นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:16 am

เอื้องลดาได้ยินเสียงศีรษะของตนฟาดพื้นดังกึกแล้วสติของเธอจึงดับวูบลง มารู้ตัวอีกทีเมื่อรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วสรรพางค์ ครั้นลืมตาขึ้นก็พบว่ารอบกายเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าทำให้แสบตาจนน้ำตาไหล เธอจึงหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากนั้นรอบตัวของหญิงสาวก็หมุนคว้างคล้ายเธอนั่งอยู่บนลูกข่าง หมุนติ้วอยู่หลายนาทีทุกอย่างจึงสงบนิ่งลง ก่อนที่ร่างกายของเธอจะถูกแรงดึงดูดมหาศาลฉุดกระชากให้ลอยละล่องผ่านชั้นบรรยากาศอันร้อนระอุและเย็นยะเยือกสลับกันไปเช่นนี้หลายครั้ง แล้วเอื้องลดาจึงหล่นตุบลงไปบนผืนหญ้าที่ไหนสักแห่ง

หลังลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่เป็นครู่อากาศรอบตัวหญิงสาวก็เริ่มดีขึ้น เธอจึงสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วยันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่า หันมองทัศนียภาพรอบๆตัว

ที่นี่ช่างคล้ายโบราณสถานสะหลีคำเสียจริง จะต่างก็ตรงที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นมากกว่าเท่านั้น

หญิงสาวขยับตัวลุกยืนขึ้นชะเง้อชะแง้มองไปรอบด้าน แล้วมุ่นคิ้ว ที่นี่คล้ายแต่ก็ไม่เหมือนเมืองเก่าที่เธอเคยเห็นจนเจนตา ดูแต่กำแพงเมืองนั่นเถอะที่สูงจนท่วมหัวต่างจากเมืองเก่าสะหลีคำที่เหลือกำแพงสูงเพียงแค่เอว ยกเว้นกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกที่มีเพียงแนวเตี้ยๆประมาณเข่าเท่านั้น

ครั้นมองเลยดงไม้และกอไผ่ออกไปจะมีเรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่เป็นประธานแล้วยังมีเรือนหลังเล็กๆรายรอบอยู่อีกหลายหลัง ผิดกับเมืองเก่าสะหลีคำซึ่งไม่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เลย ใกล้สุดก็เป็นสวนสาธารณะและถนนสายหลักทอดยาวไปทางทิศใต้

แล้วที่นี่คือที่ใดกันล่ะ...

หญิงสาวเดินไปสังเกตไปอย่างช้าๆแต่กลับรู้สึกว่าการก้าวย่างของตนนั้นช่างลำบากลำบนนัก ทั้งๆที่เธอสวมเดรสสั้นมาแท้ๆ

เอ๊ะ เดรสสั้นอย่างนั้นรึ เอื้องลดาถามย้ำกับตนเองพร้อมทั้งก้มลงมองอย่างพินิจ

คุณพระช่วย เหตุใดเวลานี้เธอจึงอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีเหลืองนวลแขนยาวและนุ่งผ้าซิ่นสีน้ำเงินเข้มไปได้เล่า

หรือเธอกำลังถ่ายละคร...

ไม่จริง การถ่ายทำเสร็จสิ้นลงตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วนี่และเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วด้วย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอกำลังฝัน คิดพลางมือเรียวก็หยิกหมับเข้าที่แขนของตน ความเจ็บแปลบที่เกิดจึงทำให้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาแห่งความจริง ทว่าสิ่งที่ตอบไม่ได้เลยก็คือ เธอมาโผล่ที่นี่ ในเครื่องแต่งกายเช่นนี้ได้อย่างไร

ขณะที่คิด โคนนิ้วเรียวของเธอก็เกิดร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน โดยไม่ต้องยกขึ้นมาดู เอื้องลดาก็รู้ว่าเวลานี้แหวนนาคคงกำลังเปล่งรัศมีวูบวาบเหมือนที่เคยผ่านๆมา แต่ช่างเถอะ สิ่งที่ควรกังวลยามนี้คือ มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

‘เธอจะถามใครได้บ้างนะ’คิดพลางจึงหมุนตัวกลับเผื่อว่าจะมีใครอยู่แถวนี้บ้าง

แล้วร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันของใครบางคนก็ทำให้เธอต้องชะงัก

เขาผู้นั้นเป็นชายผิวขาวจัด ใบหน้าคมสัน ประกอบด้วย ดวงตาเรียวคมค่อนข้างดุ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากสีสดที่แย้มน้อยๆยามมองมา

เธอไม่เคยรู้จักเขา แต่เหตุใดยามมองชายแปลกหน้าผู้นี้จึงมีภาพของนทีดลทับซ้อนอยู่ หรือจะเป็นเพราะอภินิหารของแหวนนาค แล้วชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาจับตาผู้นี้เกี่ยวอะไรกับนทีดลกันล่ะ

“ขอโทษค่ะคุณ ฉันกำลังหลงทาง ช่วยบอกทีเถอะว่าที่นี่ที่ไหน”หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิดก่อนจะถามด้วยความหวัง

ดวงตาเรียวคมคู่นั้นคล้ายจะเบิกออกนิดๆประหนึ่งว่ากำลังตกใจหรือแปลกใจอะไรบางอย่าง หากเขาก็ยังยืนนิ่ง มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนประดุจเดิม “ถูกทำร้ายครั้งนี้ทำให้น้องจำเรื่องของตนเองบ่ได้เลยกา”

คิ้วเรียวงามขยับเข้าหากันจนเกือบชิดขณะย้อนถาม “ใช่ค่ะ ฉันถูกทำร้าย แล้วคนพวกนั้นหายไปไหน รีนาล่ะคะ คุณเห็นรีนาหรือเปล่า เธอปลอดภัยไหม”

ดวงตาคมเปล่งประกายระยับ ยามที่มุมปากสีสดนั้นกระตุกขึ้นยิ้มเหมือนเขากำลังขำ “นี่น้องอู้ถึงสิ่งใดกันเอื้องนวล เอรินาคือไผ อ้ายถามถึงที่เจ้าจอมส่งคนมาทำร้ายน้องต่างหาก”

เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาหญิงสาวงงบ้างแล้ว เจ้าจอมไหนเธอไม่รู้จัก ตานี่พูดอะไรกันนะ เจ้าจงเจ้าจอมอะไร สมัยนี้ยังมีเจ้าจอมอยู่อีกหรือ หรือเขาจะสติไม่สมประกอบ

เอื้องลดากะพริบตาปริบ ก่อนจะเหลือบมองชายร่างสง่าอย่างพินิจ

จริงด้วย เขาแต่งเนื้อแต่งตัวไม่เหมือนคนทั่วไป ดูเอาเถอะเสื้อแสงปักดิ้นทองแพรวพราว แถมนุ่งผ้าหยักรั้งและมีเครื่องประดับบนศีรษะราวกับจะไปเล่นลิเก น่าเสียดายจริงๆ ถ้าผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้จะเป็นบ้า

เฮ้อ! ถ้าคิดเองเออเองดังที่เป็นอยู่ก็คงจะไม่กระจ่างสักที เอาล่ะ ถามเลยตรงๆเลยก็แล้วกัน

“แล้วนี่คุณเป็นใคร ทำไมแต่งตัวแบบนี้คะ จะไปไหนรึ”

รอยยิ้มบนเรียวปากนั้นยังไม่จางลงขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยตอบ “อ้ายชื่อศรีหิรัญ เป็นคนที่ช่วยน้องจากคนของเจ้าจอมหอมุกจะใดเล่า”

เอื้องลดาส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้จักเจ้าจอมหอมุกอะไรทั้งนั้น ฉันชื่อเอื้องลดาเป็นคนกรุงเทพฯมาถ่ายละครที่นี่ แล้วมีคนตามทำร้ายฉันน่ะค่ะ ฉันก็เลยพลาดล้มลงตรงกำแพงเมืองเก่าสะหลีคำ ว่าแต่คุณรู้จักเมืองเก่าสะหลีคำหรือเปล่า”

เขาส่ายหน้าบ้าง “อ้ายบ่รู้เรื่องที่น้องว่าสักอย่าง เมืองเก่าสะหลีคำอะหยังนั่นก็บ่มี มีแต่ไม้สะหลีสองต้นนั่น ต้นหนึ่งเป็นสะหลีคำแม่นก่อ”

ตอบพลางเขาจึงชี้ไปทางทิศตะวันออกไปพลาง เอื้องลดามองตาม จากนั้นก็ทำหน้าเหวอ

นั่นมันต้นไทรหรือต้นสะหลีสองต้นซึ่งตั้งอยู่ในจุดเดียวกับเมืองเก่าสะหลีคำเลยนี่ มิหนำซ้ำต้นหนึ่งก็เขียวชอุ่มขณะที่อีกต้นนั้นเหลืองอ๋อยเหมือนกันเลย จะต่างกันก็แค่ขนาดเท่านั้นละที่ไม้สะหลีสองต้นนี่เล็กกว่ามาก แต่ทำไมทางทิศเหนือนั่นก็มีเจดีย์เก่าเหมือนกันเด๊ะ โอ แม่เจ้า นี่มันอะไร

“ฉันไม่เข้าใจค่ะ นี่มันเมืองเก่าสะหลีคำไม่ใช่หรือคะคุณ”เธอย้อนถามอย่างพาซื่อ

เขาทำหน้าขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด “ที่นี่คือเมืองเก่า เมืองอนันตกาล เมืองที่ล่มลงเพราะแผ่นดินแยกเมื่อหลายร้อยปีก่อนต่างหาก”

คนฟังทอดถอนใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันเครียดจังเลยค่ะคุณ ดูเหมือนว่าเราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง คุณพูดเรื่องหนึ่ง ฉันก็พูดอีกเรื่องหนึ่ง”

เรียวปากสีสดนั้นยิ้มน้อยๆแววตาของเขาดูอ่อนโยนเสมอยามมองเธอแล้วพูดคุย “เอาเต๊อะ เดี๋ยวน้องก็จักได้คำตอบเอง บ่ต้องกลัวดอก”

“แล้วใครจะมาบอกฉันล่ะคะ”

“คนที่กำลังมานั่นล่ะ”

เอื้องลดามองตามสายตาเขาก็พบว่า หญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าขาวจัด เกล้าผมมวย แต่งกายด้วยผ้าแถบสีหม่น ผ้าซิ่นสีดำกำลังเดินจ้ำๆเข้ามาหาเธอพร้อมชายกลางคนแต่งกายคล้ายทหารโบราณคนหนึ่ง

“เจ้าเอื้องนวลหายไปไหนมาทั้งคืนเจ้า”

เอื้องลดาย้อนถามเสียงอ่อย “เธอถามฉันเหรอ”

หญิงผู้นั้นหันไปสบตาชายหนุ่มรุ่นพี่ ก่อนจะหันกลับมามองดาราสาวอีกครั้ง “ก็อู้กับเจ้าเอื้องนั่นแหละเจ้า เจ้าเอื้องดูท่าทางบ่เหมือนเก่าเลย อู้จ๋าก็บ่เหมือนเก่า”

“ก่อนที่เจ้าเอื้องจักหายไปเล่าศรีมอญ เป็นจะใดพ่อง”ชายผู้นั้นถาม

ศรีมอญเงยหน้าขึ้นตอบฉาดฉาน “ก่อนไปอาบน้ำเจ้าเอื้องก็ปกติดีเจ้าอ้ายหมื่นศีลธรรม แต่น่าแปลกนัก พอบอกว่าจะออกไปอาบน้ำได้บ่เมินเจ้าเอื้องก็หายตัวไปยังกับผีซ่อน พ่อเจ้าสัมฤทธิ์เพิ่นค้นหาทั้งคืนก็บ่ปะ”

เอื้องลดาถอนใจเฮือก ยกมือขึ้นกอดอก “นี่พวกคุณพูดอะไรกัน ฉันไม่รู้จักคนที่คุณพูดถึงเลยสักคน ไม่ว่าจะพ่อเจ้าสัมฤทธิ์หรือแม้แต่เอื้องนวลอะไรนั่นน่ะ”

ฟังคำของผู้เป็นนายแล้วศรีมอญก็ทำหน้าตื่น กลืนน้ำลายเอื้อก “เจ้าเอื้องจำชื่อตนเองแลเจ้าพ่อบ่ได้กาเจ้า”

เอื้องลดาฟังแล้วก็อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาประชดชีวิต โธ่ ก็ที่แม่ผู้หญิงแต่งตัวโบราณๆคนนี้หาว่าเธอชื่อเอื้องนวลและเป็นลูกสาวของเจ้าหมื่นสัมฤทธิ์เนี่ย มันใช่ที่ไหน

แล้วบุคคลที่พูดถึงนี้คือใครกันเล่า

เฮ้อ!จะพูดความจริงไปก็คงจะไม่มีใครเชื่อ ไหนๆก็เป็นนักแสดงแล้ว เธอคงต้องแสดงละครสักฉากกระมัง

“เธอทั้งสองคนจงฟังนะ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เท่าที่ฉันฟังจากผู้ชายคนนี้ เขาบอกว่าเขาช่วยฉันจากคนที่มาทำร้าย ฉันคงสลบไปทั้งคืนน่ะ พอฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย”หลังจากเล่า หญิงสาวก็หันไปมองหนุ่มหล่อที่เธอพบเป็นคนแรก

ทว่าเขากลับไม่ยอมอยู่เป็นพยานให้เธอเสียแล้ว

“อ้าว เขาไปเสียแล้วล่ะ ตอนที่เธอเดินมาเขายังชี้ให้ฉันดูเธออยู่เลย”

“แต่ตอนที่หันเจ้าเอื้องคราวแรก เจ้าเอื้องก็ยืนอยู่ผู้เดียวบ่ใช่กา”ชายผู้อยู่ในชุดทหารถามด้วยท่าทีงงๆ

เอื้องลดาเลิกคิ้ว “เป็นไปได้ยังไงกัน ฉันคุยกับเขาอยู่ตั้งนาน”

ศรีมอญสั่นหน้า “บ่รู้เจ้า แต่ข้าเจ้าว่าเจ้าเอื้องปิ๊กเข้าคุ้มก่อนเต๊อะเจ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่จะได้หายห่วง”

“คุ้มงั้นเหรอ”เอื้องลดากระหวัดความคิดไปถึงคุ้มเวียงพิงค์ของนทีดล

“เจ้าคุ้มเชียงชื่นของพ่อเจ้าสัมฤทธิ์นั่นแหละเจ้า”ศรีมอญตอบ

“ฉันขอถามอะไรอย่างสิ วันนี้ที่นี่มีเทศกาลหรืองานประจำปีอะไรหรือเปล่า”

สิ้นสุดคำถามเป็นเหตุให้ศรีมอญหันไปสบตากับหมื่นศีลธรรมอีกครั้ง และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า หญิงสาวจึงค่อยตอบ “ก็ป๋าเวณีปีใหม่จะใดเจ้า”

“มิน่าล่ะ พวกเธอถึงแต่งตัวเหมือนคนสมัยก่อน แถมคนที่บ้านนั้นก็เดินกันขวักไขว่ คงเตรียมงานกันอยู่สินะ”

หมื่นศีลธรรมฟังแล้วจึงเป็นผู้เอ่ยตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หมู่เฮาก็แต่งตัวอย่างนี้ทุกวัน เหมือนๆกับที่คุ้มเชียงชื่นก็ย่อมมีข้าราชบริพารเช่นนี้อยู่ตลอด เจ้าเอื้องถามแปลกดีแต๊

เอื้องลดาเม้มริมฝีปากน้อยๆพลางพยักหน้า

‘ศรีมอญเรียกเธอว่าเจ้าเอื้องนวล และบ้านของเธอคือคุ้ม แสดงว่าทุกคนเข้าใจว่าเธอคือเจ้าเอื้องนวล และหล่อนผู้นั้นคงมีเชื้อสายเจ้าทางเหนือเป็นแน่’

‘ตายละวา แล้วเธอจะวางตัวยังไง วัฒนธรรมประเพณีทางนี้เธอก็ไม่รู้สักอย่าง’

แต่เอาเถอะ “พาฉันกลับบ้านสิศรีมอญ ศีลธรรม”

ขณะเดินตามร่างสูงใหญ่ของหมื่นศีลธรรมไป เอื้องลดาเริ่มเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่เธอพบเจอทั้งหมดในเวลานี้ มิได้เป็นเรื่องผิดปกติของคนที่นี่เลย แต่มันผิดปกติสำหรับเธอ เพราะอะไรนะหรือ

ที่นี่ไม่มีเสียงรถวิ่งให้ได้ยินจนน่ารำคาญเหมือนที่ที่เธอจากมา

ทุกอณูพื้นที่ของแผ่นดินยังคงเต็มไปด้วยใบไม้ใบหญ้ามิใช่ถนนคอนกรีตอย่างที่เคยเห็นทุกวัน

บ้านเรือนและการแต่งกายของทุกคนดูโบร่ำโบราณ ถึงแม้จะเป็นเทศกาลสงกรานต์ก็ไม่ค่อยมีใครแต่งกายย้อนยุคกันแล้ว

‘ย้อนยุค’ คำนี้สะดุดใจนัก หรือว่าเธอจะย้อนอดีตได้เหมือนในละครที่กำลังถ่ายทำ

เป็นไปได้ไหม หญิงสาวไม่แน่ใจนัก แต่ในเมื่อพักหลังๆเธอได้พบเจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติบ่อยเหลือเกิน ดังนั้นเรื่องที่ไม่คาดฝันก็อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตได้อย่างไม่ยาก
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:16 am

“คุณเอื้องเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”นทีดลแทบจะโผเข้าไปหานายแพทย์เจ้าของไข้เอื้องลดาในทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉิน

“อาการทั่วไปของคนไข้ก็ปกติดีครับ แต่เวลานี้เธอยังไม่ฟื้น ผมคิดว่าเราคงต้องเอ็กซเรย์ศีรษะดูอีกที เพราะที่เธอสลบเนี่ยเพราะศีรษะฟาดพื้น”นายแพทย์สูงวัยตอบ

“เธอจะหายไหมคะคุณหมอ”เอรินาถามเสียงสั่น

นายแพทย์หน้าขรึมนิ่งไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยตอบ “ผมยังฟันธงไม่ได้ครับ แต่ทางเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ตอนนี้ผมต้องขอตัวกลับเข้าไปดูคนไข้ก่อนนะครับ”

หลังนายแพทย์เดินกลับเข้าห้องไปแล้ว เอรินาจึงฟูมฟาย “นี่มันอะไรกันคะคุณดล คุณนัย ทำไมคุณหมอถึงไม่ยอมยืนยันล่ะว่าคุณเอื้องจะหาย ที่คุณเอื้องเป็นแบบนี้ก็เพราะรีนานะคะ รีนาเป็นคนผิดเองทั้งหมด”

นัยภาคเอื้อมมือไปบีบมือเย็นเฉียบของหญิงสาวเอาไว้ จากนั้นจึงปลอบ “ใจเย็นๆก่อนนะฮะ ยังไงผมก็คิดว่าคุณเอื้องจะต้องหาย”

นทีดลเองก็เช่นกัน เขาฝืนยิ้มให้เธอด้วยใบหน้าเหนื่อยๆ “ผมเชื่ออย่างนั้นเหมือนกันครับ คุณเอื้องเป็นคนดี เธอจะต้องปลอดภัย”

เอรินาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าก่อนจะระบายความรู้สึกในใจอีกครั้ง “มันเป็นเพราะรีนาลืมโทรศัพท์ไว้ที่เมืองเก่าน่ะค่ะ รีนาสะเพร่าเอง แต่คุณเอื้องก็มีน้ำใจเดินไปเป็นเพื่อนเพราะเห็นว่ามืดแล้ว แต่กลายเป็นว่าความสะเพร่าของรีนาทำให้เพื่อนต้องบาดเจ็บ”

นทีดลวางมือลงบนไหล่บางเบาๆ “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ คุณรีนากลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะเฝ้าเอง พอคุณเอื้องฟื้นผมจะโทร.ไปบอกทันทีเลยนะครับ”เขาหยุดพูดแล้วจึงหันไปทางนัยภาค “นัยช่วยไปบอกเรื่องนี้กับคุณนัทด้วยนะ เผื่อเธอจะแจ้งไปทางคุณพ่อคุณแม่ของคุณเอื้องที่กรุงเทพฯ”

“ครับพี่ดล ไปกันเถอะฮะคุณรีนา”นัยภาครับคำพี่ชายพลางใช้มือขวาแตะข้อศอกนางแบบสาวเป็นสัญญาณให้ก้าวเดิน

เอรินาถอนสะอื้นเบาๆพลางหันไปมองห้องฉุกเฉินอีกครั้ง “รีนาอยากอยู่รอจนเอื้องฟื้นค่ะ”

นทีดลสั่นหน้า “ไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้คุณมีงาน ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณเอื้องให้ดีที่สุด”

แววตาของเอรินาดูลังเล ไม่มั่นใจ เธอหันไปจ้องนัยภาคราวกับต้องการขอความเห็นจากเขา หากชายหนุ่มกลับพยักหน้า“ไปเถอะครับ”

เมื่อคนทั้งสองจากไปแล้ว นทีดลจึงเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองตรงไปยังผนังฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาเลื่อนลอย….ในใจเอาแต่พร่ำ

รีบกลับมาหาผมเถอะ เอื้องลดา
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:17 am

1391610864.jpg
1391610864.jpg (111.65 KiB) เปิดดู 10106 ครั้ง


บทที่ ๑๒ คำถามจากกาลเวลา





รีบกลับมาหาผมเถอะเอื้องลดา

น้ำเสียงที่ดังแว่วในหูเป็นเหตุให้หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่บนตั่งหน้าคันฉ่องถึงกับหันรีหันขวางมองหา

เธอจำได้แม่นยำว่าเสียงนี้คือเสียงของนทีดล

เขาอยู่ที่ไหน แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับชายหนุ่มอีกคน บางทีเขาผู้นั้นอาจจะเป็นผู้ไขทุกปัญหาที่คาใจเธออยู่นี่ก็ได้ แต่เธอจะพบกับเขาได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่ทันได้ซักถามประวัติเขาก็หายตัวไปเสียแล้ว

เสียงเปิดประตูดังแอ๊ด ไม่ช้าศรีมอญก็ก้าวข้ามธรณีประตูมาพร้อมกับขันเงินซึ่งวางอยู่บนภาชนะรูปร่างคล้ายๆพานทว่าทำจากไม้แกะสลักอย่างงดงาม

ครั้นเดินเข้าห้องมาได้เพียงไม่กี่ก้าว หญิงสาวก็ย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นก่อนจะเดินเข่าเข้ามาหาเอื้องลดาพลางบอก“เจ้าแม่กับเจ้าพ่อรออยู่บนเติ๋นละเจ้า แล้วในขันนี่เป็นน้ำส้มป่อย ได้มาจากวัดเจ็ดยอด เจ้าแม่เกดแก้วเพิ่นบอกให้ข้าเจ้าเอามาให้เจ้าเอื้องสระสรงหัวให้เป็นศิริมงคลเจ้า”

“สระสรงอย่างนั้นรึ”ใจหญิงสาวอยากจะถามต่อว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง หากเธอก็ยังนิ่ง จวบจนศรีมอญยื่นขันมาให้และบอก “เอาไปพรมหัวเลยเจ้า”

หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมฉุนๆของน้ำส้มป่อยโชยเข้าจมูก หากเธอกลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด

“เชิญเจ้าเอื้องออกไปไหว้สาเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้แล้วเจ้า” ศรีมอญกระถดกายคลานเข่าถอยหลัง รอให้เอื้องลดาเดินนำไปก่อน

หญิงสาวจึงก้าวไปยังประตูห้องอย่างเกร็งๆ และยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง

ร้อนถึงศรีมอญต้องลุกขึ้นมาถอดกลอนออกและเปิดประตูให้ จากนั้นจึงย้ำ “เชิญเจ้า”

ดาราสาวลอบระบายลมหายใจออกไปเบาๆ พยายามนึกถึงบทบาทของตนยามที่ได้แสดงละครพีเรียดก่อนจะยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูออกไปอย่างช้าๆ

“เจ้าพ่อ เจ้าแม่อยู่ไหนรึศรีมอญ”

ศรีมอญขยับถอยหลังไปสองก้าวพลางบอกเบาๆว่า “อยู่ที่เติ๋นเจ้า เจ้าเอื้องโตยข้าเจ้ามาเลยเจ้า” {เติ๋น : บริเวณโถงของบ้านสำหรับใช้ทำกิจกรรมต่างๆ}

เอื้องลดาทำตามที่คนสนิทของตนบอกโดยการเดินตามไปอย่างช้าๆ เธอจึงมีเวลาพิจารณาคุ้มเชียงชื่นด้วยความชื่นชม

เรือนแฝดสไตล์ล้านนาหลังนี้ปลูกสร้างขึ้นด้วยไม้สักแผ่นใหญ่และหนา อีกทั้งหลังคาก็ยังมุงด้วยแป้นเกล็ดตามแบบเรือนคหบดีโบราณ เครื่องเรือนมีการตกแต่งอย่างเป็นระเบียบงดงามและล้วนแล้วแต่ทำจากไม้สักทั้งสิ้น

ส่วนเติ๋นที่ศรีมอญว่านั้นเป็นโถงกว้างกลางเรือนหลังใหญ่ ในบริเวณนี้จะมีเหล่าบริวารชายหญิงทำงานกันอยู่เป็นจุดๆ บ้างก็ยืนเฝ้าประตูราวกับเป็นองครักษ์ บ้างก็นั่งร้อยมาลัยหรือทำความสะอาดเครื่องเงิน เครื่องทองกันอย่างขะมักเขม้น แต่ในขณะที่เอื้องลดาเดินผ่านนั้นทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นมาน้อมไหว้ จวบจนเธอเดินผ่านไปแล้วนั่นแหละ ผู้คนเหล่านั้นจึงปรับเปลี่ยนอิริยาบถกลับมาทำงานเช่นเดิม

“เดี๋ยว ศรีมอญ”

หญิงสาวหมุนตัวกลับมาขานรับ “เจ้า”

เอื้องลดาชำเลืองมองชายหญิงสูงวัยซึ่งนั่งอยู่บนตั่งยาวขาสิงห์และมีสตรีหลายคนนั่งปรนนิบัติพัดวีอยู่บนพื้นเรือนมันปลาบก่อนจะถาม “นั่นเหรอ เจ้าพ่อเจ้าแม่ของฉันน่ะ”

“เจ้า นั่นคือเจ้าพ่อสัมฤทธิ์และเจ้าแม่เกดแก้วเจ้า”

“แล้วเธอบอกท่านหรือยังว่าฉันความจำเสื่อม”เอื้องลดาซักถามกันไว้เพื่อที่จะวางแผนการล่วงหน้าในใจ

ศรีมอญยิ้ม นางชักจะเริ่มชินกับภาษาอันแปร่งปร่าของเจ้านายบ้างแล้ว “เจ้า ท่านทั้งสองรู้แล้วเจ้า”

เอื้องลดาจึงพยักหน้า หรี่ตาพลางถามเสียงเบาปานกระซิบ “แล้วฉันต้องคลานเข่าเข้าไปหาท่านหรือเปล่า”

“บ่ต้องดอกเจ้า เจ้าเพิ่นบ่ได้พิธีรีตองกับเจ้าเอื้องนี่ เชิญตางนี้เลยเจ้า”เอื้องลดารวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนที่จะเดินเข้าไปหาผู้เป็นประมุขแห่งคุ้มเชียงชื่นอย่างช้าๆโดยพยายามที่จะเลียนแบบกิริยาสาวชาววังเต็มที่

“เป็นจะใดพ่องลูก”เจ้าเกดวดีลุกขึ้นจากตั่งก้าวเข้าไปหาผู้เป็นธิดาพลางสวมกอดเอาไว้หลวมๆ “พ่อกับแม่เป็นห่วงเอื้องนวลมาก ลูกสระสรงน้ำส้มป่อยที่แม่ให้ไปรึยัง”

“เอ่อ ลูกทำแล้วค่ะ”เอื้องลดาตอบอย่างตะกุกตะกัก

เจ้าเกดวดีดึงตัวหญิงสาวออกห่างก่อนจะจ้องมองอย่างพินิจ “จะใดว่าลูกอู้จาตามอย่างคนใต้เล่า”

ดาราสาวยกมือขึ้นพนมและก้มหน้าลงไหว้ “ลูกต้องขอโทษเจ้าแม่ด้วยค่ะ ตั้งแต่ลูกฟื้นขึ้นมาลูกก็จำอะไรไม่ได้เลย”

เจ้าเกดวดีถอนหายใจเบาๆพลางพยักหน้า “เอาเต๊อะ ตอนนี้ไปเฝ้าเจ้าพ่อกันดีกว่า”

เอื้องนวลพยายามรับคำเหมือนที่เคยได้ฟังจากศรีมอญบ่อยๆ “เจ้า เจ้าแม่”

ผู้เป็นมารดาจึงจูงธิดาคนเดียวก้าวขึ้นไปบนพื้นยกระดับซึ่งประมุขของเรือนนั่งเด่นเป็นสง่ารออยู่

เจ้าสัมฤทธิ์เป็นบุรุษร่างใหญ่ผู้มีใบหน้าดุและบุคลิกน่าเกรงขาม เมื่อไปถึงเอื้องลดาจึงทรุดตัวนั่งก่อน จากนั้นจึงก้มลงกราบอย่างสำรวม

ครั้นเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเจ้าสัมฤทธิ์จ้องมองตนอยู่ก่อนแล้ว

“ลุกขึ้นนั่งบนตั่งเต๊อะลูก”

“เจ้า” เอื้องลดาขานรับด้วยภาษาที่รู้ว่าตนนั้นพูดออกไปด้วยลิ้นอันแข็งกระด้างไม่นิ่มนวลดังต้นแบบที่เคยรับฟังมา แต่เธอก็พยายามเต็มที่แล้ว ที่จะทำตัวให้กลมกลืนกับคนในยุคนี้ให้มากที่สุด

หลังจากนั่งลงบนตั่งตัวเล็กและเตี้ยกว่าผู้ถูกอุปโลกน์ให้เป็นบิดามารดาของเธอ เอื้องลดาจึงเหลือบมองศรีมอญซึ่งนั่งอยู่หลังสุดราวกับหาผู้ช่วย

“ในระหว่างนี้ลูกต้องระวังตัวให้ดี อย่าไปไหนคนเดียว เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจักบ่มีไผช่วยทัน”

“เจ้า” เอื้องลดาอ้อมแอ้มตอบ

“เดี๋ยวสะหลีไชยจะมาแอ่วหาลูก”เจ้าสัมฤทธิ์บอกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย {แอ่ว ; เที่ยว}

เอื้องลดาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “สะหลีไชยคือใครคะกันเจ้าพ่อ”

เจ้าเกดวดีระบายยิ้มน้อยๆพลางเตือนสามีเบาๆ “ลูกคงจำสะหลีไชยบ่ได้น่ะเจ้า เจ้าพี่”

เจ้าสัมฤทธิ์พยักหน้า “อ๋อ พ่อก็ลืมไป สะหลีไชยคือคู่หมายของเจ้าและเป็นพระราชนัดดาของพ่อพญาติโลกราช”

คนฟังแทบจะอ้าปากค้าง ‘คู่หมั้นของเอื้องนวลเป็นถึงพระราชนัดดาของพระเจ้าติโลกราช’ ถ้างั้นก็แปลว่าเวลานี้เธอน่าจะอยู่ในยุคสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ลำดับที่ 9 แห่งราชวงศ์มังราย เหตุนี้คงไม่ต้องหาคำตอบอีกแล้ว ว่าเธอย้อนอดีตหรือไม่ เพราะภาพทุกภาพฉายชัดแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่จะอยู่ในปีพ.ศ.ใดนั้นคงต้องหาข้อมูลเอาภายหลังเพราะเธอจำปีที่พระเจ้าติโลกราชขึ้นครองราชย์ไม่ได้

“แล้วนี่ลูกเป็นจะใดพ่อง”ผู้เป็นบิดาถาม

“ลูกเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังจำใครไม่ได้เจ้า”เธอตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วๆเป็นภาษาไทยลงท้ายด้วยคำเมืองที่ฟังแปร่งหู แต่คงดีกว่าลงท้ายว่า ค่ะ เพราะคนที่นี่เขาไม่ใช้คำนี้กัน

“จงนอนพักให้มากๆจะได้ดีขึ้น เดี๋ยวพ่อต้องไปเฝ้าพ่อพญาที่เวียงแก้วก่อน วันนี้มีข้อราชการหลายเรื่องต้องหารือกัน”เจ้าสัมฤทธิ์บอกธิดาเสียงนุ่มก่อนจะลุกขึ้นยืน มองไปที่ลานกว้างที่ช้างตัวใหญ่ซึ่งบนหลังมีเสลี่ยงหมอบรออยู่

“เจ้า”เอื้องลดารับคำเบาๆสายตามองตามร่างสูงสง่าของเจ้าสัมฤทธิ์ที่เดินไปยังบันไดพลางลอบระบายลมหายใจเบาๆ

“วันนี้ลูกบ่ต้องเข้าไปช่วยงานในเวียงแก้วดอก รอให้หายก่อนดีกว่า”เสียงของเจ้าเกดวดีดังขึ้น หญิงสาวแห่งยุคปัจจุบันจึงเงยหน้าขึ้นมอง

“ปกติลูกจะต้องเข้าไปช่วยงานในคุ้มหลวงของมหาเทวี”ผู้สูงวัยอธิบายเพิ่มเติม

เอื้องลดาเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้จึงถาม “แล้วเจ้าจอมหกมุกเป็นใครเจ้า”

เจ้าเกดวดีนิ่งไปครู่ใหญ่จึงค่อยตอบ ด้วยไม่ต้องการพูดถึงเจ้าจอมผู้นี้เท่าใดนัก “เป็นเจ้าจอมของพ่อพญา”

“เอ่อ เจ้าแม่เจ้า แล้วเราเป็นพระประยูรญาติฝ่ายไหนของพ่อพญา”

“เจ้าพ่อเป็นหลานของเจ้าหมื่นด้งหรือเจ้าโลกสามล้านซึ่งเป็นพระเจ้าอาของพ่อพญาจะใดเล่า”

“แล้วตอนนี้เจ้าโลกสามล้านอยู่ที่ไหนเจ้า”เธอซักต่ออย่างสนใจ

“ท่านครองเมืองเชียงชื่นซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านติดกับเมืองเชลียง แต่เจ้าพ่อของลูกต้องอยู่รับใช้พ่อพญายังเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่แห่งนี้เพราะท่านเป็นแม่ทัพหน้าของเมืองเฮา”

“อ๋อ ลูกเข้าใจแล้วเจ้า”เอื้องลดาขยับนั่งตัวตรง พลางเหสายตาไปมองหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งกำลังคลานเข่าเข้ามารายงาน “เจ้าสะหลีไชยมาถึงแล้วเจ้า”

สิ้นคำของเธอผู้นั้น ชายหนุ่มอายุราวๆเบญจเพสรูปร่างสันทัดก็เดินเข้ามาพร้อมกับชายในชุดทหารอีก 2 คนที่เดินตามหลังอยู่ต้อยๆ

“ไหว้สาเจ้าอา”เจ้าสะหลีไชยน้อมไหว้เจ้าเกดวดีก่อนจะหันมาส่งยิ้มพรายแก่เอื้องลดา หญิงสาวจึงก้มลงทำความเคารพเขาบ้าง

“ได้ยินว่าน้องหายตัวไป อ้ายใจบ่ดีเลย”

“เอื้องปลอดภัยดีแล้วเจ้า”

คำตอบอันแปร่งหูของคู่หมายเป็นเหตุให้หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งกำลังย่อตัวลงนั่งบนตั่งถึงกับชะงัก เจ้าเกดวดีจึงออกตัวแทน “ตอนที่น้องหายไปน่ะ คาดว่าจะสลบไป แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาก็จำสิ่งใดบ่ได้ อู้จาก็บ่เหมือนก่อน สะหลีไชยบ่ดีถือสาเน้อ”

“อ้อ ช่างเป็นเรื่องที่แปลกแต๊ๆ”เจ้าสะหลีไชยนั่งลงแล้วมองหญิงสาวด้วยแววตากังวล ก่อนจะถาม“แล้วที่สลบไปเพราะถูกทำร้ายฤๅว่าเป็นลมไปเองเจ้าอา”

“อาก็บ่แน่ใจเพราะบ่หันมีบาดแผลอะหยัง”

ผู้ฟังถอนลมหายใจออกมาด้วยความเป็นห่วง พลางสบตาคู่หมายและถาม “น้องจำอ้ายได้ก่อ”

“จำบ่ได้เจ้า” เอื้องลดาตอบฉาดฉาน

เจ้าสะหลีไชยหน้าเสียแต่ก็พยายามเปลี่ยนเรื่องให้บรรยากาศการสนทนาดีขึ้น

“เจ้าอาสัมฤทธิ์เข้าเฝ้าพระเจ้าลุงกาเจ้าอาเกดแก้ว”

“แม่นละ หันว่าพ่อพญาเชิญอาของหลานไปหารือเรื่องท้าวบุญเรือง”

“เจ้าจอมหอมุกทูลฟ้องเรื่องเจ้าพี่บุญเรืองอีกรอบ พระเจ้าลุงก็เลยให้คนไปเชิญเจ้าพี่บุญเรืองมาจากเมืองน้อยเพื่อไต่สวนเจ้า” เขาเล่า

“เฮ้อ!ตั้งแต่ไม้นิโครธศรีนครถูกทำลายลงก็มีแต่เรื่องราวบ่ดีเกิดขึ้นในบ้านเมืองเฮามาตลอด”เจ้าเกดวดีแสดงความคิดเห็นพลางทอดสายตาไปยังหมู่ไม้นอกคุ้ม

“เหตุเพราะพ่อพญาเชื่อคำของพระเถระแห่งพุกามล้ำไป หลานได้ยินเจ้านายหลายพระองค์เพิ่นว่ามันเป็นขึดเจ้า” เจ้าสะหลีไชยเล่าหลังจากถอนใจอีกเฮือกใหญ่ๆ

“เถระมังหลุงหลวงนั่นรึ เถรเฒ่านั่นทำตัวบ่สมกับเป็นพระเป็นเจ้าสักนิด แอ่วไปยุยงส่งเสริมพ่อพญาว่า หากทำตามคำตนเองแนะนำแล้วจักทำให้พญาเพิ่นมีเดชานุภาพขจรขจาย แต่อากลัวว่ามันจักทำคุณไสยใส่พ่อพญานะเจ้าหลาน”เจ้าเกดวดีสันนิษฐาน

“เพลานี้ก็มีคนคอยสืบดูอยู่เจ้า”

เอื้องลดาซึ่งฟังการสนทนาของเจ้านายฝ่ายเหนือทั้งสองนิ่งอยู่ นึกทบทวนความรู้ประวัติศาสตร์ตามที่เคยอ่านมา และคลับคล้ายคลับคลาว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยาได้มีรับสั่งให้เถรพม่าฝังคุณไสยในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็คงจะเป็นในปีนี้กระมัง

ภวังค์ของหญิงสาวขาดห้วงลงยามที่เจ้าเกดวดียกมือขึ้นพนม “ขอให้อารักษ์แห่งเมือง เชนเมือง ช่วยรักษาเมืองของเฮาให้อยู่รอดปลอดภัยโตยเต๊อะ”

“เมืองเชียงใหม่จะไม่มีภยันตรายใดๆในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชหรอกเจ้า อีกทั้งพระเกียรติยศของพระองค์จะเป็นที่โจษจันไปไกลถึงแผ่นดินจีนเลยทีเดียว”เอื้องลดาโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“น้องอู้เหมือนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า”เจ้าสะหลีไชยว่า

เอื้องลดาจึงยิ้ม “น้องคาดเดาตามความเป็นไปได้ต่างหาก”

“เอาล่ะ อาต้องไปดูละอ่อนเขาจัดบายศรีไปถวายพระมหาเทวีแล้ว ลูกดูแลเจ้าพี่เน้อเอื้องนวล”สั่งแล้วเจ้าเกดวดีก็ลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมเหล่าข้าราชบริพารทิ้งให้ธิดาคนเดียวของตนอยู่กับว่าที่คู่หมั้นพร้อมบริวารที่เหลืออีกส่วนหนึ่ง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:18 am

หลังเจ้าสะหลีไชยกลับไปแล้วเอื้องลดาจึงบอกกับเจ้าเกดวดีว่าจะออกไปเดินเล่น เธอจึงออกมาจากคุ้มเชียงชื่นโดยมีศรีมอญตามมาเพียงผู้เดียวเท่านั้น

“เจ้าเอื้องจะไปที่ใดเจ้า”

“ฉันจะไปเมืองเก่า”หญิงสาวตอบพลางเดินลิ่วๆไปยังทิศทางอันเป็นจุดหมายปลายทางของตน

หากครั้งนี้ศรีมอญกลับวิ่งมาดักหน้า “บ่ดีไปที่นั่นเจ้า ในเมืองเก่าผีนักขนาด บ่แน่ ที่เจ้าเอื้องสลบไปอาจจะเป็นเพราะภูติผีก็ได้”

เอื้องลดาเลิกคิ้ว “ผีอะไร เธอเคยเห็นผีงั้นเหรอศรีมอญ”

“ข้าเจ้าเคยเห็นผีละอ่อนเจ้า” {ละอ่อน ; เด็ก}

ประกายความทรงจำบางอย่างวาบเข้ามาสู่ความคิดของหญิงสาวทันใด เธอจึงถามออกไปตามตรง “ละอ่อนที่ว่าเนี่ยเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

“ข้าเจ้าหันละอ่อนแม่ญิงเจ้า แต่บางคนเขาก็หันละอ่อนป้อจาย”

ดาราสาวไหวไหล่ด้วยความลืมตัว “แสดงว่ามีผีเด็กอยู่สองตนสินะ”

“แม่นละเจ้า”

“แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่กลัว เธอกลับไปเอาธูปเทียนดอกไม้ที่คุ้มมาให้หน่อยสิศรีมอญ ฉันจะไปไหว้กู่” เอื้องลดาสั่ง

“แต่ถ้าข้าเจ้าไป เจ้าเอื้องก็ต้องอยู่คนเดียวนะเจ้า” ศรีมอญติงเสียงเครียด

“ไม่เป็นไร ฉันอยู่ได้”

“แต่ว่า...”ศรีมอญพยายามจะค้าน หากเอื้องลดากลับสำทับเสียงดุ “รีบไปเถอะ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง”

“ข้าเจ้าว่า...”

“ศรีมอญ!”น้ำเสียงของเอื้องลดาหนักขึ้น “ทำตามที่สั่งเดี๋ยวนี้”

หญิงสาวจึงทำหน้าจ๋อย ลนลานบอก “เจ้า ข้าเจ้าจะไปแล้ว”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสียงกรุ่งกริ๋งของกระดิ่งข้อเท้าดังมาจากมุมหนึ่งของกู่ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของจุดที่เอื้องลดายืนอยู่ หญิงสาวจึงหันหลังกลับไปมองและเบิกตากว้าง

บัดนี้เด็กผู้หญิงที่เธอเคยเห็นตอนถ่ายละครกำลังยืนมองตาแป๋วอยู่ตรงหน้า
“หนู”เธอพยายามนึกชื่อของเด็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้ “หมากคำใช่ไหม”

หมากคำยิ้มแป้นวิ่งหลุนๆเข้ามาหาผู้เป็นน้าในอดีตชาติขณะเอื้องลดาย่อตัวลงนั่ง อ้าแขนรับร่างจ้อยเข้ามาในอ้อมแขน

“ข้าเจ้าคิดถึงน้าเอื้องเจ้า” เด็กน้อยบอกพลางซบหน้าลงใบไหล่งาม

เอื้องลดาจึงดึงร่างเล็กๆออกมาพินิจมองและพยักหน้า “ฉันก็อยากพบหนูเหมือนกัน เล่าให้ฟังหน่อยสิ ว่าหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อ...”

ผู้ถามนิ่งไปเป็นครู่เพราะไม่รู้จะตั้งคำถามอย่างไรดี เธอพบหมากคำที่เมืองเก่าสะหลีคำในยุคปัจจุบันมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้นพอเธอมาอยู่ในสมัยพระเจ้าติโลกราชก็กลับได้พบเด็กน้อยอีกครั้ง

“ข้าเจ้าอยู่ที่นี่มาเมินแล้วเจ้า”

“หนูอยู่กับใครล่ะ”

“อยู่กันหลายคนเจ้า นั่น อ้ายหมากแก้วมานั่นแล้ว”ประโยคท้ายนั้นเด็กหญิงพูดพร้อมกับชี้

เอื้องลดาหันมองตาม เห็นร่างของเด็กชายร่างผอมกำลังเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นๆ แต่ก็ยังปรามน้อง “หมากคำออกมาให้คนเห็นได้จะใด”

ฝ่ายน้องสาวทำปากยื่นเกือบติดจมูกก่อนเถียง “น้องบ่ได้ทำอะไรเลยอยู่ดีๆน้าเอื้องก็มองเห็นน้องได้เอง”

หลังฟังถ้อยคำของหมากคำแล้ว เอื้องลดาจึงฉุกคิดว่า คงเป็นเพราะแหวนนาคที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีเซ้นส์พิเศษเช่นนี้เป็นแน่

“อย่าดุน้องเลยหมากแก้ว น้องเขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี่”

“แต่พ่อพญาสั่งเอาไว้ว่าบ่ให้เฮาสองคนออกมาหลอกคน”

“พวกหนูก็ไม่ได้หลอกใครนี่นา ฉันเห็นพวกหนูเองต่างหาก”เอื้องลดาพยายามให้เหตุผล

“พ่อพญาสั่งว่า ห้ามใช้พลังให้ไผมาเห็นเฮา มันเป็นบาป”หมากแก้วยังคงเล่าจ้อยๆ

เอื้องลดาจึงหัวเราะ “ไม่บาปหรอก ก็น้าเอื้องเก่งกว่าคนอื่นนี่นา”

“บ่ต้องไปเถียงคนเก่งเพิ่นดอกหมากแก้ว”น้ำเสียงห้าวทุ้มดังขึ้น เด็กน้อยทั้งสองรีบหันขวับและย่อตัวลงนั่งคุกเข่า

เอื้องลดาจึงหันไปมองบ้างและทันทีที่ได้เห็นผู้มาใหม่รอยยิ้มจึงผุดขึ้นบนเรียวปากงาม ตัวเขาเองก็ยกมุมปากยิ้มให้เธอแต่เพียงน้อย จากนั้นจึงมองเลยไปยังสองพี่น้อยตัวจ้อย และสั่ง “ลุกขึ้นเต๊อะ แล้วพากันไปเล่นได้แล้ว”

“เจ้า” หมากแก้วหมากคำตอบรับพร้อมกันก่อนจะวิ่งและหายวับไปในที่สุด

สายลมพัดโชยมาเบาๆเอื้องลดาจึงยกมือขึ้นปัดไรผมออกจากใบหน้าของตน เช้านี้ศรีมอญเกล้าผมให้เธอแล้วทัดด้วยดอกเอื้องหอมกรุ่น จึงเหลือไรผมเล็กๆตกลงมาข้างหูดูน่ามอง
“น้องรู้แล้วแม่นก่อว่าอ้ายบ่ใช่คน น่าแปลกนักที่น้องมองเห็นวิญญาณได้”

แววตางามหม่นแสงลงยามที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา ชายร่างสูงโปร่งที่เธอมองเห็นว่ามีเนื้อหนังมังสาเช่นเดียวกับมนุษย์ผู้นี้นะหรือเป็นเพียงแค่ดวงวิญญาณ ไม่น่าเชื่อเลย

แต่ก็ต้องเชื่อ เธอจึงพยักหน้า “ค่ะ ฉันรู้แล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมองเห็นคุณดลซ้อนอยู่ในร่างของคุณอยู่ตลอด”

“คุณดลคือไผ” เขาถามพาซื่อ

“คุณดลคือคนที่ฉันรู้จักค่ะ แต่ทุกครั้งที่เห็นคุณ ฉันก็รู้สึกว่าคุณคือคนคนเดียวกัน”

“อาจเป็นไปได้ว่าเฮาคือวิญญาณดวงเดียวกัน”

“จริงหรือคะ”

“อาจจะใช่ ไหนน้องลองเล่าให้อ้ายฟังสิว่ามันเป็นจะใดแต๊”

เอื้องลดาสบดวงตาไร้แววนิ่งขณะเล่าเรื่องของตนเองและนทีดลให้เขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ และทิ้งท้ายว่า “ฉันถึงแปลกใจที่เห็นภาพของเขาอยู่เสมอยามที่คุณปรากฏตัว”

เจ้าศรีหิรัญปิดเปลือกตาลง อึดใจใหญ่จึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง “เขาคือวิญญาณแห่งอนาคตของอ้าย”

เอื้องลดาย่นคิ้ว “คุณมองไม่เห็นอนาคตหรือคะ”

ผู้ถูกถามหัวเราะในลำคอ “อ้ายเป็นอารักษ์ฮักษาเมือง แต่บ่ใช่ผู้วิเศษ บ่ได้หยั่งรู้ทุกเรื่องแต่หากใคร่รู้ก็ต้องตั้งจิตตั้งใจทำสมาธิ จึงมองเห็นว่าเขาผู้นั้นคือตัวอ้ายในภายภาคหน้า”

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ คุณคืออดีตชาติของคุณดล แล้วฉันเองก็ย้อนกลับมาพบกับคุณด้วยอิทธิฤทธิ์ของแหวนวงนี้”เธอสรุปพลางยกนิ้วก้อยให้เขาดู”

“แหวนไหนรึ”เจ้าศรีหิรัญถามเมื่อเห็นว่านิ้วของสาวเจ้าว่างเปล่า

เธอเคลื่อนสายตามองตามก่อนจะร้อง “อ้าว มันอยู่ที่ร่างของฉัน เอ่อ หมายถึงร่างในอนาคตน่ะค่ะ”

“อย่างนั้นน้องลองบอกอ้ายมาว่าแหวนมีลักษณะอย่างใด”

“เป็นแหวนเกลี้ยงทำจากนาคค่ะ”

คำตอบของเธอทำให้เขาพยักหน้าแล้วยิ้มเศร้าๆ “แหวนนั่นดอกรึ มันเป็นแหวนที่พ่อครูอินถามอบให้เฮาสองคนเพื่อปกปักฮักษา”

“มิน่าเล่ามันถึงมี 2 วง เอ่อ คุณช่วยเล่าถึงอดีตให้ฉันฟังหน่อยสิ เผื่อฉันจะได้หาคำตอบให้ตัวเองได้ว่า ทำไมถึงต้องย้อนมาที่นี่อีกครั้ง”

เจ้าศรีหิรัญพยักหน้า “ได้ แต่บ่ใช่ยามนี้”

“อ้าว ทำไมคะ”

ร่างสูงโปร่งค่อยๆเลือนหายไปโดยไม่ตอบคำถามเธอ ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงนาทีเสียงของศรีมอญก็ดังขึ้นแทน “เจ้าเอื้องเจ้า ได้แล้วเจ้า ข้าเจ้ามาช้าเพราะต้องไปเซาะหาใบต๋องมาทำสรวยดอกไม้อยู่เจ้า”

เอื้องลดาทำหน้าเซ็ง หันไปตอบ “ไม่เป็นไร”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:20 am

บทที่ ๑๓ หนึ่งในดวงใจ


1233611_523058217771984_2101229507_n.jpg
1233611_523058217771984_2101229507_n.jpg (58.58 KiB) เปิดดู 10106 ครั้ง



ร่างสูงหมุนคว้างอยู่กลางที่โล่งอันเต็มไปด้วยหมอกสลัว เสียงสะล้อซอซึงดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล พร้อมๆกับที่หญิงสาวผู้มีดวงหน้าหวานละมุนก้าวเข้ามาหา

“คุณเอื้อง!” เขาเปล่งเสียงเรียกชื่อเธอด้วยความตื่นเต้น

ผู้ถูกเรียกคลี่ยิ้มบางเบา ขานรับ “คะ คุณดล”

ความยินดีทำให้ชายหนุ่มปราดเข้าไปดึงมือเรียวของหญิงสาวมากุมเอาไว้แน่นราวกับเกรงว่าจะมีใครหรือสิ่งใดมาทำให้พรากจาก “คุณไปอยู่ไหนมา”

“เอื้อง อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคุณหรอกค่ะ”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ฟื้นล่ะครับ”

“ทุกอย่างมีจังหวะเวลา และเอื้องมีหน้าที่ต้องทำให้เสร็จ”

มือใหญ่ซึ่งกุมมือเรียวเอาไว้กระชับแน่นขึ้น ขณะจ้องหน้านวล “ผมรอคุณอยู่ทุกวัน สัญญาสิว่าจะกลับมา”

ดวงตากลมโตจรัสประกายหวานสานสบดวงตาเรียวคมของเขา จากนั้นเรียวปากบางได้รูปสวยจึงขยับยิ้มกว้างขวางก่อนให้คำมั่น “สัญญาค่ะ”

ทั้งที่ดวงตายังสบกัน แต่หญิงสาวกลับดึงมือคู่งามออกจากการเกาะกุมของเขา รอยยิ้มยังปรากฏในหน้ายามที่เธอหมุนตัวเดินกลับสู่หลังม่านหมอก หากชายหนุ่มเองก็ยังไม่ละความพยายามง่ายๆ เขาวิ่งตามไปและรวบร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขนจากทางด้านหลัง “ผมไม่ให้คุณไป กลับไปกับผมเถอะนะ”

“เอื้องจำเป็นต้องไปค่ะ”

“ไม่”ลำแขนแกร่งรัดรึง น้ำเสียงของเขาเร่งเร้า “กลับไปด้วยกันเถอะนะ ทุกคนเป็นห่วงคุณมาก”

มือนิ่มละมุนจับแขนของเขาเอาไว้ ค่อยๆดึงออก ก่อนที่เธอจะหันกลับไปเผชิญกับชายหนุ่มอีกครั้ง “แหวนนาคจะทำให้สื่อสารกันได้ แต่จิตคุณต้องนิ่งพอ อย่าร้อนรน”

เขาสั่นหน้าช้าๆ “ผมเป็นห่วงคุณ ใจผมว้าวุ่นไปหมด”

“แต่คุณต้องทำให้ได้ค่ะ แล้วคุณจะรู้ทุกอย่างที่คุณอยากรู้และได้ช่วยเหลือเราด้วย”

“เรา”นทีดลนิ่วหน้าย้อนถาม “คุณกับใคร”

คำถามของเขาจุดประกายรอยยิ้มบนใบหน้าเธออีกครั้ง “เอื้องกับคุณไงคะ”

“คุณกับผม หมายความว่าไง...”
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:21 am

“คุณดล คุณดลคะ” เสียงเรียกชื่อเขาดังแว่วๆแล้วจึงค่อยดังขึ้นเรื่อยๆจนชายหนุ่มที่นั่งหลับอยู่หน้าห้องฉุกเฉินสะดุ้งตื่น

ภาพที่ปรากฏในสายตาคือร่างของนาถนรีซึ่งอยู่ในท่าทีเคร่งเครียดยืนอยู่ตรงหน้า

“คุณนัทมากับใคร”

“นัทขับรถมาเองค่ะ จริงๆมาถึงตั้งนานแล้วเห็นคุณหลับอยู่ก็เลยไม่อยากกวน แต่เดี๋ยวคุณหมอจะย้ายน้องเอื้องไปนอนห้องพิเศษแล้วค่ะ เลยต้องปลุกคุณให้ไปด้วยกัน”

“คุณเอื้องเป็นไงบ้าง”

“ยังไม่ฟื้นค่ะ แต่ตรวจเช็คระบบในร่างกายแล้วทุกอย่างก็ปกติดี”

นักธุรกิจหนุ่มพยักหน้า “เมื่อกี้ผมฝันถึงคุณเอื้อง เธอบอกว่า ถ้าเธอทำหน้าที่ของเธอเสร็จแล้วจะกลับมาเอง”

คนฟังจ้องคนพูดเขม็ง “คุณคงคิดมากเลยเก็บไปฝันน่ะ”

“แต่มันเหมือนจริงมากๆเลยนะคุณนัท”

นาถนรีสั่นหน้า “หลายๆคนก็อินกับความฝันมากค่ะ บางคนฝันถึงใครที่ไม่เคยรู้จักแล้วผูกพันกับเขา เฝ้ารอเขา ทั้งๆที่ไม่มีตัวตนเลยก็มี”

“แต่คุณเอื้องบอกว่าแหวนนาคจะทำให้ผมสื่อกับเธอได้ ถ้าจิตผมนิ่ง”เขาพยายามเล่าต่อ

คราวนี้คิ้วของนาถนรีเลิกขึ้นข้างหนึ่ง “จริงสิ แหวนนาคนั่น น้องเอื้องบอกว่าเคยทำให้เธอได้พบกับอะไรแปลกๆหลังจากที่สวมมัน”

“ใช่ ผมถึงเชื่อคำพูดของเธอ แม้จะแค่ในฝันก็ตาม”สำหรับเขาแล้ว ความเชื่ออันเต็มไปด้วยความหวังมีค่าควรเชื่อมั่นเสมอ

“นัทก็ได้แต่หวังว่าเอื้องจะหาย”นาถนรีบอกความในใจเสียงแผ่ว “บ่ายนี้คุณพ่อคุณแม่ของเอื้องจะขึ้นมา นัทไม่รู้ว่าจะสู้หน้าท่านยังไง นัทผิดที่ดูแลน้องไม่ดี”

นทีดลลุกขึ้น วางมือลงบนไหล่ท้วมเบาๆ “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับ เราต้องหนักแน่น พรุ่งนี้ผมจะช่วยอธิบายกับคุณพ่อคุณแม่คุณเอื้องเอง”

“ขอบคุณมากค่ะ”นาถนรีฝืนยิ้มทั้งที่ใบหน้ายังดูหม่นหมองเหลือเกิน

“ขอทางหน่อยค่ะ” เสียงพยาบาลสาวดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินเปิดกว้างและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้ซึ่งมีเอื้องลดานอนหลับตาพริ้มอยู่ออกมา สองหนุ่มสาวจึงเบี่ยงตัวหลบก่อนจะก้าวตามคนกลุ่มใหญ่นั้นไปในภายหลัง
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:21 am

“เจ้าเอื้อง เจ้าเอื้องเจ้า” เสียงแผ่วของศรีมอญปลุกหญิงสาวซึ่งนั่งพิงฝาเรือนอยู่ให้ตื่นขึ้นพลางเตือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่ตนเองนั่งแหมะลงบนพื้นระดับต่ำกว่า “เจ้าเอื้องบ่ดีมาหลับกลางเติ๋นอย่างนี้นาเจ้า มันบ่งาม”

เอื้องลดาเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความงัวเงีย “ก็ฉันง่วงนี่ศรีมอญ อยู่ดีๆก็เหมือนกับจะหมดแรงไปเสียดื้อๆอย่างนั้นแหละ”

จริงสิ อยู่ดีๆเธอก็เกิดความง่วงงุนขึ้นมาราวกับกินยานอนหลับไปสักสามเม็ด จึงไม่สามารถครองสติตนเองเอาไว้ได้

อาจจะเป็นเพราะนทีดลต้องการติดต่อกับเธอกระมัง เธอจึงฝันเห็นเขา

ภาพทุกภาพยังแจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นจริงๆเมื่อไม่นานมานี้ อ้อมแขนของเขาที่โอบกอดเธอเอาไว้ยังอุ่นไอในความรู้สึก แล้วสายตาคู่นั้นอีกล่ะ เหตุใดเธอจึงจำได้แม่นยำเหลือเกิน

“ถ้าเจ้าเอื้องง่วง ข้าเจ้าจะพาไปนอนในเรือนนอนเจ้า”ศรีมอญบอกพลางทำท่าจะเข้ามาประคอง

ทว่านายสาวกลับสั่นหน้า “ไม่ละ ฉันแค่งีบไปเฉยๆ ตอนนี้หายง่วงแล้ว ว่าแต่มีอะไรให้ทำบ้างล่ะ อยู่บ้านนี้ฉันเหงาเหลือเกิน หนังสือก็ไม่มีอ่าน...”เอื้องลดาเบรกคำว่า ทีวีก็ไม่มีดูเอาไว้บนริมฝีปากได้ทัน มิเช่นนั้นคงต้องนั่งอธิบายกันยาวเป็นแน่ เพราะสาวโบราณอย่างศรีมอญย่อมไม่รู้จักโทรทัศน์ กระนั้นก็ยังมิวาย “อ่านกาเจ้า เจ้าเอื้องจะอ่านที่เพิ่นจารไว้กาเจ้า”

เอื้องลดาอมยิ้ม “ใช่ ฉันอยากอ่าน”

“เดี๋ยวข้าเจ้าจะไปเอามาให้”ว่าแล้วศรีมอญก็ลุกพรวดขึ้น เดินลิ่วๆไปหลังเรือนโดยไม่รอ

ฝ่ายเอื้องลดานั้นแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด แต่เธอก็มิได้ทักท้วงเพราะอยากรู้ว่า
หนังสือในสมัยโบราณนั้นเป็นอย่างไร

ไม่นานเกินรอนางก็กลับมาพร้อมกับพับสาปึกหนึ่ง เมื่อนั่งคุกเข่าลงเรียบร้อยแล้วนางจึงยื่นมันให้ผู้เป็นนาย “นี่เจ้า”

เอื้องลดายื่นมือออกไปรับพับสาเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดู ภายในกระดาษสาที่พับซ้อนกันเป็นชั้นๆโดยเชื่อมกระดาษให้ยาวต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นตัวอักษรล้านนาโบราณที่ถูกจารลงบนเนื้อกระดาษทุกๆหน้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย “นี่เรียกว่าตัวเมืองใช่ไหมศรีมอญ”

“เจ้า เป็นตัวเมืองเจ้า”

“ฉันอ่านไม่ออกหรอก”

ศรีมอญหัวเราะเบาๆซึ่งน้อยครั้งที่ใครจะได้เห็นเพราะส่วนใหญ่นางจะระบายยิ้มน้อยๆเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะสมัยนี้เป็นยุคสมัยแห่งความละเมียดละไมก็ได้ เอื้องลดาจึงไม่ค่อยเห็นสตรีนางใดหัวเราะลั่นดังเช่นคนในยุคที่เธอจากมา “ข้าเจ้าก็ว่าอย่างนั้นแหละเจ้า นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเจ้าเอื้องให้เอาพับสามาให้ทำไม ในเมื่อคนที่อ่านตัวเมืองออกก็มีแต่ผู้ชายเท่านั้น”

“มีแต่ผู้ชายเหรอ แล้วเขาเรียนกันที่ไหนล่ะ ฉันเคยได้ยินว่าต้องเรียนกันในวัดใช่ไหม”

“เจ้า ต้องไปเรียนในวัด แต่ถ้าเป็นเจ้านายทั้งหลายจะมีพ่อครูมาสอนให้ที่คุ้มเจ้า”ศรีมอญเล่าฉาดฉานแต่แล้วกลับชะงัก “เจ้าเอื้องอู้เหมือนบ่รู้เรื่องนี้”

เอื้องลดายอมรับ “ก็ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆนี่นา”

“อ้าว มันเป็นเรื่องทั่วๆไปไผๆก็รู้กัน เจ้าเอื้องนี่ชอบอู้เล่นบ่อยเนาะเจ้า”ศรีมอญบ่นอุบ

“ถ้าฉันบอกอะไร เธอจะเชื่อฉันหรือเปล่าศรีมอญ”เอื้องลดาหยั่งเชิง เธอคิดว่าควรจะมีใครมาเป็นคู่คิดสักคน และศรีมอญนี่แหละที่น่าจะไว้ใจได้มากที่สุด

“เจ้าเอื้องเป็นเจ้าชีวิต บ่มีเหตุผลอันใดที่ข้าเจ้าจะบ่เชื่อนี่เจ้า”

ผู้ถูกอุปโลกน์ให้เป็นเจ้าชีวิตประสานสายตากับผู้พูด ศรีมอญจึงรีบก้มหน้างุดด้วยมิอาจต่อตาผู้เป็นนาย แต่หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีนางก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เหตุเพราะตกใจต่อประโยคถัดไปของนายสาว

“ฉันไม่ใช่เอื้องนวล ฉันเป็นคนที่มาจากอนาคต”

ศรีมอญทำท่าครุ่นคิด “มาจากอนาคต”

“ใช่ ฉันไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ อืม ว่าแต่ปีนี้ปีอะไร”

ศรีมอญทำหน้างง “เจ้าเอื้องบ่รู้แต๊กาเจ้าว่าปีนี้เป็นปีสี”

ถึงเวลาที่เอื้องลดาจะเป็นฝ่ายงงบ้าง เธอจึงย้อนถามทันควัน “ปีสีคืออะไรศรีมอญ”

“ปีสีก็ปีงูใหญ่จะใดล่ะเจ้า”

เอื้องลดาพยักหน้าพลางประมวลความคิดว่าปีสีของศรีมอญก็คือปีมะโรงนั่นเอง “ฉันอยากรู้ว่าปีนี้พ.ศ.อะไรมากกว่า”

ศรีมอญกะพริบตาปริบๆจ้องมองผู้เป็นเจ้านายนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถาม “พอศอคืออะหยังเจ้า”

เอื้องลดาใช้เล็บจิกอุ้งมือตนเองเต็มแรงเพื่อกลั้นไม่ให้หลุดขำออกมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคงจะไม่เข้าใจเรื่องการใช้ตัวย่อ “หมายถึงพุทธศักราชน่ะ ตอนนี้ปีพุทธศักราชอะไร”

“พุทธศักราช 2015 จุลศักราช 834 เจ้า”

ฝ่ายเจ้านายหรี่ตาลงเล็กน้อยคำนวณตัวเลขในใจก่อนจะเปรยออกมา “ถ้างั้นปีนี้ก็ประมาณ 500 ปีก่อนที่ฉันจะเกิด”

ศรีมอญนั่งฟังนิ่ง ไม่ต่อคำใด

“ฉันหัวฟาดพื้นสลบไป หลังจากนั้นดวงจิตก็หวนมาที่นี่ ซึ่งเป็นการย้อนอดีตถึงห้าร้อยกว่าปี”

“เจ้าเอื้องหมายถึงสิ่งใดกัน ข้าเจ้าบ่เข้าใจ”

“เธอไม่เข้าใจอะไรล่ะศรีมอญ”

ศรีมอญขยับเปลี่ยนท่านั่งพลางถาม “ถ้าดวงจิตมาอยู่ในร่างนี้ แล้วเจ้าเอื้องนวลล่ะเจ้า เพิ่นหายไปไหน”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน จิตเธออาจจะล่องลอยไปที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ยังอยู่ในร่างเดิมโดยที่ฉันเข้ามาทับซ้อนอีกที”

“หมายถึงร่างเดียวกันแต่มีวิญญาณสองดวงงั้นฤๅเจ้า” ศรีมอญยังทำหน้างงๆ

“ใช่ ฉันคิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ

“เจ้าเอื้องอู้แต๊กาเจ้า” ศรีมอญระแวง

ดาราสาวจึงหัวเราะ “ว่าแล้วว่าเธอต้องไม่เชื่อ แต่ช่างเถอะ ถือว่าฉันมาไม่พูดอะไรก็แล้วกันนะ”

จบประโยคสุดท้ายของเธอ สายตาของเอื้องลดาก็เหลือบไปเห็นว่ามีใครบางคนกำลังชะโงกหน้าขึ้นมาที่หัวบันได และเมื่อเห็นเธอนั่งอยู่หมื่นศีลธรรมจึงคลานเข่าเข้ามารายงาน “เจ้าสัมฤทธิ์เชิญให้เจ้าเอื้องไปเข้าเฝ้าเจ้า”

“เจ้าพ่อกลับมาแล้วเหรอ อยู่ที่ไหนล่ะ”

ชายคนเดิมจึงตอบพลางชี้ “อยู่ที่ศาลาท่าน้ำเจ้า”

“บอกเจ้าพ่อด้วยว่าเดี๋ยวฉันจะตามไป” เอื้องลดาสั่งพลางลุกขึ้นยืนและก้าวลงบันไดไปอย่างช้าๆ จวบจนไปถึงศาลาซึ่งตั้งอยู่ริมสระบัว หญิงสาวจึงนั่งลงในระยะที่ห่างจากเจ้าสัมฤทธิ์พอสมควร “ลูกจะต้องเข้าไปถวายการรับใช้เจ้าป้ายังเวียงแก้วแล้วนะเอื้องนวล”

“เจ้าป้า หมายถึงองค์มหาเทวีใช่ไหมคะ”

“แม่นละ วันนี้เจ้าป้าสั่งพ่อมาว่าให้ลูกเข้าเวียงแก้วได้แล้ว เหตุเพราะท้าวบุญเรืองจะเสด็จถึงเมืองเฮาในวันมะรืน”

“เข้ามาด้วยเรื่องที่เจ้าจอมหอมุกร้องเรียนท่านน่ะหรือคะ”

“ถูกแล้ว พ่ออยากจะให้ลูกจับตาเจ้าจอมให้ดี เพราะพ่อกับพญาแสนหลวงได้เห็นพ้องต้องกันว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าจอมจักสมคบกับเถรเฒ่าให้ร้ายเจ้าบุญเรืองซึ่งเป็นเจ้าอุปราช”

เอื้องลดานิ่งคิด น่าเสียดายนักที่เธอมิได้ศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาให้ถ่องแท้ก่อนมาที่นี่ จะมีก็เพียงความรู้งูๆปลาๆเท่านั้นจะช่วยได้แค่ไหนก็ไม่รู้

“เหตุใดเจ้าจอมถึงทำแบบนั้นเล่าเจ้าพ่อ”

“ก็นางต้องการให้โอรสของนางขึ้นเป็นอุปราชแทนท้าวบุญเรือง”เจ้าสัมฤทธิ์เฉลย “อีกอย่างก็คือนางกำลังริษยามหาเทวี หากวันหน้าโอรสของนางได้เป็นใหญ่ก็จะได้ยกตนขึ้นเหนือมหาเทวีจะใดเล่า”

“ลูกเข้าใจแล้วค่ะเจ้าพ่อ” เอื้องลดาใจเต้นตุบตับ เธอกำลังจะเดินเข้าไปสู่อีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ล้านนาหรือนี่

“นั่นล่ะ การที่ท้าวบุญเรืองจะเสด็จมาถึงในวันพูก เจ้าจอมก็หมายจักให้พ่อพญาประหารชีวิตพระโอรสให้ได้”

“ถึงขั้นขนาดประหารกันเลยหรือนี่”

เจ้าสัมฤทธิ์พยักหน้า “การผลัดแผ่นดินก็ย่อมมีการชิงดีชิงเด่นเช่นนี้แหละ หากบ่ฆ่าให้ตาย นางก็คงจะเกรงว่าท้าวบุญเรืองจักเป็นเสี้ยนหนามต่อไปภายหน้า ลูกจะรับปากพ่อได้หรือไม่เอื้องนวล”

เมื่อรู้เหตุผลจนกระจ่างถึงขั้นนี้แล้ว ดาราสาวจากยุคปัจจุบันจึงตอบรับ “เจ้า ลูกยินดี”

เฮ้อ!มันคงจะไม่ต่างจากการแสดงละครสืบสวนสอบสวนเท่าไรหรอกน่ะ
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย น้ำฟ้า » อาทิตย์ 09 ก.พ. 2014 9:22 am

หลังก้าวออกมาจากศาลาริมน้ำแล้วเอื้องลดาจึงเดินใจลอยจนมาถึงเขตเมืองเก่าโดยไม่รู้ตัว ใจเธอพะวงถึงภาระอันหนักอื้งของตนในวันพรุ่งนี้ สองมือของเธอนั้นจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้อย่างไร ในเมื่อตามที่ศึกษามานั้น หลังจากท้าวบุญเรืองมาถึงเมืองเชียงใหม่ พระองค์ก็จะถูกประหารชีวิตเช่นเดียวกับขุนทหารอีกหลายนายที่ต่างก็ถูกใส่ร้ายป้ายสี

“เหตุใดน้องจึงดูเคร่งเครียดนักเล่า”น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังก้องหูทำให้เอื้องลดาต้องหันซ้ายแลขวาหาต้นตอของเสียง

ชั่วเสี้ยววินาที เจ้าศรีหิรัญจึงปรากฏตัวตรงหน้าเธอในระยะห่างที่พอสมควร สายตาคมนั้นยังมองมาด้วยความห่วงใย ขณะที่เจ้าตัวยืนนิ่งรอคำตอบ

“ในวันพรุ่งนี้เอื้องต้องเข้าไปในเวียงแก้ว เพื่อเข้าเฝ้าพระมหาเทวี แต่เอื้องรู้สึกกังวลใจที่ไม่รู้ประเพณีล้านนาเลย แถมยังพูดคำเมืองไม่ได้อีกด้วย”

“เป็นจะใดถึงอู้เมืองบ่ได้ ในเมื่ออ้ายก็เคยเห็นน้องอู้มาตลอด”

“เอื้องไม่ใช่คนที่นี่ ไม่ใช่เจ้าเอื้องนวล และที่สำคัญเอื้องไม่ใช่คนยุคนี้ เอื้องมาจากอีกห้าร้อยกว่าปีข้างหน้า มาจากอนาคตค่ะ”

“ถ้าน้องบ่ได้อู้เล่น นั่นก็แปลว่าน้องมาจากภพอื่นเป็นแน่แท้”สรุปเรื่องของเธอแล้ว ดวงหน้าคมสันก็หันมองไปยังต้นสะหลีคำอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยเรียกใครสักคนเสียงแผ่ว “ท่านโหรา”

อึดใจเดียว เบื้องหน้าของเธอและเขาจึงปรากฏร่างของชายชราลักษณะคล้ายพราหมณ์นั่งคุกเข่ารออยู่ ท่าทางว่าเจ้าศรีหิรัญจะเป็นใหญ่กว่าใครทั้งปวงในเมืองแห่งนี้ ทุกคนจึงดูเคารพนบนอบเขาเสียเหลือเกิน

“ท่านโหรา ท่านจงตรวจดูดวงชะตาราศีของนางดูว่าเป็นจะใด เหตุใดนางจึงบอกเฮาว่าเป็นคนมาจากกาลไปหน้า”บุรุษผู้มากด้วยอำนาจสั่ง

โหราจารย์น้อมรับ ก่อนจะบอกให้เอื้องลดานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วเป่าพรวดลงกลางกระหม่อมของเธอถึง 3 ครั้งด้วยกัน จากนั้นผู้ชราจึงหลับตาลง

“ร่างนี้มีดวงจิตซ้อนกันอยู่ถึงสองดวง ทว่าดวงจิตดวงใหม่ซึ่งเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกลนั้นมีพลังมากกว่าจึงมีอำนาจต่อกายหยาบนี่มากกว่าดวงจิตที่มีอยู่เดิม”

“แล้วนางจักเป็นอันตรายฤๅไม่ในยามอยู่ที่นี่”เจ้าศรีหิรัญเป็นผู้ถาม

“เคราะห์ร้ายนั้นบ่มีดอกพ่อพญา แต่จะมีคนปองร้าย ต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี”

“แล้วต้องกังวลสิ่งใดอีกนอกจากนี้”เจ้าศรีหิรัญซักต่อ

“บ่มีแล้วเจ้า”

“เอาล่ะ เชิญท่านตามสบายเต๊อะโหรา”

จบประโยคนั้นโหราจารย์ก็หายวับไปทันใด

เอื้องลดาเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ที่ยืนมองเธออยู่ด้วยความรู้สึกสับสน เหมือนเจ้าศรีหิรัญจะรู้เรื่องของเธอไปเสียทุกอย่าง และถ้าไม่คิดไปเองดูคล้ายเขาจะใส่ใจเธออยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะเหตุใดกันนะ

“เดี๋ยวอ้ายจะให้หมากคำโตยน้องเข้าไปในเวียงแก้ว จะได้คอยให้ความช่วยเหลือน้องได้”

“แล้วหมากคำจะเข้าไปข้างในได้หรือคะ”

เจ้าศรีหิรัญพยักหน้า “ได้ หมากคำเป็นดวงวิญญาณบริสุทธิ์ อารักษ์เจ้าที่เจ้าทางแห่งเวียงแก้วบ่หวงห้ามดอก”

“ขอบคุณมากค่ะ เอ่อ ว่าแต่ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม” เอื้องลดาตัดสินใจถามถึงสิ่งที่คาใจอย่างตรงไปตรงมา

“ถามมาเต๊อะ อ้ายบ่ได้ปกปิดอะหยังน้องเลย”

“ทำไมคุณถึงคอยช่วยเหลือเอื้องและรู้เรื่องของเอื้องไปเสียแทบทุกอย่าง” ถามพลางหญิงสาวก็จ้องหน้าผู้ถูกถามอย่างไม่เกรงกลัว

เจ้าแห่งอนันตกาลขยับเรียวปากขึ้นยิ้ม จากนั้นจึงตอบอย่างฉาดฉาน “เมื่อครั้งที่อ้ายยังเป็นมนุษย์เฮาเคยร่วมบุญกันมาก่อน”

“ร่วมบุญ หมายถึงเป็นสามีภรรยากันหรือเปล่าคะ” หญิงสาวย้อนถามหน้าตื่น แต่เมื่อถามแล้วกลับเกิดความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั้งพวงแก้ม

“แม่นละ น้องเคยเป็นชายาของอ้าย”

“แล้วหมากแก้วหมากคำล่ะคะ”

“ละอ่อนทั้งสองเป็นหลานของน้อง เมื่อน้องมาอยู่ในเวียงแก้วก็พาทั้งสองมาโตย”
มิน่าเล่า เธอจึงรู้สึกดีกับเด็กน้อยทั้งสองอย่างประหลาด

“ฉันชักอยากรู้เรื่องราวของตัวเองเมื่อครั้งอดีตชาติแล้วสิคะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม”เอื้องลดาเอ่ยขอร้องเสียงอ่อน

เจ้าศรีหิรัญยังคงมองหญิงสาวด้วยสายตาหวานละมุน ขณะตอบ “เอาล่ะ น้องจงหลับตาลง แล้วน้องจักได้เห็น”

เหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตจึงแจ่มชัดในมโนนึกของหญิงสาวอีกครั้ง ตามคำบอกเล่าของเขาผู้เป็นอดีตพระสวามีในชาติปางก่อน
ผู้หญิงธรรมดา..แต่ใจมันด้านชาผู้ชาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
น้ำฟ้า
นักเขียนแห่งปี
นักเขียนแห่งปี
 
โพสต์: 886
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 11 ก.ค. 2008 10:19 am

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:40 pm

นวนิยายตราบสิ้นอสงไขย บทที่ ๑๔ สายสัมพันธ์

มาถึงบทนี้แล้วต้องขออธิบายก่อนนะคะ ท่านต้องสังเกตปีพ.ศ.ให้ดี มิเช่นนั้นแล้ว
การอ่านไม่ต่อเนื่องในเว็บจะทำให้ท่านงงได้ค่ะ

ปีสี จุลศักราช ๘๓๔ พุทธศักราช ๒๐๑๕ มีเจ้าศรีหิรัญและเจ้าเอื้องนวล
ปีไส้ จุลศักราช ๓๑๙ พุทธศักราช ๑๕๐๐ มีเจ้าศรีหิรัญและเอื้องฟ้า


บทที่๑๔



ปีใส้ จุลศักราช ๓๑๙ พุทธศักราช ๑๕๐๐ (ฉากนี้เป็นตอนที่เจ้าศรีหิรัญเล่าอดีตให้เอื้องลดาฟังนะคะ อย่างง อิอิ)

แดดยามบ่ายแก่ๆส่องลอดกิ่ง ใบ ไม้เต็งต้นใหญ่ลงมาเป็นสาย แสงสีทองรำไรไล้กลีบเอื้องแซะช่องามจนเป็นสีทองระเรื่อ เช่นเดียวกับเอื้องผึ้งที่เกาะเกี่ยวอยู่บนก้อนหินชื้นๆเหนือชะง่อนผาชะอุ่มปกคลุมด้วยดอกไม้ป่าต้นเล็กๆซึ่งกำลังไหวระริกล้อสายลม

เสียงแมลงไพรกรีดปีกดังระงม ผีเสื้อหลากสีบินวนเวียนไปมาราวกับกำลังเริงระบำไปกับท่วงทำนองที่ธรรมชาติจัดสรรให้ ไกลออกไป ได้ยินเสียงช้างป่าร้องดังแปร๋นๆ ทำให้ผู้ที่กำลังเดินมายังธารน้ำตกต้องชะงักเท้า ชะเง้อชะแง้มอง หากไม่นานเสียงนั้นก็ห่างไกลออกไป ทั้งสองจึงหันมาใส่ใจกับความงดงามของน้ำตกสูงชันที่อยู่เบื้องหน้าแทนด้วยความโล่งใจ

มือเรียวเฉลาวางย่ามสีเปลือกไม้ลงบนโขดหินก้อนใหญ่ข้างธารน้ำใสซึ่งไหลรินมาจากน้ำตกสูงเบื้องหลังแล้ว ผู้ที่อยู่ในชุดเสื้อคอตั้งแขนยาวตัวยาวเกือบเท่าผ้าต้อยสีเทาเข้มที่เจ้าตัวสวมใส่ก็กระตุกปมผ้าคาดเอวสีน้ำตาลแก่ออกจากตัว จากนั้นจึงเอี้ยวตัวไปบอกผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลัง “ได้สมุนไพรมาจนครบแล้ว ลงไปเล่นน้ำตกกันก่อนเต๊อะเครือออน”

หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาว คอปิด สีบานเย็นซึ่งยาวพอดีขอบผ้าซิ่นสีแดงเลือดนกพยักหน้าตอบ ดวงตาเป็นประกาย “ดีเหมือนกัน ฝ่าแดดร้อนมาตั้งเมินแล้ว”

แต่แล้วอยู่ดีๆผู้เอ่ยชวนก็กลับชะงัก ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายเงียบเสียงพลางเงี่ยหูฟัง “มีเสียงม้าวิ่งมาทางนี้ อาจจะมีคนมา ระวังตัวให้ดีเครือออน”

“ทำอย่างไรดีล่ะเอื้องฟ้า”เครือออนทำหน้าตาตื่น ด้วยเห็นว่าจุดที่ทั้งสองคนนั่งอยู่นั้นเด่นชัดเกินกว่าจะหลบสายตาใครได้ ในเวลาอันกระชั้นเช่นนี้หากมีโจรป่าบุกเข้ามาจะทำอย่างไร ตัวของนางเองก็มิเคยเรียนเชิงดาบเชิงมวยมาก่อน หากเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง ใครเล่าจักเป็นผู้ช่วยเอื้องฟ้าต่อสู้ศัตรู

แม้เพื่อนจะกำลังใจหายใจคว่ำแต่เอื้องฟ้ากลับตีหน้าเฉย ดวงตากลมโตของนางจับจ้องไปยังชายป่าซึ่งเป็นทิศทางของเสียงฝีเท้าม้าด้วยใจจดจ่อ ขณะที่มือเรียวนั้นพันผ้าเคียนเอวและผูกเอาไว้แน่น

ครู่ใหญ่ภาพม้าสองตัวและชายหนุ่มสองคนก็ปรากฏขึ้นตรงทางโค้งลิบๆ หญิงสาวในชุดชายชาวป่าจึงยกมือขึ้นกุมมีดอุ่มเล่มน้อยซึ่งเหน็บอยู่ในผ้าคาดเอว กระชับมั่นพร้อมจู่โจม
ม้าวิ่งตรงมา เมื่อชายผู้เป็นเจ้าของทั้งสองคนมองเห็นว่ามีคนนั่งอยู่จึงหันไปปรึกษากันแล้วกระตุกเชือกเพื่อให้ม้าชะลอฝีเท้า

จังหวะเดียวกับที่เอื้องฟ้าลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแต่ก็รักษาระยะห่างพอสมควรเพื่อระวังภัย

“ที่นี่คือเขตติดต่อระหว่างเมืองเชียงมั่นกับเมืองอนันตกาลแม่นก่อบ่าวหน้อย”ผู้ที่ควบคุมม้าตัวหน้าเอ่ยถาม ชายผู้นี้เป็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวดำแดง น้ำเสียงดุดัน หากดวงตากลับมีแววขี้เล่นซ่อนอยู่

ผู้ถูกเรียกว่าหนุ่มน้อยพยักหน้า “ แม่นละ ท่านจะไปที่ใดกันล่ะ”

“เฮาเดินทางมาไกล จักไปบ้านป้อครูอินถา เจ้ารู้จักทางไปก่อ”

ชื่อของพ่อครูอินถาทำให้คิ้วของเอื้องฟ้าขยับเข้าหากัน เนื่องจากครูดาบผู้นั้นคือบิดาบุญธรรมของนางเอง “เฮารู้จักดี ท่านจะไปหาพ่อครูด้วยเหตุอันใดล่ะ จะไปเรียนเชิงดาบรึ”

ชายผู้ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าตัวหลัง ขับม้าเข้ามาขนาบข้างคนสนิทพลางเอ่ยตอบเสียเอง “เฮาเป็นศิษย์ของพ่อครู จะมากราบท่าน”

เอื้องฟ้าเงยหน้าขึ้นมองผู้ตอบแล้วกลับต้องหลบตาวูบ ด้วยมีบางอย่างในแววตาคมกล้าคู่นั้นทำให้นางมิอาจต่อตาได้ แต่อย่างน้อยการได้รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องอย่างไรกับบิดาก็ทำให้หญิงสาวโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง “เป็นศิษย์แล้วจะใดจึงไปบ่ถูก”

“เฮาสำเร็จวิชามาหลายปีแล้วก็ย่อมหลงลืมบ้างเป็นธรรมดา”เขาผู้นั้นยังคงตอบเสียงเรียบ

“อย่างนั้นเฮาจะพาท่านสองคนไปเอง แต่มีข้อแม้...”

“ข้อแม้จะใด”ลูกศิษย์ของบิดาย้อนถามอีก

เอื้องฟ้าบุ้ยใบไปทางเครือออนที่นั่งเมียงมองมา “ท่านจะต้องสละม้าให้เฮากับเมียขี่ไปตัวหนึ่ง”

เขานิ่ง หันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่ติดตามมาด้วยพลางถาม “เจ้าว่าจะใดสิงห์คำ”
สิงห์คำขมุบขมิบปากตอบเบาๆ “เฮายินดียิ่ง ราชบุตร”

เมื่อได้คำตอบจากสิงห์คำแล้วชายรูปงามจึงหันกลับมาพยักหน้ากับหนุ่มน้อยแปลกหน้า “เจ้ากับเมียขี่ม้าของคนสนิทเฮาไปก็แล้วกัน ม้าของเฮามันพยศบ่ยอมให้คนอื่นขี่”

บ่าวหน้อยผู้นำทางจึงยิ้มมุมปาก และกระดิกนิ้วไปมา “ถ้าอย่างนั้นปี้อ้ายผู้นั้นก็ลงมาได้เลย แล้วรอเฮาสักครู่ เดี๋ยวเฮาจะไปบอกเมียก่อน”

เมื่อเห็นเจ้าหนุ่มร่างเล็กจูงม้าของตนไปยังริมน้ำตกแล้ว สิงห์คำจึงเดินเข้ามาหาราชบุตรของตน เงยหน้าขึ้นขอความเห็น “จะไว้ใจได้สักแค่ไหนกันองค์ราชบุตร”

ราชบุตรศรีหิรัญแย้มโอษฐ์แต่เพียงน้อย “บ่รู้เหมือนกัน แต่เอาเต๊อะ ถ้าสองคนนั้นเป็นคนเลวจริง เฮาสองคนจักสู้บ่ได้เชียวรึ”

“สู้ได้แน่นอน” สิงห์คำตอบหนักแน่น

“ถ้าอย่างนั้นก็บ่ต้องกังวลอันใด”ราชบุตรผู้มาจากแดนไกลทิ้งท้าย หากสายตาคมปลาบก็ยังอดมองตามผู้นำทางคนใหม่อย่างระแวดระวังไม่ได้
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:42 pm

1619611_598158230267948_397771836_n.jpg
1619611_598158230267948_397771836_n.jpg (18.49 KiB) เปิดดู 10068 ครั้ง


ดวงตาสีขี้เถ้ากวาดมองชายฉกรรจ์ร่วมยี่สิบคนที่กำลังฝึกดาบสองมืออยู่กลางลานโล่งด้วยแววตาพึงพอใจ แต่แล้วเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งก็ทำให้ผู้ชราต้องหันขวับมองไปยังที่มาของเสียงนั้น

“น้าเอื้องกลับมาแล้วพ่อปู่ เอาไผมาโตยก็บ่รู้เจ้า”

พ่อปู่อินถาลุกขึ้นจากแคร่ที่นั่งพลางถาม “คนที่ว่ามีลักษณะอย่างใดเล่าหมากแก้ว”

“เป็นผู้ชายบ่าวแถ่วสองคนเจ้า มีอยู่คนหนึ่งรูปงามขนาด”

พ่อปู่ลูบศีรษะจ้อยของหลานชายแล้วจึงสั่ง “เตรียมน้ำเตรียมท่าใส่น้ำต้นไปต้อนรับเพิ่นเสีย เดี๋ยวพ่อปู่จักไปดูก่อนว่าเขาเป็นไผ”

“เจ้า”เด็กชายรับคำแล้วจึงวิ่งตัวปลิวจากไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้เป็นปู่เองก็เดินลิ่วๆขึ้นไปบนเรือนกาแลซึ่งเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนโล่งที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางดงไม้เขียวขจี

เมื่อเดินผ่านเรือนชานไปแล้วพ่อปู่อินถาจึงมองเห็นชายหนุ่มสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเติ๋นได้อย่างชัดเจน ทั้งสองแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่บ่งบอกฐานะได้เป็นอย่างดี

พ่อปู่อินถานั้นมีลูกศิษย์ลูกหามากมายนับไม่ถ้วน ชายหนุ่มตรงหน้าอาจจะเป็นใครสักคนที่เคยมาเรียนอยู่ที่นี่นานมาแล้วก็เป็นได้

“นั่นจะใดเล่าพ่อครูอินถามาละ”เอื้องฟ้าบอกพลางลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นเฮาไปละ”

“อ้าวจักรีบไปไหนล่ะบ่าวหน้อย” เจ้าอุปราชถาม

“ไปอาบน้ำ”ว่าแล้วเอื้องฟ้าก็ก้าวเร็วๆเลี่ยงไปคนละทางกับผู้เป็นบิดาซึ่งเดินมาถึงจุดที่ชายหนุ่มทั้งสองนั่งอยู่พอดี

“ไหว้สาเจ้าพ่อครู”เจ้าศรีหิรัญและสิงห์คำยกมือขึ้นไหว้หลังครูดาบของตนเดินมาถึง

พ่อครูอินถารับไหว้ก่อนจะเพ่งมองหน้าชายหนุ่มทั้งสองแล้วชั่วครู่ริมฝีปากเหี่ยวย่นก็ขยับขึ้นยิ้ม ท่าทางบ่งชัดว่าจำได้“เจ้าศรีหิรัญ สิงห์คำ ไปๆขึ้นไปนั่งบนตั่งทางโน้น เอื้องฟ้านี่น่าถูกทำโทษนัก จะใดมาปล่อยให้เจ้าอุปราชนั่งรออยู่บนเสื่ออย่างนี้ได้”

เมื่อครั้งที่เจ้าศรีหิรัญมาเรียนวิชาดาบกับพ่อครูอินถานั้น สิงห์คำซึ่งเป็นลูกชายขุนนางตำแหน่งพญาเด็กชายก็ติดสอยห้อยตามมาด้วยเพื่อเป็นพระพี่เลี้ยงและเพื่อนเล่นของราชบุตรไปในตัว

“บ่เป็นหยังดอกพ่อครู เฮาบ่ถือ”เจ้าศรีหิรัญเป็นผู้ตอบ ทว่าพ่อครูอินถาก็ยังดันทุรังพาอุปราชแห่งเมืองอนันตกาลขึ้นไปนั่งบนตั่งไม้จนสำเร็จ โดยที่ตนเองนั้นก็ถูกคะยั้นคะยอให้นั่งอยู่บนตั่งตัวถัดไป

“พ่อครูบ่ดีพิธีรีตองกับเฮานัก จะใดเฮาก็เป็นศิษย์ของพ่อครูไปจนวันตาย”

พ่อครูชราส่ายหน้า “บ่ได้ดอก ในยามร่ำเรียน เจ้าอุปราชเป็นละอ่อนตัวน้อยที่ครูต้องพร่ำสอนวิชาความรู้ บัดนี้ทรงเติบใหญ่เป็นขึ้นมาแล้ว ครูก็ต้องดูแลให้สมกับพระเกียรติยศของพระองค์ ว่าแต่ทั้งสองมาได้จะใดกัน มีธุระทางใดรึจึงแวะมาหาครูได้”

“เฮาตั้งใจจะมาไหว้สาพ่อครูนี่แหละ เมินแล้วบ่ได้มาหา อีกอย่างก็คือวันเดือนเป็ง(เดือนเป็ง : วันขึ้น 15 ค่ำ)หน้านี้ที่เมืองจะมีพิธีบรมราชาภิเษกให้เฮาขึ้นนั่งแท่นแก้วเสวยเมือง เฮาจึงอยากให้พ่อครูและทุกคนที่นี่ไปฮ่วมงานในฐานะแขกผู้ใหญ่ของเฮา และที่สำคัญหลังจากนั้นเฮาต้องการให้พ่อครูเข้าไปอยู่ในเวียงแก้วในฐานะครูดาบและที่ปรึกษาของเฮาโตย”

“บ่ดีดอก ครูอยู่ป่าอยู่เขาอย่างนี้ดีแล้ว”

“เจ้าพ่อของเฮาก็สิ้นแล้ว เหลือเพียงเจ้าแม่ซึ่งก็เป็นแม่ญ่าแม่ญิง เฮาจึงหวังพึ่งพาพ่อครูเป็นที่ปรึกษาให้เฮาอีกทางหนึ่ง แต่เฮารู้ดีว่าพ่อครูรักและห่วงลูกศิษย์ทั้งหลาย เฮาจึงตั้งใจจะยกที่ดินและสร้างเรือนเขตนอกเวียงแก้วให้พ่อครูจัดตั้งสำนักดาบ”

“แต่พ่อครูมีลูกมีหลานต้องดูแลหลายคน”แม้จะอยากช่วยศิษย์รักแต่ผู้ชราก็ยังเป็นกังวล
“พ่อครูมีลูกโตยรึ”เจ้าศรีหิรัญถามด้วยความแปลกพระทัยเนื่องจากในสมัยที่พระองค์มาร่ำเรียนวิชานั้นพ่อครูอินถากับเมียยังไม่มีลูก ครั้นต่อมาไม่นานนางศรีไพรเมียรักก็มาตายจากไปเสียอีก จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ท่านจะมีลูกหลานดังว่า

“เพื่อนฮักของครูถูกโจรป่าฆ่าตาย ครูก็เลยรับเอาเอื้องฟ้ามาเป็นลูกบุญธรรม แล้วก็ยังมีหลานของญาติห่างๆอีกสองคนที่พ่อแม่มันเป็นไข้ป่าตายหมด พ่อครูก็เลยเก็บมาเลี้ยงเอาบุญ”

“อ้อ มิน่าเล่า”เจ้าศรีหิรัญเข้าใจแล้วจึงยื่นข้อเสนอ “พ่อครูก็พาลูกหลานทั้งหลายเข้าไปอยู่ในเวียงโตยเต๊อะ เอื้องฟ้าจะได้ไปเป็นนางข้าหลวง ส่วนละอ่อนทั้งสองก็เอาไปร่ำเรียนในเวียง กาลข้างหน้าจะได้มีวิชาความรู้รับใช้บ้านเมือง”

“เอื้องฟ้าเนี่ยนะที่เจ้าอุปราชจะให้ไปเป็นนางข้าหลวง”ผู้ชายวัยหัวเราะหึหึก่อนจะพูดต่ออย่างไม่จริงจังนัก “นางชอบชกต่อย เรียนฟันดาบจะเป็นสาวชาววังกับเพิ่นได้ก่อนิ”

“ก็ให้นางลองฝึดหัดก่อน ถ้าบ่ได้แต๊ๆก็ค่อยออกมาดูแลสำนักดาบช่วยพ่อครูก็ได้” เจ้าศรีหิรัญวางแผน

พ่อครูอินถาครุ่นคิดตรึกตรองอยู่ชั่วครู่จึงพยักหน้า “อืม ถ้าอย่างนั้นพ่อครูก็เบาใจ”

อุปราชหนุ่มสดับคำผู้เป็นครูแล้วจึงแย้มโอษฐ์ให้กับสิงห์คำด้วยความพึงใจ แล้วจึงหันกลับมาพุ่มไหว้ “ไหว้สาพ่อครู เฮายินดีแต๊ๆ”

พ่อครูชรายกมือขึ้นรับไหว้พลางบอก “ครูเองก็ยินดีถวายการรับใช้บ้านเมืองอย่างสุดกำลัง”

เมื่อเหตุการณ์เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว สิงห์คำจึงถามขึ้นบ้าง “เฮาเห็นหลานน้อยสองคนของพ่อครูแล้วแต่ยังบ่ได้พบลูกสาวพ่อครูเลย”

พ่อครูอินถาจึงย้อนถาม “จะใดว่าบ่พบเล่า ไหนหมากแก้วหมากคำว่าเอื้องฟ้าเป็นคนพาราชบุตรเข้ามาบ่ใช่รึ”

สิงห์คำจึงย่นคิ้ว ทำหน้าสงสัย “คนที่พาเฮามาคือเครือออนกับผัวของนางต่างหาก”

พ่อครูนิ่งเฉยไม่เอ่ยตอบ ขณะที่เจ้าศรีหิรัญนั้นเริ่มประมวลความคิดในใจ ก่อนที่เรียวโอษฐ์สีชาดจะแย้มยิ้มเพราะนึกขำตนเอง

มิน่าเล่า เมื่อแรกเจอยังประหลาดใจอยู่เลย ว่าเหตุใดบ่าวน้อยผู้นั้นจึงอรชรอ้อนแอ้นราวกับแม่ญิง
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:43 pm

เจ้าศรีหิรัญก้าวลงจากเรือนเพื่อตามหาทหารคนสนิทเนื่องจากอีกฝ่ายบอกว่าจะลงไปดูแลม้าแต่กลับหายไปนานเหลือเกิน เมื่อพระองค์จะสรงน้ำจึงต้องออกตามหาเนื่องจากสัมภาระอยู่บนหลังม้าทั้งหมด

“สิงห์คำ”องค์อุปราชแห่งอนันตกาลดำเนินไปพลางตรัสเรียกไปพลางด้วยเสียงอันดังก้องป่า หากทหารคู่ใจก็ยังคงเงียบ ไม่มีเสียงขานรับ

เจ้าศรีหิรัญจึงลัดเลาะไปตามลำห้วยด้วยหวังว่าสิงห์คำจะจูงม้าไปกินน้ำที่นั่น
เสียงน้ำดังสาดซ่าเป็นเหตุให้อุปราชหนุ่มหวนรำลึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์วัยที่เคยมาอาบน้ำยังลำห้วยแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน

จริงสินะ เดินไปอีกหน่อยจะเจอน้ำตกเล็กๆอันมีแอ่งน้ำสีฟ้าครามอยู่ด้านล่างชะง่อนผาสูง แอ่งน้ำแห่งนั้นเป็นสถานที่โปรดของแม่ครูศรีไพรเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ คิดแล้วก็ชวนให้อาลัยแม่ครูผู้จากไป นางเป็นหญิงที่ปราดเปรียวทว่าใจดี คอยใส่ใจศิษย์ทุกคนเสมอ คงเพราะนางไม่มีลูกกระมังจึงมีใจรักและเอ็นดูลูกศิษย์วัยละอ่อนเป็นพิเศษ

บาทแกร่งเหยียบย่างไปบนผืนหญ้าเขียวชอุ่มพลางทอดพระเนตรมองดอกบัวดินสีชมพูที่ขึ้นอยู่กลางดงไมยราพริมห้วย ใกล้ๆกันนั้นมีดอกเอื้องดินสีม่วงออกดอกดารดาษอยู่ทั่วไป ดุจเดียวกับดอกฝ้ายคำกลีบสลับซับซ้อนซึ่งร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นดินจนเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งบริเวณ

สายน้ำใสไหลรี่ นานทีจะเห็นลูกมะเดื่อสีแดงสดล่องลอยมาตามลำน้ำ เจ้าศรีหิรัญจำได้ว่าครั้งยังเยาว์เคยเก็บลูกมะเดื่อข้างน้ำตกมาเล่นกับสิงห์คำ จนถึงวันนี้ไม้มะเดื่อต้นนั้นก็ยังอยู่ แล้วมะม่วงป่ารสหวานอมเปรี้ยวซึ่งขึ้นอยู่ข้างๆกันนั่นเล่า จะยังอยู่ไหมหนอ

คิดพลางรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนเรียวโอษฐ์สีสด พร้อมกับที่โสตได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาแต่ไกล

เจ้าอุปราชศรีหิรัญหมุนองค์เหลียวซ้ายแลขวาหาต้นตอของเสียง เอ...จะเป็นสาวชาวป่าหรือผีไพรแกล้งยั่วกันนะ

แล้วสายพระเนตรคมกล้าก็หันไปปะร่างระหงที่กำลังแหวกว่ายน้ำเล่นอยู่กลางน้ำตกใส นางหนึ่งนั้นทรงจำได้ดีว่าคือเครือออน ส่วนอีกนางที่เห็นเพียงแผ่นหลังขาวผ่องนี่สิ นางคือใครกัน

หรือว่า...

เฮ้อ!ตัดความสงสัยไปเถิด ไม่ดีหรอก ทรงเป็นถึงขัตติยชาติจะมาสนใจใคร่รู้โดยไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ไม่ได้ ใจหนึ่งคิด และทำให้ต้องหมุนองค์บ่ายหน้าไปสู่ทิศทางที่เพิ่งเดินจากมาอีกครั้ง

“เอื้องฟ้า ระวังงู!”

“กรี๊ด!” เสียงของหญิงสาวที่ชื่อเอื้องฟ้ากรีดร้องลั่นด้วยความอกสั่นขวัญหาย

เจ้าศรีหิรัญลืมพระองค์รีบหันหลังกลับพลางกระโจนพรวดลงสู่ลำน้ำด้วยความห่วงใยเพื่อนมนุษย์

เอาน่า ชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด

ความเย็นของลำห้วยแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกขณะเจ้าอุปราชแห่งอนันตกาลแหวกว่ายเข้าไปหาหญิงสาวซึ่งกำลังหันหลังเกาะโขดหินอยู่ริมห้วย ชั่วเสี้ยววินาทีจึงเห็นงูเขียวตัวเล็กยาวถูกกระแสน้ำพัดผ่านคนทั้งคู่ไกลออกไป

“ว้าย นี่ท่านลงมาได้จะใด”เสียงเครือออนโวยวายดังแทรกเสียงน้ำขึ้นหลังจากที่หายตกใจแล้ว

เจ้าศรีหิรัญมิทรงตอบ แต่กลับใช้หัตถ์ใหญ่ลูบพักตร์คมสันของตนเลยขึ้นไปจนถึงเส้นเกศาที่เปียกลู่พระเศียรได้รูป ส่วนสายพระเนตรหรือก็จับจ้องร่างงามที่เห็นเพียงแผ่นหลังอยู่ในเวลานี้

เอื้องฟ้าหันขวับ ยังทันได้เห็นประกายคมกล้าบนดวงเนตรคมคู่นั้น ริมฝีปากบางสีระเรื่อของเธอเผยอออกด้วยอาการตกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมาเลย ดุจเดียวกับอุปราชหนุ่มที่ถึงกับตกตะลึง ยามที่เห็นดวงหน้างามซึ่งมีหยดน้ำพราวพร่าง ฤทัยภายใต้ความฉกรรจ์สั่นไหวประหนึ่งใครมาโยกคลอนเขาพระสุเมรุอันยิ่งใหญ่ หากพระองค์ก็ทรงระงับมันลงได้อย่างรวดเร็ว

แล้วจู่ๆเอื้องฟ้าก็รีบหันหน้าสีระเรื่อของตนไปทางเครือออนพลางบอกเสียงต่ำ “ปิ๊กเรือนกันได้แล้วเครือออน”

หลังจากนั้นสองสาวจึงรีบกระวีกระวาดขึ้นจากน้ำไปโดยไม่รอ ทิ้งให้เจ้าศรีหิรัญมองตามร่างอรชรซึ่งนุ่งผ้าถุงฉ่ำน้ำไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

เห็นสาวชาววังหน้าตาหมดจดมาก็มากมาย เหตุใดหัวใจจึงร้อนวูบวาบกระตุกไหวขึ้นมาได้ยามเห็นสาวชาวป่าที่มิได้ประทินสิ่งใดให้เย้ายวน

หรือจะเป็นเพราะเนื้อแท้ของความงามแห่งวัยสาวจึงทำให้เกิดความกระสันซ่านใจได้ถึงเพียงนี้ คิดพลางอุปราชหนุ่มก็ว่ายน้ำขึ้นสู่ฝั่งด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เอื้องฟ้า...นามนี้ค่อยๆฝังรากลึกในหทัยอย่างยากจะรื้อถอน
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:46 pm

นวนิยายตราบสิ้นอสงไขย บทที่ ๑๕ ม่านรักแห่งรัตติกาล


1625670_533111920119416_1051814280_n.jpg
1625670_533111920119416_1051814280_n.jpg (124.64 KiB) เปิดดู 8476 ครั้ง




แสงแห่งความหม่นมัวฉาบฉายทั่วทุกอณูผืนแผ่นดิน ย่ำค่ำแล้ว คนในสำนักดาบของพ่อครูอินถาต่างก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว ยกเว้นแม่ญ่าแม่ญิงทั้งหลายที่ต้องตระเตรียมกับข้าวกับปลารองรับคนในเรือนและลูกศิษย์อีกร่วมสามสิบคนซึ่งอาศัยอยู่ในอาณาเขตของรั้วไม้ไผ่ขัดแตะหรือที่เรียกกันว่ารั้วตาแสงอันเป็นเครื่องกั้นเขตแดนระหว่างสำนักดาบและครอบครัวใหญ่ของพ่อครูอินถา ซึ่งประกอบด้วยเรือนหลังใหญ่และเรือนของเหล่าเครือญาติซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรือนของครอบครัวเครือออนที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวชอุ่มหนาตา

เสียงนกร้องเซ็งแซ่เหนือต้นชมพู่สงบลงเมื่อมีเสียงหมาเห่าขรมดังขึ้นมาแทนที่ พ่อครูอินถาซึ่งนั่งอยู่กับเจ้าศรีหิรัญชะโงกหน้ามองไปยังตีนบันได เห็นสิงห์คำกำลังหยิบกะลามะพร้าวตักน้ำจากตุ่มใบใหญ่ขึ้นมาล้างเท้าก่อนเดินดุ่มๆขึ้นบันไดมาด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ

“เจ้าไปไหนมาสิงห์คำ เฮาโตยหาก็บ่พบ”เจ้าศรีหิรัญเป็นผู้ถามหลังจากทหารคนสนิทนั่งลงบนพื้นเรือนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ม้ามันกินหญ้าแล้วเตลิดเข้าป่าไป ข้าเจ้าเลยถือโอกาสสำรวจป่าสักหน่อย หลังจากบ่ได้มาเสียเมิน”(เมิน:นาน) สิงห์คำตอบด้วยอาการปกติ เขาดำรงตำแหน่งทหารเอกคู่ใจของเจ้าศรีหิรัญมานานเสมือนเป็นพระสหายคนหนึ่งที่ทรงไว้วางพระทัยมากกว่าข้าราชการคนใดในเวียงแก้ว

สายพระเนตรคู่คมของผู้ฟังมีแววใคร่รู้เด่นชัด “สำรวจแล้วเป็นจะใดพ่องล่ะ”

“ผืนป่าแถบนี้ยังอุดมสมบูรณ์ดี ส่วนถ้ำที่อยู่เหนือน้ำตกขึ้นไปก็ยังงดงามเหมือนเมื่อครั้งที่ข้าเจ้าเคยโตยพระองค์ไปแอ่วมาแต่ก่อน”

“แต่เดี๋ยวนี้ในป่าบ่ได้ปลอดภัยเหมือนเก่า” พ่อครูอินถาเตือนเสียงเข้ม “ในระยะหลังมีโจรออกมาปล้นคนบ่อยนัก จักเดินทางไปไหนก็ต้องระวัง”

“เฮามีวิชาติดตัวจักกลัวสิ่งใดเล่าพ่อครู”สิงห์คำแย้งด้วยความมั่นใจในเชิงดาบของตน

พ่อครูจับจ้องศิษย์ของตนนิ่ง พลางถาม “เคยได้ยินคำโบราณก่อสิงห์คำ ที่เพิ่นว่า หมาหลวงบ่ก๊านหมาหลาย ถ้ามันมากันนักเฮาจักเสียเปรียบ”

หากเจ้าศรีหิรัญกลับฟังแล้วแย้มสรวล “อู้มาถึงตรงนี้ เฮาก็นึกขึ้นมาได้ ว่าบ่ได้มาเยี่ยมและเชิญพ่อครูเท่านั้น แต่เฮาจะมาขอทบทวนวิชาเชิงดาบเชิงมวยจากพ่อครูโตย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลา” พ่อครูอินถารับคำกลายๆ

เจ้าศรีหิรัญหลุบตาลงมองสิงห์คำแวบหนึ่งจึงตรัสต่อไปว่า “ในช่วงนี้ขอให้ทุกคนปกปิดฐานะของเฮาเอาไว้ก่อน เฮาจักเรียนวิชาร่วมกับคนอื่นๆอย่างพี่น้อง เฮาต้องการเรียนรู้นิสัยใจคอของคนอื่นๆให้ถี่ถ้วน เผื่อว่าจักได้ทหารเอกคู่ใจมาช่วยสิงห์คำอีกสักคน”

“ถ้าเจ้าอุปราชต้องการอย่างนั้นพ่อครูก็จะบ่ขัด”เจ้าของเรือนคล้อยตามพลางหันมองไปทางบันไดซึ่งเครือออน หมากแก้วและหมากคำกำลังช่วยกันยกขันโตกขึ้นมา พลางถามอย่างแปลกใจว่า “แล้วเอื้องฟ้าไปไหนเสียเล่าเครือออน จะใดจึงบ่มาช่วยสู”

สาวสวยวางขันโตกลงบนเสื่อกกก่อนเงยหน้าขึ้นตอบ “วันนี้เอื้องฟ้าจักไปกินข้าวแลงบ้านข้าเจ้า”

“อ้าว จะใดเล่า”

“ก็นางเห็นว่าพ่อลุงมีแขกน่ะเจ้า”เครือออนตอบไปพร้อมๆกับที่มือก็สาละวนกับการยกอาหารขึ้นวางลงบนขันโตกทีละอย่าง

พ่อครูอินถาได้ฟังจึงสั่ง “อย่างนั้นกินข้าวกินปลาแล้ว ให้สูกับเอื้องฟ้าปิ๊กขึ้นมาบนเรือนนี้ก่อน จะได้มาไหว้สา เอ่อ...”

เจ้าศรีหิรัญชิงตรัสต่ออย่างรวดเร็วว่า “เฮาสองคนเป็นทหารของเจ้าอุปราช”

พ่อครูอินถากระแอมกระไอเล็กน้อย ก่อนแนะนำตาม “นั่นล่ะ สูจะได้มาทำความรู้จักกันไว้ อีกไม่นานหมู่เฮาก็จักต้องเข้าไปอยู่ในเวียงแล้ว”

หมากคำซึ่งนั่งฟังอยู่นานถึงกับหูผึ่งโพล่งถาม “เวียงที่มีคนนักๆมีของกินนักๆกาเจ้าพ่อปู่ ข้าเจ้าชอบขนาด”

หมากแก้วรีบสะกิดเตือนน้อง “น้าเอื้องสอนไว้แล้วว่า ยามที่คนใหญ่อู้กันบ่ดีไปสอดนาหมากคำ”

ผู้เป็นปู่ได้ฟังจึงหัวเราะหึๆ “สูทั้งหลายเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อมเต๊อะ ราวๆเดือน 5 นี้เฮาก็ต้องไปกันแล้ว”

“แล้วเฮาจะไปอยู่กับไผล่ะเจ้าพ่อลุง”เครือออนสงสัย

“ตอนนี้สูยังบ่ต้องถาม รอเอื้องฟ้ามาก่อนพ่อลุงจะได้อู้จาให้ฟังกันเสียทีเดียว”พ่อครูอินถาสรุป

เครือออนและหลานทั้งสองจึงรีบลงจากเรือนไป เพื่อบอกเรื่องดังกล่าวให้แก่เอื้องฟ้าที่บัดนี้กำลังรออยู่บนเรือนอีกหลังหนึ่ง
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน

cron