Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า
เมื่อ: อาทิตย์ 16 ก.พ. 2014 5:43 pm
เจ้าศรีหิรัญก้าวลงจากเรือนเพื่อตามหาทหารคนสนิทเนื่องจากอีกฝ่ายบอกว่าจะลงไปดูแลม้าแต่กลับหายไปนานเหลือเกิน เมื่อพระองค์จะสรงน้ำจึงต้องออกตามหาเนื่องจากสัมภาระอยู่บนหลังม้าทั้งหมด
“สิงห์คำ”องค์อุปราชแห่งอนันตกาลดำเนินไปพลางตรัสเรียกไปพลางด้วยเสียงอันดังก้องป่า หากทหารคู่ใจก็ยังคงเงียบ ไม่มีเสียงขานรับ
เจ้าศรีหิรัญจึงลัดเลาะไปตามลำห้วยด้วยหวังว่าสิงห์คำจะจูงม้าไปกินน้ำที่นั่น
เสียงน้ำดังสาดซ่าเป็นเหตุให้อุปราชหนุ่มหวนรำลึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์วัยที่เคยมาอาบน้ำยังลำห้วยแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน
จริงสินะ เดินไปอีกหน่อยจะเจอน้ำตกเล็กๆอันมีแอ่งน้ำสีฟ้าครามอยู่ด้านล่างชะง่อนผาสูง แอ่งน้ำแห่งนั้นเป็นสถานที่โปรดของแม่ครูศรีไพรเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ คิดแล้วก็ชวนให้อาลัยแม่ครูผู้จากไป นางเป็นหญิงที่ปราดเปรียวทว่าใจดี คอยใส่ใจศิษย์ทุกคนเสมอ คงเพราะนางไม่มีลูกกระมังจึงมีใจรักและเอ็นดูลูกศิษย์วัยละอ่อนเป็นพิเศษ
บาทแกร่งเหยียบย่างไปบนผืนหญ้าเขียวชอุ่มพลางทอดพระเนตรมองดอกบัวดินสีชมพูที่ขึ้นอยู่กลางดงไมยราพริมห้วย ใกล้ๆกันนั้นมีดอกเอื้องดินสีม่วงออกดอกดารดาษอยู่ทั่วไป ดุจเดียวกับดอกฝ้ายคำกลีบสลับซับซ้อนซึ่งร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นดินจนเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งบริเวณ
สายน้ำใสไหลรี่ นานทีจะเห็นลูกมะเดื่อสีแดงสดล่องลอยมาตามลำน้ำ เจ้าศรีหิรัญจำได้ว่าครั้งยังเยาว์เคยเก็บลูกมะเดื่อข้างน้ำตกมาเล่นกับสิงห์คำ จนถึงวันนี้ไม้มะเดื่อต้นนั้นก็ยังอยู่ แล้วมะม่วงป่ารสหวานอมเปรี้ยวซึ่งขึ้นอยู่ข้างๆกันนั่นเล่า จะยังอยู่ไหมหนอ
คิดพลางรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนเรียวโอษฐ์สีสด พร้อมกับที่โสตได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาแต่ไกล
เจ้าอุปราชศรีหิรัญหมุนองค์เหลียวซ้ายแลขวาหาต้นตอของเสียง เอ...จะเป็นสาวชาวป่าหรือผีไพรแกล้งยั่วกันนะ
แล้วสายพระเนตรคมกล้าก็หันไปปะร่างระหงที่กำลังแหวกว่ายน้ำเล่นอยู่กลางน้ำตกใส นางหนึ่งนั้นทรงจำได้ดีว่าคือเครือออน ส่วนอีกนางที่เห็นเพียงแผ่นหลังขาวผ่องนี่สิ นางคือใครกัน
หรือว่า...
เฮ้อ!ตัดความสงสัยไปเถิด ไม่ดีหรอก ทรงเป็นถึงขัตติยชาติจะมาสนใจใคร่รู้โดยไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ไม่ได้ ใจหนึ่งคิด และทำให้ต้องหมุนองค์บ่ายหน้าไปสู่ทิศทางที่เพิ่งเดินจากมาอีกครั้ง
“เอื้องฟ้า ระวังงู!”
“กรี๊ด!” เสียงของหญิงสาวที่ชื่อเอื้องฟ้ากรีดร้องลั่นด้วยความอกสั่นขวัญหาย
เจ้าศรีหิรัญลืมพระองค์รีบหันหลังกลับพลางกระโจนพรวดลงสู่ลำน้ำด้วยความห่วงใยเพื่อนมนุษย์
เอาน่า ชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ความเย็นของลำห้วยแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกขณะเจ้าอุปราชแห่งอนันตกาลแหวกว่ายเข้าไปหาหญิงสาวซึ่งกำลังหันหลังเกาะโขดหินอยู่ริมห้วย ชั่วเสี้ยววินาทีจึงเห็นงูเขียวตัวเล็กยาวถูกกระแสน้ำพัดผ่านคนทั้งคู่ไกลออกไป
“ว้าย นี่ท่านลงมาได้จะใด”เสียงเครือออนโวยวายดังแทรกเสียงน้ำขึ้นหลังจากที่หายตกใจแล้ว
เจ้าศรีหิรัญมิทรงตอบ แต่กลับใช้หัตถ์ใหญ่ลูบพักตร์คมสันของตนเลยขึ้นไปจนถึงเส้นเกศาที่เปียกลู่พระเศียรได้รูป ส่วนสายพระเนตรหรือก็จับจ้องร่างงามที่เห็นเพียงแผ่นหลังอยู่ในเวลานี้
เอื้องฟ้าหันขวับ ยังทันได้เห็นประกายคมกล้าบนดวงเนตรคมคู่นั้น ริมฝีปากบางสีระเรื่อของเธอเผยอออกด้วยอาการตกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมาเลย ดุจเดียวกับอุปราชหนุ่มที่ถึงกับตกตะลึง ยามที่เห็นดวงหน้างามซึ่งมีหยดน้ำพราวพร่าง ฤทัยภายใต้ความฉกรรจ์สั่นไหวประหนึ่งใครมาโยกคลอนเขาพระสุเมรุอันยิ่งใหญ่ หากพระองค์ก็ทรงระงับมันลงได้อย่างรวดเร็ว
แล้วจู่ๆเอื้องฟ้าก็รีบหันหน้าสีระเรื่อของตนไปทางเครือออนพลางบอกเสียงต่ำ “ปิ๊กเรือนกันได้แล้วเครือออน”
หลังจากนั้นสองสาวจึงรีบกระวีกระวาดขึ้นจากน้ำไปโดยไม่รอ ทิ้งให้เจ้าศรีหิรัญมองตามร่างอรชรซึ่งนุ่งผ้าถุงฉ่ำน้ำไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
เห็นสาวชาววังหน้าตาหมดจดมาก็มากมาย เหตุใดหัวใจจึงร้อนวูบวาบกระตุกไหวขึ้นมาได้ยามเห็นสาวชาวป่าที่มิได้ประทินสิ่งใดให้เย้ายวน
หรือจะเป็นเพราะเนื้อแท้ของความงามแห่งวัยสาวจึงทำให้เกิดความกระสันซ่านใจได้ถึงเพียงนี้ คิดพลางอุปราชหนุ่มก็ว่ายน้ำขึ้นสู่ฝั่งด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เอื้องฟ้า...นามนี้ค่อยๆฝังรากลึกในหทัยอย่างยากจะรื้อถอน
“สิงห์คำ”องค์อุปราชแห่งอนันตกาลดำเนินไปพลางตรัสเรียกไปพลางด้วยเสียงอันดังก้องป่า หากทหารคู่ใจก็ยังคงเงียบ ไม่มีเสียงขานรับ
เจ้าศรีหิรัญจึงลัดเลาะไปตามลำห้วยด้วยหวังว่าสิงห์คำจะจูงม้าไปกินน้ำที่นั่น
เสียงน้ำดังสาดซ่าเป็นเหตุให้อุปราชหนุ่มหวนรำลึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์วัยที่เคยมาอาบน้ำยังลำห้วยแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน
จริงสินะ เดินไปอีกหน่อยจะเจอน้ำตกเล็กๆอันมีแอ่งน้ำสีฟ้าครามอยู่ด้านล่างชะง่อนผาสูง แอ่งน้ำแห่งนั้นเป็นสถานที่โปรดของแม่ครูศรีไพรเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ คิดแล้วก็ชวนให้อาลัยแม่ครูผู้จากไป นางเป็นหญิงที่ปราดเปรียวทว่าใจดี คอยใส่ใจศิษย์ทุกคนเสมอ คงเพราะนางไม่มีลูกกระมังจึงมีใจรักและเอ็นดูลูกศิษย์วัยละอ่อนเป็นพิเศษ
บาทแกร่งเหยียบย่างไปบนผืนหญ้าเขียวชอุ่มพลางทอดพระเนตรมองดอกบัวดินสีชมพูที่ขึ้นอยู่กลางดงไมยราพริมห้วย ใกล้ๆกันนั้นมีดอกเอื้องดินสีม่วงออกดอกดารดาษอยู่ทั่วไป ดุจเดียวกับดอกฝ้ายคำกลีบสลับซับซ้อนซึ่งร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นดินจนเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งบริเวณ
สายน้ำใสไหลรี่ นานทีจะเห็นลูกมะเดื่อสีแดงสดล่องลอยมาตามลำน้ำ เจ้าศรีหิรัญจำได้ว่าครั้งยังเยาว์เคยเก็บลูกมะเดื่อข้างน้ำตกมาเล่นกับสิงห์คำ จนถึงวันนี้ไม้มะเดื่อต้นนั้นก็ยังอยู่ แล้วมะม่วงป่ารสหวานอมเปรี้ยวซึ่งขึ้นอยู่ข้างๆกันนั่นเล่า จะยังอยู่ไหมหนอ
คิดพลางรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนเรียวโอษฐ์สีสด พร้อมกับที่โสตได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาแต่ไกล
เจ้าอุปราชศรีหิรัญหมุนองค์เหลียวซ้ายแลขวาหาต้นตอของเสียง เอ...จะเป็นสาวชาวป่าหรือผีไพรแกล้งยั่วกันนะ
แล้วสายพระเนตรคมกล้าก็หันไปปะร่างระหงที่กำลังแหวกว่ายน้ำเล่นอยู่กลางน้ำตกใส นางหนึ่งนั้นทรงจำได้ดีว่าคือเครือออน ส่วนอีกนางที่เห็นเพียงแผ่นหลังขาวผ่องนี่สิ นางคือใครกัน
หรือว่า...
เฮ้อ!ตัดความสงสัยไปเถิด ไม่ดีหรอก ทรงเป็นถึงขัตติยชาติจะมาสนใจใคร่รู้โดยไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ไม่ได้ ใจหนึ่งคิด และทำให้ต้องหมุนองค์บ่ายหน้าไปสู่ทิศทางที่เพิ่งเดินจากมาอีกครั้ง
“เอื้องฟ้า ระวังงู!”
“กรี๊ด!” เสียงของหญิงสาวที่ชื่อเอื้องฟ้ากรีดร้องลั่นด้วยความอกสั่นขวัญหาย
เจ้าศรีหิรัญลืมพระองค์รีบหันหลังกลับพลางกระโจนพรวดลงสู่ลำน้ำด้วยความห่วงใยเพื่อนมนุษย์
เอาน่า ชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ความเย็นของลำห้วยแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกขณะเจ้าอุปราชแห่งอนันตกาลแหวกว่ายเข้าไปหาหญิงสาวซึ่งกำลังหันหลังเกาะโขดหินอยู่ริมห้วย ชั่วเสี้ยววินาทีจึงเห็นงูเขียวตัวเล็กยาวถูกกระแสน้ำพัดผ่านคนทั้งคู่ไกลออกไป
“ว้าย นี่ท่านลงมาได้จะใด”เสียงเครือออนโวยวายดังแทรกเสียงน้ำขึ้นหลังจากที่หายตกใจแล้ว
เจ้าศรีหิรัญมิทรงตอบ แต่กลับใช้หัตถ์ใหญ่ลูบพักตร์คมสันของตนเลยขึ้นไปจนถึงเส้นเกศาที่เปียกลู่พระเศียรได้รูป ส่วนสายพระเนตรหรือก็จับจ้องร่างงามที่เห็นเพียงแผ่นหลังอยู่ในเวลานี้
เอื้องฟ้าหันขวับ ยังทันได้เห็นประกายคมกล้าบนดวงเนตรคมคู่นั้น ริมฝีปากบางสีระเรื่อของเธอเผยอออกด้วยอาการตกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมาเลย ดุจเดียวกับอุปราชหนุ่มที่ถึงกับตกตะลึง ยามที่เห็นดวงหน้างามซึ่งมีหยดน้ำพราวพร่าง ฤทัยภายใต้ความฉกรรจ์สั่นไหวประหนึ่งใครมาโยกคลอนเขาพระสุเมรุอันยิ่งใหญ่ หากพระองค์ก็ทรงระงับมันลงได้อย่างรวดเร็ว
แล้วจู่ๆเอื้องฟ้าก็รีบหันหน้าสีระเรื่อของตนไปทางเครือออนพลางบอกเสียงต่ำ “ปิ๊กเรือนกันได้แล้วเครือออน”
หลังจากนั้นสองสาวจึงรีบกระวีกระวาดขึ้นจากน้ำไปโดยไม่รอ ทิ้งให้เจ้าศรีหิรัญมองตามร่างอรชรซึ่งนุ่งผ้าถุงฉ่ำน้ำไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
เห็นสาวชาววังหน้าตาหมดจดมาก็มากมาย เหตุใดหัวใจจึงร้อนวูบวาบกระตุกไหวขึ้นมาได้ยามเห็นสาวชาวป่าที่มิได้ประทินสิ่งใดให้เย้ายวน
หรือจะเป็นเพราะเนื้อแท้ของความงามแห่งวัยสาวจึงทำให้เกิดความกระสันซ่านใจได้ถึงเพียงนี้ คิดพลางอุปราชหนุ่มก็ว่ายน้ำขึ้นสู่ฝั่งด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เอื้องฟ้า...นามนี้ค่อยๆฝังรากลึกในหทัยอย่างยากจะรื้อถอน