เอื้องลดาได้ยินเสียงศีรษะของตนฟาดพื้นดังกึกแล้วสติของเธอจึงดับวูบลง มารู้ตัวอีกทีเมื่อรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วสรรพางค์ ครั้นลืมตาขึ้นก็พบว่ารอบกายเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าทำให้แสบตาจนน้ำตาไหล เธอจึงหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากนั้นรอบตัวของหญิงสาวก็หมุนคว้างคล้ายเธอนั่งอยู่บนลูกข่าง หมุนติ้วอยู่หลายนาทีทุกอย่างจึงสงบนิ่งลง ก่อนที่ร่างกายของเธอจะถูกแรงดึงดูดมหาศาลฉุดกระชากให้ลอยละล่องผ่านชั้นบรรยากาศอันร้อนระอุและเย็นยะเยือกสลับกันไปเช่นนี้หลายครั้ง แล้วเอื้องลดาจึงหล่นตุบลงไปบนผืนหญ้าที่ไหนสักแห่ง
หลังลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่เป็นครู่อากาศรอบตัวหญิงสาวก็เริ่มดีขึ้น เธอจึงสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วยันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่า หันมองทัศนียภาพรอบๆตัว
ที่นี่ช่างคล้ายโบราณสถานสะหลีคำเสียจริง จะต่างก็ตรงที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นมากกว่าเท่านั้น
หญิงสาวขยับตัวลุกยืนขึ้นชะเง้อชะแง้มองไปรอบด้าน แล้วมุ่นคิ้ว ที่นี่คล้ายแต่ก็ไม่เหมือนเมืองเก่าที่เธอเคยเห็นจนเจนตา ดูแต่กำแพงเมืองนั่นเถอะที่สูงจนท่วมหัวต่างจากเมืองเก่าสะหลีคำที่เหลือกำแพงสูงเพียงแค่เอว ยกเว้นกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกที่มีเพียงแนวเตี้ยๆประมาณเข่าเท่านั้น
ครั้นมองเลยดงไม้และกอไผ่ออกไปจะมีเรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่เป็นประธานแล้วยังมีเรือนหลังเล็กๆรายรอบอยู่อีกหลายหลัง ผิดกับเมืองเก่าสะหลีคำซึ่งไม่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เลย ใกล้สุดก็เป็นสวนสาธารณะและถนนสายหลักทอดยาวไปทางทิศใต้
แล้วที่นี่คือที่ใดกันล่ะ...
หญิงสาวเดินไปสังเกตไปอย่างช้าๆแต่กลับรู้สึกว่าการก้าวย่างของตนนั้นช่างลำบากลำบนนัก ทั้งๆที่เธอสวมเดรสสั้นมาแท้ๆ
เอ๊ะ เดรสสั้นอย่างนั้นรึ เอื้องลดาถามย้ำกับตนเองพร้อมทั้งก้มลงมองอย่างพินิจ
คุณพระช่วย เหตุใดเวลานี้เธอจึงอยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีเหลืองนวลแขนยาวและนุ่งผ้าซิ่นสีน้ำเงินเข้มไปได้เล่า
หรือเธอกำลังถ่ายละคร...
ไม่จริง การถ่ายทำเสร็จสิ้นลงตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วนี่และเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วด้วย
นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอกำลังฝัน คิดพลางมือเรียวก็หยิกหมับเข้าที่แขนของตน ความเจ็บแปลบที่เกิดจึงทำให้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาแห่งความจริง ทว่าสิ่งที่ตอบไม่ได้เลยก็คือ เธอมาโผล่ที่นี่ ในเครื่องแต่งกายเช่นนี้ได้อย่างไร
ขณะที่คิด โคนนิ้วเรียวของเธอก็เกิดร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน โดยไม่ต้องยกขึ้นมาดู เอื้องลดาก็รู้ว่าเวลานี้แหวนนาคคงกำลังเปล่งรัศมีวูบวาบเหมือนที่เคยผ่านๆมา แต่ช่างเถอะ สิ่งที่ควรกังวลยามนี้คือ มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
‘เธอจะถามใครได้บ้างนะ’คิดพลางจึงหมุนตัวกลับเผื่อว่าจะมีใครอยู่แถวนี้บ้าง
แล้วร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันของใครบางคนก็ทำให้เธอต้องชะงัก
เขาผู้นั้นเป็นชายผิวขาวจัด ใบหน้าคมสัน ประกอบด้วย ดวงตาเรียวคมค่อนข้างดุ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากสีสดที่แย้มน้อยๆยามมองมา
เธอไม่เคยรู้จักเขา แต่เหตุใดยามมองชายแปลกหน้าผู้นี้จึงมีภาพของนทีดลทับซ้อนอยู่ หรือจะเป็นเพราะอภินิหารของแหวนนาค แล้วชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาจับตาผู้นี้เกี่ยวอะไรกับนทีดลกันล่ะ
“ขอโทษค่ะคุณ ฉันกำลังหลงทาง ช่วยบอกทีเถอะว่าที่นี่ที่ไหน”หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิดก่อนจะถามด้วยความหวัง
ดวงตาเรียวคมคู่นั้นคล้ายจะเบิกออกนิดๆประหนึ่งว่ากำลังตกใจหรือแปลกใจอะไรบางอย่าง หากเขาก็ยังยืนนิ่ง มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนประดุจเดิม “ถูกทำร้ายครั้งนี้ทำให้น้องจำเรื่องของตนเองบ่ได้เลยกา”
คิ้วเรียวงามขยับเข้าหากันจนเกือบชิดขณะย้อนถาม “ใช่ค่ะ ฉันถูกทำร้าย แล้วคนพวกนั้นหายไปไหน รีนาล่ะคะ คุณเห็นรีนาหรือเปล่า เธอปลอดภัยไหม”
ดวงตาคมเปล่งประกายระยับ ยามที่มุมปากสีสดนั้นกระตุกขึ้นยิ้มเหมือนเขากำลังขำ “นี่น้องอู้ถึงสิ่งใดกันเอื้องนวล เอรินาคือไผ อ้ายถามถึงที่เจ้าจอมส่งคนมาทำร้ายน้องต่างหาก”
เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาหญิงสาวงงบ้างแล้ว เจ้าจอมไหนเธอไม่รู้จัก ตานี่พูดอะไรกันนะ เจ้าจงเจ้าจอมอะไร สมัยนี้ยังมีเจ้าจอมอยู่อีกหรือ หรือเขาจะสติไม่สมประกอบ
เอื้องลดากะพริบตาปริบ ก่อนจะเหลือบมองชายร่างสง่าอย่างพินิจ
จริงด้วย เขาแต่งเนื้อแต่งตัวไม่เหมือนคนทั่วไป ดูเอาเถอะเสื้อแสงปักดิ้นทองแพรวพราว แถมนุ่งผ้าหยักรั้งและมีเครื่องประดับบนศีรษะราวกับจะไปเล่นลิเก น่าเสียดายจริงๆ ถ้าผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้จะเป็นบ้า
เฮ้อ! ถ้าคิดเองเออเองดังที่เป็นอยู่ก็คงจะไม่กระจ่างสักที เอาล่ะ ถามเลยตรงๆเลยก็แล้วกัน
“แล้วนี่คุณเป็นใคร ทำไมแต่งตัวแบบนี้คะ จะไปไหนรึ”
รอยยิ้มบนเรียวปากนั้นยังไม่จางลงขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยตอบ “อ้ายชื่อศรีหิรัญ เป็นคนที่ช่วยน้องจากคนของเจ้าจอมหอมุกจะใดเล่า”
เอื้องลดาส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้จักเจ้าจอมหอมุกอะไรทั้งนั้น ฉันชื่อเอื้องลดาเป็นคนกรุงเทพฯมาถ่ายละครที่นี่ แล้วมีคนตามทำร้ายฉันน่ะค่ะ ฉันก็เลยพลาดล้มลงตรงกำแพงเมืองเก่าสะหลีคำ ว่าแต่คุณรู้จักเมืองเก่าสะหลีคำหรือเปล่า”
เขาส่ายหน้าบ้าง “อ้ายบ่รู้เรื่องที่น้องว่าสักอย่าง เมืองเก่าสะหลีคำอะหยังนั่นก็บ่มี มีแต่ไม้สะหลีสองต้นนั่น ต้นหนึ่งเป็นสะหลีคำแม่นก่อ”
ตอบพลางเขาจึงชี้ไปทางทิศตะวันออกไปพลาง เอื้องลดามองตาม จากนั้นก็ทำหน้าเหวอ
นั่นมันต้นไทรหรือต้นสะหลีสองต้นซึ่งตั้งอยู่ในจุดเดียวกับเมืองเก่าสะหลีคำเลยนี่ มิหนำซ้ำต้นหนึ่งก็เขียวชอุ่มขณะที่อีกต้นนั้นเหลืองอ๋อยเหมือนกันเลย จะต่างกันก็แค่ขนาดเท่านั้นละที่ไม้สะหลีสองต้นนี่เล็กกว่ามาก แต่ทำไมทางทิศเหนือนั่นก็มีเจดีย์เก่าเหมือนกันเด๊ะ โอ แม่เจ้า นี่มันอะไร
“ฉันไม่เข้าใจค่ะ นี่มันเมืองเก่าสะหลีคำไม่ใช่หรือคะคุณ”เธอย้อนถามอย่างพาซื่อ
เขาทำหน้าขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด “ที่นี่คือเมืองเก่า เมืองอนันตกาล เมืองที่ล่มลงเพราะแผ่นดินแยกเมื่อหลายร้อยปีก่อนต่างหาก”
คนฟังทอดถอนใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันเครียดจังเลยค่ะคุณ ดูเหมือนว่าเราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง คุณพูดเรื่องหนึ่ง ฉันก็พูดอีกเรื่องหนึ่ง”
เรียวปากสีสดนั้นยิ้มน้อยๆแววตาของเขาดูอ่อนโยนเสมอยามมองเธอแล้วพูดคุย “เอาเต๊อะ เดี๋ยวน้องก็จักได้คำตอบเอง บ่ต้องกลัวดอก”
“แล้วใครจะมาบอกฉันล่ะคะ”
“คนที่กำลังมานั่นล่ะ”
เอื้องลดามองตามสายตาเขาก็พบว่า หญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าขาวจัด เกล้าผมมวย แต่งกายด้วยผ้าแถบสีหม่น ผ้าซิ่นสีดำกำลังเดินจ้ำๆเข้ามาหาเธอพร้อมชายกลางคนแต่งกายคล้ายทหารโบราณคนหนึ่ง
“เจ้าเอื้องนวลหายไปไหนมาทั้งคืนเจ้า”
เอื้องลดาย้อนถามเสียงอ่อย “เธอถามฉันเหรอ”
หญิงผู้นั้นหันไปสบตาชายหนุ่มรุ่นพี่ ก่อนจะหันกลับมามองดาราสาวอีกครั้ง “ก็อู้กับเจ้าเอื้องนั่นแหละเจ้า เจ้าเอื้องดูท่าทางบ่เหมือนเก่าเลย อู้จ๋าก็บ่เหมือนเก่า”
“ก่อนที่เจ้าเอื้องจักหายไปเล่าศรีมอญ เป็นจะใดพ่อง”ชายผู้นั้นถาม
ศรีมอญเงยหน้าขึ้นตอบฉาดฉาน “ก่อนไปอาบน้ำเจ้าเอื้องก็ปกติดีเจ้าอ้ายหมื่นศีลธรรม แต่น่าแปลกนัก พอบอกว่าจะออกไปอาบน้ำได้บ่เมินเจ้าเอื้องก็หายตัวไปยังกับผีซ่อน พ่อเจ้าสัมฤทธิ์เพิ่นค้นหาทั้งคืนก็บ่ปะ”
เอื้องลดาถอนใจเฮือก ยกมือขึ้นกอดอก “นี่พวกคุณพูดอะไรกัน ฉันไม่รู้จักคนที่คุณพูดถึงเลยสักคน ไม่ว่าจะพ่อเจ้าสัมฤทธิ์หรือแม้แต่เอื้องนวลอะไรนั่นน่ะ”
ฟังคำของผู้เป็นนายแล้วศรีมอญก็ทำหน้าตื่น กลืนน้ำลายเอื้อก “เจ้าเอื้องจำชื่อตนเองแลเจ้าพ่อบ่ได้กาเจ้า”
เอื้องลดาฟังแล้วก็อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาประชดชีวิต โธ่ ก็ที่แม่ผู้หญิงแต่งตัวโบราณๆคนนี้หาว่าเธอชื่อเอื้องนวลและเป็นลูกสาวของเจ้าหมื่นสัมฤทธิ์เนี่ย มันใช่ที่ไหน
แล้วบุคคลที่พูดถึงนี้คือใครกันเล่า
เฮ้อ!จะพูดความจริงไปก็คงจะไม่มีใครเชื่อ ไหนๆก็เป็นนักแสดงแล้ว เธอคงต้องแสดงละครสักฉากกระมัง
“เธอทั้งสองคนจงฟังนะ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เท่าที่ฉันฟังจากผู้ชายคนนี้ เขาบอกว่าเขาช่วยฉันจากคนที่มาทำร้าย ฉันคงสลบไปทั้งคืนน่ะ พอฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย”หลังจากเล่า หญิงสาวก็หันไปมองหนุ่มหล่อที่เธอพบเป็นคนแรก
ทว่าเขากลับไม่ยอมอยู่เป็นพยานให้เธอเสียแล้ว
“อ้าว เขาไปเสียแล้วล่ะ ตอนที่เธอเดินมาเขายังชี้ให้ฉันดูเธออยู่เลย”
“แต่ตอนที่หันเจ้าเอื้องคราวแรก เจ้าเอื้องก็ยืนอยู่ผู้เดียวบ่ใช่กา”ชายผู้อยู่ในชุดทหารถามด้วยท่าทีงงๆ
เอื้องลดาเลิกคิ้ว “เป็นไปได้ยังไงกัน ฉันคุยกับเขาอยู่ตั้งนาน”
ศรีมอญสั่นหน้า “บ่รู้เจ้า แต่ข้าเจ้าว่าเจ้าเอื้องปิ๊กเข้าคุ้มก่อนเต๊อะเจ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่จะได้หายห่วง”
“คุ้มงั้นเหรอ”เอื้องลดากระหวัดความคิดไปถึงคุ้มเวียงพิงค์ของนทีดล
“เจ้าคุ้มเชียงชื่นของพ่อเจ้าสัมฤทธิ์นั่นแหละเจ้า”ศรีมอญตอบ
“ฉันขอถามอะไรอย่างสิ วันนี้ที่นี่มีเทศกาลหรืองานประจำปีอะไรหรือเปล่า”
สิ้นสุดคำถามเป็นเหตุให้ศรีมอญหันไปสบตากับหมื่นศีลธรรมอีกครั้ง และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า หญิงสาวจึงค่อยตอบ “ก็ป๋าเวณีปีใหม่จะใดเจ้า”
“มิน่าล่ะ พวกเธอถึงแต่งตัวเหมือนคนสมัยก่อน แถมคนที่บ้านนั้นก็เดินกันขวักไขว่ คงเตรียมงานกันอยู่สินะ”
หมื่นศีลธรรมฟังแล้วจึงเป็นผู้เอ่ยตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หมู่เฮาก็แต่งตัวอย่างนี้ทุกวัน เหมือนๆกับที่คุ้มเชียงชื่นก็ย่อมมีข้าราชบริพารเช่นนี้อยู่ตลอด เจ้าเอื้องถามแปลกดีแต๊
”
เอื้องลดาเม้มริมฝีปากน้อยๆพลางพยักหน้า
‘ศรีมอญเรียกเธอว่าเจ้าเอื้องนวล และบ้านของเธอคือคุ้ม แสดงว่าทุกคนเข้าใจว่าเธอคือเจ้าเอื้องนวล และหล่อนผู้นั้นคงมีเชื้อสายเจ้าทางเหนือเป็นแน่’
‘ตายละวา แล้วเธอจะวางตัวยังไง วัฒนธรรมประเพณีทางนี้เธอก็ไม่รู้สักอย่าง’
แต่เอาเถอะ “พาฉันกลับบ้านสิศรีมอญ ศีลธรรม”
ขณะเดินตามร่างสูงใหญ่ของหมื่นศีลธรรมไป เอื้องลดาเริ่มเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่เธอพบเจอทั้งหมดในเวลานี้ มิได้เป็นเรื่องผิดปกติของคนที่นี่เลย แต่มันผิดปกติสำหรับเธอ เพราะอะไรนะหรือ
ที่นี่ไม่มีเสียงรถวิ่งให้ได้ยินจนน่ารำคาญเหมือนที่ที่เธอจากมา
ทุกอณูพื้นที่ของแผ่นดินยังคงเต็มไปด้วยใบไม้ใบหญ้ามิใช่ถนนคอนกรีตอย่างที่เคยเห็นทุกวัน
บ้านเรือนและการแต่งกายของทุกคนดูโบร่ำโบราณ ถึงแม้จะเป็นเทศกาลสงกรานต์ก็ไม่ค่อยมีใครแต่งกายย้อนยุคกันแล้ว
‘ย้อนยุค’ คำนี้สะดุดใจนัก หรือว่าเธอจะย้อนอดีตได้เหมือนในละครที่กำลังถ่ายทำ
เป็นไปได้ไหม หญิงสาวไม่แน่ใจนัก แต่ในเมื่อพักหลังๆเธอได้พบเจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติบ่อยเหลือเกิน ดังนั้นเรื่องที่ไม่คาดฝันก็อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตได้อย่างไม่ยาก