- 1391610864.jpg (111.65 KiB) เปิดดู 10822 ครั้ง
บทที่ ๑๒ คำถามจากกาลเวลา
รีบกลับมาหาผมเถอะเอื้องลดา
น้ำเสียงที่ดังแว่วในหูเป็นเหตุให้หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่บนตั่งหน้าคันฉ่องถึงกับหันรีหันขวางมองหา
เธอจำได้แม่นยำว่าเสียงนี้คือเสียงของนทีดล
เขาอยู่ที่ไหน แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับชายหนุ่มอีกคน บางทีเขาผู้นั้นอาจจะเป็นผู้ไขทุกปัญหาที่คาใจเธออยู่นี่ก็ได้ แต่เธอจะพบกับเขาได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่ทันได้ซักถามประวัติเขาก็หายตัวไปเสียแล้ว
เสียงเปิดประตูดังแอ๊ด ไม่ช้าศรีมอญก็ก้าวข้ามธรณีประตูมาพร้อมกับขันเงินซึ่งวางอยู่บนภาชนะรูปร่างคล้ายๆพานทว่าทำจากไม้แกะสลักอย่างงดงาม
ครั้นเดินเข้าห้องมาได้เพียงไม่กี่ก้าว หญิงสาวก็ย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นก่อนจะเดินเข่าเข้ามาหาเอื้องลดาพลางบอก“เจ้าแม่กับเจ้าพ่อรออยู่บนเติ๋นละเจ้า แล้วในขันนี่เป็นน้ำส้มป่อย ได้มาจากวัดเจ็ดยอด เจ้าแม่เกดแก้วเพิ่นบอกให้ข้าเจ้าเอามาให้เจ้าเอื้องสระสรงหัวให้เป็นศิริมงคลเจ้า”
“สระสรงอย่างนั้นรึ”ใจหญิงสาวอยากจะถามต่อว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง หากเธอก็ยังนิ่ง จวบจนศรีมอญยื่นขันมาให้และบอก “เอาไปพรมหัวเลยเจ้า”
หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมฉุนๆของน้ำส้มป่อยโชยเข้าจมูก หากเธอกลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด
“เชิญเจ้าเอื้องออกไปไหว้สาเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้แล้วเจ้า” ศรีมอญกระถดกายคลานเข่าถอยหลัง รอให้เอื้องลดาเดินนำไปก่อน
หญิงสาวจึงก้าวไปยังประตูห้องอย่างเกร็งๆ และยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง
ร้อนถึงศรีมอญต้องลุกขึ้นมาถอดกลอนออกและเปิดประตูให้ จากนั้นจึงย้ำ “เชิญเจ้า”
ดาราสาวลอบระบายลมหายใจออกไปเบาๆ พยายามนึกถึงบทบาทของตนยามที่ได้แสดงละครพีเรียดก่อนจะยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูออกไปอย่างช้าๆ
“เจ้าพ่อ เจ้าแม่อยู่ไหนรึศรีมอญ”
ศรีมอญขยับถอยหลังไปสองก้าวพลางบอกเบาๆว่า “อยู่ที่เติ๋นเจ้า เจ้าเอื้องโตยข้าเจ้ามาเลยเจ้า” {เติ๋น : บริเวณโถงของบ้านสำหรับใช้ทำกิจกรรมต่างๆ}
เอื้องลดาทำตามที่คนสนิทของตนบอกโดยการเดินตามไปอย่างช้าๆ เธอจึงมีเวลาพิจารณาคุ้มเชียงชื่นด้วยความชื่นชม
เรือนแฝดสไตล์ล้านนาหลังนี้ปลูกสร้างขึ้นด้วยไม้สักแผ่นใหญ่และหนา อีกทั้งหลังคาก็ยังมุงด้วยแป้นเกล็ดตามแบบเรือนคหบดีโบราณ เครื่องเรือนมีการตกแต่งอย่างเป็นระเบียบงดงามและล้วนแล้วแต่ทำจากไม้สักทั้งสิ้น
ส่วนเติ๋นที่ศรีมอญว่านั้นเป็นโถงกว้างกลางเรือนหลังใหญ่ ในบริเวณนี้จะมีเหล่าบริวารชายหญิงทำงานกันอยู่เป็นจุดๆ บ้างก็ยืนเฝ้าประตูราวกับเป็นองครักษ์ บ้างก็นั่งร้อยมาลัยหรือทำความสะอาดเครื่องเงิน เครื่องทองกันอย่างขะมักเขม้น แต่ในขณะที่เอื้องลดาเดินผ่านนั้นทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นมาน้อมไหว้ จวบจนเธอเดินผ่านไปแล้วนั่นแหละ ผู้คนเหล่านั้นจึงปรับเปลี่ยนอิริยาบถกลับมาทำงานเช่นเดิม
“เดี๋ยว ศรีมอญ”
หญิงสาวหมุนตัวกลับมาขานรับ “เจ้า”
เอื้องลดาชำเลืองมองชายหญิงสูงวัยซึ่งนั่งอยู่บนตั่งยาวขาสิงห์และมีสตรีหลายคนนั่งปรนนิบัติพัดวีอยู่บนพื้นเรือนมันปลาบก่อนจะถาม “นั่นเหรอ เจ้าพ่อเจ้าแม่ของฉันน่ะ”
“เจ้า นั่นคือเจ้าพ่อสัมฤทธิ์และเจ้าแม่เกดแก้วเจ้า”
“แล้วเธอบอกท่านหรือยังว่าฉันความจำเสื่อม”เอื้องลดาซักถามกันไว้เพื่อที่จะวางแผนการล่วงหน้าในใจ
ศรีมอญยิ้ม นางชักจะเริ่มชินกับภาษาอันแปร่งปร่าของเจ้านายบ้างแล้ว “เจ้า ท่านทั้งสองรู้แล้วเจ้า”
เอื้องลดาจึงพยักหน้า หรี่ตาพลางถามเสียงเบาปานกระซิบ “แล้วฉันต้องคลานเข่าเข้าไปหาท่านหรือเปล่า”
“บ่ต้องดอกเจ้า เจ้าเพิ่นบ่ได้พิธีรีตองกับเจ้าเอื้องนี่ เชิญตางนี้เลยเจ้า”เอื้องลดารวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนที่จะเดินเข้าไปหาผู้เป็นประมุขแห่งคุ้มเชียงชื่นอย่างช้าๆโดยพยายามที่จะเลียนแบบกิริยาสาวชาววังเต็มที่
“เป็นจะใดพ่องลูก”เจ้าเกดวดีลุกขึ้นจากตั่งก้าวเข้าไปหาผู้เป็นธิดาพลางสวมกอดเอาไว้หลวมๆ “พ่อกับแม่เป็นห่วงเอื้องนวลมาก ลูกสระสรงน้ำส้มป่อยที่แม่ให้ไปรึยัง”
“เอ่อ ลูกทำแล้วค่ะ”เอื้องลดาตอบอย่างตะกุกตะกัก
เจ้าเกดวดีดึงตัวหญิงสาวออกห่างก่อนจะจ้องมองอย่างพินิจ “จะใดว่าลูกอู้จาตามอย่างคนใต้เล่า”
ดาราสาวยกมือขึ้นพนมและก้มหน้าลงไหว้ “ลูกต้องขอโทษเจ้าแม่ด้วยค่ะ ตั้งแต่ลูกฟื้นขึ้นมาลูกก็จำอะไรไม่ได้เลย”
เจ้าเกดวดีถอนหายใจเบาๆพลางพยักหน้า “เอาเต๊อะ ตอนนี้ไปเฝ้าเจ้าพ่อกันดีกว่า”
เอื้องนวลพยายามรับคำเหมือนที่เคยได้ฟังจากศรีมอญบ่อยๆ “เจ้า เจ้าแม่”
ผู้เป็นมารดาจึงจูงธิดาคนเดียวก้าวขึ้นไปบนพื้นยกระดับซึ่งประมุขของเรือนนั่งเด่นเป็นสง่ารออยู่
เจ้าสัมฤทธิ์เป็นบุรุษร่างใหญ่ผู้มีใบหน้าดุและบุคลิกน่าเกรงขาม เมื่อไปถึงเอื้องลดาจึงทรุดตัวนั่งก่อน จากนั้นจึงก้มลงกราบอย่างสำรวม
ครั้นเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเจ้าสัมฤทธิ์จ้องมองตนอยู่ก่อนแล้ว
“ลุกขึ้นนั่งบนตั่งเต๊อะลูก”
“เจ้า” เอื้องลดาขานรับด้วยภาษาที่รู้ว่าตนนั้นพูดออกไปด้วยลิ้นอันแข็งกระด้างไม่นิ่มนวลดังต้นแบบที่เคยรับฟังมา แต่เธอก็พยายามเต็มที่แล้ว ที่จะทำตัวให้กลมกลืนกับคนในยุคนี้ให้มากที่สุด
หลังจากนั่งลงบนตั่งตัวเล็กและเตี้ยกว่าผู้ถูกอุปโลกน์ให้เป็นบิดามารดาของเธอ เอื้องลดาจึงเหลือบมองศรีมอญซึ่งนั่งอยู่หลังสุดราวกับหาผู้ช่วย
“ในระหว่างนี้ลูกต้องระวังตัวให้ดี อย่าไปไหนคนเดียว เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจักบ่มีไผช่วยทัน”
“เจ้า” เอื้องลดาอ้อมแอ้มตอบ
“เดี๋ยวสะหลีไชยจะมาแอ่วหาลูก”เจ้าสัมฤทธิ์บอกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย {แอ่ว ; เที่ยว}
เอื้องลดาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “สะหลีไชยคือใครคะกันเจ้าพ่อ”
เจ้าเกดวดีระบายยิ้มน้อยๆพลางเตือนสามีเบาๆ “ลูกคงจำสะหลีไชยบ่ได้น่ะเจ้า เจ้าพี่”
เจ้าสัมฤทธิ์พยักหน้า “อ๋อ พ่อก็ลืมไป สะหลีไชยคือคู่หมายของเจ้าและเป็นพระราชนัดดาของพ่อพญาติโลกราช”
คนฟังแทบจะอ้าปากค้าง ‘คู่หมั้นของเอื้องนวลเป็นถึงพระราชนัดดาของพระเจ้าติโลกราช’ ถ้างั้นก็แปลว่าเวลานี้เธอน่าจะอยู่ในยุคสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ลำดับที่ 9 แห่งราชวงศ์มังราย เหตุนี้คงไม่ต้องหาคำตอบอีกแล้ว ว่าเธอย้อนอดีตหรือไม่ เพราะภาพทุกภาพฉายชัดแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่จะอยู่ในปีพ.ศ.ใดนั้นคงต้องหาข้อมูลเอาภายหลังเพราะเธอจำปีที่พระเจ้าติโลกราชขึ้นครองราชย์ไม่ได้
“แล้วนี่ลูกเป็นจะใดพ่อง”ผู้เป็นบิดาถาม
“ลูกเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังจำใครไม่ได้เจ้า”เธอตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วๆเป็นภาษาไทยลงท้ายด้วยคำเมืองที่ฟังแปร่งหู แต่คงดีกว่าลงท้ายว่า ค่ะ เพราะคนที่นี่เขาไม่ใช้คำนี้กัน
“จงนอนพักให้มากๆจะได้ดีขึ้น เดี๋ยวพ่อต้องไปเฝ้าพ่อพญาที่เวียงแก้วก่อน วันนี้มีข้อราชการหลายเรื่องต้องหารือกัน”เจ้าสัมฤทธิ์บอกธิดาเสียงนุ่มก่อนจะลุกขึ้นยืน มองไปที่ลานกว้างที่ช้างตัวใหญ่ซึ่งบนหลังมีเสลี่ยงหมอบรออยู่
“เจ้า”เอื้องลดารับคำเบาๆสายตามองตามร่างสูงสง่าของเจ้าสัมฤทธิ์ที่เดินไปยังบันไดพลางลอบระบายลมหายใจเบาๆ
“วันนี้ลูกบ่ต้องเข้าไปช่วยงานในเวียงแก้วดอก รอให้หายก่อนดีกว่า”เสียงของเจ้าเกดวดีดังขึ้น หญิงสาวแห่งยุคปัจจุบันจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“ปกติลูกจะต้องเข้าไปช่วยงานในคุ้มหลวงของมหาเทวี”ผู้สูงวัยอธิบายเพิ่มเติม
เอื้องลดาเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้จึงถาม “แล้วเจ้าจอมหกมุกเป็นใครเจ้า”
เจ้าเกดวดีนิ่งไปครู่ใหญ่จึงค่อยตอบ ด้วยไม่ต้องการพูดถึงเจ้าจอมผู้นี้เท่าใดนัก “เป็นเจ้าจอมของพ่อพญา”
“เอ่อ เจ้าแม่เจ้า แล้วเราเป็นพระประยูรญาติฝ่ายไหนของพ่อพญา”
“เจ้าพ่อเป็นหลานของเจ้าหมื่นด้งหรือเจ้าโลกสามล้านซึ่งเป็นพระเจ้าอาของพ่อพญาจะใดเล่า”
“แล้วตอนนี้เจ้าโลกสามล้านอยู่ที่ไหนเจ้า”เธอซักต่ออย่างสนใจ
“ท่านครองเมืองเชียงชื่นซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านติดกับเมืองเชลียง แต่เจ้าพ่อของลูกต้องอยู่รับใช้พ่อพญายังเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่แห่งนี้เพราะท่านเป็นแม่ทัพหน้าของเมืองเฮา”
“อ๋อ ลูกเข้าใจแล้วเจ้า”เอื้องลดาขยับนั่งตัวตรง พลางเหสายตาไปมองหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งกำลังคลานเข่าเข้ามารายงาน “เจ้าสะหลีไชยมาถึงแล้วเจ้า”
สิ้นคำของเธอผู้นั้น ชายหนุ่มอายุราวๆเบญจเพสรูปร่างสันทัดก็เดินเข้ามาพร้อมกับชายในชุดทหารอีก 2 คนที่เดินตามหลังอยู่ต้อยๆ
“ไหว้สาเจ้าอา”เจ้าสะหลีไชยน้อมไหว้เจ้าเกดวดีก่อนจะหันมาส่งยิ้มพรายแก่เอื้องลดา หญิงสาวจึงก้มลงทำความเคารพเขาบ้าง
“ได้ยินว่าน้องหายตัวไป อ้ายใจบ่ดีเลย”
“เอื้องปลอดภัยดีแล้วเจ้า”
คำตอบอันแปร่งหูของคู่หมายเป็นเหตุให้หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งกำลังย่อตัวลงนั่งบนตั่งถึงกับชะงัก เจ้าเกดวดีจึงออกตัวแทน “ตอนที่น้องหายไปน่ะ คาดว่าจะสลบไป แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาก็จำสิ่งใดบ่ได้ อู้จาก็บ่เหมือนก่อน สะหลีไชยบ่ดีถือสาเน้อ”
“อ้อ ช่างเป็นเรื่องที่แปลกแต๊ๆ”เจ้าสะหลีไชยนั่งลงแล้วมองหญิงสาวด้วยแววตากังวล ก่อนจะถาม“แล้วที่สลบไปเพราะถูกทำร้ายฤๅว่าเป็นลมไปเองเจ้าอา”
“อาก็บ่แน่ใจเพราะบ่หันมีบาดแผลอะหยัง”
ผู้ฟังถอนลมหายใจออกมาด้วยความเป็นห่วง พลางสบตาคู่หมายและถาม “น้องจำอ้ายได้ก่อ”
“จำบ่ได้เจ้า” เอื้องลดาตอบฉาดฉาน
เจ้าสะหลีไชยหน้าเสียแต่ก็พยายามเปลี่ยนเรื่องให้บรรยากาศการสนทนาดีขึ้น
“เจ้าอาสัมฤทธิ์เข้าเฝ้าพระเจ้าลุงกาเจ้าอาเกดแก้ว”
“แม่นละ หันว่าพ่อพญาเชิญอาของหลานไปหารือเรื่องท้าวบุญเรือง”
“เจ้าจอมหอมุกทูลฟ้องเรื่องเจ้าพี่บุญเรืองอีกรอบ พระเจ้าลุงก็เลยให้คนไปเชิญเจ้าพี่บุญเรืองมาจากเมืองน้อยเพื่อไต่สวนเจ้า” เขาเล่า
“เฮ้อ!ตั้งแต่ไม้นิโครธศรีนครถูกทำลายลงก็มีแต่เรื่องราวบ่ดีเกิดขึ้นในบ้านเมืองเฮามาตลอด”เจ้าเกดวดีแสดงความคิดเห็นพลางทอดสายตาไปยังหมู่ไม้นอกคุ้ม
“เหตุเพราะพ่อพญาเชื่อคำของพระเถระแห่งพุกามล้ำไป หลานได้ยินเจ้านายหลายพระองค์เพิ่นว่ามันเป็นขึดเจ้า” เจ้าสะหลีไชยเล่าหลังจากถอนใจอีกเฮือกใหญ่ๆ
“เถระมังหลุงหลวงนั่นรึ เถรเฒ่านั่นทำตัวบ่สมกับเป็นพระเป็นเจ้าสักนิด แอ่วไปยุยงส่งเสริมพ่อพญาว่า หากทำตามคำตนเองแนะนำแล้วจักทำให้พญาเพิ่นมีเดชานุภาพขจรขจาย แต่อากลัวว่ามันจักทำคุณไสยใส่พ่อพญานะเจ้าหลาน”เจ้าเกดวดีสันนิษฐาน
“เพลานี้ก็มีคนคอยสืบดูอยู่เจ้า”
เอื้องลดาซึ่งฟังการสนทนาของเจ้านายฝ่ายเหนือทั้งสองนิ่งอยู่ นึกทบทวนความรู้ประวัติศาสตร์ตามที่เคยอ่านมา และคลับคล้ายคลับคลาว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยาได้มีรับสั่งให้เถรพม่าฝังคุณไสยในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งก็คงจะเป็นในปีนี้กระมัง
ภวังค์ของหญิงสาวขาดห้วงลงยามที่เจ้าเกดวดียกมือขึ้นพนม “ขอให้อารักษ์แห่งเมือง เชนเมือง ช่วยรักษาเมืองของเฮาให้อยู่รอดปลอดภัยโตยเต๊อะ”
“เมืองเชียงใหม่จะไม่มีภยันตรายใดๆในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชหรอกเจ้า อีกทั้งพระเกียรติยศของพระองค์จะเป็นที่โจษจันไปไกลถึงแผ่นดินจีนเลยทีเดียว”เอื้องลดาโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“น้องอู้เหมือนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า”เจ้าสะหลีไชยว่า
เอื้องลดาจึงยิ้ม “น้องคาดเดาตามความเป็นไปได้ต่างหาก”
“เอาล่ะ อาต้องไปดูละอ่อนเขาจัดบายศรีไปถวายพระมหาเทวีแล้ว ลูกดูแลเจ้าพี่เน้อเอื้องนวล”สั่งแล้วเจ้าเกดวดีก็ลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมเหล่าข้าราชบริพารทิ้งให้ธิดาคนเดียวของตนอยู่กับว่าที่คู่หมั้นพร้อมบริวารที่เหลืออีกส่วนหนึ่ง