Re: นวนิยาย ตราบสิ้นอสงไขย โดย น้ำฟ้า
เมื่อ: เสาร์ 08 มี.ค. 2014 9:26 am
บทที่ ๑๙
แดดโรยแสงลงดุจเดียวกับสองหนุ่มสาวที่เริ่มอ่อนล้าโรยแรง เมื่อเดินทางมาจนถึงบริเวณที่มีทุ่งหญ้าโล่งกว้างระหว่างเนินเขา เอื้องฟ้าจึงนั่งแหมะลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“บ่ไหวแล้วกา”วรกายสูงเพรียวหันหลังกลับมาทอดพระเนตรและตรัสถาม
หญิงสาวยกแขนขวาขึ้นปาดเหงื่อพลางพยักหน้า แก้มใสจึงเปื้อนเปรอะไปด้วยรอยกระดำกระด่าง
เจ้าศรีหิรัญประทับนั่งลงบนผืนหญ้าเขียวขจีตรงข้ามนาง จากนั้นจึงยกหัตถ์ขึ้นเช็ดพวงแก้มสีเรื่อให้ผุดผาดดังเดิม ก่อนจะตรัสบอก “น้องคงจะเมื่อยล้าเต็มทีละ พักก่อนเต๊อะ เดี๋ยวอ้ายจะไปหาผลไม้มาให้กิน”
“ถ้าไปก็ไปโตยกัน” นางท้วงแล้วชิงลุกขึ้นยืนก่อน
“อ้ายไปบ่เมิน รออยู่นี่เต๊อะ”ตรัสพลางหยัดองค์ยืนขึ้นทันใด
เอื้องฟ้าเงยหน้าขึ้นมองตาละห้อย “ไปโตยกันดีกว่า สูจะได้บ่ต้องวกปิ๊กมา”
อุปราชหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะสบตานาง “น้องต้องสัญญามาก่อนว่าต่อไปนี้จักเรียกอ้ายว่า อ้าย”
คิ้วงามขยับเข้าหากันจนเกือบชิด “ไปหาของกิน เกี่ยวอะหยังกับคำอู้คำจา สูนี่มันลอกแลน{ลอกแลน:กะล่อน}แต๊ๆ”
แทนที่จะโกรธ ว่าที่พญาเจ้าเมืองกลับแย้มสรวล “กับคนหลึก{หลึก:ดื้อรั้น}ก็ต้องใช้เหลี่ยมพ่อง ว่าใดจะตกลงก่อเจ้า คนงาม...”
คนงาม เป็นคำชม แต่ทำไมเอื้องฟ้ากลับรู้สึกเหมือนถูกล้อเลียนไม่รู้สิ
มือนางไวกว่าที่คิด พอจบคำเขาปั๊บ มือน้อยก็ซัดผัวะลงบนอุระอันหนั่นแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของผู้ที่ทำท่าทางยียวนอยู่ตรงข้าม “จะงามบ่งามก็เรื่องของเฮา”
“แล้วน้องจะตกลงก่อ ว่ามาเลย มันใกล้ค่ำละนา” ทรงย้ำ
เจ้าของร่างน้อยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันฮึ่มฮั่มในใจ ทว่ากลับพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ได้ เฮาจะยอมทำตามที่สูต้องการ”
“เอ๊า ถ้าอย่างนั้นก็อู้ใหม่ ฝึกปากให้มันชิน”
ดวงตาสีนิลกลมโตถลึงมองตอบขณะย้ำฉาดฉาด “เจ้า อ้ายหมื่นศรี พอใจหรือยังเจ้า”
“เจ้า เชิญเจ้า เจ้านางหน้อย” ทรงล้อด้วยความพึงพอพระทัย
ยามนี้แม้แต่เสียงนกร้องจิ๊บๆอันน่ารำคาญเมื่อครู่ก็กลับฟังเพลินราวกับบทเพลงอันเสนาะโสต
เอื้องฟ้านางจะรู้ฤๅไม่ว่าหทัยของเรากำลังหวั่นไหวหนัก ไม่ว่าเจ้าจะแย้มยิ้ม หรือแง่งอนเราก็มีความสุขที่ได้เห็น แค่ขอให้เจ้าอยู่ในสายตาเท่านั้น นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า...หัวใจปฏิพัทธ์
“แต๊ๆแล้วออกไปโตยกันก็ดีละ อ้ายจะได้บ่ต้องเป็นห่วงที่ต้องทิ้งน้องไว้คนเดียว”
“แล้วจะใดสู เอ๊ย อ้ายถึงโยกโย้”นางต่อว่าน้ำด้วยท่าทีแง่งอน
“ก็อ้ายอยากให้น้องเปิดใจพ่อง แค่เรียกว่าอ้ายจะไปยากอะหยังนักหนา ปะ ไปกันได้แล้ว”ว่าพลางยื่นหัตถ์ไปตรงหน้านางก่อนจะแบออก
เอื้องฟ้านิ่งมองเป็นครู่จึงตัดสินใจวางมือลงบนหัตถ์ใหญ่นั้นและปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือเรียวของตนก้าวไปตามทุ่งหญ้าสีเขียวอันมีดอกหญ้าปลิวไสวล้อลมลัดเลาะไปตามไหล่เขาพร้อมๆกับที่ดวงตะวันกำลังอำลาฟากฟ้าทางทิศตะวันตก
ไม่นานทั้งสองก็ไปถึงใต้ต้นมะม่วงป่าขนาดกะทัดรัดทว่าลูกดกเต็มต้น เจ้าศรีหิรัญจึงเป็นผู้ปีนขึ้นไปเลือกเก็บลูกที่สุกงอมส่งให้หญิงสาวซึ่งรอรับอยู่ด้านล่าง จนเพียงพอแก่การเป็นเสบียงสำหรับวันนี้และวันถัดไป จึงกระโดดลงมาแล้วนั่งลงบนก้อนหินข้างๆหญิงสาว
“เอ๊า ของสู”เอื้องฟ้าบอกพลางยื่นมะม่วงให้
เจ้าศรีหิรัญสั่นพักตร์ “น้องมีมีดอุ่มก็ปอกแล่”
แทนที่เอื้องฟ้าจะทำตามกลับแบมือเปื้อนฝุ่นของตนให้อีกฝ่ายดู “มือเฮาเปื้อนขนาดนี้จะปอกให้สู เอ่อ อ้ายหมื่นศรีได้จะใด”
ทรงยิ้มอย่างใจเย็นขณะตรัส “ปอกไปเต๊อะ อ้ายกินได้ อยู่ป่าอยู่ดงจะให้เพียบพร้อมสมบูรณ์ได้จะใดกัน”
ระหว่างที่เอื้องฟ้ากำลังกระอักกระอ่วนใจอยู่นั้น หูของนางก็แว่วๆได้ยินเสียงที่ทำให้ยิ้มออก “น้ำ ได้ยินเสียงน้ำก่อ”
ว่าแล้วสาวเจ้าก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน จากนั้นจึงดึงหัตถ์ของผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามให้ลุกขึ้นตาม “ไปกัน”
เจ้าศรีหิรัญไม่รอให้นางพูดซ้ำ รีบก้าวตามร่างบอบบองที่เดินเร็วปานจะเหาะออกไปทันที ไม่นานทั้งสองจึงมาถึงธารน้ำเล็กๆสายหนึ่งซึ่งมีต้นน้ำมาจากน้ำตกสูงที่อยู่ไกลออกไป
“ถึงแล้ว”เอื้องฟ้ายิ้มร่าขณะบอก
เจ้าอุปราชพยักพักตร์ “ไปล้างหน้าล้างตา ล้างมือ แล้วค่อยมาปอกมะม่วง ฤๅว่าจักอาบน้ำก่อนดี มอมไปหมดทั้งตัวแล้วนี่”
“หือ ไผว่าเฮาจะอาบ”นางสั่นหน้าหวือ
“จะใดว่าบ่อาบล่ะ” ตรัสถามด้วยความประหลาดใจ ทว่าไม่กี่อึดใจก็ทรงหาคำตอบได้ด้วยพระองค์เอง “หรือว่าน้องอาย อ้ายบ่แอบดูหรอกน่า”
“ไผว่าเอาเฮาอาย เฮาขี้ค้านต่างหาก”
“บ่ต้องมาอ้าง ไปอาบเต๊อะ เอาเป็นว่า อ้ายจะนั่งหันหลังให้ลำธารอยู่บนขอนไม้นี่ น้องหันมาดูก็จะเห็นว่าอ้ายทำสิ่งใดอยู่ จะได้สบายใจ”
เอื้องฟ้านึกตรองก่อนพยักหน้า “ก็ได้ ที่ยอมนี่เพราะรำคาญสูบ่นนะ บ่ใช่อยากอาบ”
เจ้าศรีหิรัญยิ้ม “อืม อ้ายเชื่อน้อง”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แดดโรยแสงลงดุจเดียวกับสองหนุ่มสาวที่เริ่มอ่อนล้าโรยแรง เมื่อเดินทางมาจนถึงบริเวณที่มีทุ่งหญ้าโล่งกว้างระหว่างเนินเขา เอื้องฟ้าจึงนั่งแหมะลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“บ่ไหวแล้วกา”วรกายสูงเพรียวหันหลังกลับมาทอดพระเนตรและตรัสถาม
หญิงสาวยกแขนขวาขึ้นปาดเหงื่อพลางพยักหน้า แก้มใสจึงเปื้อนเปรอะไปด้วยรอยกระดำกระด่าง
เจ้าศรีหิรัญประทับนั่งลงบนผืนหญ้าเขียวขจีตรงข้ามนาง จากนั้นจึงยกหัตถ์ขึ้นเช็ดพวงแก้มสีเรื่อให้ผุดผาดดังเดิม ก่อนจะตรัสบอก “น้องคงจะเมื่อยล้าเต็มทีละ พักก่อนเต๊อะ เดี๋ยวอ้ายจะไปหาผลไม้มาให้กิน”
“ถ้าไปก็ไปโตยกัน” นางท้วงแล้วชิงลุกขึ้นยืนก่อน
“อ้ายไปบ่เมิน รออยู่นี่เต๊อะ”ตรัสพลางหยัดองค์ยืนขึ้นทันใด
เอื้องฟ้าเงยหน้าขึ้นมองตาละห้อย “ไปโตยกันดีกว่า สูจะได้บ่ต้องวกปิ๊กมา”
อุปราชหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะสบตานาง “น้องต้องสัญญามาก่อนว่าต่อไปนี้จักเรียกอ้ายว่า อ้าย”
คิ้วงามขยับเข้าหากันจนเกือบชิด “ไปหาของกิน เกี่ยวอะหยังกับคำอู้คำจา สูนี่มันลอกแลน{ลอกแลน:กะล่อน}แต๊ๆ”
แทนที่จะโกรธ ว่าที่พญาเจ้าเมืองกลับแย้มสรวล “กับคนหลึก{หลึก:ดื้อรั้น}ก็ต้องใช้เหลี่ยมพ่อง ว่าใดจะตกลงก่อเจ้า คนงาม...”
คนงาม เป็นคำชม แต่ทำไมเอื้องฟ้ากลับรู้สึกเหมือนถูกล้อเลียนไม่รู้สิ
มือนางไวกว่าที่คิด พอจบคำเขาปั๊บ มือน้อยก็ซัดผัวะลงบนอุระอันหนั่นแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของผู้ที่ทำท่าทางยียวนอยู่ตรงข้าม “จะงามบ่งามก็เรื่องของเฮา”
“แล้วน้องจะตกลงก่อ ว่ามาเลย มันใกล้ค่ำละนา” ทรงย้ำ
เจ้าของร่างน้อยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันฮึ่มฮั่มในใจ ทว่ากลับพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ได้ เฮาจะยอมทำตามที่สูต้องการ”
“เอ๊า ถ้าอย่างนั้นก็อู้ใหม่ ฝึกปากให้มันชิน”
ดวงตาสีนิลกลมโตถลึงมองตอบขณะย้ำฉาดฉาด “เจ้า อ้ายหมื่นศรี พอใจหรือยังเจ้า”
“เจ้า เชิญเจ้า เจ้านางหน้อย” ทรงล้อด้วยความพึงพอพระทัย
ยามนี้แม้แต่เสียงนกร้องจิ๊บๆอันน่ารำคาญเมื่อครู่ก็กลับฟังเพลินราวกับบทเพลงอันเสนาะโสต
เอื้องฟ้านางจะรู้ฤๅไม่ว่าหทัยของเรากำลังหวั่นไหวหนัก ไม่ว่าเจ้าจะแย้มยิ้ม หรือแง่งอนเราก็มีความสุขที่ได้เห็น แค่ขอให้เจ้าอยู่ในสายตาเท่านั้น นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า...หัวใจปฏิพัทธ์
“แต๊ๆแล้วออกไปโตยกันก็ดีละ อ้ายจะได้บ่ต้องเป็นห่วงที่ต้องทิ้งน้องไว้คนเดียว”
“แล้วจะใดสู เอ๊ย อ้ายถึงโยกโย้”นางต่อว่าน้ำด้วยท่าทีแง่งอน
“ก็อ้ายอยากให้น้องเปิดใจพ่อง แค่เรียกว่าอ้ายจะไปยากอะหยังนักหนา ปะ ไปกันได้แล้ว”ว่าพลางยื่นหัตถ์ไปตรงหน้านางก่อนจะแบออก
เอื้องฟ้านิ่งมองเป็นครู่จึงตัดสินใจวางมือลงบนหัตถ์ใหญ่นั้นและปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือเรียวของตนก้าวไปตามทุ่งหญ้าสีเขียวอันมีดอกหญ้าปลิวไสวล้อลมลัดเลาะไปตามไหล่เขาพร้อมๆกับที่ดวงตะวันกำลังอำลาฟากฟ้าทางทิศตะวันตก
ไม่นานทั้งสองก็ไปถึงใต้ต้นมะม่วงป่าขนาดกะทัดรัดทว่าลูกดกเต็มต้น เจ้าศรีหิรัญจึงเป็นผู้ปีนขึ้นไปเลือกเก็บลูกที่สุกงอมส่งให้หญิงสาวซึ่งรอรับอยู่ด้านล่าง จนเพียงพอแก่การเป็นเสบียงสำหรับวันนี้และวันถัดไป จึงกระโดดลงมาแล้วนั่งลงบนก้อนหินข้างๆหญิงสาว
“เอ๊า ของสู”เอื้องฟ้าบอกพลางยื่นมะม่วงให้
เจ้าศรีหิรัญสั่นพักตร์ “น้องมีมีดอุ่มก็ปอกแล่”
แทนที่เอื้องฟ้าจะทำตามกลับแบมือเปื้อนฝุ่นของตนให้อีกฝ่ายดู “มือเฮาเปื้อนขนาดนี้จะปอกให้สู เอ่อ อ้ายหมื่นศรีได้จะใด”
ทรงยิ้มอย่างใจเย็นขณะตรัส “ปอกไปเต๊อะ อ้ายกินได้ อยู่ป่าอยู่ดงจะให้เพียบพร้อมสมบูรณ์ได้จะใดกัน”
ระหว่างที่เอื้องฟ้ากำลังกระอักกระอ่วนใจอยู่นั้น หูของนางก็แว่วๆได้ยินเสียงที่ทำให้ยิ้มออก “น้ำ ได้ยินเสียงน้ำก่อ”
ว่าแล้วสาวเจ้าก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน จากนั้นจึงดึงหัตถ์ของผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามให้ลุกขึ้นตาม “ไปกัน”
เจ้าศรีหิรัญไม่รอให้นางพูดซ้ำ รีบก้าวตามร่างบอบบองที่เดินเร็วปานจะเหาะออกไปทันที ไม่นานทั้งสองจึงมาถึงธารน้ำเล็กๆสายหนึ่งซึ่งมีต้นน้ำมาจากน้ำตกสูงที่อยู่ไกลออกไป
“ถึงแล้ว”เอื้องฟ้ายิ้มร่าขณะบอก
เจ้าอุปราชพยักพักตร์ “ไปล้างหน้าล้างตา ล้างมือ แล้วค่อยมาปอกมะม่วง ฤๅว่าจักอาบน้ำก่อนดี มอมไปหมดทั้งตัวแล้วนี่”
“หือ ไผว่าเฮาจะอาบ”นางสั่นหน้าหวือ
“จะใดว่าบ่อาบล่ะ” ตรัสถามด้วยความประหลาดใจ ทว่าไม่กี่อึดใจก็ทรงหาคำตอบได้ด้วยพระองค์เอง “หรือว่าน้องอาย อ้ายบ่แอบดูหรอกน่า”
“ไผว่าเอาเฮาอาย เฮาขี้ค้านต่างหาก”
“บ่ต้องมาอ้าง ไปอาบเต๊อะ เอาเป็นว่า อ้ายจะนั่งหันหลังให้ลำธารอยู่บนขอนไม้นี่ น้องหันมาดูก็จะเห็นว่าอ้ายทำสิ่งใดอยู่ จะได้สบายใจ”
เอื้องฟ้านึกตรองก่อนพยักหน้า “ก็ได้ ที่ยอมนี่เพราะรำคาญสูบ่นนะ บ่ใช่อยากอาบ”
เจ้าศรีหิรัญยิ้ม “อืม อ้ายเชื่อน้อง”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++