บทที่ ๑๘
- 1964818_1470544423161941_198929660_n.jpg (17.04 KiB) เปิดดู 12213 ครั้ง
เอื้องฟ้าทำหน้าตื่นอารามตกใจลุกพรวดขึ้นยืน รู้ดีว่าเขาไม่พูดเล่นแน่
แล้วมันก็จริง...
เหนือท้องฟ้าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาว อีกทั้งถัดไปยังมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเต้นเร่ากลางแสงแดดรอบทิศ
“ไฟล้อมเฮาไว้หมดแล้ว ทำอย่างไรดีหมื่นศรี”นางถามพลางดึงหัตถ์แข็งแกร่งของอีกฝ่ายออกมาเขย่า ในใจร้อนรน กังวลไปสารพัด
เจ้าศรีหิรัญทำหน้าขรึม กวาดดวงเนตรมองรอบตัวอยู่ครู่ใหญ่จึงเงยพักตร์ขึ้นจ้องควงไม้ใหญ่ซึ่งมีเถาวัลย์ห้อยย้อยก่อนจะตอบคำ “เฮาต้องเร่งมือเอาเถาวัลย์เหล่านี้มาต่อกันแล้วผูกโคนต้นไม้ไว้เพื่อโหนลงจากหน้าผา”
เอื้องฟ้าทำตาลุกหลังฟังจบ “โหนลงจากหน้าผาเนี่ยนะ”
“ถ้าเฮารีรออยู่ก็มีแต่ตายกับตาย แต่ถ้าลองเสี่ยงย่อมมีทางรอด”
นางคิดตาม หลังจากนั้นจึงทำหน้าเจื่อน “หน้าผาบ่ใช่ต้นไม้ แล้วก็บ่มีที่เกาะเลย”
เจ้าอุปราชได้ฟังจึงขยับไปใกล้นางแล้วดึงมือเรียวเฉลานั้นมากุมไว้ ปลุกปลอบ “บ่ต้องกลัวดอก ดอยนี้เป็นดอยก้อมบ่สูงเต้าใด เฮาจะลงไปก่อน แล้วคอยดูแลเจ้า”
“บ่สูงจริงรึ แล้วจะใดตอนเดินขึ้นมาถึงไกลมาก อีกอย่างเฮากลัวเถาวัลย์มันจะขาดด้วย” นางเถียง
คนฟังส่ายหน้า จากนั้นจึงตัดบทด้วยการผละไปทำตามที่บอกอย่างคล่องแคล่ว
เอื้องฟ้ามองการกระทำของเขาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนตะโกนออกไปว่า “มา เฮาจะช่วย”
เพียงอึดใจทั้งสองก็ตัดเถาวัลย์ได้ตามที่ต้องการและนำมันมากองรวมกันไว้บนผืนหญ้า
จากนั้นจึงนำมันมาผูกต่อกันแล้วพันรอบต้นไม้สักขนาดใหญ่ต้นหนึ่งก่อนจะมัดแน่น
“สูต้องช่วยดูเฮาแต๊นะหมื่นศรี” เอื้องฟ้าย้ำ
ผู้ฟังยิ้ม “อ้ายสัญญาว่าจะดูแลน้องเท่าชีวิต ไปได้แล้ว ไฟลามเข้ามาใกล้เฮาสองคนเต็มทีละ”
นางขมวดคิ้วพร้อมถอนใจเฮือก “เฮาจะพยายามเชื่อสู”
ก่อนก้าวเดินเจ้าศรีหิรัญขยับองค์เข้าไปใกล้นางพลางดึงมือน้อยมากุมไว้และจ้องดวงตาดำขลับนิ่ง “ถ้าอยู่ เฮาก็จะอยู่โตยกัน ถ้าตาย เฮาก็จะตายโตยกัน เอื้องฟ้า ไปเต๊อะ ขอให้เชื่อใจอ้าย”
ควันสีขาวลอยคลุ้งเข้ามาโขมงขณะที่สาวน้อยพยักหน้า
ทว่าระหว่างที่ทั้งสองเดินแกมวิ่งไปยังเชิงผานั้น เจ้าศรีหิรัญก็ได้ยินเสียงคล้ายต้นไม้หักโค่นจึงหันไปมอง พบว่าต้นตองตึงใหญ่มีไฟลุกท่วมกำลังล้มครืนมาทางนี้
“เอื้องฟ้า ระวัง!”
แขนแกร่งตวัดดึงร่างบางของนางให้พ้นจากเพลิงนรก แล้วร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆลงไปกองกับพื้นโดยที่องค์อุปราชใช้ร่างของตนรองรับร่างอีกฝ่ายไว้
วินาทีนั้นเอื้องฟ้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจผะแผ่ว เสียงหัวใจของพระองค์เต้นตึกตัก หากยังทรงห่วงใย ไถ่ถาม “เจ็บที่ไหนก่อเอื้องฟ้า”
นางสั่นหน้าพร้อมทั้งยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วขณะสองตาเบิกกว้าง “เร็วๆรีบลุกขึ้น ไฟลามมาแล้ว”
เมื่อเจ้าศรีหิรัญลุกขึ้นได้ก็คว้าข้อมือเอื้องฟ้าวิ่งสุดฝีเท้าไปยังเชิงผา ก่อนหันไปสั่งนางเสียงดุหลังถึงจุดหมายปลายทาง “ฟังให้ดีนะเอื้องฟ้า บ่ว่าจะอย่างใด น้องจะต้องโตยลงมาให้ได้ ก่อนที่ไฟจะไหม้เถาวัลย์”
หญิงสาวพยักหน้าพลางดันวรกายสูงใหญ่ให้เคลื่อนตัวลงจากหน้าผาก่อน
เจ้าศรีหิรัญใช้สองหัตถ์โหนเชือกเถาวัลย์ไว้แล้วใช้พระบาทยันหินผาลงไปอย่างระมัดระวัง หากใจยังคงห่วงผู้ที่กำลังจะตามลงมา “กำเถาวัลย์ไว้ให้แน่น หย่อนตัวลงมาแล้วเอาตีนยันก้อนหินไว้ ค่อยๆก้าวลงมา”
เอื้องฟ้าไม่ตอบคำ จิตใจนางจดจ่ออยู่กับการปีนป่ายลงจากผา ร่างบางค่อยๆหย่อนกายลงมาตามเถาวัลย์ช้าๆ ขณะที่สองหูก็ได้ยินเสียงไฟไหม้แตกดังเปรี๊ยะๆและเสียงต้นไม้ล้มโครมครามเป็นระยะๆ
“ข้างล่างนี่หินมันลื่น น้องเอาปลายตีนจิกหน้าผาไว้เน้อเอื้องฟ้า”สุรเสียงทุ้มนั้นแสดงถึงความใส่ใจสม่ำเสมอ จนคนฟังเกิดความอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยได้อย่างประหลาด
จวบจนได้ยินเสียงต้นไม้ล้มดังถี่ขึ้น และโดยไม่คาดคิด พลันนั้นเถาวัลย์ของทั้งคู่ก็แกว่งไปมาก่อนจะขาดผึง ทำให้ร่างสองร่างลอยละลิ่วลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“กรี๊ด!”เอื้องฟ้าหลับตากรีดร้อง รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังลอยละลิ่วลงไปด้วยความรวดเร็ว
ฝุบ!
เสียงที่ดังขึ้นเมื่อร่างกายกระแทกพื้นด้านล่างกลับมิใช่เสียงโครมและไม่รุนแรงดังที่คิดเอาไว้แต่แรก เหมือนร่างค่อยๆทะลุผ่านกิ่งไม้ใบหนาทึบลงไปทีละชั้นจนมาค้างเติ่ง ณ ที่แห่งหนึ่ง
นางตกลงมาบนซอกระหว่างกิ่งของต้นไม้ใหญ่ ที่มีใบรูปกลมคล้ายใบบัวขนาดไล่เลี่ยกับกระด้งเรียงรายลดหลั่นกันไปเป็นชั้นๆ สาวน้อยกะพริบตาปริบ ขยับตัวแต่เพียงเล็กน้อยเพื่อสำรวจร่างกาย ทุกอย่างยังคงปกติดีจะมีก็เพียงอาการจุกเสียดเล็กน้อย ทว่าเมื่อนั่งนิ่งสักพักอาการดังกล่าวก็หายไป
‘แล้วหมื่นศรีเล่า เขาอยู่ที่ไหน’
เมื่อนึกขึ้นได้นางก็สอดส่ายสายตามองหาเขาพลางตะโกนเรียก “หมื่นศรี สูยังอยู่ก่อ”
เสียงใบไม้เสียดสีกันดังขึ้นก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมา “เฮาอยู่นี่เอื้องฟ้า”
เมื่อมองตามเสียงนั้น หญิงสาวจึงพบว่าร่างสูงของเพื่อนยากห้อยต่องแต่งอยู่ใต้กิ่งไม้ต่ำจากจุดที่นางคุกเข่ามองหาเขาอยู่
เวลานี้สองมือของเขาเกาะกิ่งไม้เอาไว้แน่น พลางขยับเข้าใกล้ลำต้นใหญ่ขรุขระนั้นให้มากที่สุดเพื่อจะได้ใช้เท้าดันตัวให้ขึ้นมาบนกิ่งไม้ให้ได้
ชั่วอึดใจอุปราชหนุ่มก็ทำได้สำเร็จ จากนั้นจึงทรงไต่กิ่งไม้เข้ามายังควงไม้ใกล้ๆเอื้องฟ้าแล้วทอดพระเนตรรอบองค์อย่างทึ่งๆ
“ป่านี่ท่าทางจะบ่ค่อยมีคนเข้ามาเท่าใดนัก ดูเอาเต๊อะมีแต่ต้นไม้ใหญ่ที่มีแต่ตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมดเลย”
เอื้องฟ้าใช้สองมือเกี่ยวกิ่งไม้เหนือหัวเอาไว้ พลางหยัดกายลุกขึ้นและขยับตามผู้ที่ยื่นหัตถ์ออกมาให้เป็นหลักยึดเกาะ
นางยื่นมือออกไปจับหัตถ์แกร่งอย่างว่าง่ายพลางออกความคิดเห็นบ้าง “เฮาว่าต้นไม้นี่ก็ดูประหลาด ป่าแถวบ้านบ่เห็นมี”
“นี่มันดอยคนละม่อนกับบ้านน้องนี่ ฝั่งนี้เป็นทิศตะวันตกของอุฉุบรรพต จะว่าไปแถบนี้ก็มีดอยสลับซับซ้อนหลายม่อนนัก แต่ตอนนี้เฮาลงจากต้นไม้กันก่อนดีกว่านะ”ทรงหันไปตรัสบอกเอื้องฟ้าและสังเกตได้ว่านางกำลังสนใจอะไรบางอย่างอยู่จึงทอดพระเนตรตาม
ดอกเอื้องสีขาวผ่องช่อหนึ่งซึ่งประดับอยู่บนคาคบไม้สูงขึ้นไปนั่นเองที่นางกำลังมองตาละห้อย
“รออยู่นี่ก่อนเน้อเอื้องฟ้า”ตรัสพลางเคลื่อนองค์ปีนป่ายกิ่งไม้ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว เมื่อถึงยังจุดหมายจึงเด็ดเอื้องแซะช่องามลงมามอบให้หญิงสาว
เอื้องฟ้ามองตาปริบๆมิได้เอ่ยคำใด อีกทั้งไม่ยอมยื่นมือออกไปรับ
เจ้าศรีหิรัญเห็นท่าทีของนางก็ยิ้มพราย จ้องดวงตาคู่สวยนิ่ง “จะเอาทัดหูให้น้องก็ท่าจะบ่เปิง เพราะน้องแต่งเป็นผู้ชายแลโพกหัวเอาไว้อย่างนี้ เอาเป็นว่ารับไว้ก่อนเต๊อะ เผื่อน้องตะแหลง{ตะแหลง:แปลงกาย}เป็นแม่ญิงเมื่อใดอ้ายจะได้เอาไปทัดหูให้”
พวงแก้มคนฟังร้อนผ่าว
เป็นบ้าอะไรกันเล่าเอื้องฟ้า แค่คำพูดธรรมดาสามัญแท้ๆไยจึงพานให้เกิดความเขินอายขึ้นได้เล่า
“ลงจากต้นไม้ก่อนเต๊อะ อย่ามัวแต่พร่ำ” นางตัดบทแก้เขิน
ขนงเข้มขององค์อุปราชขยับขึ้นสูง “รับดอกไม้ก่อนกะ”
“เฮา...เอ่อ...เฮา” นางติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ
เรียวโอษฐ์สีสดขยับมุมขึ้นยิ้ม ก่อนจะนำดอกเอื้องแซะช่องามเหน็บแซมลงไปบนผ้าโพกหัวสีทึมของคนตัวเล็กกว่า “อย่างนี้ค่อยเป็นแม่ญิงขึ้นมาหน่อย แต่จะให้ดีลองยืนนิ่งๆสิ”
เอื้องฟ้านิ่วหน้าแต่ก็ยินยอมทำตามโดยไม่ว่ากระไร เจ้าศรีหิรัญขยับมุมโอษฐ์ขึ้นยิ้มน้อยๆแล้วใช้พระอังคุฐแตะลงบนพวงแก้มของหญิงสาวพลางบอก “เขม่าติดแก้ม”
เอื้องฟ้าแสร้งทำหน้างอกลบเกลื่อนความในใจ นางทำเป็นไม่ใส่ใจการกระทำอันอ่อนโยนนั้น ค่อยๆไต่ลงจากต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีแต่ตาตะปุ่มตะป่ำสู่พื้นอันเต็มไปด้วยผืนหญ้าเขียวขจีอย่างว่องไว
“แล้วจะไปทางใดต่อ”นางถามหลังนั่งแหมะลงบนรากไม้ซึ่งโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมา
เจ้าศรีหิรัญนั่งลงตรงข้ามพลางหันมองรอบกายก่อนจะตอบ “อ้ายบ่แน่ใจ แต่เฮาคงต้องเดินอ้อมดอยปิ๊กไปทางตะวันออกให้ได้ก่อน”
“แน่ใจแล้วรึ เฮาบ่มั่นใจเลย ยิ่งเหยียบว่านสาวหลงมาโตย จำได้ก่อ”
“ว่านสาวหลงที่ว่าทำให้หลงป่านั่นกา”
เอื้องฟ้าพยักหน้าหงึกหงัก “แม่นละ เพราะเหยียบมันนั่นล่ะ ถึงได้พาเฮาหลงมาถึงนี่”
“เฮาหนีไฟป่ากันมาก็ต้องหลงพ่องเป็นธรรมดา มันบ่ใช่เส้นทางปกติของเฮานี่”เจ้าอุปราชพยายามอธิบาย
แต่ท่าทางเอื้องฟ้าจะสนใจประโยคแรกอันขัดหูมากกว่า จึงท้วง “เฮาได้ยินสูเรียกเฮาว่าน้องมาหลายหนละ รู้ไว้โตยว่าเฮาบ่เปิงใจ”
ท่าทีของหญิงสาวดูปั้นปึ่งขณะพูด
‘ก็มันจริงนี่นา หมื่นศรีพยายามยกตนเป็นพี่เพื่อต้องการจะข่มนางเป็นแน่ แล้วจะให้คนอย่างเอื้องฟ้ายอมได้อย่างไร’
“ก็น้องอายุน้อยกว่าอ้ายนี่ จะให้เรียกว่าจะใดเล่า”
ใบหน้างามเชิดขึ้นพร้อมปรายตามองเขา “จะใดก็ได้ แต่สูบ่ใช่อ้ายเฮา บ่ใช่ญาติกัน”
เจ้าศรีหิรัญยิ้มกริ่ม ในใจนึกขำแต่ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างความคิดนางให้จงได้
“ถึงจะบ่ใช่ญาติแต่เฮาก็เป็นศิษย์พ่อครูเหมือนกัน อ้ายมาก่อนก็ต้องเป็นอ้าย บ่เชื่อลองถามพ่อครูดูเอาเต๊อะ เฮามาพนันกันก็ได้ ถ้าพ่อครูตอบว่า...”
ถึงตอนนี้หญิงสาวกลับลุกขึ้นยืน โบกมือโบกไม้ให้วุ่น “บ่ต้องมาพนงพนันกับเฮา สูจะเรียกว่าใดก็ตามใจเต๊อะ ช่างสู ปะ ไปได้ละ เฮาอยากปิ๊กบ้าน”
เจ้าศรีหิรัญลุกขึ้นตามแล้วจึงกระโดดขึ้นไปยืนบนก้อนหินใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางพงหญ้า เพื่อสำรวจสถานที่รอบตัวก่อนหันกลับมาเผชิญหน้าหญิงสาวรุ่นน้องอีกครั้ง
“เฮาเดินอ้อมไปทางขวาดีกว่า ทางซ้ายดูท่าจะเป็นป่าลึก”
เอื้องฟ้าพยักหน้าแกนๆ “จะเอาจะใดก็เอา เฮาอยากปิ๊กบ้านเต็มแก่ละ นี่ก็ตะวันจะตกดินแล้ว”
องค์อุปราชกระโดดลงมาจากก้อนหินพลางกอดอก ถอนหายใจ “แต่อ้ายว่า เฮาคงจะปิ๊กเรือนบ่ทันแล้วล่ะ เดินป่าเมื่อคืนบ่ดี สัตว์ป่ามีมากนัก อันตราย”
เอื้องฟ้าได้ฟังก็ทำมุมปากคว่ำอย่างขัดใจ “เฮาเป็นแม่ญิงจะให้มาค้างอ้างแรมกับสูได้จะใด เดี๋ยวผิดผีขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่”
“ผิดผี” เจ้าศรีหิรัญทวนคำยิ้มๆ “ที่จะต้องเสียผีแล้วก็แต่งงานกันได้น่ะรึ ก็ดีนี่ อ้ายยังบ่มีเมีย ได้น้องไปก็ดีจะได้จบๆไปเสีย แม่อ้ายก็ร่ำๆอยากได้ลูกสะใภ้เต็มแก่”
“เฮาบ่ชอบอู้เล่นอย่างนี้ ถ้าอยากได้เมียสูไปเซาะเอาตางหน้าเต๊อะ”สาวเจ้าสะบัดหน้าตอบ ใจหนึ่งก็หวิวๆไปกับคำพูดของเขา ทว่าอีกใจก็เคืองนักที่อีกฝ่ายมาเกี้ยวพาราสีกลางป่ากลางดงเอาดื้อๆ
“ขี้เกียจหา”
คำตอบง่ายๆของเขาทำให้หญิงสาวค้อนขวับ
เจ้าศรีหิรัญอมยิ้ม พลันเสียงหนึ่งก็ทำให้พระองค์ต้องนิ่งฟัง จากนั้นจึงคว้าข้อมือหญิงสาวลากหลุนๆให้ไปหลบอยู่ด้วยกันหลังก้อนหิน
“ชวู่ น้องบ่ดีโวยวาย มีเสียงม้าวิ่งมาทางนี้”
เอื้องฟ้าทำตาม ครู่ใหญ่จึงปรากฏว่ามีชายกลุ่มหนึ่งกำลังขี่ม้าผ่านมาจริงๆ
พวกเขาแต่งกายเหมือนโจรป่าที่ตามราวีทั้งสองบนดอยสูง ทว่าบัดนี้พวกมันได้ปลดผ้าคลุมหน้าออกหมดแล้ว
“มันคงจะตายไปในกองไฟแล้วหัวหน้า”ชายร่างท้วมบนหลังม้าสีนิลเป็นคนพูดขึ้นก่อน
หากชายร่างใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้ากลับแย้งว่า “บ่แน่ มันอาจจะกระโดดลงหน้าผาหนีไฟก็ได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเหลือรึ”อีกคนย้อนถาม
หัวหน้าโจรหัวเราะเหี้ยมเกรียม “ถ้ารอดไปได้ก็คงเป็นพญาอินทร์ตะแหลงมาแล้วล่ะ เหวลึกขนาดนั้น เป็นเฮาก็คงบ่รอด แต่ก็น่าเสียดาย ไอ้หน้าขาวนั่นมันมีฝีมือ เฮาบ่ได้ต่อสู้กับคนที่ฝีมือสูสีกันอย่างนี้มาเมินแล้ว”
“อ้าว แล้วจะใดหัวหน้าถึงสั่งให้เผามันล่ะ เฮานึกว่าหัวหน้าแค้นที่ถูกมันฟันเสียอีก”ชายร่างท้วมกล่าวต่อ
หัวหน้าโจรนึกเคืองแต่ก็ข่มความรู้สึกตนเอาไว้ ตอบมาเสียงเรียบ “จริงอยู่ เฮาแค้นที่มันทำให้เฮาต้องเจ็บตัว แต่เหตุผลที่พยายามฆ่ามันเพราะกลัวว่ามันจักมารู้ที่อยู่ของหมู่เฮาต่างหาก ดูท่าทางแล้วมันบ่ใช่คนธรรมดา เฮาต้องตัดไฟแต่ต้นลม”
“หมายความว่าจะใด”ชายร่างสันทัดถามต่อ
หัวหน้าโจรหันไปมองลูกน้องด้วยสายตาหมิ่นแคลน “ง่าว มึงนี่บ่สังเกตอะหยังเลยไอ้ใจ มึงหันการแต่งตัวของมันก่อ ตอนแรกที่เฮากึ๊ดจะปล้นมันก็เพราะหันว่ามันแต่งตัวดี น่าจะมีเงินมีทอง แต่พอประดาบกันแล้ว เฮาว่ามันคงจะเป็นทหารที่ทางการส่งมาสอดแนมมากกว่า”
“สุดท้ายก็ชวด” ชายร่างท้วมเปรยกลั้วหัวเราะ
หัวหน้าโจรหันขวับ มองอีกฝ่ายหมิ่นๆ “ก็ดีกว่าปล่อยให้มันปิ๊กไปบอกนายของมัน แล้วพาทหารมาจับหมู่เฮาไปตัดหัวล่ะน่า หรือสูต้องการให้เป็นอย่างนั้น สูอยากให้เฮาตาย จะได้มาเป็นหัวหน้าแทนอยู่แล้วนี่”
จบคำ หัวหน้าโจรจึงตวัดเชือกบนหลังม้าพาควบตะบึงนำหน้าไปก่อน ส่วนพวกโจรลูกน้องคุยกันอีกสองสามคำจึงควบม้าฝุ่นตลบตามไป
หลังพวกมันไปกันหมดแล้ว เจ้าศรีหิรัญจึงเปรยขึ้นมาเบาๆ “ท่าทางว่าซ่องโจ๋รจะอยู่บ่ไกลจากที่นี่”
“จะใด สูจะไปโตยดูกา”
องค์อุปราชสั่นหัว “โตยไปจะใด มันมีม้า เฮาเดินตีนเปล่า แค่รู้ว่ามันอยู่แถวนี้ก็พอละ เดี๋ยวค่อยจัดการทีหลังก็ได้ ตอนนี้ให้มันชะล่าใจไปก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็พาเฮาปิ๊กเรือนได้ละ ก่อนที่พ่อจะเป็นห่วงเฮามากกว่านี้”
“อ้ายบอกน้องแล้ว ว่าเฮาต้องค้างคืนที่นี่”
“แต่เฮา...”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ อุปราชหนุ่มก็คว้ามือเรียวหมับ จับจูงพาเดินไปข้างหน้าลิ่วๆ “ใหญ่ละ บ่ดีเอาแต่ใจ ระยะทางมันไกล แล้วตอนนี้ม้าเฮาก็บ่มี อย่างใดก็บ่ทัน สู้น้องนอนพักเอาแรงสักคืน วันพูก{วันพูก:พรุ่งนี้}เฮาออกแต่เช้ามืดจะดีกว่า”
“เฮากลัวว่าพ่อกับคนอื่นๆจะเป็นห่วง”นางแย้ง
“บ่ดีกึ๊ดนัก ทุกคนย่อมรู้ว่านี่เป็นเหตุสุดวิสัย”เจ้าศรีหิรัญสรุปพลางกระชับอุ้งหัตถ์กุมมือเรียวแน่นขึ้น
ความอุ่นใจแล่นผ่านสัมผัสนั้นเข้าสู่หัวใจของเอื้องฟ้าอย่างช้าๆ ดุจเดียวกับความรู้สึกบางอย่างที่โอบคลุมหัวใจของนางโดยไม่รู้ตัว