่ชายผู้มีรูปร่างสูงใหญ่จึงบ่นพึมพำ “เสี่ยจะรีบให้เรามาขุดทำไมวะไอ้ชาติ วันสงกรานต์อยู่แท้ๆแทนที่จะให้เราได้พัก”

“เสี่ยบอกว่าพ่อหมอก๋องคำมาทำพิธีข่มเทวาอารักษ์ของที่นี่แล้วก็ต้องรีบขุดก่อนที่เขาจะทำพิธีส่งเคราะห์กันในวันที่ 16 มิเช่นนั้นจักทำให้เคราะห์ร้ายต่างๆตกมาอยู่กับพวกเรา”ชายร่างสันทัดนามว่าสุชาติหันไปตอบ


“แล้วเสี่ยจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่นี่มีสมบัติอยู่จริงๆ”ชายร่างใหญ่ยังคงสงสัย


“ข้าเคยได้ยินมาว่ากรุพระที่นี่เคยแตกถึงสองกรุ คนสมัยก่อนเขาได้พระเก่าๆแล้วก็ของเก่าไปเยอะแยะ ของบางอย่างมีค่ามากด้วย ส่วนเราถ้าได้ของดีก็อาจจะไม่ส่งให้เสี่ยทั้งหมดก็ได้นี่ เพราะสิ่งที่เสี่ยต้องการคือพระพุทธรูปทองคำนั่นอย่างเดียว อย่างอื่นก็แค่ผลพลอยได้”อาคมตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง


สุชาติหัวเราะหึๆแล้วจึงชะงัก “เฮ้ย!ใครถือไฟฉายมานั่นวะ”
“หลบไปข้างหลังกู่ก่อน เร็ว ไอ้ชาติ”ว่าแล้วอาคมก็วิ่งนำไปด้วยความเร่งรีบ


แสงไฟฉายผนวกกับแสงจันทร์ส่องให้ชายกลางคนซึ่งหลบอยู่หลังกู่โบราณมองเห็นหญิงสาวร่างระหงที่เดินเคียงคู่กันมาได้อย่างชัดเจน




“ผู้หญิงนี่หว่าไอ้คม ท่าทางจะสวยด้วย ดูขาสิ ทั้งขาว ทั้งเรียว ถ้ากูได้เป็นเมียนะ กูจะไม่ลืมพระคุณเลย เสียดายที่เห็นหน้าไม่ชัด”




ทว่าอาคมกลับค้านขึ้นอย่างขลาดๆ “ผีหรือเปล่าวะไอ้ชาติ ในเมืองเก่าแบบนี้มึงอย่าไว้ใจ ไม่ใช่พอเดินเข้าไปใกล้จริงๆมันอาจจะปลิ้นตา ล้วงไส้ให้ดูก็ได้นะเว้ย”


“ผีอะไรจะแต่งตัวแบบนี้วะ ผีก็ต้องใส่ชุดไทยสิ”


อาคมซัดมือผัวะลงกลางหลังเพื่อน “ผียุคนี้ไงวะ ไอ้นี่โง่ไปได้ ผีมันก็คงทันสมัยเป็นเหมือนกันแหละ”


“แล้วถ้ามันไม่ใช้ผีล่ะวะไอ้คม”สุชาติย้อนถาม


อาคมยกมือขึ้นลูบปาก “ถ้าไม่ใช่ผีก็จัดการเลยสิวะ จะปล่อยไว้ทำซากอะไร”


สุชาติยิ้มกริ่มแล้วจึงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตนเองก่อนปรามเพื่อน “งั้นเงียบฟังก่อน ว่านังสองคนนั่นมันพูดอะไรกัน



------------------------------------------------------------------------------------------------------




เมื่อแสงไฟฉายกราดไปบนพื้นหญ้าด้านหน้ากู่โบราณไม่ถึงนาที เอริน่าก็อุทานขึ้นเสียงดังลั่น “เจอแล้วเอื้อง”







“ไหน อ้อ อยู่นั่นเอง”เอื้องลดามองตามนิ้วชี้ของนางแบบสาวพลางยิ้มด้วยความยินดี







เอริน่าย่อตัวลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะลุกขึ้นบอกกลั้วหัวเราะ “ดีใจที่สุดเลย ไม่งั้นคงติดต่อกับผู้จัดงานพรุ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ”







“ดีใจด้วยนะรีน่า ปะ รีบกลับกันเถอะ”







“จ้ะ”เอรีน่าก้าวเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พลันสายตาของเธอก็มองเห็นแสงสว่างวาบขึ้นที่กำแพงเมืองทางทิศใต้ติดประตูทางเข้าโบราณสถาน หญิงสาวจึงอุทานขึ้น “อุ๊ย!นั่นแสงอะไรกันเอื้อง”







นางเอกสาวมองตาม “ไม่รู้เหมือนกัน เอ๊ะ! เสียงอะไร”







เสียงสวบสาบที่ดังมาจากด้านหลัง เป็นเหตุให้เอื้องลารีบหันขวับกลับไปดู แล้วจึงพบว่ามีชายสองคนกำลังพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเธอ เอื้องลดาจึงผลักเพื่อนให้หลบพลางร้องบอก “รีน่าระวัง มีคนร้าย”







เอรีน่าร้องกรี๊ดพลันวิ่งไปข้างหน้าจนสุดฝีเท้า







ทว่าเจ้าวายร้ายไวกว่า มันวิ่งตามมาทันและกระโดดเข้าล็อกคอเธอจากทางด้านหลัง เอรีน่าร้องลั่น คว้าแขนล่ำขึ้นมากัดสุดแรงจนมันดิ้นพล่านและปล่อยแขนออกจากตัวเธอ เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการแล้วนางแบบสาวจึงหลับหูหลับตาวิ่นหนีไปให้เร็วที่สุด







“เก่งนักนะอีคนสวย”อาคมตะโกนลั่น ความโกรธพุ่งวาบเข้าสู่หัวใจ พร้อมกับความเจ็บแสบบริเวณแขนขวาที่ทำให้มันเร่งฝีเท้าไล่ตามร่างสะคราญอย่างมาดหมาย







แต่เมื่อพ้นโค้งทางเข้าโบราณสถานมาแล้ว ทุกอย่างพลันนิ่งสนิท ดวงตาเรียวยิบหยีของมันมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆของอีกฝ่าย จึงตะโกนขู่ “ออกมาเสียดีๆนังคนสวย ไม่งั้นเพื่อนของมึงโดนรุมโทรมแน่”







น้ำเสียงแหบๆอันดังก้องหูทำให้จิตใจของนางแบบสาวไหววูบ







เอื้องลดาตามมาเพราะความห่วงใยเธอและด้วยมิตรภาพที่หาได้ยากนักจากเพื่อนใหม่ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกันด้วยซ้ำ แล้วเธอจะปล่อยให้เพื่อนถูกทำร้ายเพียงลำพังได้อย่างไร







คิดดังนั้นร่างระหงก็ผุดลุกขึ้น แต่แล้วโทรศัพท์ในมือที่เธอกำไว้จนเหงื่อชื้นก็ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เธอจะต้องตั้งสติและหาวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากการตัดสินใจในวันนี้ทำได้ครั้งเดียวและเป็นเรื่องที่เสี่ยงถึงชีวิต







เอาล่ะ เธอจะต้องออกไปช่วยเอื้องลดา แต่จะต้องแจ้งข่าวนี้กับนทีดลเสียก่อน







มือเรียวสั่นของหญิงสาวจึงยัดโทรศัพท์เอาไว้ในเสื้อเพื่อป้องกันแสงจากโทรศัพท์จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนหลบอยู่ที่ใด จากนั้นจึงกดส่งข้อความถึงชายหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตด้วยใจที่มุ่งหวังและภาวนาว่าเขาจะต้องได้รับสารจากเธอทันท่วงที







เสร็จเรียบร้อยแล้วนางแบบสาวก็ลุกขึ้นยืนแล้วยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง







เธอชะโงกหน้าออกไปมองหาเจ้าวายร้ายจนมั่นใจว่ามันไม่อยู่แล้วจึงวิ่งกลับไปยังจุดเกิดเหตุ โดยหลบอยู่หลังกำแพงเมืองที่มีความสูงระดับเอวเพื่อดูลาดเลา







เวลานี้เอื้องลดาเองก็เงียบไป มีเพียงเจ้าสองคนนั่นเดินขวักไขว่ตามหาตัวเธออยู่







อา...เอื้องลดาขอให้เธอปลอดภัยด้วยเถอะ







แต่แล้วโชคกลับเข้าข้างพวกมันเสียนี่ เมื่ออีกราว 5 นาทีเจ้าสุชาติก็หัวเราะดังลั่น “นั่นไง น้องสาวคนสวยอยู่นั่น ไอ้คมมึงเห็นไหม สงสัยน้องเขากลัวเจ็บหลังว่ะมึง ถึงได้เลือกสถานที่เองแบบนั้น”







ว่าแล้วเสียงหัวเราะแหบพร่า หื่นกระหายของมันก็ดังขึ้นพร้อมกัน





เอื้องลดาตัวสั่นเทาอยู่พงหญ้า ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดโดยใช้จิตวิทยาหรือมองเห็นว่าเธออยู่ตรงนี้จริงๆ แต่ก็ยังพยายามรวบรวมสติให้นิ่ง คอยเป็นผู้ตั้งรับและประวิงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด







ตาของเธอมองตรงไปยังร่างของมันทั้งคู่ แม้จิตใจกำลังระส่ำ มือไม้เย็นเฉียบ แต่นางเอกสาวก็ตั้งใจว่าจะต่อสู้จนสุดชีวิต ไม่มีวันที่เธอจะยอมตกเป็นทาสอารมณ์ของคนจิตใจหยาบช้าคู่นี้เป็นอันขาด

--------------------------------------------------------------------------------------------------



ร่างสูงเต็มไปด้วยมัดกล้ามซึ่งบัดนี้มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ตามลำตัวชะงักงันหลังเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำแล้วได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง เขาจึงรีบก้าวลิ่วๆไปหยิบมันขึ้นมากดดู







แล้วชายหนุ่มก็ต้องพบกับความตกตะลึงหลังกวาดตามองตัวอักษรที่ปรากฏบนจอจนครบทุกตัวแล้ว







‘เรากำลังหนีคนร้ายอยู่ในโบราณสถาน ช่วยด้วย’







โดยไม่ต้องคิด นทีดลรีบดึงผ้าเช็ดตัวที่พันตัวออกแล้วสวมเสื้อผ้าวิ่งลงจากบ้านไปขึ้นรถแล้วขับอ้อมออกไปทางประตูรีสอร์ตเพื่อให้ถึงด้านหน้าโบราณสถานโดยเร็วที่สุด







ทั้งนี้เขาก็ไม่ลืมที่จะกดโทรศัพท์หานัยภาค “นัย รีบลงมายืนรอพี่ที่หน้าบ้านพัก คุณรีน่ากำลังตกอยู่ในอันตราย อย่าลืมเอาปืนมาด้วยนะ”







เมื่อปลายสายรับคำ ชายหนุ่มจึงวางโทรศัพท์ลงบนเบาะรถข้างๆแล้วเหยียบคันเร่งให้ถึงยังจุดหมายพลางภาวนาให้หญิงสาวรอดพ้นจากภยันตราย “พยายามเอาตัวรอดรอผมกับนัยนะครับคุณรีน่า”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 08 ม.ค. 2014 10:50 pm

[size=150]มีการปรับตัวละครบางตัว และรายละเอียดบางอย่างตั้งแต่บทนี้ไปนะคะ (จริงๆแก้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ขออนุญาตไม่โพสต์ใหม่เพราะมันเยอะมาก)[/size]

บทที่ ๑๐


แสงสีแดงเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเลื่อนลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว ภายในพิงครัตน์รีสอร์ตจึงมีแสงสีนวลจากโคมไฟสนามเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นพัดมาไหวๆ เงากิ่งไม้จึงไหวพะเยิบพะยาบตามแรงลม ครู่ใหญ่จึงมีเงาสะท้อนร่างมนุษย์ทาบทับบนทางเดินปูด้วยอิฐถึงสองเงาเคียงกัน ร่างนั้นเคลื่อนไปยังบ้านพักหลังหนึ่งซึ่งปลูกสร้างอยู่ริมฝายน้ำเล็กๆและมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งลดหลั่นไปตามชั้นของโขดหินอย่างสวยงามลงตัว
“ผมส่งแค่นี้นะฮะ”นัยภาคบอกหลังจากเดินตามหญิงสาวมาจนถึงที่พักของเธอ

เอรินาหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มพร้อมทั้งคลี่ยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงเรียบ “ขอบคุณมากนะคะคุณนัยที่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนรีนา”

เขายิ้มตอบ ใบหน้าขาวดูงคมสันดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่างๆผมจะพาคุณรีนาไปขับรถชมวิวเมืองเชียงใหม่บ้าง”

“สัญญาแล้วนะคะ จะมาบิดพลิ้วทีหลังไม่ได้นะคุณนัย”

คนถูกรวบรัดหัวเราะชอบใจ เขาคงยินดีมาก ถ้าเธอจะรวบรัดเช่นนี้บ่อยๆ “ครับ ถ้าผิดสัญญาผมยินดีให้ปรับ สำหรับคืนนี้ฝันดีนะครับ”

“ค่ะ ขอให้คุณนัยฝันดีเหมือนกันนะคะ” เธอยกมือขวาขึ้นโบกไปมาแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินขึ้นบันไดเที่ยๆเข้าไปในบ้านพักซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความสว่างไสวจากดวงไฟที่เธอเพิ่งกดเปิดสวิตซ์

ร่างบางเอนลงบนที่นอนซึ่งยังปูผ้าคลุมเตียงเอาไว้ก่อนจะกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูละครช่วงเย็นซึ่งกำลังประคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นางแบบสาวส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย เธอชอบละครคลาสสิกมากกว่าแนวแรงๆจึงกดรีโมตปิดเพื่อให้ภายในห้องอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง เงียบเสียจนได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนที่เดินอยู่บนถนนด้านล่างซึ่งเธอจำได้ว่าเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงของนทีดล

ความอยากรู้ทำให้นางแบบสาวลุกขึ้นจากที่นอน แง้มหน้าต่างไม้ออกดูจึงพบว่านทีดลและนาถนรีกำลังเดินไปส่งเอื้องลดาที่บ้านพักซึ่งอยู่ถัดจากบ้านพักของเธอไปอีกสามหลัง

ด้วยความห่วงเพื่อนเอรินาจึงล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทร.ไปเล่าให้เมรินฟัง ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า เธอจึงหันรีหันขวางเดินไปดูยังจุดที่คิดว่าน่าจะวางโทรศัพท์มือถือราคาแพงของตนเอาไว้ สำหรับนางแบบสาวแล้วโทรศัพท์เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ใช้เล่นอินเทอร์เน็ต เล่มเกมเครียดคลาย เป็นที่เซฟข้อมูลนัดหมาย และที่สำคัญเป็นสื่อกลางสำหรับติดต่องาน

แล้วเธอจะลืมทิ้งไว้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่ไปเดินเล่นเธอยังถือมันติดมือไปด้วยเลยนี่นา

ฉุกคิดมาถึงจุดนี้คิ้วเรียวได้รูปก็ขมวดมุ่น ‘ตายแล้ว เธอลืมโทรศัพท์เอาไว้บนพื้นตอนที่จุดธูปไหว้กู่เก่าในโบราณสถาน หากปล่อยทิ้งแล้วไว้เกิดฝนตกเล่า หรือถ้าพรุ่งนี้เช้ามีใครมาพบมันก่อนเธอเล่า จะทำอย่างไรดี’

คิดดังนั้นนางแบบสาวจึงตัดสินใจหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเดินทาง ใจอยากจะขอร้องให้มาริสาหรือเมรินไปเป็นเพื่อนอยู่หรอก แต่สองคนนั้นออกไปเดินห้างตั้งแต่หัวค่ำแล้วป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา ‘เฮ้อ!อย่าไปกลัวความมืดเลยเอรินา เธอก็แค่รีบเดินจ้ำๆไปที่โบราณสถานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกลับมาเท่านั้นเอง’

เมื่อไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านั้น สาวลูกครึ่งจึงเปิดประตูห้องพักเดินลิ่วๆลงไปด้านล่าง ก้าวไปตามทางเดินซึ่งเวลานี้มองเห็นเป็นสีเหลืองอมส้มตามสีของแสงจากโคมไฟสนาม

“นั่นคุณรีนาหรือเปล่า” เสียงร้องถามดังขึ้นขณะที่เธอเดินมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง

เอรินาหันขวับไปตามเสียงเรียกและพบว่าผู้ที่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านพักคือเอื้องลดา

“จะไปไหนมืดค่ำคะ”เอื้องลดาลุกจากเก้าอี้เดินมาเกาะราวระเบียงพร้อมทั้งชะโงกหน้าถาม

ด้วยความที่ไม่ใช่คนเจ้าทิฐิสาวลูกครึ่งจึงตอบไปตามจริง “รีนาลืมโทรศัพท์ไว้ที่กู่เก่าน่ะ ว่าจะกลับไปเอา”

เอื้องลดาอ้าปากค้าง เป็นครู่จึงแสดงความเห็น “แต่มันมืดค่ำแล้วนะ ถึงคืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงก็เถอะ ยังไงการเดินในที่มืดๆแบบนั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ทำไงได้ล่ะ รีนาต้องใช้มันติดต่องาน แล้วพรุ่งนี้ก็มีเดินแบบด้วย ถ้าไม่รีบกลับไปเอาก็คงติดต่องานลำบาก รีนาไม่อยากเสียชื่อเพราะผิดคำพูด มันดูไม่ดี”

คนฟังพยักหน้าแล้วจึงเสนอตัว “งั้นเดี๋ยวเอื้องไปเป็นเพื่อนเอง”

เอรินาขมวดคิ้ว ย้อนถาม “จริงเหรอ”

เอื้องลดาหัวเราะ “จริงสิ จะปล่อยให้คุณไปคนเดียวได้ยังไง ยังไงเราก็เพื่อนร่วมวงการเดียวกัน”

ว่าแล้วดาราสาวก็ก้าวลงบันไดมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังแปลกใจไม่หายที่ได้เห็นน้ำใจของคนที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อนดังเช่นเธอผู้นี้ ผู้ที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย

“ไปสิ จะได้รีบไปรีบกลับ เอ หรือจะโทร.ไปขอให้คุณดลส่งคนไปเป็นเพื่อนเราดีล่ะ”เอื้องลดาแนะ

“อย่าเลย รีนาเกรงใจเขา เมื่อครู่คุณนัยก็เพิ่งมาส่งรีนาที่นี่ จริงๆคุณเอื้องไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ รีนาไปคนเดียวได้”

ทว่าเอื้องลดากลับสั่นหน้า “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

หญิงสาวทั้งสองเดินมาจนถึงประตูเล็กซึ่งล็อกกลอนเอาไว้จากด้านใน เอื้องลดาจึงเป็นผู้เปิดมันแล้วก้าวออกไปก่อน

ประตูปิดลง จึงเป็นการบดบังรัศมีของแสงไฟนีออนตามไปด้วย โชคดีที่คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างฟ้า การเดินไปตามทางอันมืดสลัวจึงไม่ลำบากมากนัก ทว่าสองสาวก็พยายามก้าวเร็วๆด้วยความระมัดระวัง

“ริมแม่น้ำแบบนี้อากาศเย็นสบายดีจังนะ”เอรินาชวนคุย

“ใช่จ้ะ บรรยากาศกลางคืนนี่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ว่าเป็นประสาทหู ตา จมูก ต่างก็ได้รับสัมผัสเท่าเทียมกัน หูได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกและแมลงกลางคืน ตามองเห็นภาพใต้แสงจันทร์สีเงิน จมูกได้กลิ่นดอกเอื้องคำหอมกรุ่นลอยมาตามลม”เอื้องลดาต่ออย่างเคลิ้มๆ

นางแบบสาวพยักหน้า “แต่ความมืดก็น่ากลัวนะคุณเอื้อง”

“น่ากลัวและน่าค้นหาไปพร้อมๆกันแหละ”เอื้องลดาตอบตามทัศนคติ ปล่อยสายตาทอดมองไปยังทางโค้งเบื้องหน้าซึ่งมีกอไผ่กอใหญ่เป็นสัญลักษณ์ แล้วความร้อนผ่าวบริเวณโคนนิ้วก้อยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก้มหน้าลงมองแหวนในมือซึ่งบัดนี้เปล่งประกายวูบวาบสว่างไสว เธอจึงรีบซุกมือลงในกระเป๋ากางเกงเนื่องจากเกรงว่าเอรินาจะถามในสิ่งที่เธอเองก็ตอบไม่ได้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 08 ม.ค. 2014 10:52 pm

มีการปรับตัวละครบางตัว และรายละเอียดบางอย่างตั้งแต่บทนี้ไปนะคะ (จริงๆแก้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ขออนุญาตไม่โพสต์ใหม่เพราะมันเยอะมาก)

บทที่ ๑๐


แสงสีแดงเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเลื่อนลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว ภายในพิงครัตน์รีสอร์ตจึงมีแสงสีนวลจากโคมไฟสนามเข้ามาแทนที่ สายลมเย็นพัดมาไหวๆ เงากิ่งไม้จึงไหวพะเยิบพะยาบตามแรงลม ครู่ใหญ่จึงมีเงาสะท้อนร่างมนุษย์ทาบทับบนทางเดินปูด้วยอิฐถึงสองเงาเคียงกัน ร่างนั้นเคลื่อนไปยังบ้านพักหลังหนึ่งซึ่งปลูกสร้างอยู่ริมฝายน้ำเล็กๆและมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งลดหลั่นไปตามชั้นของโขดหินอย่างสวยงามลงตัว
“ผมส่งแค่นี้นะฮะ”นัยภาคบอกหลังจากเดินตามหญิงสาวมาจนถึงที่พักของเธอ

เอรินาหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มพร้อมทั้งคลี่ยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงเรียบ “ขอบคุณมากนะคะคุณนัยที่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนรีนา”

เขายิ้มตอบ ใบหน้าขาวดูงคมสันดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่างๆผมจะพาคุณรีนาไปขับรถชมวิวเมืองเชียงใหม่บ้าง”

“สัญญาแล้วนะคะ จะมาบิดพลิ้วทีหลังไม่ได้นะคุณนัย”

คนถูกรวบรัดหัวเราะชอบใจ เขาคงยินดีมาก ถ้าเธอจะรวบรัดเช่นนี้บ่อยๆ “ครับ ถ้าผิดสัญญาผมยินดีให้ปรับ สำหรับคืนนี้ฝันดีนะครับ”

“ค่ะ ขอให้คุณนัยฝันดีเหมือนกันนะคะ” เธอยกมือขวาขึ้นโบกไปมาแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินขึ้นบันไดเที่ยๆเข้าไปในบ้านพักซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความสว่างไสวจากดวงไฟที่เธอเพิ่งกดเปิดสวิตซ์

ร่างบางเอนลงบนที่นอนซึ่งยังปูผ้าคลุมเตียงเอาไว้ก่อนจะกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูละครช่วงเย็นซึ่งกำลังประคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง นางแบบสาวส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย เธอชอบละครคลาสสิกมากกว่าแนวแรงๆจึงกดรีโมตปิดเพื่อให้ภายในห้องอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง เงียบเสียจนได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนที่เดินอยู่บนถนนด้านล่างซึ่งเธอจำได้ว่าเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงของนทีดล

ความอยากรู้ทำให้นางแบบสาวลุกขึ้นจากที่นอน แง้มหน้าต่างไม้ออกดูจึงพบว่านทีดลและนาถนรีกำลังเดินไปส่งเอื้องลดาที่บ้านพักซึ่งอยู่ถัดจากบ้านพักของเธอไปอีกสามหลัง

ด้วยความห่วงเพื่อนเอรินาจึงล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทร.ไปเล่าให้เมรินฟัง ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า เธอจึงหันรีหันขวางเดินไปดูยังจุดที่คิดว่าน่าจะวางโทรศัพท์มือถือราคาแพงของตนเอาไว้ สำหรับนางแบบสาวแล้วโทรศัพท์เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ใช้เล่นอินเทอร์เน็ต เล่มเกมเครียดคลาย เป็นที่เซฟข้อมูลนัดหมาย และที่สำคัญเป็นสื่อกลางสำหรับติดต่องาน

แล้วเธอจะลืมทิ้งไว้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่ไปเดินเล่นเธอยังถือมันติดมือไปด้วยเลยนี่นา

ฉุกคิดมาถึงจุดนี้คิ้วเรียวได้รูปก็ขมวดมุ่น ‘ตายแล้ว เธอลืมโทรศัพท์เอาไว้บนพื้นตอนที่จุดธูปไหว้กู่เก่าในโบราณสถาน หากปล่อยทิ้งแล้วไว้เกิดฝนตกเล่า หรือถ้าพรุ่งนี้เช้ามีใครมาพบมันก่อนเธอเล่า จะทำอย่างไรดี’

คิดดังนั้นนางแบบสาวจึงตัดสินใจหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋าเดินทาง ใจอยากจะขอร้องให้มาริสาหรือเมรินไปเป็นเพื่อนอยู่หรอก แต่สองคนนั้นออกไปเดินห้างตั้งแต่หัวค่ำแล้วป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา ‘เฮ้อ!อย่าไปกลัวความมืดเลยเอรินา เธอก็แค่รีบเดินจ้ำๆไปที่โบราณสถานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกลับมาเท่านั้นเอง’

เมื่อไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านั้น สาวลูกครึ่งจึงเปิดประตูห้องพักเดินลิ่วๆลงไปด้านล่าง ก้าวไปตามทางเดินซึ่งเวลานี้มองเห็นเป็นสีเหลืองอมส้มตามสีของแสงจากโคมไฟสนาม

“นั่นคุณรีนาหรือเปล่า” เสียงร้องถามดังขึ้นขณะที่เธอเดินมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง

เอรินาหันขวับไปตามเสียงเรียกและพบว่าผู้ที่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านพักคือเอื้องลดา

“จะไปไหนมืดค่ำคะ”เอื้องลดาลุกจากเก้าอี้เดินมาเกาะราวระเบียงพร้อมทั้งชะโงกหน้าถาม

ด้วยความที่ไม่ใช่คนเจ้าทิฐิสาวลูกครึ่งจึงตอบไปตามจริง “รีนาลืมโทรศัพท์ไว้ที่กู่เก่าน่ะ ว่าจะกลับไปเอา”

เอื้องลดาอ้าปากค้าง เป็นครู่จึงแสดงความเห็น “แต่มันมืดค่ำแล้วนะ ถึงคืนนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงก็เถอะ ยังไงการเดินในที่มืดๆแบบนั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ทำไงได้ล่ะ รีนาต้องใช้มันติดต่องาน แล้วพรุ่งนี้ก็มีเดินแบบด้วย ถ้าไม่รีบกลับไปเอาก็คงติดต่องานลำบาก รีนาไม่อยากเสียชื่อเพราะผิดคำพูด มันดูไม่ดี”

คนฟังพยักหน้าแล้วจึงเสนอตัว “งั้นเดี๋ยวเอื้องไปเป็นเพื่อนเอง”

เอรินาขมวดคิ้ว ย้อนถาม “จริงเหรอ”

เอื้องลดาหัวเราะ “จริงสิ จะปล่อยให้คุณไปคนเดียวได้ยังไง ยังไงเราก็เพื่อนร่วมวงการเดียวกัน”

ว่าแล้วดาราสาวก็ก้าวลงบันไดมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังแปลกใจไม่หายที่ได้เห็นน้ำใจของคนที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อนดังเช่นเธอผู้นี้ ผู้ที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย

“ไปสิ จะได้รีบไปรีบกลับ เอ หรือจะโทร.ไปขอให้คุณดลส่งคนไปเป็นเพื่อนเราดีล่ะ”เอื้องลดาแนะ

“อย่าเลย รีนาเกรงใจเขา เมื่อครู่คุณนัยก็เพิ่งมาส่งรีนาที่นี่ จริงๆคุณเอื้องไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ รีนาไปคนเดียวได้”

ทว่าเอื้องลดากลับสั่นหน้า “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

หญิงสาวทั้งสองเดินมาจนถึงประตูเล็กซึ่งล็อกกลอนเอาไว้จากด้านใน เอื้องลดาจึงเป็นผู้เปิดมันแล้วก้าวออกไปก่อน

ประตูปิดลง จึงเป็นการบดบังรัศมีของแสงไฟนีออนตามไปด้วย โชคดีที่คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างฟ้า การเดินไปตามทางอันมืดสลัวจึงไม่ลำบากมากนัก ทว่าสองสาวก็พยายามก้าวเร็วๆด้วยความระมัดระวัง

“ริมแม่น้ำแบบนี้อากาศเย็นสบายดีจังนะ”เอรินาชวนคุย

“ใช่จ้ะ บรรยากาศกลางคืนนี่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ว่าเป็นประสาทหู ตา จมูก ต่างก็ได้รับสัมผัสเท่าเทียมกัน หูได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกและแมลงกลางคืน ตามองเห็นภาพใต้แสงจันทร์สีเงิน จมูกได้กลิ่นดอกเอื้องคำหอมกรุ่นลอยมาตามลม”เอื้องลดาต่ออย่างเคลิ้มๆ

นางแบบสาวพยักหน้า “แต่ความมืดก็น่ากลัวนะคุณเอื้อง”

“น่ากลัวและน่าค้นหาไปพร้อมๆกันแหละ”เอื้องลดาตอบตามทัศนคติ ปล่อยสายตาทอดมองไปยังทางโค้งเบื้องหน้าซึ่งมีกอไผ่กอใหญ่เป็นสัญลักษณ์ แล้วความร้อนผ่าวบริเวณโคนนิ้วก้อยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก้มหน้าลงมองแหวนในมือซึ่งบัดนี้เปล่งประกายวูบวาบสว่างไสว เธอจึงรีบซุกมือลงในกระเป๋ากางเกงเนื่องจากเกรงว่าเอรินาจะถามในสิ่งที่เธอเองก็ตอบไม่ได้
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 08 ม.ค. 2014 10:53 pm

“อ้ายหมากแก้วรีบไปห้ามน้าเอื้องบ่ให้เข้าเขตเมือง”เสียงเล็กๆของหมากคำรัวเร็ว เครือสั่นด้วยความห่วงใยผู้เป็นน้าในอดีตชาติของตน

“หากว่าเฮาไปปรากฏตัวต่อหน้าน้าเอื้องยามนี้ น้าเอื้องก็อาจจะตกใจและที่สำคัญแม่ญิงที่มาโตยก็คงหวาดผวาเป็นแน่”หมากแก้วค้าน

หมากคำเดินจ้ำอ้าวไปยืนด้านหน้าพี่ชายแล้วยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมทั้งทำหน้าตาเคร่งเครียด “แล้วจักทำอย่างไร น้องกลัวน้าเอื้องจักเป็นอันตรายจากคนร้ายที่มาด้อมๆมองๆอยู่”

หมากแก้วเกาหัวแกรก “หรือว่าเฮาจักไปขัดขวางโดยที่บ่ให้ไผเห็นตัว”

“น้องว่าเฮาไปจัดการหลอกคนร้ายสองคนนั้นให้หนีไปดีกว่าเจ้า”หมากคำวางแผน

ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้าพลางคว้าข้อมือเล็กๆของน้องสาวทันใด“อย่างนั้นก็ไปจัดการได้ละ”

“หยุดเลย หมากแก้ว หมากคำ”เสียงของพ่อปู่ดังขึ้น สองพี่น้องจึงชะงัก

หมากคำทำหน้าละห้อยเดินเข้าไปหาผู้เป็นปู่และแหงนหน้าคอตั้งบ่า “มีคนร้ายจักเข้ามาลักสมบัติในเขตเมืองเฮาเจ้า น้าเอื้องก็กำลังมา หมากคำกลัวว่ามันจักทำร้ายน้าเอื้องเจ้า”

“หากเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าคนเหล่านั้นมีเวรกรรมต่อกัน อย่างใดก็หนีเวรกรรมบ่พ้นดอก”

“น้าเอื้องเป็นคนดี จะใดต้องมีเวรกรรมโตยเล่าพ่อปู่”หมากแก้วถามบ้าง

พ่อปู่อินถาวางมือลงบนศีรษะจ้อยพลางอธิบายใจอย่างใจเย็น “เวรกรรมเป็นเสมือนเงาของเฮาทุกคน คนเฮาเกิดมาหลายภพหลายชาติ สร้างกรรมสร้างเวรเอาไว้ ทั้งที่เฮารู้ตัวและบ่รู้ตัว แต่กรรมนั้นก็จะต้องโตยมาทันสักวันหนึ่ง”

“แต่น้าเอื้องทำความดีเอาไว้นัก จะใดผลบุญบ่ช่วยเล่า”หมากคำถามเสียงขึ้นจมูก

พ่อปู่อินถาจึงจูงมือเล็กๆนั้นให้เดินตามไปอย่างช้าๆ “บุญก็คือบุญ กรรมก็คือกรรม บุญก็จักเสริมสร้างบารมีให้เฮาไปตางหน้า ส่วนกรรมนั้นเฮาก็ต้องชดใช้ บุญกรรมอยู่คนละส่วน บ่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นเมื่อสิ่งใดจะเกิด เฮาก็บ่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตาชีวิตของน้าเจ้าเต๊อะ เวลานี้เจ้าสองตนปิ๊กคุ้มได้ละ”

“เจ้า”เสียงเล็กๆสองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ทว่าหมากแก้วและหมากคำก็ยังไม่วายมองตามร่างระหงของเอื้องลดาไปด้วยความเป็นห่วง


เงาตะคุ่มสองเงากำลังหันรีหันขวางอยู่ข้างๆกู่โบราณคล้ายกับกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ชั่วครู่ชายผู้มีรูปร่างท้วมเตี้ยจึงบ่นพึมพำ “เสี่ยจะรีบให้เรามาดูทำไมวะไอ้ชาติ วันสงกรานต์อยู่แท้ๆแทนที่จะให้เราได้พัก”

“เสี่ยบอกว่าพ่อหมอก๋องคำมาทำพิธีข่มเทวาอารักษ์ของที่นี่แล้วก็ต้องรีบขุดก่อนที่เขาจะทำพิธีส่งเคราะห์กันในวันที่ 16 มิเช่นนั้นจักทำให้เคราะห์ร้ายต่างๆตกมาอยู่กับพวกเรา”ชายร่างผอมเกร็งนามว่าสุชาติหันไปตอบ

“แล้วเสี่ยจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่นี่มีสมบัติอยู่จริงๆ”ชายร่างใหญ่ยังคงสงสัย

“ข้าเคยได้ยินมาว่ากรุพระที่นี่เคยแตกถึงสองกรุ คนสมัยก่อนเขาได้พระเก่าๆแล้วก็ของเก่าไปเยอะแยะ ของบางอย่างมีค่ามากด้วย ส่วนเราถ้าได้ของดีก็อาจจะไม่ส่งให้เสี่ยทั้งหมดก็ได้นี่ เพราะสิ่งที่เสี่ยต้องการคือพระพุทธรูปทองคำนั่นอย่างเดียว อย่างอื่นก็แค่ผลพลอยได้”อาคมตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
สุชาติหัวเราะหึๆแล้วจึงชะงัก “เฮ้ย!ใครถือไฟฉายมานั่นวะ”

“หลบไปข้างหลังกู่ก่อน เร็ว ไอ้ชาติ”ว่าแล้วอาคมก็วิ่งนำไปด้วยความเร่งรีบ

แสงไฟฉายผนวกกับแสงจันทร์ส่องให้ชายกลางคนซึ่งหลบอยู่หลังกู่โบราณมองเห็นหญิงสาวสองคนเดินเคียงคู่กันมาได้อย่างชัดเจน

“ผู้หญิงนี่หว่าไอ้คม ท่าทางจะสวยด้วย ดูหุ่นสิ เชียะเชียว ถ้ากูได้เป็นเมียนะ จะไม่ลืมพระคุณเลย เสียดายที่เห็นหน้าไม่ชัด”

อาคมฟังแล้วทำหน้าเคร่ง ค้านขึ้นอย่างขลาดๆ “ผีหรือเปล่าวะไอ้ชาติ ในเมืองเก่าแบบนี้มึงอย่าไว้ใจ ไม่ใช่พอเดินเข้าไปใกล้จริงๆมันอาจจะปลิ้นตา ล้วงไส้ให้ดูก็ได้นะเว้ย”

“ผีอะไรจะแต่งตัวแบบนี้วะ ผีก็ต้องใส่ชุดไทยสิ”

อาคมซัดมือผัวะลงกลางหลังเพื่อน “ผียุคนี้ไงวะ ไอ้นี่โง่ไปได้ ผีมันก็คงทันสมัยเป็นเหมือนกันแหละ”

“แล้วถ้ามันไม่ใช้ผีล่ะวะไอ้คม”สุชาติย้อนถาม

อาคมยกมือขึ้นลูบปาก “ถ้าไม่ใช่ผีก็จัดการเลยสิวะ จะปล่อยไว้ทำซากอะไร”

สุชาติยิ้มกริ่มแล้วจึงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตนเองก่อนปรามเพื่อน “งั้นเงียบฟังก่อน ว่านังสองคนนั่นมันพูดอะไรกัน ถ้าเกิดมันมีผู้ชายตามมาเราจะซวยเอา”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » พุธ 08 ม.ค. 2014 10:55 pm

เมื่อแสงไฟฉายกราดไปบนพื้นหญ้าด้านหน้ากู่โบราณไม่ถึงนาที เอรินาก็อุทานขึ้นเสียงดังลั่น “เจอแล้วคุณเอื้อง”

“ไหน อ้อ อยู่นั่นเอง”เอื้องลดามองตามนิ้วชี้ของนางแบบสาวพลางยิ้มด้วยความยินดี

เอรินาย่อตัวลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะลุกขึ้นบอกกลั้วหัวเราะ “ดีใจที่สุดเลย ไม่งั้นคงติดต่อกับผู้จัดงานพรุ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ”

“ดีใจด้วยนะ ได้ของแล้วเรารีบกลับกันเถอะ”

“จ้ะ”เอรินาก้าวเดินเข้าไปหาเอื้องลดา พลันสายตาของเธอก็มองเห็นแสงสว่างวาบขึ้นที่กำแพงเมืองทางทิศใต้ติดประตูทางเข้าโบราณสถาน หญิงสาวจึงอุทานขึ้น “อุ๊ย!นั่นแสงอะไรกันคุณเอื้อง”

นางเอกสาวมองตาม “ไม่รู้เหมือนกัน เอ๊ะ! เสียงอะไร”

เสียงสวบสาบที่ดังมาจากด้านหลัง เป็นเหตุให้เอื้องลดารีบหันขวับกลับไปดู แล้วจึงพบว่ามีชายสองคนกำลังพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเธอ เอื้องลดาจึงผลักเพื่อนให้หลบพลางร้องบอก “คุณรีนาระวัง มีคนร้าย”

เอรินาร้องกรี๊ดพลันวิ่งไปข้างหน้าจนสุดฝีเท้า

ทว่าเจ้าวายร้ายไวกว่า มันวิ่งตามมาทันและกระโดดเข้าล็อกคอเธอจากทางด้านหลัง เอรินาร้องลั่น คว้าแขนล่ำขึ้นมากัดสุดแรง มันดิ้นพล่านและผลักเธอออกจากวงแขนตามสัญชาตญาณ เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการแล้วนางแบบสาวจึงหลับหูหลับตาวิ่นหนีไปให้เร็วที่สุด

“เก่งนักนะอีคนสวย”อาคมตะโกนลั่น ความโกรธพุ่งวาบเข้าสู่หัวใจ พร้อมกับความเจ็บแสบบริเวณแขนขวาที่ทำให้มันเร่งฝีเท้าไล่ตามร่างสะคราญอย่างมาดหมาย

แต่เมื่อพ้นโค้งทางเข้าโบราณสถานมาแล้ว ทุกอย่างพลันนิ่งสนิท ดวงตาเรียวยิบหยีของมันมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆของอีกฝ่าย จึงตะโกนขู่ “ออกมาเสียดีๆนังคนสวย ไม่งั้นเพื่อนของมึงโดนรุมโทรมแน่”

น้ำเสียงแหบๆอันดังก้องหูทำให้จิตใจของนางแบบสาวไหววูบ

เอื้องลดาตามมาเพราะความห่วงใยเธอและด้วยมิตรภาพที่หาได้ยากนักจากเพื่อนใหม่ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกันด้วยซ้ำ แล้วเธอจะปล่อยให้เพื่อนถูกทำร้ายเพียงลำพังได้อย่างไร

คิดดังนั้นร่างระหงก็ผุดลุกขึ้น แต่แล้วโทรศัพท์ในมือที่เธอกำไว้จนเหงื่อชื้นก็ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เธอจะต้องตั้งสติและหาวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากการตัดสินใจในวันนี้ทำได้ครั้งเดียวและเป็นเรื่องที่เสี่ยงถึงชีวิต

เอาล่ะ เธอจะต้องออกไปช่วยเอื้องลดา แต่จะต้องแจ้งข่าวนี้กับนทีดลเสียก่อน

มือเรียวสั่นของหญิงสาวรีบยัดโทรศัพท์เอาไว้ในเสื้อเพื่อป้องกันแสงจากโทรศัพท์จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนหลบอยู่ที่ใด จากนั้นจึงกดส่งข้อความถึงชายหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตด้วยใจที่มุ่งหวังและภาวนาว่าเขาจะต้องได้รับสารจากเธอทันท่วงที

เสร็จเรียบร้อยแล้วนางแบบสาวก็ลุกขึ้นยืนพลางยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง

เธอชะโงกหน้าออกไปมองหาเจ้าวายร้ายจนมั่นใจว่ามันไม่อยู่แล้วจึงวิ่งกลับไปยังจุดเกิดเหตุ โดยหลบอยู่หลังกำแพงเมืองที่มีความสูงระดับเอวเพื่อดูลาดเลา
เวลานี้เอื้องลดาเองก็เงียบไป มีเพียงเจ้าสองคนนั่นเดินขวักไขว่ตามหาตัวเธอทั้งสองอยู่

อา...เอื้องลดาขอให้เธอปลอดภัยด้วยเถอะ

แต่แล้วโชคกลับเข้าข้างพวกมันเสียนี่ เมื่ออีกราว 5 นาทีเจ้าสุชาติก็หัวเราะดังลั่น “นั่นไง น้องสาวคนสวยอยู่นั่น ไอ้คมมึงเห็นไหม สงสัยน้องเขากลัวเจ็บหลังว่ะมึง ถึงได้เลือกมีความสุขกับพวกเราในพงหญ้า”

ว่าแล้วเสียงหัวเราะแหบพร่า หื่นกระหายของมันก็ดังขึ้นพร้อมกัน

เอื้องลดาตัวสั่นเทาอยู่ในพงหญ้า ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดโดยใช้จิตวิทยาหรือมองเห็นว่าเธออยู่ตรงนี้จริงๆ แต่หญิงสาวก็ยังพยายามรวบรวมสติให้นิ่ง คอยเป็นผู้ตั้งรับและประวิงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด

ตาของเธอมองตรงไปยังร่างของมันทั้งคู่ แม้จิตใจกำลังระส่ำ มือไม้เย็นเฉียบ แต่ดาราสาวก็ตั้งใจว่าจะต่อสู้จนสุดชีวิต ไม่มีวันที่เธอจะยอมตกเป็นทาสอารมณ์ของคนจิตใจหยาบช้าคู่นี้เป็นอันขาด

------------------------------------------------------

ร่างสูงเต็มไปด้วยมัดกล้ามซึ่งบัดนี้มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ตามลำตัวชะงักงันหลังเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำแล้วได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่วางอยู่หัวเตียง เขาจึงรีบก้าวลิ่วๆไปหยิบมันขึ้นมากดดู

แล้วชายหนุ่มก็ต้องพบกับความตกตะลึงหลังกวาดตามองตัวอักษรที่ปรากฏบนจอจนครบทุกตัวแล้ว

‘เรากำลังหนีคนร้ายอยู่ในโบราณสถาน ช่วยด้วย’

โดยไม่ต้องคิด นทีดลรีบดึงผ้าเช็ดตัวที่พันตัวออก รีบเร่งสวมเสื้อผ้าวิ่งลงจากบ้านไปขึ้นรถแล้วขับอ้อมออกไปทางประตูรีสอร์ตเพื่อให้ถึงด้านหน้าโบราณสถานโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้เขาก็ไม่ลืมที่จะกดโทรศัพท์ตามนัยภาค “นัย รีบลงมายืนรอพี่ที่หน้าบ้านพัก คุณรีนากำลังตกอยู่ในอันตราย อย่าลืมเอาปืนมาด้วยนะ”
เมื่อปลายสายรับคำ ชายหนุ่มจึงวางโทรศัพท์ลงบนเบาะรถข้างๆก่อนจะเหยียบคันเร่งให้ถึงยังจุดหมายพลางภาวนาให้หญิงสาวรอดพ้นจากภยันตราย “พยายามเอาตัวรอดรอผมกับนัยนะคุณรีนา”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:15 am

1000284_10151504192051094_1976558965_n.jpg
1000284_10151504192051094_1976558965_n.jpg (71.14 KiB) เปิดดู 7243 ครั้ง


บทที่๑๑



ปลีน่องป้อมๆของอาคมหยุดอยู่ห่างจากหญิงสาวไม่ถึง 3 เมตร เอื้องลดากัดริมฝีปากตนเองเบาๆเพื่อระงับความตื่นเต้น มันสองคนกำลังเดินดุ่มเข้ามาอย่างระมัดระวัง ขณะที่เธอใช้สองมือจิกกอหญ้าเอาไว้ไม่ยอมขยับเขยื้อนและพยายามคุมสติของตนให้นิ่งอย่างที่สุด

แสงไฟฉายกราดมาจุดที่เธอหมอบอยู่ มันคงเห็นเธอแล้ว หนึ่งในสองจึงพุ่งตัวเข้ามาหา

“กรี๊ด!”เอื้องลดาหวีดร้องสุดเสียงพลางพลิกตัวหลบ ก่อนดีดตัวลุกขึ้น วิ่งออกไปทางหน้าโบราณสถานอย่างไม่คิดชีวิต

ตึก...ตัก...เสียงฝีเท้าของมันก็ตามมาติดๆเช่นเดียวกัน

อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงประตูโบราณสถานแล้ว ดาราสาวพยายามปลอบตนเอง ทั้งที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ

“ไอ้ชาติกระโดดเข้าไปรวบตัวมันไว้สิ ไอ้โง่”อาคมตะโกนมาจากด้านหลัง ตัวมันเองมัวแต่ล้มลุกคลุกคลานจึงวิ่งอยู่รั้งท้าย

สุชาติรีบทำตามเพื่อนบอก ด้วยการพุ่งตัวเข้ารัดรึงร่างสะคราญเอาไว้ พลางซุกไซ้ใบหน้าลงบนแผ่นหลังของเธอเพื่อดับความหื่นกระหาย

เอื้องลดากลั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ในใจ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายหนึ่งเผลอ หมุนตัวกลับไปกระแทกเข่าใส่กล่องดวงใจของสุชาติเต็มรัก

“อ๊าก...”มันร้องลั่น งอตัว กุมหว่างขาตนเองเอาไว้แน่น

เมื่อหลุดออกมาจากอ้อมแขนอันน่ารังเกียจแล้ว เอื้องลดาจึงรีบวิ่งต่อไปยังประตูทางออกซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ลำแสงสีทองสว่างโร่ขึ้นมาจากกำแพงเมืองใกล้กับจุดที่เธอกำลังจะวิ่งไปถึง ส่งผลให้หญิงสาวตาพร่า และโดยไม่คาดคิด หลังเบี่ยงตัวหลบเท้าของเธอก็กลับพลาดไปเหยียบก้อนหินก้อนใหญ่แล้วลื่นล้มหงายหลังลงไปยังบริเวณที่เป็นต้นกำเนิดลำแสงสว่างจ้านั้น

โครม!...

“เอื้อง”เอรินากรีดร้องและลุกพรวดขึ้นยืนพร้อมกับถือขอนไม้เอาไว้ในมือ

เธอยืนจังก้าอยู่ข้างกำแพงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนพร้อมที่จะปกป้องร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าเสมอ “อย่าทำอะไรเพื่อนฉันนะ”

สองวายร้ายต่างพากันหัวเราะ ขำท่าทีลืมตายของนางแบบสาวสวย ครู่ใหญ่สุชาติจึงเอ่ยเยาะ “สุดท้ายแกสองคนก็หนีไม่รอดนะอีคนสวย”

อารีนาถอยกรูดไปตั้งหลักขณะที่มันย่างสามขุมเข้ามาหา เธอสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่ก่อนยกท่อนไม้ขึ้นสุดลำแขน

ปี๊บ...ปี๊บ...

เสียงแตรรถดังยาวพร้อมกับแสงไฟสว่างจ้า ทำให้สองโจรเริ่มเกิดความตระหนกจนต้องหันมองหน้ากันเลิกลัก

“เอาไงดีวะไอ้คม”

“ก็หนีสิวะ เกิดเป็นตำรวจจะทำยังไง”ว่าแล้วอาคมจึงหันหลังเผ่นแผล็วออกไปก่อน

สุชาติเห็นท่าไม่ดีก็วิ่งหนีตามไปบ้าง นทีดลและนัยภาคที่วิ่งลงมาจากรถจึงเพียงแค่เห็นหลังมันไวๆเท่านั้น

เมื่อรู้ตัวว่าปลอดภัยแล้ว เอรินาก็ถึงกับเข่าอ่อนจะทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เคราะห์ดีที่นัยภาคโผเข้าไปรับร่างของเธอไว้ทันและกอดประคองให้หายจากอาการตกใจ เห็นดังนั้นนทีดลจึงเป็นฝ่ายวิ่งตามคนร้ายไปเพียงลำพัง

นางแบบสาวถอนตัวจากอ้อมกอดของนัยภาคและร้องห้าม “คุณดลช่วยเอื้องก่อนเถอะค่ะ เอื้องล้มหัวฟาดพื้น”

สิ้นคำของหญิงสาว นทีดลจึงหมุนตัวกลับมามอง ครั้นเห็นจริงตามที่อีกฝ่ายบอก เขาก็เปลี่ยนใจรีบวิ่งหน้าตื่นเข้าไปช้อนร่างแน่นิ่งของเอื้องลดาเอาไว้ในวงแขน พลางออกคำสั่ง “นัยเอารถออกเร็ว”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:16 am

เอื้องลดาได้ยินเสียงศีรษะของตนฟาดพื้นดังกึกแล้วสติของเธอจึงดับวูบลง มารู้ตัวอีกทีเมื่อรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วสรรพางค์ ครั้นลืมตาขึ้นก็พบว่ารอบกายเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าทำให้แสบตาจนน้ำตาไหล เธอจึงหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากนั้นรอบตัวของหญิงสาวก็หมุนคว้างคล้ายเธอนั่งอยู่บนลูกข่าง หมุนติ้วอยู่หลายนาทีทุกอย่างจึงสงบนิ่งลง ก่อนที่ร่างกายของเธอจะถูกแรงดึงดูดมหาศาลฉุดกระชากให้ลอยละล่องผ่านชั้นบรรยากาศอันร้อนระอุและเย็นยะเยือกสลับกันไปเช่นนี้หลายครั้ง แล้วเอื้องลดาจึงหล่นตุบลงไปบนผืนหญ้าที่ไหนสักแห่ง

หลังลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่เป็นครู่อากาศรอบตัวหญิงสาวก็เริ่มดีขึ้น เธอจึงสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วยันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่า หันมองทัศนียภาพรอบๆตัว

ที่นี่ช่างคล้ายโบราณสถานสะหลีคำเสียจริง จะต่างก็ตรงที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นมากกว่าเท่านั้น

หญิงสาวขยับตัวลุกยืนขึ้นชะเง้อชะแง้มองไปรอบด้าน แล้วมุ่นคิ้ว ที่นี่คล้ายแต่ก็ไม่เหมือนเมืองเก่าที่เธอเคยเห็นจนเจนตา ดูแต่กำแพงเมืองนั่นเถอะที่สูงจนท่วมหัวต่างจากเมืองเก่าสะหลีคำที่เหลือกำแพงสูงเพียงแค่เอว ยกเว้นกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกที่มีเพียงแนวเตี้ยๆประมาณเข่าเท่านั้น

ครั้นมองเลยดงไม้และกอไผ่ออกไปจะมีเรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่เป็นประธานแล้วยังมีเรือนหลังเล็กๆรายรอบอยู่อีกหลายหลัง ผิดกับเมืองเก่าสะหลีคำซึ่งไม่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เลย ใกล้สุดก็เป็นสวนสาธารณะและถนนสายหลักทอดยาวไปทางทิศใต้

แล้วที่นี่คือที่ใดกันล่ะ...

หญิงสาวเดินไปสังเกตไปอย่างช้าๆแต่กลับรู้สึกว่าการก้าวย่างของตนนั้นช่างลำบากลำบนนัก ทั้งๆที่เธอสวมเดรสสั้นมาแท้ๆ

เอ๊ะ เดรสสั้นอย่างนั้นรึ เอื้องลดาถามย้ำกับตนเองพร้อมทั้งก้มลงมองอย่างพินิจ

คุณพระช่วย เหตุใดเวลานี้เธอจึงอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีเหลืองนวลแขนยาวและนุ่งผ้าซิ่นสีน้ำเงินเข้มไปได้เล่า

หรือเธอกำลังถ่ายละคร...

ไม่จริง การถ่ายทำเสร็จสิ้นลงตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วนี่และเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วด้วย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอกำลังฝัน คิดพลางมือเรียวก็หยิกหมับเข้าที่แขนของตน ความเจ็บแปลบที่เกิดจึงทำให้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาแห่งความจริง ทว่าสิ่งที่ตอบไม่ได้เลยก็คือ เธอมาโผล่ที่นี่ ในเครื่องแต่งกายเช่นนี้ได้อย่างไร

ขณะที่คิด โคนนิ้วเรียวของเธอก็เกิดร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน โดยไม่ต้องยกขึ้นมาดู เอื้องลดาก็รู้ว่าเวลานี้แหวนนาคคงกำลังเปล่งรัศมีวูบวาบเหมือนที่เคยผ่านๆมา แต่ช่างเถอะ สิ่งที่ควรกังวลยามนี้คือ มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

‘เธอจะถามใครได้บ้างนะ’คิดพลางจึงหมุนตัวกลับเผื่อว่าจะมีใครอยู่แถวนี้บ้าง

แล้วร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันของใครบางคนก็ทำให้เธอต้องชะงัก

เขาผู้นั้นเป็นชายผิวขาวจัด ใบหน้าคมสัน ประกอบด้วย ดวงตาเรียวคมค่อนข้างดุ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากสีสดที่แย้มน้อยๆยามมองมา

เธอไม่เคยรู้จักเขา แต่เหตุใดยามมองชายแปลกหน้าผู้นี้จึงมีภาพของนทีดลทับซ้อนอยู่ หรือจะเป็นเพราะอภินิหารของแหวนนาค แล้วชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาจับตาผู้นี้เกี่ยวอะไรกับนทีดลกันล่ะ

“ขอโทษค่ะคุณ ฉันกำลังหลงทาง ช่วยบอกทีเถอะว่าที่นี่ที่ไหน”หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิดก่อนจะถามด้วยความหวัง

ดวงตาเรียวคมคู่นั้นคล้ายจะเบิกออกนิดๆประหนึ่งว่ากำลังตกใจหรือแปลกใจอะไรบางอย่าง หากเขาก็ยังยืนนิ่ง มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนประดุจเดิม “ถูกทำร้ายครั้งนี้ทำให้น้องจำเรื่องของตนเองบ่ได้เลยกา”

คิ้วเรียวงามขยับเข้าหากันจนเกือบชิดขณะย้อนถาม “ใช่ค่ะ ฉันถูกทำร้าย แล้วคนพวกนั้นหายไปไหน รีนาล่ะคะ คุณเห็นรีนาหรือเปล่า เธอปลอดภัยไหม”

ดวงตาคมเปล่งประกายระยับ ยามที่มุมปากสีสดนั้นกระตุกขึ้นยิ้มเหมือนเขากำลังขำ “นี่น้องอู้ถึงสิ่งใดกันเอื้องนวล เอรินาคือไผ อ้ายถามถึงที่เจ้าจอมส่งคนมาทำร้ายน้องต่างหาก”

เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาหญิงสาวงงบ้างแล้ว เจ้าจอมไหนเธอไม่รู้จัก ตานี่พูดอะไรกันนะ เจ้าจงเจ้าจอมอะไร สมัยนี้ยังมีเจ้าจอมอยู่อีกหรือ หรือเขาจะสติไม่สมประกอบ

เอื้องลดากะพริบตาปริบ ก่อนจะเหลือบมองชายร่างสง่าอย่างพินิจ

จริงด้วย เขาแต่งเนื้อแต่งตัวไม่เหมือนคนทั่วไป ดูเอาเถอะเสื้อแสงปักดิ้นทองแพรวพราว แถมนุ่งผ้าหยักรั้งและมีเครื่องประดับบนศีรษะราวกับจะไปเล่นลิเก น่าเสียดายจริงๆ ถ้าผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้จะเป็นบ้า

เฮ้อ! ถ้าคิดเองเออเองดังที่เป็นอยู่ก็คงจะไม่กระจ่างสักที เอาล่ะ ถามเลยตรงๆเลยก็แล้วกัน

“แล้วนี่คุณเป็นใคร ทำไมแต่งตัวแบบนี้คะ จะไปไหนรึ”

รอยยิ้มบนเรียวปากนั้นยังไม่จางลงขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยตอบ “อ้ายชื่อศรีหิรัญ เป็นคนที่ช่วยน้องจากคนของเจ้าจอมหอมุกจะใดเล่า”

เอื้องลดาส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้จักเจ้าจอมหอมุกอะไรทั้งนั้น ฉันชื่อเอื้องลดาเป็นคนกรุงเทพฯมาถ่ายละครที่นี่ แล้วมีคนตามทำร้ายฉันน่ะค่ะ ฉันก็เลยพลาดล้มลงตรงกำแพงเมืองเก่าสะหลีคำ ว่าแต่คุณรู้จักเมืองเก่าสะหลีคำหรือเปล่า”

เขาส่ายหน้าบ้าง “อ้ายบ่รู้เรื่องที่น้องว่าสักอย่าง เมืองเก่าสะหลีคำอะหยังนั่นก็บ่มี มีแต่ไม้สะหลีสองต้นนั่น ต้นหนึ่งเป็นสะหลีคำแม่นก่อ”

ตอบพลางเขาจึงชี้ไปทางทิศตะวันออกไปพลาง เอื้องลดามองตาม จากนั้นก็ทำหน้าเหวอ

นั่นมันต้นไทรหรือต้นสะหลีสองต้นซึ่งตั้งอยู่ในจุดเดียวกับเมืองเก่าสะหลีคำเลยนี่ มิหนำซ้ำต้นหนึ่งก็เขียวชอุ่มขณะที่อีกต้นนั้นเหลืองอ๋อยเหมือนกันเลย จะต่างกันก็แค่ขนาดเท่านั้นละที่ไม้สะหลีสองต้นนี่เล็กกว่ามาก แต่ทำไมทางทิศเหนือนั่นก็มีเจดีย์เก่าเหมือนกันเด๊ะ โอ แม่เจ้า นี่มันอะไร

“ฉันไม่เข้าใจค่ะ นี่มันเมืองเก่าสะหลีคำไม่ใช่หรือคะคุณ”เธอย้อนถามอย่างพาซื่อ

เขาทำหน้าขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด “ที่นี่คือเมืองเก่า เมืองอนันตกาล เมืองที่ล่มลงเพราะแผ่นดินแยกเมื่อหลายร้อยปีก่อนต่างหาก”

คนฟังทอดถอนใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันเครียดจังเลยค่ะคุณ ดูเหมือนว่าเราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง คุณพูดเรื่องหนึ่ง ฉันก็พูดอีกเรื่องหนึ่ง”

เรียวปากสีสดนั้นยิ้มน้อยๆแววตาของเขาดูอ่อนโยนเสมอยามมองเธอแล้วพูดคุย “เอาเต๊อะ เดี๋ยวน้องก็จักได้คำตอบเอง บ่ต้องกลัวดอก”

“แล้วใครจะมาบอกฉันล่ะคะ”

“คนที่กำลังมานั่นล่ะ”

เอื้องลดามองตามสายตาเขาก็พบว่า หญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าขาวจัด เกล้าผมมวย แต่งกายด้วยผ้าแถบสีหม่น ผ้าซิ่นสีดำกำลังเดินจ้ำๆเข้ามาหาเธอพร้อมชายกลางคนแต่งกายคล้ายทหารโบราณคนหนึ่ง

“เจ้าเอื้องนวลหายไปไหนมาทั้งคืนเจ้า”

เอื้องลดาย้อนถามเสียงอ่อย “เธอถามฉันเหรอ”

หญิงผู้นั้นหันไปสบตาชายหนุ่มรุ่นพี่ ก่อนจะหันกลับมามองดาราสาวอีกครั้ง “ก็อู้กับเจ้าเอื้องนั่นแหละเจ้า เจ้าเอื้องดูท่าทางบ่เหมือนเก่าเลย อู้จ๋าก็บ่เหมือนเก่า”

“ก่อนที่เจ้าเอื้องจักหายไปเล่าศรีมอญ เป็นจะใดพ่อง”ชายผู้นั้นถาม

ศรีมอญเงยหน้าขึ้นตอบฉาดฉาน “ก่อนไปอาบน้ำเจ้าเอื้องก็ปกติดีเจ้าอ้ายหมื่นศีลธรรม แต่น่าแปลกนัก พอบอกว่าจะออกไปอาบน้ำได้บ่เมินเจ้าเอื้องก็หายตัวไปยังกับผีซ่อน พ่อเจ้าสัมฤทธิ์เพิ่นค้นหาทั้งคืนก็บ่ปะ”

เอื้องลดาถอนใจเฮือก ยกมือขึ้นกอดอก “นี่พวกคุณพูดอะไรกัน ฉันไม่รู้จักคนที่คุณพูดถึงเลยสักคน ไม่ว่าจะพ่อเจ้าสัมฤทธิ์หรือแม้แต่เอื้องนวลอะไรนั่นน่ะ”

ฟังคำของผู้เป็นนายแล้วศรีมอญก็ทำหน้าตื่น กลืนน้ำลายเอื้อก “เจ้าเอื้องจำชื่อตนเองแลเจ้าพ่อบ่ได้กาเจ้า”

เอื้องลดาฟังแล้วก็อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาประชดชีวิต โธ่ ก็ที่แม่ผู้หญิงแต่งตัวโบราณๆคนนี้หาว่าเธอชื่อเอื้องนวลและเป็นลูกสาวของเจ้าหมื่นสัมฤทธิ์เนี่ย มันใช่ที่ไหน

แล้วบุคคลที่พูดถึงนี้คือใครกันเล่า

เฮ้อ!จะพูดความจริงไปก็คงจะไม่มีใครเชื่อ ไหนๆก็เป็นนักแสดงแล้ว เธอคงต้องแสดงละครสักฉากกระมัง

“เธอทั้งสองคนจงฟังนะ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เท่าที่ฉันฟังจากผู้ชายคนนี้ เขาบอกว่าเขาช่วยฉันจากคนที่มาทำร้าย ฉันคงสลบไปทั้งคืนน่ะ พอฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย”หลังจากเล่า หญิงสาวก็หันไปมองหนุ่มหล่อที่เธอพบเป็นคนแรก

ทว่าเขากลับไม่ยอมอยู่เป็นพยานให้เธอเสียแล้ว

“อ้าว เขาไปเสียแล้วล่ะ ตอนที่เธอเดินมาเขายังชี้ให้ฉันดูเธออยู่เลย”

“แต่ตอนที่หันเจ้าเอื้องคราวแรก เจ้าเอื้องก็ยืนอยู่ผู้เดียวบ่ใช่กา”ชายผู้อยู่ในชุดทหารถามด้วยท่าทีงงๆ

เอื้องลดาเลิกคิ้ว “เป็นไปได้ยังไงกัน ฉันคุยกับเขาอยู่ตั้งนาน”

ศรีมอญสั่นหน้า “บ่รู้เจ้า แต่ข้าเจ้าว่าเจ้าเอื้องปิ๊กเข้าคุ้มก่อนเต๊อะเจ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่จะได้หายห่วง”

“คุ้มงั้นเหรอ”เอื้องลดากระหวัดความคิดไปถึงคุ้มเวียงพิงค์ของนทีดล

“เจ้าคุ้มเชียงชื่นของพ่อเจ้าสัมฤทธิ์นั่นแหละเจ้า”ศรีมอญตอบ

“ฉันขอถามอะไรอย่างสิ วันนี้ที่นี่มีเทศกาลหรืองานประจำปีอะไรหรือเปล่า”

สิ้นสุดคำถามเป็นเหตุให้ศรีมอญหันไปสบตากับหมื่นศีลธรรมอีกครั้ง และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า หญิงสาวจึงค่อยตอบ “ก็ป๋าเวณีปีใหม่จะใดเจ้า”

“มิน่าล่ะ พวกเธอถึงแต่งตัวเหมือนคนสมัยก่อน แถมคนที่บ้านนั้นก็เดินกันขวักไขว่ คงเตรียมงานกันอยู่สินะ”

หมื่นศีลธรรมฟังแล้วจึงเป็นผู้เอ่ยตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หมู่เฮาก็แต่งตัวอย่างนี้ทุกวัน เหมือนๆกับที่คุ้มเชียงชื่นก็ย่อมมีข้าราชบริพารเช่นนี้อยู่ตลอด เจ้าเอื้องถามแปลกดีแต๊

เอื้องลดาเม้มริมฝีปากน้อยๆพลางพยักหน้า

‘ศรีมอญเรียกเธอว่าเจ้าเอื้องนวล และบ้านของเธอคือคุ้ม แสดงว่าทุกคนเข้าใจว่าเธอคือเจ้าเอื้องนวล และหล่อนผู้นั้นคงมีเชื้อสายเจ้าทางเหนือเป็นแน่’

‘ตายละวา แล้วเธอจะวางตัวยังไง วัฒนธรรมประเพณีทางนี้เธอก็ไม่รู้สักอย่าง’

แต่เอาเถอะ “พาฉันกลับบ้านสิศรีมอญ ศีลธรรม”

ขณะเดินตามร่างสูงใหญ่ของหมื่นศีลธรรมไป เอื้องลดาเริ่มเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่เธอพบเจอทั้งหมดในเวลานี้ มิได้เป็นเรื่องผิดปกติของคนที่นี่เลย แต่มันผิดปกติสำหรับเธอ เพราะอะไรนะหรือ

ที่นี่ไม่มีเสียงรถวิ่งให้ได้ยินจนน่ารำคาญเหมือนที่ที่เธอจากมา

ทุกอณูพื้นที่ของแผ่นดินยังคงเต็มไปด้วยใบไม้ใบหญ้ามิใช่ถนนคอนกรีตอย่างที่เคยเห็นทุกวัน

บ้านเรือนและการแต่งกายของทุกคนดูโบร่ำโบราณ ถึงแม้จะเป็นเทศกาลสงกรานต์ก็ไม่ค่อยมีใครแต่งกายย้อนยุคกันแล้ว

‘ย้อนยุค’ คำนี้สะดุดใจนัก หรือว่าเธอจะย้อนอดีตได้เหมือนในละครที่กำลังถ่ายทำ

เป็นไปได้ไหม หญิงสาวไม่แน่ใจนัก แต่ในเมื่อพักหลังๆเธอได้พบเจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติบ่อยเหลือเกิน ดังนั้นเรื่องที่ไม่คาดฝันก็อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตได้อย่างไม่ยาก
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:16 am

“คุณเอื้องเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”นทีดลแทบจะโผเข้าไปหานายแพทย์เจ้าของไข้เอื้องลดาในทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉิน

“อาการทั่วไปของคนไข้ก็ปกติดีครับ แต่เวลานี้เธอยังไม่ฟื้น ผมคิดว่าเราคงต้องเอ็กซเรย์ศีรษะดูอีกที เพราะที่เธอสลบเนี่ยเพราะศีรษะฟาดพื้น”นายแพทย์สูงวัยตอบ

“เธอจะหายไหมคะคุณหมอ”เอรินาถามเสียงสั่น

นายแพทย์หน้าขรึมนิ่งไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยตอบ “ผมยังฟันธงไม่ได้ครับ แต่ทางเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ตอนนี้ผมต้องขอตัวกลับเข้าไปดูคนไข้ก่อนนะครับ”

หลังนายแพทย์เดินกลับเข้าห้องไปแล้ว เอรินาจึงฟูมฟาย “นี่มันอะไรกันคะคุณดล คุณนัย ทำไมคุณหมอถึงไม่ยอมยืนยันล่ะว่าคุณเอื้องจะหาย ที่คุณเอื้องเป็นแบบนี้ก็เพราะรีนานะคะ รีนาเป็นคนผิดเองทั้งหมด”

นัยภาคเอื้อมมือไปบีบมือเย็นเฉียบของหญิงสาวเอาไว้ จากนั้นจึงปลอบ “ใจเย็นๆก่อนนะฮะ ยังไงผมก็คิดว่าคุณเอื้องจะต้องหาย”

นทีดลเองก็เช่นกัน เขาฝืนยิ้มให้เธอด้วยใบหน้าเหนื่อยๆ “ผมเชื่ออย่างนั้นเหมือนกันครับ คุณเอื้องเป็นคนดี เธอจะต้องปลอดภัย”

เอรินาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าก่อนจะระบายความรู้สึกในใจอีกครั้ง “มันเป็นเพราะรีนาลืมโทรศัพท์ไว้ที่เมืองเก่าน่ะค่ะ รีนาสะเพร่าเอง แต่คุณเอื้องก็มีน้ำใจเดินไปเป็นเพื่อนเพราะเห็นว่ามืดแล้ว แต่กลายเป็นว่าความสะเพร่าของรีนาทำให้เพื่อนต้องบาดเจ็บ”

นทีดลวางมือลงบนไหล่บางเบาๆ “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ คุณรีนากลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะเฝ้าเอง พอคุณเอื้องฟื้นผมจะโทร.ไปบอกทันทีเลยนะครับ”เขาหยุดพูดแล้วจึงหันไปทางนัยภาค “นัยช่วยไปบอกเรื่องนี้กับคุณนัทด้วยนะ เผื่อเธอจะแจ้งไปทางคุณพ่อคุณแม่ของคุณเอื้องที่กรุงเทพฯ”

“ครับพี่ดล ไปกันเถอะฮะคุณรีนา”นัยภาครับคำพี่ชายพลางใช้มือขวาแตะข้อศอกนางแบบสาวเป็นสัญญาณให้ก้าวเดิน

เอรินาถอนสะอื้นเบาๆพลางหันไปมองห้องฉุกเฉินอีกครั้ง “รีนาอยากอยู่รอจนเอื้องฟื้นค่ะ”

นทีดลสั่นหน้า “ไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้คุณมีงาน ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณเอื้องให้ดีที่สุด”

แววตาของเอรินาดูลังเล ไม่มั่นใจ เธอหันไปจ้องนัยภาคราวกับต้องการขอความเห็นจากเขา หากชายหนุ่มกลับพยักหน้า“ไปเถอะครับ”

เมื่อคนทั้งสองจากไปแล้ว นทีดลจึงเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองตรงไปยังผนังฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาเลื่อนลอย….ในใจเอาแต่พร่ำ

รีบกลับมาหาผมเถอะ เอื้องลดา
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน

cron