Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า
เมื่อ: เสาร์ 13 ก.ค. 2013 5:53 pm
ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ด้วยกิริยาที่เรียกได้ว่าตาเกือบไม่กะพริบ
ระยะเวลาอันล่วงเลยมายาวนานห้าร้อยกว่าปี ยามนี้มหาราชแห่งล้านนามีเพียงพระเจดีย์อันเป็นเครื่องรำลึกถึงว่าครั้งหนึ่งบนผืนแผ่นดินแห่งนี้เคยมีกษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระเจ้าติโลกราช หรือที่จักรพรรดิ์จีนขนานพระนามให้ว่าราชาแห่งตะวันตกเป็นผู้ปกครอง
ทุกๆชีวิตบนโลกนี้ ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต้อยต่ำเพียงใดก็ล้วนแต่หลีกหนีความตายไปไม่พ้น
“แล้วฝั่งโน้นล่ะค่ะที่เหลือแต่ฐานสี่มุมนั่นน่ะ คืออะไร”เสียงของนาถนรีแทรกขึ้นมา นางเอกสาวจึงหันมองไปตามจุดโฟกัสสายตาของอีกฝ่ายขณะที่หูก็รอฟังคำตอบจากชายหนุ่มอย่างจดจ่อ “วิหารเก่าที่เคยใช้เป็นที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลกไงครับ”
“ดูคุณดลก็มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ดีเหมือนกันนะคะ”เอื้องลดาชม
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ที่รู้เรื่องวัดนี้เพราะพ่อเล่าให้ฟังบ่อยๆน่ะ แล้วอีกไม่นานผมก็ต้องมาบวชอยู่ที่นี่ด้วย ” เขาตอบเจือยิ้ม
“เมื่อไหร่คะ”นาถนรีซัก
“เข้าพรรษานี้แหละครับ”
เอื้องลดาได้ฟังจึงหันไปยิ้มหวานให้ว่าที่พระภิกษุคนใหม่ แล้วถอดรองเท้าวางไว้บนทางเดินปูด้วยอิฐและเดินตรงไปยังด้านหน้าองค์เจดีย์
“คุณเอื้องระวัง...”นทีดลร้องเตือนเสียงดัง หากยังไม่ทันจบประโยค นางเอกสาวก็เดินเขย่งเก็งกองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเหยเก เนื่องจากเหยียบเอาหนามไมยราพเข้าให้เต็มรัก ทว่าครู่ต่อมาเธอก็ยังทำใจดีสู้เสือหันกลับมายิ้มร่าให้คนเตือนได้อีก “เตือนช้าไปค่ะคุณดล”
“เจ็บมากไหม”เขารีบถอดรองเท้าก้าวตามหญิงสาวเข้าไปด้วยความห่วงใย เมื่อไปถึงจึงบอกให้เธอนั่งแหมะลงกับพื้นเช่นเดียวกับเขา หญิงสาวจึงทำตามอย่างงงๆและโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เขาก็เอ่ยขอโทษแล้วจับอุ้งเท้าของเธอขึ้นพลิกดู เป็นครู่จึงปล่อยมันลงพลางยิ้ม “ไม่มีเศษหนามแล้วครับ”
“เอ่อ คือ เอื้องไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกค่ะ ตกใจมากกว่าเพราะไม่คิดว่าบนผืนหญ้าจะมีหนามด้วย”นางเอกสาวออกตัวแก้เก้อขณะก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อชำเลืองมองนาถนรีซึ่งยืนอยู่บนทางเดิน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาอย่างสนใจ
“คุณนี่จริงๆเลย”เขาบ่นพลางถอนหายใจ แล้วจึงผายมือ “ไปที่กระถางธูปนั่นเถอะครับ จะได้ไหว้พระองค์ท่าน ไม่ต้องกลัวหนามแล้วล่ะ มันขึ้นแค่จุดที่อยู่ใกล้ๆทางเดินเท่านั้นแหละ”
หญิงสาวจึงพยักหน้าก่อนจะทำตามอย่างว่าง่ายโดยมีชายหนุ่มก้าวตามไปติดๆ
ไม่เข้าใจเหมือนกัน แค่เพียงหนามตำเท่านี้ เหตุใดเขาจึงรู้สึกห่วงเธออย่างมากมาย นทีดลถามตนเองหลายครั้งแต่ก็ไม่มีคำตอบย้อนกลับมาสักที ให้ตายสิ
เขาสลัดสิ่งที่ค้างคาใจออกพลางมองตามร่างโปร่งบางที่กำลังทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามกระถางธูปซึ่งตั้งอยู่กลางองค์เจดีย์ทางทิศตะวันตกและย่อตัวนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะหยิบธูปในห่อออกมา 18 ดอก จุดไฟจนไหม้ครบทุกดอกแล้วยื่นมันให้เธอเสียครึ่งหนึ่ง
เอื้องลดาเอื้อมมือไปรับพร้อมทั้งเอ่ยคำขอบคุณเบาๆจากนั้นจึงพนมมือ หลับตาลงและอธิษฐานจิต
ไม่ถึง5วินาทีความรู้สึกร้อนผ่าวจึงบังเกิดขึ้นบริเวณโคนนิ้วก้อยของเธอ หากหญิงสาวก็ยังหลับตานิ่งด้วยรู้ดีว่า แหวนนาคนั้นมีพลังพิเศษบางอย่างซึ่งตนไม่สามารถบังคับได้ และบัดนี้มันคงสำแดงเดชขึ้นอีกครั้ง
ตึง...ตึง กลองเสียงทรงพลังดังก้องอยู่ในหัวราวกับมีคนตีกลองขนาดใหญ่อยู่รอบๆตัวเธอ และทั้งที่ดวงตามองเห็นความดำมืด ลูกไฟสีทองกลับปรากฏขึ้นตรงหน้า ทว่าแสงอันเจิดจ้านั้นก็ทำให้เธอไม่อาจมองเห็นอื่นใดได้อีก แต่กลับได้ยินสุรเสียงนุ่มทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นว่า “ประตู๋อยู่บนก๋ำแปงหั้น ครั้นถึงเวลามันก็จักเปิด ทุกสิ่งได้ถูกก๋ำหนดเอาไว้แล้ว”
“ท่านเป็นใคร ท่านพูดถึงอะไร เอื้องไม่เข้าใจ”จิตของเอื้องลดาเพ่งถาม ร่างอันเปล่งรัศมีเจิดจ้านิ่งไปเป็นครู่จึงตอบ “ธูปในมือของเจ้าสื่อสารกับผู้ใด แหวนนาคของเจ้าก็เป๋นสื่อถึงผู้นั้นแล”
“นั่นคือพญาท่านครับคุณเอื้อง”
เสียงของนทีดลดังแทรกขึ้น อา...เหตุใดเสียงของเขาจึงดังขึ้นในกระแสความคิดของเธอได้
“แหมบ่เมินก็จักถึงเวลาแล้ว”สุรเสียงทรงพลังเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่แสงสีทองจะเลือนหายไป พร้อมๆกับที่เอื้องลดาลืมตาขึ้นผินหน้าไปจ้องคนข้างกายด้วยแววตาประหลาดใจ “เสียงของคุณใช่ไหมคะ ที่บอกว่า นั่นคือพญาท่าน”
“ใช่ ผมเองที่ตอบคุณ”
“แล้วทำไมคุณถึงสื่อสารกับเอื้องได้ทั้งๆที่เอื้องเพียงแค่คิด หรือว่า...”
นทีดลพยักหน้า “ครับ แหวนนาคทำให้เราสื่อถึงกันทางจิตได้ในบางจังหวะ”
เอื้องลดาใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างของตนเบาๆขณะนึกคิด ไตร่ตรอง “ก่อนที่จะเห็นภาพนั้น เอื้องรู้สึกร้อนที่โคนนิ้วก้อย หรือว่าก่อนมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น จะต้องเกิดปฏิกิริยากับแหวนก่อนคะ”
“ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นแหละ”เขาทอดสายตามองเธออย่างอ่อนโยนขณะตอบ แต่แล้วทั้งสองก็ต้องรีบหันขวับมองไปยังทางเดินพร้อมๆกันเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งตะโกนเรียก “สามคนนั้นมัวทำอะไรอยู่ เลิกกองแล้วนะ”
ระยะเวลาอันล่วงเลยมายาวนานห้าร้อยกว่าปี ยามนี้มหาราชแห่งล้านนามีเพียงพระเจดีย์อันเป็นเครื่องรำลึกถึงว่าครั้งหนึ่งบนผืนแผ่นดินแห่งนี้เคยมีกษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระเจ้าติโลกราช หรือที่จักรพรรดิ์จีนขนานพระนามให้ว่าราชาแห่งตะวันตกเป็นผู้ปกครอง
ทุกๆชีวิตบนโลกนี้ ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต้อยต่ำเพียงใดก็ล้วนแต่หลีกหนีความตายไปไม่พ้น
“แล้วฝั่งโน้นล่ะค่ะที่เหลือแต่ฐานสี่มุมนั่นน่ะ คืออะไร”เสียงของนาถนรีแทรกขึ้นมา นางเอกสาวจึงหันมองไปตามจุดโฟกัสสายตาของอีกฝ่ายขณะที่หูก็รอฟังคำตอบจากชายหนุ่มอย่างจดจ่อ “วิหารเก่าที่เคยใช้เป็นที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลกไงครับ”
“ดูคุณดลก็มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ดีเหมือนกันนะคะ”เอื้องลดาชม
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ที่รู้เรื่องวัดนี้เพราะพ่อเล่าให้ฟังบ่อยๆน่ะ แล้วอีกไม่นานผมก็ต้องมาบวชอยู่ที่นี่ด้วย ” เขาตอบเจือยิ้ม
“เมื่อไหร่คะ”นาถนรีซัก
“เข้าพรรษานี้แหละครับ”
เอื้องลดาได้ฟังจึงหันไปยิ้มหวานให้ว่าที่พระภิกษุคนใหม่ แล้วถอดรองเท้าวางไว้บนทางเดินปูด้วยอิฐและเดินตรงไปยังด้านหน้าองค์เจดีย์
“คุณเอื้องระวัง...”นทีดลร้องเตือนเสียงดัง หากยังไม่ทันจบประโยค นางเอกสาวก็เดินเขย่งเก็งกองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเหยเก เนื่องจากเหยียบเอาหนามไมยราพเข้าให้เต็มรัก ทว่าครู่ต่อมาเธอก็ยังทำใจดีสู้เสือหันกลับมายิ้มร่าให้คนเตือนได้อีก “เตือนช้าไปค่ะคุณดล”
“เจ็บมากไหม”เขารีบถอดรองเท้าก้าวตามหญิงสาวเข้าไปด้วยความห่วงใย เมื่อไปถึงจึงบอกให้เธอนั่งแหมะลงกับพื้นเช่นเดียวกับเขา หญิงสาวจึงทำตามอย่างงงๆและโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เขาก็เอ่ยขอโทษแล้วจับอุ้งเท้าของเธอขึ้นพลิกดู เป็นครู่จึงปล่อยมันลงพลางยิ้ม “ไม่มีเศษหนามแล้วครับ”
“เอ่อ คือ เอื้องไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกค่ะ ตกใจมากกว่าเพราะไม่คิดว่าบนผืนหญ้าจะมีหนามด้วย”นางเอกสาวออกตัวแก้เก้อขณะก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อชำเลืองมองนาถนรีซึ่งยืนอยู่บนทางเดิน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาอย่างสนใจ
“คุณนี่จริงๆเลย”เขาบ่นพลางถอนหายใจ แล้วจึงผายมือ “ไปที่กระถางธูปนั่นเถอะครับ จะได้ไหว้พระองค์ท่าน ไม่ต้องกลัวหนามแล้วล่ะ มันขึ้นแค่จุดที่อยู่ใกล้ๆทางเดินเท่านั้นแหละ”
หญิงสาวจึงพยักหน้าก่อนจะทำตามอย่างว่าง่ายโดยมีชายหนุ่มก้าวตามไปติดๆ
ไม่เข้าใจเหมือนกัน แค่เพียงหนามตำเท่านี้ เหตุใดเขาจึงรู้สึกห่วงเธออย่างมากมาย นทีดลถามตนเองหลายครั้งแต่ก็ไม่มีคำตอบย้อนกลับมาสักที ให้ตายสิ
เขาสลัดสิ่งที่ค้างคาใจออกพลางมองตามร่างโปร่งบางที่กำลังทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามกระถางธูปซึ่งตั้งอยู่กลางองค์เจดีย์ทางทิศตะวันตกและย่อตัวนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะหยิบธูปในห่อออกมา 18 ดอก จุดไฟจนไหม้ครบทุกดอกแล้วยื่นมันให้เธอเสียครึ่งหนึ่ง
เอื้องลดาเอื้อมมือไปรับพร้อมทั้งเอ่ยคำขอบคุณเบาๆจากนั้นจึงพนมมือ หลับตาลงและอธิษฐานจิต
ไม่ถึง5วินาทีความรู้สึกร้อนผ่าวจึงบังเกิดขึ้นบริเวณโคนนิ้วก้อยของเธอ หากหญิงสาวก็ยังหลับตานิ่งด้วยรู้ดีว่า แหวนนาคนั้นมีพลังพิเศษบางอย่างซึ่งตนไม่สามารถบังคับได้ และบัดนี้มันคงสำแดงเดชขึ้นอีกครั้ง
ตึง...ตึง กลองเสียงทรงพลังดังก้องอยู่ในหัวราวกับมีคนตีกลองขนาดใหญ่อยู่รอบๆตัวเธอ และทั้งที่ดวงตามองเห็นความดำมืด ลูกไฟสีทองกลับปรากฏขึ้นตรงหน้า ทว่าแสงอันเจิดจ้านั้นก็ทำให้เธอไม่อาจมองเห็นอื่นใดได้อีก แต่กลับได้ยินสุรเสียงนุ่มทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นว่า “ประตู๋อยู่บนก๋ำแปงหั้น ครั้นถึงเวลามันก็จักเปิด ทุกสิ่งได้ถูกก๋ำหนดเอาไว้แล้ว”
“ท่านเป็นใคร ท่านพูดถึงอะไร เอื้องไม่เข้าใจ”จิตของเอื้องลดาเพ่งถาม ร่างอันเปล่งรัศมีเจิดจ้านิ่งไปเป็นครู่จึงตอบ “ธูปในมือของเจ้าสื่อสารกับผู้ใด แหวนนาคของเจ้าก็เป๋นสื่อถึงผู้นั้นแล”
“นั่นคือพญาท่านครับคุณเอื้อง”
เสียงของนทีดลดังแทรกขึ้น อา...เหตุใดเสียงของเขาจึงดังขึ้นในกระแสความคิดของเธอได้
“แหมบ่เมินก็จักถึงเวลาแล้ว”สุรเสียงทรงพลังเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่แสงสีทองจะเลือนหายไป พร้อมๆกับที่เอื้องลดาลืมตาขึ้นผินหน้าไปจ้องคนข้างกายด้วยแววตาประหลาดใจ “เสียงของคุณใช่ไหมคะ ที่บอกว่า นั่นคือพญาท่าน”
“ใช่ ผมเองที่ตอบคุณ”
“แล้วทำไมคุณถึงสื่อสารกับเอื้องได้ทั้งๆที่เอื้องเพียงแค่คิด หรือว่า...”
นทีดลพยักหน้า “ครับ แหวนนาคทำให้เราสื่อถึงกันทางจิตได้ในบางจังหวะ”
เอื้องลดาใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างของตนเบาๆขณะนึกคิด ไตร่ตรอง “ก่อนที่จะเห็นภาพนั้น เอื้องรู้สึกร้อนที่โคนนิ้วก้อย หรือว่าก่อนมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น จะต้องเกิดปฏิกิริยากับแหวนก่อนคะ”
“ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นแหละ”เขาทอดสายตามองเธออย่างอ่อนโยนขณะตอบ แต่แล้วทั้งสองก็ต้องรีบหันขวับมองไปยังทางเดินพร้อมๆกันเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งตะโกนเรียก “สามคนนั้นมัวทำอะไรอยู่ เลิกกองแล้วนะ”