นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

นวนิยาย เรื่องยาว ต่างๆ

นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พุธ 04 พ.ย. 2015 5:57 am

การคัดลอกนิยาย นำไปทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่

ถือเป็นการกระทำผิดกฏหมายตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗


ritsaya.jpg
ritsaya.jpg (87.45 KiB) เปิดดู 15951 ครั้ง



บทนำ

รถตู้คันใหญ่จอดติดไฟแดงอยู่บนถนนย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร บรรยากาศในรถค่อนข้างอึมครึม เนื่องจากทุกคนต่างก็ดูเคร่งเครียดและกังวลอยู่ลึกๆ โดยเฉพาะหญิงสาวผู้มีดวงตากลมโต จมูกโด่งเล็กได้รูปรับกับริมฝีปากเรียวบางสีชมพูระเรื่อ แต่ดวงหน้าขาวผ่องภายใต้กรอบผมซอยสั้นนั้นก็ดูผุดผาดนักยามที่อยู่ในชุดสีดำสนิทเช่นเดียวกับทุกคนบนรถที่กำลังเดินทางกลับจากงานเผาศพคุณประไพ จันทรานนท์ ซึ่งเป็นย่าของหญิงสาวนั่นเอง

“พี่ซัน นุอยากรู้เรื่องเอ่อ...เรื่องคุณพ่อ” ชัยพล น้องชายคนเดียวของเธอชะโงกหน้าเข้ามากระซิบกระซาบ ขณะที่สายตาลอบมองไปยังบิดา มารดาที่นั่งอยู่ด้านหน้าอย่างระวัง

“เอาไว้ถึงบ้านค่อยคุยกัน พี่ไม่อยากให้คนขับรถได้ยิน” ซันดาตอบเสียงเบา

หลังได้คำตอบแล้วชัยพลจึงขยับตัวนั่งมองออกไปนอกตัวรถเช่นเดิม ปล่อยให้พี่สาวจมอยู่กับความนึกคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงที่แล้ว



เสียงสวดอภิธรรมยังดังก้องหูขณะที่ซันดาเดินลงจากเมรุเผาศพพร้อมกับมารดาและน้องชาย ส่วนบิดาของเธอนั้นยังคงยืนประคองคุณย่าน้อยอยู่ด้านบน เพื่อดูการเผาจริงจนเสร็จสิ้นพิธีการ

ทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้แถวแรกที่เรียงรายอยู่ในศาลา และต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองภาพเหตุการณ์บนเมรุเผาศพ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ควันไฟสีขาวลอยเอื่อยออกมาจากปล่องไฟด้านหลังเมรุ เสียงพระสวดเงียบลงแล้ว เสียงคุยกันของญาติผู้ตายจึงดังขึ้นแทนที่

ด้วยบรรยากาศอันเศร้าสร้อยทำให้ซันดาต้องยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาที่เอ่อคลอใกล้จะหยาดหยด ถึงแม้เธอจะได้อยู่ใกล้ชิดคุณย่าเพียงช่วงบั้นปลายชีวิตของท่าน แต่สายสัมพันธ์ก็ทำให้เกิดความรู้สึกอาลัยอย่างสุดซึ้ง เธออยากจะเก็บภาพทุกภาพในวันนี้เอาไว้เพราะเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เธอและท่านจะมีร่วมกัน

ในวัยเด็กซันดาจำได้ว่าคุณย่าเป็นผู้ดูแลเธอแทนจักรภพและรยา บิดามารดาของเธอซึ่งต้องไปทำงานในเวลากลางวัน เมื่อเธออายุได้ 6 ขวบบิดาจึงพาครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากอยู่จังหวัดเชียงใหม่ จนเธอเข้ามาทำงานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วจึงได้กลับมาอาศัยอยู่กับคุณย่าอีกครั้งหนึ่ง

“ผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับซันที่แต่งหน้าจัดๆยืนอยู่ข้างหลังคุณพ่อนั่นเป็นใครกัน ทำไมอยู่รอจนเผาจริงเสร็จ” มารดาของเธอถามขึ้น

ซันดามองตามด้วยใจที่บังคับไม่ให้สั่น แล้วหันไปตอบด้วยเสียงที่เบาปานกระซิบ “ซันก็เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นญาติกับเราค่ะคุณแม่ ผู้หญิงคนนี้ชื่อฟ้ารุ่ง ซันรู้จักกับเขาตอนไปเรียนมหา’ลัยที่เชียงใหม่”

“ก่อนช่วงพิธีนุก็เห็นเขาคุยกับคุณพ่ออย่างสนิทสนมเชียว”ชัยพลฟ้อง

“ตั้งแต่พ่อกับแม่ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ก็แทบไม่ได้ติดต่อกับญาติทางนี้เลย บางทีหนูฟ้ารุ่งอาจจะเป็นลูกของใครสักคนก็ได้ เดี๋ยวคุณพ่อคงพามาแนะนำเองแหละ” รยาสรุปก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนสนิทของสามีที่มานั่งอยู่ใกล้ๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าซันดามีท่าทีแปลกไปเมื่อได้เห็นหญิงสาวผู้เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่

“คุณพ่อจะลงจากเมรุแล้ว นุไปช่วยประคองคุณย่าน้อยสิ ท่าทางท่านจะไม่ไหว” ซันดาบอกน้องชาย แล้วจึงยื่นมือไปรับกรอบรูปหน้าศพของคุณย่ามาถือไว้เสียเอง เมื่อน้องชายทำตามที่สั่งเธอก็มองตามพลางถอนหายใจ ไม่เป็นผลดีเลยที่เธอได้มาพบฟ้ารุ่งอีกครั้ง ทั้งๆที่เธอเกือบจะลืมเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตแล้ว ‘ไม่ว่าจะเกิดอะไร เธอจะต้องเข้มแข็งนะซันดา’ หญิงสาวเตือนสติตนเองในใจ

ชัยพลเดินขึ้นไปบนบันไดเมรุก่อนจะหยุดอยู่กลางบันได เนื่องจากเห็นว่าฟ้ารุ่งเข้ามาประคองคุณย่าด้วยอีกแรงหนึ่ง เขาจึงรอให้ทั้งสามเดินผ่านไปก่อน จึงค่อยก้าวตาม

ซันดาจับจ้องร่างระหงในชุดเดรสสีดำสนิทอย่างจดจ่อ ฟ้ารุ่งดูเป็นสาวเต็มตัวและสวยขึ้นมากกว่าตอนเป็นนักศึกษา แต่สิ่งที่รับรู้ได้ตั้งแต่แวบแรกที่สบตากันคือ หญิงสาวผู้นั้นไม่มีความเป็นมิตรต่อเธอเลยแม้สักนิดเดียว
“คุณน้าเข้าไปนั่งในศาลาเถอะค่ะ ตรงนี้แดดร้อนเดี๋ยวจะไม่สบาย” มารดาของเธอนั่นเองที่เป็นคนพูดและเข้าไปประคองผู้ชราแทนสามี เมื่อทั้งสี่คนเดินเข้ามาใกล้

ซันดาก้าวตามคนทั้งหมดเข้าไปในศาลาอย่างเงียบๆ แวบหนึ่งเธอเห็นฟ้ารุ่งมองมาและยิ้มน้อยๆที่มุมปาก แค่เพียงนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ความกังวลใจเล่นปรี่เข้ามาในอกตามประสาวัวสันหลังหวะที่มีอะไรเล็กน้อยมากระทบก็ย่อมเจ็บขึ้นมาทันที

“ทุกคน...นี่ฟ้ารุ่ง” หลังนั่งลงบนเก้าอี้ข้างภรรยา จักรภพก็นิ่งไปครู่หนึ่งพร้อมกับจ้องหน้าภรรยาพลางถอนใจก่อนจะเอ่ยปากแนะนำต่อ “ เอ่อ ฟ้าเป็นลูกสาวของผมที่เกิดกับพลอยแสง”

“คุณพ่อ!” ด้วยความตกใจ ซันดาหลุดเสียงเรียกบิดาออกมาดังลั่น พลางเอื้อมมือไปรวบมือมารดาของตนไว้ มือเย็นเฉียบนั้นทำให้หญิงสาวเข้าใจความรู้สึกของมารดาดี แต่กลับไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากของรยาสักคำ

“ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ต้องรักกันไว้นะลูก แม่รยาน้าขอฝากหลานไว้อีกสักคนนะ แม่พลอยแสงเขาเสียไปนานแล้ว ถือเสียว่าฟ้าเป็นลูกของเราอีกคนหนึ่ง” คุณย่าน้อยฝากฝัง ซึ่งอีกนัยหนึ่งน่าจะเป็นการผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดที่เป็นอยู่

“ค่ะ คุณน้า” น้ำเสียงตอบนั้นสั่นน้อยๆ ซันดาคิดว่ามารดาคงกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ

“สวัสดีค่ะคุณป้า” ฟ้ารุ่งเอ่ยทักทายรยาพร้อมกับยกมือไหว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นรับไหว้จึงละสายตามามองซันดาบ้าง ผู้ถูกมองรีบเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยไม่อยากเห็นอะไรที่รกสายตา

“ฟ้าเป็นพี่คนโต เกิดก่อนซันประมาณสิบวัน” บิดาบอกคล้ายจะเตือนซันดาไปในตัว เธอจึงหันกลับมาตอบเบาๆว่า “ค่ะ”

“สบายดีนะฟ้ารุ่ง” ซันดาเอ่ยทักแกนๆ ไม่ยอมยกมือขึ้นไหว้หรือแม้แต่จะเรียกพี่ ส่วนชัยพลนั้นข่มใจยกมือไหว้อย่างลวกๆ เขาไม่ได้อคติใดๆทั้งสิ้น แต่มันเร็วเกินไปกับสิ่งที่ได้รับรู้ ตั้งแต่เกิดมาเขาก็มีพี่สาวเพียงคนเดียวคือซันดา แล้วอยู่ๆดีจะให้ทำใจได้อย่างไร

“เจอกันอีกจนได้นะซัน แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก จนแทบจะจำไม่ได้แน่ะ” ฟ้ารุ่งตอบด้วยสีหน้ายิ้มๆ ไม่สิ รอยยิ้มมุมปากนั่นดูจะเยาะเสียมากกว่า

“แต่ฉันจำเธอได้ดี” ซันดาตอบเสียงหนักแล้วจึงหันไปทางมารดา“เราจะกลับกันหรือยังคะ”

“อ้าว จะกลับกันแล้วหรือคะ ฟ้าก็กำลังจะกลับอยู่เหมือนกัน ซันเดินไปส่งที่รถหน่อยสิ ในฐานะเพื่อนเก่าและพี่สาวคนใหม่” ประโยคท้ายฟ้ารุ่งพยายามเน้นหนัก

“อืม ซันไปส่งพี่เขาสิ เดี๋ยวพ่อแม่นั่งรอที่นี่แหละ” จักรภพส่งเสริม

ซันดาจึงจำเป็นต้องเดินออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เพื่อไม่ให้บิดากังวล

“ตั้งแต่เกิดเรื่องเธอก็ตัดผมสั้น ทำตัวเป็นทอมแบบนี้เลยสินะ” ฟ้ารุ่งเอ่ยขึ้นลอยๆ สายตาของเธอมองไปยังที่จอดรถ แต่ซันดาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดกับตน “ไม่คิดเลยว่า เรื่องนั้นจะทำให้เธอต้องเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้ คงเสียใจมากสินะ”

ซันดาหันขวับไปมองด้วยแววตาแค้นเคือง “ไม่ต้องเสแสร้งเป็นพี่สาวที่แสนดี ตอนนี้มีแค่ฉันกับเธอไม่ต้องตีสองหน้าก็ได้ เพราะยังไงฉันก็รู้ว่าเธอมันปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ”

ฟ้ารุ่งหัวเราะ “แหม พูดแรงจัง ถ้ารู้ว่าเธอเป็นน้องพ่อเดียวกันฉันคงไม่...เอ่อ ไปมีส่วนทำให้ชีวิตเธอย่ำแย่แบบนี้”

“หยุดพูดเถอะ เธอคงเดินไปที่รถเองได้นะ” ซันดาตัดบทก่อนจะหันหลังกลับ เนื่องจากขอบตาของเธอกำลังร้อนผ่าว เมื่อความทรงจำเก่าๆกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เธอไม่ต้องการรื้อฟื้นอดีตใดๆทั้งสิ้น ในเมื่อเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต

ฟ้ารุ่งหยุดเดิน มองตามอีกฝ่ายยิ้มๆ พลางตะโกนตามหลัง “เราคงได้พบกันอีกนะซันดา เธอเตรียมตัวเอาไว้ได้เลย”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่หันมาตอบ สาวสวยร่างระหงจึงก้าวลิ่วๆไปที่รถด้วยสีหน้าพึงพอใจ และเมื่อก้าวเข้าไปนั่งประจำที่คนขับแล้ว ฟ้ารุ่งจึงเปรยกับสายลมว่า “ฉันมีเรื่องสนุกๆที่จะทำร่วมกับเธออีกหลายเรื่อง ซันดา”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พุธ 04 พ.ย. 2015 5:57 am

รถตู้จอดสนิทบริเวณหน้าตึกใหญ่ ซันดาจึงรอให้บิดามารดาก้าวลงไปก่อน จากนั้นเธอก็หันไปบอกน้องชายเสียงเบาว่า “เดี๋ยวพี่จะตามไปคุยกับคุณพ่อให้รู้เรื่อง”

“ดีฮะ นุก็อยากรู้ความเป็นมาของพี่สาวคนใหม่เหมือนกัน”

ซันดาพยักหน้าแล้วจึงเดินนำเข้าไปก่อน

บ้านทั้งหลังเงียบเชียบ โดยปกติผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะมีเพียงคุณย่าและซันดาเท่านั้น ส่วนพวกคนใช้ซึ่งอยู่กันที่ห้องพักด้านหลังก็จะอยู่กันอย่างสงบ เนื่องจากคุณย่าไม่ชอบความวุ่นวาย

ซันดาและชัยพลเดินตามบิดามารดาเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วจึงนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงข้ามท่านทั้งสอง

“ซันอยากรู้เรื่องของฟ้ารุ่งค่ะคุณพ่อ” ซันดาเปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม

บิดานิ่งไปครู่ใหญ่คล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูดแต่ก็ยอมเปิดเผยเรื่องราวในที่สุด “ก็อย่างที่พ่อบอกนั่นแหละ ฟ้ารุ่งเป็นลูกที่เกิดจากน้าพลอยแสงกับพ่อ”

ซันดาปล่อยร่างพิงพนักโซฟาเต็มแรงก่อนจะเบ้ปาก “มีลูกกับเมียน้อย แต่ลูกเมียน้อยแก่กว่าลูกเมียหลวงเนี่ยนะคะ ไหนคุณพ่อบอกว่ารักคุณแม่ไง แล้วนี่มันอะไรกัน”

“ซัน ใจเย็นๆก่อนลูก อย่าเพิ่งซักคุณพ่อเลย” รยาช่วยปราม ถึงเธอจะเข้าใจลูกสาวดีแต่ก็รู้ว่ายามนี้ซันดาพูดจาด้วยอารมณ์น้อยใจ เธอจึงอยากตะล่อมลูกสาวด้วยตนเองก่อน เพราะรู้ถึงความรั้นของซันดาดีอยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนจักรภพจะปลงๆจึงยกมือขึ้นโบก “ไม่เป็นไรคุณ ให้ลูกถามเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร”

“ถ้างั้นคุณพ่อก็เล่ามาเลยสิฮะ ว่าทำไมมีพี่ฟ้ารุ่งก่อนพี่ซัน” ชัยพลย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง

บิดาพยักหน้า “ได้สิ คือ หลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกันได้ไม่นาน ธนาคารก็ส่งแม่ไปประจำอยู่ที่สาขาเชียงใหม่ น้าพลอยแสงก็เลยเข้ามามีบทบาทกับชีวิตพ่อเพราะเราทำงานอยู่กระทรวงเดียวกัน”

ซันดานิ่งฟังด้วยความรู้สึกเหมือนถูกตีด้วยของแข็ง หัวใจเธอปวดหนึบราวกับถูกเข็มนับพันทิ่มแทง แต่ก็คงไม่เท่าความทรมานใจของมารดากระมัง “แล้วคุณแม่มารู้ตอนไหนคะ”

“รู้ตอนที่ท้องนุ ตอนแรกๆแม่ถึงกับจะฟ้องหย่าคุณพ่อเลยนะ เพราะนอกจากผิดหวังแล้ว พลอยแสงก็เข้ามาระรานจนแม่ทนไม่ไหว” รยาเป็นฝ่ายเล่าบ้าง

“แล้วคุณแม่กับคุณพ่อกลับมาเข้าใจกันได้ยังไงฮะ” ชัยพลถามอย่างจดจ่อ

“น้าพลอยแสงเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่จริงๆก่อนหน้านั้นพ่อก็เลือกแม่ เลือกที่จะลาออกจากราชการไปอยู่กับแม่ที่เชียงใหม่ เพียงแต่น้าพลอยแสงเขารับไม่ได้ ซึ่งพ่อก็เข้าใจเขานะ เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาตลอด พ่อผิดเอง พ่อขอโทษ” น้ำเสียงของบิดาเคร่งเครียดเช่นเดียวกับสีหน้า

“แล้วฟ้ารุ่งเขาไม่เคยเรียกร้องให้พ่อรับผิดชอบเลยหรือคะ” ซันดาโพล่งถาม

บิดาระบายลมหายใจออกมาเบาๆ “พอฟ้ารุ่งอายุได้หกเดือน พลอยแสงก็พาไปกราบคุณย่า ท่านถึงได้ทราบความจริงและให้พาฟ้ารุ่งไปอยู่ในความดูแลของท่านอยู่ระยะหนึ่ง แต่พอพลอยแสงเสียชีวิต ยายของฟ้ารุ่งก็มารับไปเลี้ยง และไม่ยอมให้เราสองพ่อลูกได้เจอกัน จนฟ้ารุ่งเรียนจบถึงได้มาหาพ่อด้วยตัวเอง”

“แสดงว่าที่ผ่านมาคุณแม่ก็รู้เรื่องนี้มาตลอด” ชัยพลถามบ้าง

มารดาพยักหน้า “ใช่ แม่รู้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เหตุการณ์มันก็ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว ลูกเองก็เหมือนกัน ลูกต้องเข้าใจคุณพ่อนะซัน นุ”

ซันดาหันไปมองหน้าน้องชายนิ่ง ในใจของเธอเวลานี้กำลังสับสน ความเข้าใจในความผิดพลาดของบิดา ความผิดหวัง ความสงสารมารดาตีกันให้วุ่นไปหมด คงยากที่จะให้รับฟังโดยที่ไม่รู้สึกแปลกเปลี่ยนใดๆเลย “เราสองคนจะพยายามค่ะคุณแม่ ขอตัวก่อนนะคะ ซันอยากอาบน้ำเต็มทีละ”

“นุไปด้วยสิพี่ซัน” ชัยพลบอกพลางลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็ว

หลังลูกทั้งสองลับจากสายตาแล้วจักรภพก็หันไปถามภรรยาด้วยสีหน้ากังวล “ผมหวังว่าลูกๆคงจะทำใจได้นะคุณ”

รยายิ้มจางๆและวางมือเรียวลงบนมือของสามีพลางบีบเบาๆก่อนตอบ “คงต้องให้เวลาลูกสักพัก แต่ยาเชื่อค่ะ ว่าลูกๆต้องเข้าใจคุณ”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

“พี่ซัน เดี๋ยวฮะ นุมีอะไรข้องใจ”

ซันดาตรึงเท้านิ่งไว้ที่บันไดขั้นแรก น้องชายจึงรีบเดินเข้าไปหาแล้วยิงคำถามทันที “ที่พี่ซันบอกว่าเคยรู้จักพี่ฟ้ารุ่ง แล้วเขานิสัยเป็นยังไงบ้าง”

ซันดายกแขนขึ้นมากอดอก จ้องหน้าน้องชายด้วยสายตาจริงจัง “เป็นคนเลว”

“โห พี่ซัน แรงจัง”

ซันดาไม่ตอบ พูดจบหญิงสาวก็หันหลังเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจคำทักท้วงใดๆของน้องชาย ปล่อยให้ชัยพลมึนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตามลำพัง

เมื่อก้าวเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวแล้ว ซันดาก็รีบปิดประตู ขึ้นไปนั่งพิงพนักหัวเตียงด้วยสีหน้าครุ่นคิด การปรากฏตัวของฟ้ารุ่งในวันนี้มีหลายสิ่งที่น่าสังเกต

แม่ของฟ้ารุ่งตายไปนานแล้ว แล้วแม่นั่นรู้ตั้งแต่ตอนไหนว่ามีพ่อคนเดียวกันกับเธอ ก่อนไปเรียนที่เชียงใหม่ หรือหลังจากนั้น ถ้าหากว่ารู้ก่อนหน้า การที่ฟ้ารุ่งเข้ามาตีสนิทกับเธอ และทำให้ชีวิตเธอดิ่งลงเหวนั่นคงเป็นความตั้งใจ ความโกรธแค้น และความริษยา การที่เธอมีทั้งพ่อและแม่ครบครันคงทำให้อีกฝ่ายต้องการทำลายเธอเพื่อความสะใจ ดังนั้นถ้าซันดายังอ่อนแอ คิดจะยอมแพ้ หรือหนีอดีต ก็จะทำให้ฟ้ารุ่งเป็นต่อ และสามารถอยู่เหนือเธอได้ตลอดไป ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีเจตนาอะไร เธอจะต้องเข้มแข็ง และไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำลายชีวิตซ้ำสองอีกเป็นอันขาด

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังลั่น ซันดาผุดลุกขึ้น ก้าวเร็วๆไปเปิดประตูออกในทันที และพบว่าผู้ที่มายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงข้ามก็คือน้องชายตัวดีของเธอนั่นเอง

“มีอะไรอีกล่ะ พี่จะรีบอาบน้ำ” ซันดาแกล้งทำหน้ายู่ เสียงดุ

“ก็...นุอยากรู้นี่นาว่าเขาเลวยังไง อยู่ดีๆคุณพ่อก็มาบอกว่าใครไม่รู้เป็นพี่สาวเรา นุก็ควรจะได้รู้ไม่ใช่เหรอพี่ซัน ว่าจะเชื่อใจเขาได้แค่ไหน”

คำตอบของน้องชายทำเอาพี่สาวถึงกับต้องทอดถอนใจ

บางเรื่องราวมันก็เป็นได้แค่ความลับ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะขยายความให้ทุกคนฟังได้

“ผู้หญิงคนนั้นสามารถทำเรื่องเลวร้าย หรือจะทำลายใครก็ได้ ถ้าหากทำไปแล้วตัวเองได้สิ่งที่ต้องการ ใครจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่สนใจ”

“ยกตัวอย่างเช่น...”

ซันดาเลิกคิ้ว “ไม่ยก เรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าจะเกิดกับตัวพี่เองหรือคนสนิท มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปโพนทะนาต่อ เมื่อพี่คอนเฟิร์มว่าเลว ก็ให้รู้ไว้ก็แล้วกันว่าเลวจริง”

“แต่จะยังไงเขาก็เป็นพี่สาวเรานะพี่ซัน” น้องชายแย้งอย่างไม่จริงจังนัก

แต่ก็ทำให้พี่สาวเริ่มรำคาญขึ้นมาทันควัน “แล้วเขาเห็นเราเป็นพี่น้องหรือเปล่าล่ะ เชิญแกดีใจที่ได้พี่สาวคนใหม่ไปคนเดียวเถอะ สำหรับฉัน...ไม่นับญาติ”

บอกความรู้สึกจบ ซันดาก็ถอยหลัง ปิดประตูเพื่อยุติการสนทนาในทันที

“มองโลกในแง่ดีต่อไปเถอะเจ้านุ สักวันแกจะรู้พิษสงของความไว้ใจคน”

ซันดาพยายามสลัดฟ้ารุ่งออกจากความคิด แต่ขณะที่เธอกำลังเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเตรียมอาบน้ำเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซันดาส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด พลางสาวเท้าเร็วๆไปเปิดประตูและโวยลั่น “บอกว่าจะอาบ...อ้าว คุณแม่”

“แม่เอง แม่เข้าไปได้ไหมซัน”

“ค่ะ” รับคำเบาๆแล้วหญิงสาวก็เดินนำเข้าไปขยับเก้าอี้หน้าโต๊ะไม้เล็กๆมาให้มารดานั่ง ส่วนตนเองนั้นนั่งลงหมิ่นเหม่ที่ปลายเตียงใกล้ๆกัน

“คุณแม่จะมาพูดเรื่องคุณพ่อหรือคะ” ซันดาถามเข้าเป้าโดยไม่รอ

มารดาจึงพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปดึงมือเรียวของลูกสาวมากุมไว้ “แม่รู้ว่าซันทำใจได้ยาก เพราะตัวแม่เองกว่าจะทำใจได้ก็หลายปี ยิ่งตอนรู้เรื่องใหม่ๆใจมันจะขาดเสียให้ได้ แต่พอนานไปก็ค่อยๆเข้าใจว่าคนเราที่ยังมีกิเลส ยามที่เกิดอารมณ์ชั่ววูบก็อาจจะทำผิดพลาดกันได้ทุกคน ชีวิตมันไม่ใช่นิยายนี่ลูกที่เราจะเขียนให้พระเอกงดงาม มั่นคง และซื่อสัตย์ยังไงก็ได้ ชีวิตจริงความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ง่าย ง่ายจนเราคิดไม่ถึง แม่ถึงให้อภัยคุณพ่อ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในครอบครัว ไม่ใช่แค่ความรักระหว่างหนุ่มสาว แต่คือความเป็นครอบครัวและลูกทั้งสองคน”

ซันดาบีบมือมารดาแน่นเข้าราวกับต้องการถ่ายทอดความรักและความปลอบประโลมไปให้ “ซันขอเวลาค่ะ ยังไงคุณพ่อก็เป็นพ่อ ซันแค่กำลังตกใจค่ะคุณแม่ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีพ่อคนเดียวกับผู้หญิงร้ายกาจอย่างฟ้ารุ่ง ตอนนี้ซันกำลังสงสัยว่าฟ้ารุ่งต้องการอะไร ถึงเข้ามาแสดงตัวกับพวกเรา คงไม่ใช่เจตนาที่ดีแน่”

มารดาย่นคิ้ว “อย่าเพิ่งคิดไปในทางร้ายเลย ดูๆไปก่อน เขาอาจจะแค่ต้องการทวงสิทธิ์ความเป็นลูก และใกล้ชิดคุณพ่อบ้าง เพราะแม่เขาก็ไม่อยู่แล้ว”

ซันดาเม้มริมฝีปาก ครุ่นคิด ชั่งใจอยู่นานจึงเล่าออกไปตามจริงว่า “ที่ซันคิดแบบนั้นเพราะซันเคยถูกฟ้ารุ่งหลอก เขาเข้ามาตีสนิท ทำเหมือนเป็นคนดี แต่สุดท้ายก็แทงข้างหลังซันทุกเรื่อง”

รยาเบิกตากว้าง “จริงหรือนี่ แล้วซันทำยังไงล่ะลูก”

ซันดาระบายลมหายใจออกมาเบาๆจากนั้นจึงฝืนยิ้มให้มารดาก่อนเล่า “ตอนนั้นซันอ่อนแอเกินไปก็เลยหนีปัญหา ส่วนฟ้ารุ่งก็คงมีความสุขที่ได้เห็นความทุกข์ของซัน ตอนนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้วค่ะ เขาเข้ามาหาเราเพื่อหวังผลบางอย่างจริงๆ”

“โถ ลูก” รยาเจ็บหนึบในอก ดึงร่างบางของลูกสาวเข้ามากอดเอาไว้หลวมๆ แม้ซันดาจะไม่ได้เล่าให้ฟังอย่างละเอียด แต่นั่นก็ย่อมแสดงให้เธอรู้ดีว่า ลูกสาวของเธออึดอัดใจที่จะต้องพูด “แม่ไม่นึกเลยว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ฟ้ารุ่งอาจจะแค้นเพราะยายของเขาฝังหัวมาตลอดว่า พลอยแสงตายเพราะฝีมือแม่”

“ยังไงคะ” ซันดาถอนตัวออกจากอ้อมกอดมารดาแล้วกดดันเอาคำตอบด้วยแววตาจดจ่อ “คุณแม่ช่วยเล่าให้ซันฟังตั้งแต่ต้นทีค่ะ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”

รยาพยักหน้า แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวในวันเก่าก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ก่อนหน้าที่แม่จะสอบเข้าทำงานที่ธนาควร แม่ได้งานทำที่กระทรวงคุณพ่อ น้าพลอยแสงเขาก็ทำงานอยู่ที่นั่น เขาเป็นน้องรักของแม่ เขามาจากครอบครัวที่เป็นเจ้าของร้านทอง พ่อแม่เข้มงวดมาก จริงๆแม่พอจะรู้ว่าน้าพลอยแสงปลื้มคุณพ่อ ซึ่งส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะคุณปู่ของเราเป็นอธิบดี คนในกระทรวงถึงได้เกรงใจ พลอยทำให้คุณพ่อเป็นที่สนใจของสาวๆ จนพ่อกับแม่ได้แต่งงานกัน และแม่ไปอยู่เชียงใหม่ น้าพลอยแสงเขาก็ทำหน้าที่กันสาวๆออกจากคุณพ่อ แต่ก็เข้ามาใกล้ชิดคุณพ่อจน...เอ่อ...”

“จนมีฟ้ารุ่งใช่ไหมคะ ซันว่าเขาตั้งใจจะจับคุณพ่อตั้งแต่แรก พวกตีสองหน้าในสังคมเรามีเยอะค่ะ”

“แม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เขาทำตัวไม่มีพิรุธเลย เป็นน้องที่คอยปกป้องพี่สาวยังไงก็ยังงั้น”

“แล้วทำไมช่วงแรกๆคุณแม่ไม่ระแคะระคายเรื่องคุณพ่อกับเขาล่ะคะ”

“ช่วงนั้นแม่ไปทำงานใหม่ๆ งานยังไม่ค่อยเข้าที่ก็เลยไม่ได้กลับกรุงเทพฯหลายเดือน คุณพ่อจะเป็นคนไปหาเอง แม่ก็เลยไม่รู้ความเป็นไปของคนที่นี่ ส่วนที่คุณพ่อบอกว่าคุณย่ารับฟ้ารุ่งไปเลี้ยงแม่ก็ไม่รู้ เพราะพ่อกับแม่แยกมาอยู่ข้างนอก มารู้ความจริงเอาก็ตอนที่แม่ท้องนุ พลอยแสงเขาก็เริ่มเข้ามาแสดงตัว แม่เองก็เริ่มผิดสังเกตเพราะหลังๆเขาชอบพูดจายุแยงให้แม่ทะเลาะกับคุณพ่อ พอไม่สำเร็จเขาก็ขึ้นไปหาแม่ที่เชียงใหม่ ขอร้องให้ยอมรับเขาออกหน้าออกตา คุณพ่อพยายามเคลียร์แต่ก็ไม่สำเร็จถึงได้ให้เงินเขาก้อนหนึ่ง และจ่ายค่าเลี้ยงดูฟ้ารุ่งทุกเดือน จากนั้นก็ลาออกจากกระทรวงตามไปอยู่เชียงใหม่ เพื่อทำกิจการรีสอร์ต และฟาร์มกล้วยไม้กับแม่”

“แล้วเขาตายยังไงคะ ทำไมยายของฟ้ารุ่งต้องสงสัยคุณแม่ด้วย”

“เขาตกตึกตาย ก่อนตายน่ะ หลวงลุงของเราเป็นคนไปรับเขาออกมา ทางนั้นก็เลยคิดเอาเองว่าแม่จ้างวานฆ่า”

“แสดงว่าที่หลวงลุงบวชไม่สึกก็เพราะเรื่องนี้หรือคะ”

“ใช่ หลวงลุงบวชเพราะต้องการอุทิศส่วนกุศลให้พลอยแสง แต่ทางยายของฟ้ารุ่งก็ส่งฟ้องศาล จนคดีสิ้นสุด ตัดสินให้เราบริสุทธิ์และยกฟ้อง”

“ฝ่ายนั้นก็เลยโกรธแค้นเรา”

“คงจะเป็นอย่างนั้น แต่แม่ไม่ได้ทำ และเชื่อว่าหลวงลุงก็ไม่ได้ทำ เพราะท่านรักพลอยแสงมาก รักถึงแม้จะรู้ว่าเป็นผู้หญิงของน้องเขยตัวเอง”

“ซันเชื่อหลวงลุงกับคุณแม่ค่ะ ต่อจากนี้เราคงต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะคนอย่างฟ้ารุ่ง ไม่ธรรมดา” ซันดาสรุปเสียงหนัก

รยาลุกขึ้นจากเก้าอี้ วางมือลงบนศีรษะลูกสาวและลูบผมซอยสั้นนั้นเบาๆ “ซันก็อย่าระวังจนระแวงนะลูก ถ้าพ่อแม่กับน้องกลับเชียงใหม่แล้วซันต้องอยู่ที่นี่คนเดียว แม่ไม่อยากให้หนูเครียด”

ซันดาเงยหน้าขึ้นมองมารดาพลางยิ้มจางๆ “ซันสัญญาว่าจะระวังตัวให้ดี แต่ไม่เครียดค่ะ”

ผู้เป็นแม่พยักหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

ฟ้ารุ่งจึงลุกขึ้น คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยสีหน้าเจือกังวล


[ จบบทนำ ]
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » จันทร์ 09 พ.ย. 2015 5:42 am

1144_resize.jpg
1144_resize.jpg (34.2 KiB) เปิดดู 15947 ครั้ง


บทที่ ๑


หลังเสร็จสิ้นพิธีลอยอังคารประมุขของบ้านจันทรานนท์แล้ว จักรภพจึงพาภรรยาและลูกชายกลับเชียงใหม่ ชีวิตของซันดาจึงกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง จะมีที่แตกต่างจากเดิมก็คือ ในวันนี้ไม่มีคุณย่าอีกแล้ว บ้านหลังใหญ่จึงเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เพราะมีเพียงเธอและอาสาวที่ต่างคนต่างอยู่ ซันดาดูออกว่าจิดาภาไม่ใคร่เอ็นดูหลานอย่างเธอเท่าใดนัก และหลายครั้งที่ผู้เป็นอาแสดงออกว่าไม่ชอบรยา ซันดาเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องมรดก เนื่องจากคุณย่าเป็นเจ้าของที่ดินย่านธุรกิจหลายสิบไร่ ซึ่งขณะนี้ที่ดินดังกล่าวได้แบ่งให้เอกชนเช่าอยู่ในราคาแพงลิบลิ่ว จิดาภาจึงสามารถทำตัวไฮโซลอยไปลอยมาโดยไม่ต้องทำงานใดๆ ต่างกับผู้เป็นหลานสาวซึ่งเลือกทำงานตามสายงานที่ถนัด หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยซันดาก็ใช้เวลาว่างโดยการเป็นนักเขียนนวนิยาย เธอเป็นนักเขียนอยู่ 3 ปีก็เบนเข็มมาเป็นบรรณาธิการโดยการชักนำของแพรวารุ่นน้องคนสนิท และเป็นลูกสาวเจ้าของสำนักพิมพ์ที่เธอทำงานอยู่นั่นเอง

เช้าแรกของการเริ่มต้นทำงาน ซันดาออกจากบ้านด้วยใจที่พยายามปรับให้สดใสที่สุด แต่เมื่อมาถึงสำนักพิมพ์เธอกลับรู้สึกถึงความผิดปกติ เหตุเพราะระหว่างที่ซันดาเดินเข้ามานั้น เหล่าพนักงานคนอื่นๆต่างก็ลอบมองเธอด้วยสายตาที่แปลกออกไป บ้างก็จับสังเกต บ้างก็หันไปซุบซิบกัน ครั้นพอเธอถามตรงๆ ต่างก็ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่า...เปล่า ก่อนจะยิ้มแหยๆแล้วเดินเลี่ยงไปราวกับกลัวที่จะต้องตอบ

ขณะที่ใจครุ่นคิดหาคำตอบ หญิงสาวก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานของตน กระจกสีทึมตรงช่องบานประตูส่องสะท้อนให้เห็นหญิงสาวผมสั้น ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีสด กางเกงขาเดฟสีดำ สวมรองเท้าหุ้มส้นเตี้ยๆ เธอก็แต่งตัวเหมือนๆกับทุกวัน แล้วสายตาที่ทุกคนมองมามันคืออะไร

เมื่อคิดไม่ตก ซันดาจึงถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้มือเรียวผลักบานประตูให้เปิดกว้างออก แล้วก้าวเข้าไปในห้องทำงานอย่างช้าๆ จากนั้นคิ้วโก่งได้รูปจึงขมวดมุ่นเมื่อเห็นสภาพห้องทำงานของตนที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
‘นี่มันอะไรกัน’ บรรณาธิการสาวเปรยกับตนเองเบาๆ ด้วยความสงสัย

ร่างบางก้าวเข้าไปยืนชิดโต๊ะทำงานแล้วก้มลงมองเอกสารที่วางอยู่อย่างพินิจ

มันเป็นเอกสารชุดเดียวกับของเธอนั่นแหละ แต่มีแฟ้มแปลกๆวางทับอยู่ รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องเขียน และแจกันใบใหม่ จำได้ว่าวันสุดท้ายก่อนลาพักร้อน โต๊ะของเธอไม่ได้มีเอกสารและสิ่งของแปลกปลอมเหล่านี้แม้แต่ชิ้นเดียว แล้วมันเกิดอะไร...

ขณะครุ่นคิดก็มีคนถือวิสาสะผลักบานประตูเข้ามาในห้องโดยไม่มีการเคาะเตือน ซันดาเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าผู้มาใหม่คือ ไหมแก้ว สาวใหญ่วัย 47 ปี ผู้เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ลูกหว้าที่เธอทำงานอยู่ เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาสวยเด่น รูปร่างโปร่งบางในชุดสีแดงเพลิงที่ซันดารู้จักดี

“อ้าว! ซัน น้าไม่รู้ว่าเธออยู่ในห้อง เลยไม่ได้เคาะประตู ขอโทษทีนะ” ผู้สูงวัยที่สุดในนั้นเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน

ซันดายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณน้า ไม่ทราบว่าเกิดอะไรกับห้องทำงานของซันคะ ทำไมมีข้าวของแปลกๆโผล่ขึ้นมาเองได้”

ถามพลางเธอก็เหลือบมองสาวชุดแดงอย่างหวาดระแวง การได้พบกันอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซันดารู้ซึ้งถึงจิตใจของอีกฝ่ายดี ‘คนเคยรู้จัก’คนนี้ไม่ได้มีเจตนาดีกับเธอแน่ เพียงแค่เหลือบตาไปมองเธอก็เห็นรอยเยาะที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน กาลเวลาไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้เลยจริงๆ “ฟ้ารุ่ง”

“เอาละ น้าจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆนะ” ไหมแก้วระบายยิ้มขณะเดินเข้ามาใกล้คู่สนทนา “ซันมัวลาพักร้อนกลับต่างจังหวัด คงยังไม่รู้ว่าตัวเองทำงานผิดพลาด แล้วทำให้สำนักพิมพ์เสียหายมากแค่ไหน”

ซันดาตกใจในสิ่งที่ได้ยิน นี่เธอทำงานพลาดขนาดนั้นเลยหรือ เป็นไปไม่ได้ “นิยายที่ซันดูแลอยู่มีปัญหาหรือคะ”
คนตอบพยักหน้า “ใช่ นิยายที่ซันเป็นบอกอเล่มถูกร้องเรียนว่าพล็อตซ้ำกับซีรีส์เกาหลี อีกเล่มมีการลอกงานจากเล่มอื่นมาใส่เป็นจุดๆ ตอนนี้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์เราป่นปี้หมดละ”

ดวงตากลมโตเบิกค้าง ซันดาชะงักไปพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ซันขอโทษค่ะคุณน้า ซันไม่คิดว่า...”

“เอาล่ะๆ ซันเป็นพี่คนสนิทของยายแพรลูกสาวน้า น้าจะไม่เอาเรื่อง แต่น้าจะเซ็นเช็คให้ซันล่วงหน้า 3 เดือน เพื่อสำรองใช้ในการหางานที่ใหม่” น้ำเสียงเรียบๆของไหมแก้วนั้นสะเทือนถึงหัวใจของซันดา

‘เธอกำลังถูกไล่ออก’

ไม่น่าเชื่อเลยว่างานจะผิดพลาดขนาดนั้น นักเขียนทั้งสองคนที่เธอเป็นบรรณาธิการไม่ใช่นักเขียนไก่กา คนหนึ่งออกงานมาแล้วหลายเล่ม อีกคนเป็นนักเขียนมือรางวัลมาแล้วหลายรายการ

“คุณน้าจะไล่ซันออกหรือคะ ซันขอโอกาส...”

ไหมแก้วโบกมือ “อย่าเลย ระหว่างที่ซันไม่อยู่เนี่ย น้าได้หนูฟ้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์จนทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว น้าไม่ได้จะให้ซันรับผิดชอบอะไร ดังนั้นซันไม่ติดค้างอะไรกับสำนักพิมพ์ ไม่ต้องกังวล”

ระหว่างที่ไหมแก้วแนะนำกลายๆ สาวสวยที่ยืนเงียบอยู่นานก็เหยียดยิ้ม

“น้าลืมแนะนำบอกอฟ้า หรือหนูฟ้ารุ่ง ที่จะมาเป็นบอกอแทนซัน” ไหมแก้วพูดต่อ

ซันดาใจหายวาบ ฝืนหันไปมองผู้ที่มาเสียบแทนเธอด้วยสีหน้ากระด้าง ไม่เอ่ยปากทักทาย

“ฟ้ารุ่ง กุลประภัทตร์ ค่ะคุณซัน ฟ้าเพิ่งกลับจากอังกฤษ อยู่ที่โน่นก็เป็นบอกอเหมือนกัน แต่ในเมืองไทยยังไม่รู้จักเพื่อนร่วมวงการเลย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” บรรณาธิการคนใหม่แสดงท่าทีเสมือนไม่เคยรู้จักซันดาได้อย่างแนบเนียนนัก ใช่สิ...ผู้หญิงคนนี้แสดงละครเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“แสดงว่าของที่อยู่บนโต๊ะนี่ก็ของเธองั้นสิ” ซันดาถามเสียงแข็ง มองฟ้ารุ่งตาขวาง

คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ใช่สิ คุณไหมแก้วยกห้องนี้ให้ฉันหลายวันแล้ว”

“เดี๋ยวน้ามีประชุมผู้ประกอบการสื่อสิ่งพิมพ์ ซันก็เก็บของเลยนะ อ้อ หนูฟ้าก็อยู่อำนวยความสะดวกก่อนก็แล้วกัน เผื่อจะสอบถามอะไรเกี่ยวกับงานที่ซันเขาทำค้างไว้” ไหมแก้วทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องไป

ซันดามองตาม เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บของมือเป็นระวิง โดยมีฟ้ารุ่งยืนกอดอกมองอยู่ด้วยแววตาอ่านยาก ครู่ใหญ่บรรณาธิการคนใหม่จึงเอ่ยขึ้นเสียงเยาะ “คงไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งในสภาพนี้สินะน้องสาว”

มือที่กำลังเก็บแฟ้มชะงัก ซันดาเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดเขม็ง สายตาแสดงคู่นั้นแสดงความสะใจเด่นชัด จึงกัดฟันตอบ“ฉันไม่สนใจ จะพบเธอหรือไม่ก็มีค่าเท่ากับศูนย์”

ฟ้ารุ่งหัวเราะอีกครั้ง พลางเดินเข้ามาพิงโต๊ะทำงานมองคู่สนทนาอย่างหยันๆ “งั้นก็ขอบใจนะ ที่สละตำแหน่งให้ สำนักพิมพ์ลูกหว้ากำลังเป็นที่จับตามองของนักอ่าน พอฉันมาเป็นบอกอก็ควรจะทำงานอย่างรัดกุม ไม่สะเพร่าอย่างเธอ”

ซันดาวางมือ กอดอกบ้าง “เธอหมายความว่ายังไงฟ้ารุ่ง”

“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ คนอย่างเธอไม่เหมาะกับที่นี่ แล้วถ้าทำงานชุ่ยๆแบบนี้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะเติบโตบนเส้นทางสายนี้ได้ ตราบใดที่ยังมีฉัน” ฟ้ารุ่งโต้เสียงเข้ม

ซันดามองคนที่เข้ามาแทนเธอด้วยแววตากร้าว แต่ก็รู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่เธอจะต่อล้อต่อเถียง ในเมื่อสำนักพิมพ์แห่งนี้ไม่ใช่ที่สำหรับเธออีกต่อไปแล้ว จึงก้มหน้าเก็บของใส่กล่องแล้วยกขึ้น ก้าวไปยังทิศทางของประตูโดยไม่ลา

แต่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านกรอบประตูออกไป ฟ้ารุ่งก็เดินมาขวางเอาไว้ และมองซันดากวาดตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอเปลี่ยนไปมาก คงจะเป็นเพราะผลจากเหตุการณ์คราวนั้น...”

“ฉันทำทุกอย่างที่อยากทำ ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ถอยไป!” ซันดาตอบเสียงแข็ง แววตาของเธอจ้องผู้อยู่ตรงหน้าเขม็ง อีกฝ่ายก็ยังคงมองตอบ ไม่หลบ ครู่ใหญ่ฟ้ารุ่งจึงเหยียดปากด้วยกิริยาเย้ยหยัน

อารมณ์โกรธของซันดาพุ่งขึ้นอย่างสุดขีด แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มใจเพราะรู้ดีว่า ความโกรธของเธอจะทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจที่ก่อกวนได้สำเร็จ “เธอจะถอยมั้ยฟ้ารุ่ง ถ้าไม่ถอยฉันจะชนแหลก”

ผู้ถูกถามเบะปาก ยืนกอดอกอยู่ที่เดิมโดยไม่ยี่หระ “เธอไม่กล้าหรอก เพราะเธอก็รู้ว่าฉันกำความลับของเธออยู่ในมือ”

“งั้นก็ลองดู” ซันดาถอยหลังเร็วๆกลับไปสามก้าว เมื่อได้จังหวะก็พุ่งตัวไปข้างหน้าและชนเข้ากับร่างระหงที่ยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงหลายนิ้วเต็มแรง

“ว้าย!” ฟ้ารุ่งร้องลั่นขณะที่ร่างของเธอล้มโครมลงไปกองกับพื้น

เสียงอันดังลั่นส่งผลให้พนักงานคนอื่นๆที่คอยเมียงมองอยู่ ต่างกรูกันออกมาดูด้วยความสนใจ เมื่อเห็นบรรณาธิการคนใหม่นั่งเค้เก้อยู่กับพื้น หญิงสาวคนหนึ่งจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นและถาม “เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะบอกอ”

ทว่าผู้ถูกถามมิได้สนใจ สายตาของเธอจดจ้องไปยังร่างที่กำลังหอบข้าวของเข้าไปในลิฟต์ พร้อมๆกับบอกตนเองด้วยความแค้นเคืองว่า ‘ครั้งหน้าแกจะต้องเจ็บกว่าฉัน ซันดา’



ภาพอดีตบางภาพยังแจ่มชัดในความทรงจำอยู่เสมอ…



ค่ำคืนนั้นซันดานั่งอยู่ในห้องบอลรูมของโรงแรมหรู รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ผู้ที่ตรึงความสนใจของเธอเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม คือ พิธีกรสาวที่กำลังประกาศผลรางวัลอยู่บนเวที เนื่องจากรางวัลที่เธอผู้นั้นกำลังจะประกาศมีซันดาเป็นหนึ่งในผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลด้วย

“รางวัลนักเขียนหน้าใหม่ยอดเยี่ยมได้แก่...” พิธีกรสาวจงใจหยุดพูดเพื่อให้มีเสียงดนตรีอันเร้าใจแทรกขึ้น ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “เจ้าของนามปากกา รัศมิ์จันทร์ คุณซันดา จันทรานนท์ ขอเสียงปรบมือด้วยค่ะ”

เสียงประกาศจบลง เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่มขึ้นแทนที่ ซันดาเกิดอาการหูอื้อ ตาลายขึ้นมาทันควัน เสียงฮือฮารอบกายจึงไม่มีผลใดๆต่อการรับรู้ของเธอ ไม่อยากเชื่อเลยว่าระยะเวลาเพียงแค่สองปีจะทำให้เธอประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้

เมื่อเห็นอาการช็อกของคนข้างกาย สาวสวยในชุดราตรียาวสีแดงสดจึงรีบหันไปสะกิดซันดาให้รู้สึกตัว“พี่ซัน ลุกไปรับรางวัลสิ เร็ว! เขาเรียกแล้ว”

น้ำเสียงเร่งเร้าของแพรวาปลุกให้ผู้ที่กำลังใจลอยได้สติ เธอจึงรีบลุกพรวดขึ้นยืน ก้าวฉับๆขึ้นไปรับโล่รางวัลบนเวทีด้วยรอยยิ้มแบบที่เรียกว่าแก้มแทบปริ

งานนี้เป็นงานประกาศผลรางวัลจากนิตยสาร “นิวสไตล์” ซึ่งจะมีการมอบรางวัลให้แก่บุคคลสาขาอาชีพต่างๆที่ได้รับการโหวตว่าเป็นบุคคลยอดนิยมเป็นประจำทุกปี ในปีนี้ซันดาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลังจากเธอเข้าสู่วงการนวนิยายได้เพียงสองปี เธอจึงตื่นเต้นกับความสำเร็จที่ได้รับในเวลาอันรวดเร็วนี้เป็นพิเศษ

ร่างบางเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเวทีเคียงคู่ท่านผู้หญิงรพีผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการหนังสือมานาน เธอหันไปยกมือไหว้ท่านอย่างอ่อนน้อมและยื่นมือออกไปรับโล่ด้วยท่าทีสุภาพ จังหวะนั้นท่านผู้หญิงเอียงหน้าเข้ามากระซิบบอกซันดาว่า “ฉันชอบอ่านนิยายของหนูมาก”

นักเขียนสาวจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง แล้วขยับเข้าไปยืนใกล้ๆท่านเพื่อให้ช่างภาพถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

จากนั้นท่านผู้หญิงก็ได้ลงจากเวทีไปก่อน ส่วนซันดาต้องอยู่ต่อเพื่อกล่าวความในใจ เธอเดินเข้าไปหยุดใกล้ๆไมโครโฟนซึ่งตั้งอยู่กลางเวที แล้วจึงขยับเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงกังวานใส “นามปากการัศมิ์จันทร์ เข้าสู่วงการหนังสือมาเป็นเวลาสองปี ซึ่งเป็นสองปีแห่งความสุข ดิฉันได้ทำงานที่ตัวเองรัก และสิ่งที่เป็นเครื่องวัดความสำเร็จของดิฉัน คือ นักอ่าน ส่วนรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ยอดนิยมนั้นก็เป็นอีกความภูมิใจหนึ่งของดิฉันเช่นเดียวกัน ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มอบโอกาสในครั้งนี้ค่ะ”

กล่าวจบซันดาก็ถอยห่างจากไมโครโฟนทำท่าจะก้าวลงจากเวที ทว่าพิธีกรสาวกลับรั้งเธอไว้ด้วยการถามต่อ “หลายๆท่านคงอยากทราบว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณซันดาเริ่มต้นเขียนนิยาย พอจะเล่าได้ไหมคะ”

ผู้ถูกสัมภาษณ์ปรายตาไปยังพิธีกรแวบหนึ่งก่อนตอบฉาดฉาน “เล่าได้ค่ะ สั้นๆ แรงบันดาลใจของดิฉันมาจากผู้ชายคนหนึ่ง...”

พิธีกรสาวร้อง ว้าว! ด้วยท่าทางน่ารัก “โรแมนติกจัง”

ซันดาตัดบทการสนทนาด้วยการหันไปยิ้มแล้วโบกมือให้ผู้ชมด้านล่างก่อนจะหมุนตัวเดินลงเวทีด้วยท่าทางมั่นใจ เธอจะรู้สึกฮึดขึ้นมาเสมอ ยามที่ได้เอ่ยถึงผู้ชายคนนี้...ผู้ชายที่เธอไม่เคยลืม



เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้น ทำให้ภวังค์ของซันดาพังครืน เธอละสายตาจากโล่รางวัลที่ตั้งอยู่บนตู้โชว์แล้วเอี้ยวตัวไปคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหู

“สวัสดีค่ะ นั่นบอกอกซันดาใช่ไหม”ปลายสายเอ่ยถามขึ้นก่อน

เจ้าตัวเลิกคิ้วนิดหนึ่งตามความเคยชิน “ใช่ค่ะ”

“ฉันชื่อนาถลดาเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์ ฉันทราบว่าหนูเพิ่งลาออกจากสำนักพิมพ์ลูกหว้าก็เลยอยากชวนให้มาร่วมงานกับเรา”

หลังฟังจนจบประโยค คิ้วคู่สวยของซันดาก็ขยับเข้าหากันจนชิด อยู่ดีๆก็มีคนโทร.มาเสนองานให้เธอ หลังจากที่เธอเพิ่งถูกไล่ออกจากสำนักพิมพ์เดิมได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง แถมคนที่โทร.มาเป็นถึงเจ้าของสำนักพิมพ์เสียอีก นี่ดวงเธอดีขนาดนั้นเลยหรือ…

“ทำไมถึงเงียบไป ตกลงไหม” ปลายสายเร่งเร้า

ซันดานิ่งไปอึดใจก่อนตัดสินใจถามตรงๆ “ทำไมคุณนาถลดาถึงอยากได้ดิฉันไปร่วมงานด้วยล่ะค่ะ”

“ฉันอยากได้คนที่เข้าใจทั้งนักเขียนและบอกอจะได้ทำงานอย่างราบรื่น ฉันคิดว่าหนูเหมาะสมที่สุด ถ้าหนูสนใจมาช่วยดูแลสำนักพิมพ์เปิดใหม่อย่างเลิฟไลน์บุ๊คส์ ฉันก็ยินดีที่จะให้เงินเดือนหนูมากกว่าเดิมหมื่นนึง”

‘มากกว่าเดิมหนึ่งหมื่นบาท’ หญิงสาวทวนคำในใจ

เธอจะไม่ตกงาน แถมยังได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกเป็นหมื่น แล้วจะรออะไรอีกล่ะซันดา

“ถ้าหนูสนใจ พรุ่งนี้เราพบกันที่สำนักพิมพ์ตอนเก้าโมงเช้านะ ฉันให้เวลาหนูตัดสินใจคืนหนึ่ง”

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณนาถลดา” ซันดาพยายามบังคับเสียงไม่ให้แสดงความตื่นเต้นออกไปมากนัก ทั้งๆที่ในใจเต้นโครมคราม

ปลายสายวางไปแล้ว แต่ซันดายังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ผู้หญิงที่โทร.มาจะใช่คุณนาถลดาตัวจริงหรือเปล่านะ ถ้าไม่ใช่ ใครกันที่โทร.มาหลอกเธอ แล้วถ้าใช่ล่ะ เธอต้องเตรียมตัวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไรบ้าง

‘โอกาสดีๆกำลังเข้ามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเธอจะต้องสู้อย่างไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว’ ซันดาบอกกับตนเองเบาๆ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » จันทร์ 09 พ.ย. 2015 5:43 am

สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์เป็นสำนักพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น 9 คูหาโดยใช้พื้นที่คูหาสุดท้ายด้านซ้ายมือสุดของตัวอาคารเป็นสำนักงาน ส่วนอีก 8 คูหานั้นเป็นพื้นที่ของบริษัทอนันต์คอนสตรัคชั่นซึ่งประเมินจากสายตาแล้ว ซันดาคิดว่าสองบริษัทนี้น่าจะมีเจ้าของเดียวกันหรือไม่ก็คงเป็นญาติๆกันจึงมาตั้งบริษัทที่มีลักษณะงานต่างกันอยู่บนอาคารพาณิชย์หลังเดียวกันได้

เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม กางเกงยีนขายาวสีดำยืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าอาคารพักใหญ่ รปภ.วัยกลางคนจึงเข้ามาสอบถามและแนะนำให้ซันดาขึ้นไปยังชั้น7 เธอจึงเอ่ยขอบคุณแล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดังกล่าวเพื่อแจ้งกับเลขาฯหน้าห้องว่ามาพบนาถลดา ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว จึงเปิดประตูให้เธอเข้าไปในห้องซึ่งมีกระจกสีทึมโดยไม่ซักถามอะไรเลย

หลังแทรกตัวผ่านกรอบประตูเข้าไป ซันดาจึงพบว่า เธอถูกพาเข้ามาในห้องประชุมสีครีมขนาดกลาง หญิงสาวรีบกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องมีคนนั่งอยู่ราวๆสิบคน แต่ละคนมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว แต่ซันดาก็ไม่เกิดอาการประหม่าแต่อย่างใด เธอเดินตามเลขาฯเข้าไปแนะนำตัวกับนาถลดาซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่ อีกฝ่ายรับไหว้แล้วจึงโอบไหล่พาเธอไปแนะนำตัวกับฝ่ายต่างๆของสำนักพิมพ์บ้าง โดยเริ่มจากผู้ที่นั่งอยู่ไกลสุดก่อน จนมาถึงผู้ที่ทำให้หญิงสาวต้องชะงักงันแค่เพียงได้ยินคำแนะนำว่า “นี่ปรัชญ์ เป็นบรรณาธิการบริหาร”

ใจของเธอเต้นตึกตัก อธิษฐานว่าขออย่าให้เป็นปรัชญ์คนเดียวกับที่เธอเคยรู้จักเลย เพราะหากเป็นเช่นนั้นการทำงานของเธอคงจะไม่ราบรื่นเป็นแน่

พลันนั้นซันดาจึงรีบละสายตาจากผู้ช่วยบรรณาธิการสาวสวยมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเธอเลยสักนิด เธอจำเขาได้ดี ชายหนุ่มผู้มีดวงตาเรียวใต้คิ้วเข้มเหมาะเจาะกับจมูกโด่งเป็นสัน เหนือริมฝีปากบางคล้ายปากสตรี ระยะเวลาสิบกว่าปีมิได้ทำให้ปรัชญ์เปลี่ยนแปลงไปมากนัก รูปร่างของเขายังคงสูงโปร่ง ไหล่หนาดูผึ่งผาย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด คือ สายตาของเขา ปรัชญ์เคยมีแววตาขี้เล่นและรอยยิ้มสดใสเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ดูโดดเด่นกว่าหนุ่มคนอื่นๆรอบตัว ทว่าวันนี้แววตาที่มองสบมานิ่งสนิท มีเพียงเรียวปากที่ระบายยิ้มน้อยๆดูเป็นมิตร ตรงกันข้ามกับซันดาที่เม้มปากตนเองแน่น แววตาของเธอแข็งกร้าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“สวัสดีครับ คุณซันดา”

ประโยคแรกของปรัชญ์ดึงสติของหญิงสาวให้กลับมาสู่ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว เธอจึงรีบกลบเกลื่อนอาการพลางเอ่ยตอบอย่างรักษามารยาท “เอ่อ สวัสดีคุณปรัชญ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”

เขายังคงยิ้มจางๆ “ยินดีครับ”

“เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาบอกอซันดาแนะนำตัวเองบ้างแล้ว” นาถลดาสั่ง

ซันดาหันไปตอบว่า ค่ะ เบาๆ ก่อนทำตาม “ฉันชื่อซันดา ชื่อเล่นซัน อดีตบอกอประจำสำนักพิมพ์ลูกหว้าค่ะ”

แนะนำตัวเสร็จเธอก็จำต้องนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ระหว่างนาถลดาและปรัชญ์ตามคำเชิญ เธอรู้สึกว่าฝ่ายหลังยังจ้องเธออยู่ตลอด จนเธอนั่งลงแล้วนาถลดาพูดต่อนั่นแหละ เขาถึงละสายตาไปมองผู้พูด

“ที่ฉันเรียกประชุมทุกฝ่ายในวันนี้ก็เพื่อจะวางแผนงาน ตอนนี้เราได้บอกอซันมาช่วยบอกอเต้ โดยทั้งสองคนจะต้องทำงานขึ้นตรงคุณปรัชญ์ ทุกคนถือเป็นทีมเดียวกัน ช่วยกันสร้างผลงานออกมานะ” นาถลดาอธิบาย

แม้จะรู้ดีว่าโดยสายงานแล้วเธอเป็นลูกน้องของปรัชญ์ แต่ซันดาก็ยิ่งรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินประโยคท้ายๆของเจ้าของสำนักพิมพ์ ซึ่งดูจะให้เครดิตชายหนุ่มอย่างเต็มที่ ในเมื่อเธอตัดสินใจมาทำงานที่นี่แล้วก็คงต้องยอมทำงานใต้อาณัติเขาโดยดุษณีสินะ หรืออีกทางหนึ่งก็คือตัดใจลาออกทั้งๆที่ยังไม่เริ่มงาน เธอคงต้องหางานใหม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเธอต้องชักหน้าไม่ถึงหลังอย่างแน่นอน เพราะเพิ่งมอบเงินเก็บทั้งหมดที่มีให้พ่อกับแม่ไป คิดมาถึงตรงนี้ซันดาก็ต้องข่มใจ เตือนตัวเองว่า เธอจะต้องทำงานอย่างมืออาชีพ ข่มความรู้สึกเอาไว้ในใจให้ได้

“แล้วรินล่ะค่ะคุณดา รินเป็นผู้ช่วยของพี่เต้แล้วต้องมาช่วยคุณซันด้วยหรือเปล่า” นาริน สาวสวยในชุดสุดเปรี้ยวเอ่ยถาม ประเมินจากสีหน้าของเธอแล้วคงจะไม่พอใจถ้าหากได้งานเพิ่ม

นาถลดาหันมองผู้ถาม และจ้องนิ่งก่อนตอบ “ไม่ต้อง ฉันจะให้เก๋กับวิชเป็นผู้ช่วยของบอกอซันเอง”

คนฟังสะดุดใจที่เจ้านายดูจะปรานีซันดามากเป็นพิเศษ เข้าใจอยู่หรอกว่าอยากได้ตัวอีกฝ่าย แต่ความสนิทสนมที่เกิดขึ้นรวดเร็วก็ดูขัดกับความไว้ตัวของนาถลดานัก ดูเหมือนเจ้านายจะถูกชะตากับซันดาเป็นพิเศษ แล้วพี่เต้ของเธอล่ะ...

“เก๋กับวิชเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานยังไม่มีความชำนาญ ให้รินเป็นผู้ช่วยคุณซันไปก่อนก็ได้นะครับคุณดา ยังไงๆคุณซันก็ต้องทดลองงานตั้งสามเดือน ถ้าไม่มีมืออาชีพช่วยอาจจะไม่ผ่านโปร” พงษ์พจน์เอ่ยอย่างมีน้ำใจ ค้านกับสายตาที่มองซันดาอย่างหมิ่นๆ และน้ำเสียงที่ดูกดอีกฝ่ายให้ดูด้อยกว่า

“ไม่ต้องห่วงคนอื่น” เจ้าของบริษัทตอบเสียงเข้ม “ทำหน้าที่ของพวกเธอต่อไป ส่วนบอกอซันน่ะ ฉันจะให้คุณปรัชญ์ช่วยดูแลเอง มันเป็นหน้าที่ของเขา”

“ได้ครับ” ปรัชญ์รับคำเบาๆ

ซันดาปรายหางตาดูปฏิกิริยาคนพูดแวบหนึ่ง พบว่าท่าทางของปรัชญ์ดูไม่ทุกข์ร้อน ใบหน้าของเขาไม่ยินดียินร้าย ทั้งๆที่เขาก็น่าจะเดาอนาคตได้ดี ว่าการทำงานจะมีปัญหาอย่างไร

“ดีแล้ว ฉันตั้งเป้าเอาไว้ว่าปีนี้เราจะต้องมีนักเขียนในสังกัดเพิ่มขึ้น ผลิตหนังสือออกสู่ตลาดได้มากยิ่งขึ้น และสำนักพิมพ์ของเราจะต้องมั่นคงขึ้น ฉันเชื่อว่าทุกคนทำได้ ถ้าเราตั้งใจและสามัคคี” นาถลดาบอกอย่างมาดมั่น แล้วจึงหันไปสั่งงานกับปรัชญ์ก่อนลุกขึ้นยืน “ปรัชญ์ช่วยแนะนำงานให้บอกอคนใหม่ด้วยนะ ตามที่เราคุยกันเอาไว้นั่นแหละ แล้วพอเลิกประชุมก็เรียกเก๋กับวิชเข้ามาแนะนำให้บอกอซันรู้จักด้วย”

“ครับ” ชายหนุ่มยังคงรับคำสั้นๆตามเคย นี่คงเป็นอีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งของปรัชญ์สินะ เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนนิ่งแบบนี้

“โอเค งั้นปิดประชุมได้”หลังนาถลดากล่าวปิด หลายคนในที่นั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทยอยกันเดินออกไปห้อง มีเพียงซันดาที่ยังนั่งเฉย

จู่ๆเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวปรัชญ์พาบอกอซันไปห้องทำงานด้วยนะ”

“ครับ” เขาตอบรับพร้อมกับยิ้มจางๆ


จบตอน....
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » ศุกร์ 13 พ.ย. 2015 6:03 am

บทที่ ๒


หลังจากได้ยินประกาศิตจากเจ้าของสำนักพิมพ์ ซันดาก็เดินตามปรัชญ์ออกมาจากห้องประชุมโดยไม่ปริปากพูดอะไรกับเขาเลย จนมาถึงห้องทำงานซึ่งจัดเอาไว้เป็นสัดส่วน ชายหนุ่มจึงเปิดประตูและเชื้อเชิญด้วยท่าทางที่หญิงสาวมองแล้วขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน คงเพราะอคติในใจนั่นแหละ แต่เธอก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตนได้ ในเมื่อบางสิ่งฝังรากลึกอยู่ในใจมานานมากแล้ว

“เชิญฮะ คุณซัน” เสียงที่เอ่ยชื่อเธอเน้นๆ คล้ายเป็นการล้อเลียนเสียจนจับสังเกตได้

ซันดาทำเฉยเสีย แล้วเดินผ่านร่างของเขาและกรอบประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยคำขอบคุณ ก่อนจะหยุดอยู่กลางห้อง กวาดสายตามองห้องสีครีมเล็กๆด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก ห้องน่ะชอบอยู่หรอก แต่ไม่ชอบคนที่เดินมาด้วยนี่เลย

ปรัชญ์ปิดประตูแล้วจึงเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับหญิงสาว จ้องเธอตรงๆอยู่อึดใจใหญ่อย่างประเมินท่าที ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาครามครัน อยากจะกระโดดเข้าไปจิกเล็บใส่ดวงหน้าหล่อเหลานั้นนัก

“มองทำไม”

ชายหนุ่มยิ้ม ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองเธอด้วยสายตากึ่งขัน “มองทอม”

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”

“อ้าว! ยังต้องแปลอีกรึ เข้าใจอะไรยากแบบนี้จะมาเป็นบอกอได้หรือคุณ”

ซันดาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงด้วยสายตาที่แทบจะลุกเป็นไฟ “ฉันคิดว่านายไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร แต่ถ้าอยากให้อธิบายเพื่อเทสกึ๋น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังถูกหาเรื่องจากพวกอันธพาล”

ปรัชญ์อมยิ้ม “หาเรื่องที่ไหนกัน ก็ดูคุณสิ ผมสั้น สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ นี่มันทอมชัดๆ แล้วไหนจะข่าวฉาวระหว่างคุณกับน้องสาวสุดเลิฟอีกละ จะไม่ให้ผมคิดว่าเป็นทอมได้ยังไง ว่าแต่เป็นจริงปะ” ท้ายประโยคเขาเอียงหน้ามองอย่างกวนๆ

“จะคิดยังไงก็เรื่องของนาย ฉันไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับนายเลย แต่เมื่อเราต้องร่วมงานกัน ฉันก็จะพยายามแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะมาละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นได้นะ ดังนั้นถึงนายจะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าส่วนไหนเป็นเรื่องส่วนตัว อย่ามายุ่ง” เธอเน้นคำว่า อย่ามายุ่ง ชัดถ้อยชัดคำนัก

ปรัชญ์ยิ้มกว้าง แววตาเขาฉายแววขี้เล่น “โอ้โฮ ดุเสียด้วย รู้สึกจะดุกว่าเก่านะ ไม่เหมือน....”

“พอ...ออกไปจากห้องทำงานฉันได้ละ” ไม่พูดเปล่า ซันดาใช้สองแขนดันร่างของเขาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด ในใจร้องลั่นว่า ไปซะ ไปให้ไกลๆ

“เฮ้!นี่ผมเป็นเจ้านายคุณนะซัน” เขาร้องเสียงหลง

“ใช่ แต่ฉันจะทำงาน นายเองก็ไปทำงานของตัวเองได้ละ”

ก๊อกๆ

ขณะที่กำลังชุลมุน เสียงเคาะประตูก็ดังแทรกขึ้น สงครามกลางห้องจึงยุติลง ทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินต่างหันหน้าไปทางอื่น

เมื่อประตูเปิดออก หนุ่มสาวในชุดนักศึกษาจึงก้าวเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอนุญาตค่ะ คุณดาสั่งให้เก๋กับวิชเข้ามาแนะนำตัวกับบอกอซันค่ะ”

ซันดามองเลยคู่กัดหนุ่มไปยังรุ่นน้องทั้งสองพลางบอกอย่างใจดีว่า “ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ เห็นคุณดาบอกว่าน้องๆจะมาเป็นผู้ช่วยพี่ งั้นเรามาวางแผนงานกันเลยดีกว่า เชิญที่โต๊ะเลยก็แล้วกันนะ”

เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวทำตามต้อยๆ ซันดาจึงหันทางปรัชญ์พลางบอกเสียงเข้ม “เชิญคุณปรัชญ์กลับไปทำงานได้แล้วนะ พวกเราจะเริ่มงานกันแล้ว”

ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนจะยักไหล่เดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย

+++++++++++++++++++++++++++++


ประตูปิดลงเมื่อลับร่างปรัชญ์ หลังจากนั้นซันดาจึงหันมาสนใจสองหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่งพร้อมยิงคำถาม “นาย เอ่อ คุณปรัชญ์นี่มาเป็นบอกอได้ยังไง เขาเรียนจบอะไรมา”

จริงๆเธออยากจะถามว่า ‘เขาจบวิศวะมาไม่ใช่หรือ’ต่างหาก

“เท่าที่เก๋รู้ คุณปรัชญ์จบเอกบรรณาธิการโดยตรงเลยค่ะ” สิยาพรตอบยิ้มๆ เธอนั้นปลื้มปรัชญ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้พูดถึงเขาจึงเป็นความรู้สึกดีๆและชื่นชม

“เหรอ” ซันดาตอบได้เพียงเท่านั้น ก็ที่เธอรู้มันไม่ใช่แบบนี้ แต่ครั้นจะย้อนถามกลับไปอีกก็ดูจะจับผิดกันมากเกิน แต่แล้วอีกอึดใจวิชกรจึงเป็นผู้ไขข้อข้องใจของเธอให้แจ่มชัดขึ้น “วิชได้ยินมาว่า ตอนแรกๆคุณปรัชญ์จบวิศวะมาฮะ แต่ตอนหลังมาเรียนเอกบรรณาธิการเพิ่มเพราะตอนหลังเปลี่ยนใจอยากทำงานเกี่ยวกับหนังสือ”

“งั้นเหรอ” เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวของเขาทำให้เธอแปลกใจ

เพลบอยคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างปรัชญ์เนี่ยนะ สนใจเรื่องการทำหนังสือจนต้องกลับมาเรียนอะไรที่เขาเคยปรามาสว่าน่าเบื่อ

“บอกอซันมีอะไรหรือเปล่าคะ” สิยาพรถามขึ้น

บอกอสาวจึงส่ายหน้า “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวต้องร่วมงานกันไง เลยอยากรู้ประวัติเจ้านายบ้าง”

“อ๋อ”สองหนุ่มสาวพูดขึ้นพร้อมกัน

“น้องทั้งสองคนไม่ต้องเรียกพี่ว่าบอกอก็ได้นะ เรียกว่าพี่ซันก็พอ คำว่าบอกอน่ะ เอาไว้ให้คนนอกเรียก เราทำงานร่วมกันเป็นพี่กับน้องดีกว่า”

สิ้นคำ เสียงโทรศัพท์มือถือของซันดาก็ดังขึ้น เธอจึงเดินเลี่ยงไปยืนพิงกรอบหน้าต่างและกดรับสาย

“พี่ซันลาออกจากสำนักพิมพ์ทำไมคะ” เสียงปลายสายแสดงความร้อนรนเด่นชัด

“พี่ได้งานที่ใหม่น่ะแพร” ซันดาตอบเสียงเรียบ มันก็จริงครึ่งหนึ่ง เธอได้งานใหม่แล้ว แถมเงินเดือนมากขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ส่วนเหตุผลที่เธอต้องลาออกจากสำนักพิมพ์เดิมนั้นขอเว้นไว้ก่อนก็แล้วกัน

“ไม่ใช่ว่าคุณแม่ของแพรกดดันให้พี่ซันออกหรือคะ”

“เอ่อ ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

“นั่นไง แพรว่าแล้ว แพรไม่ยอมค่ะ แพรเป็นคนพาพี่ซันมาทำงานด้วยตัวเอง คุณแม่จะมาใช้สิทธิ์เจ้าของสำนักพิมพ์บีบคนออกไม่ได้”

“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ถึงขนาดนั้น พี่ไม่สนุกกับงานถึงต้องลาออก ตอนนี้พี่ได้งานใหม่แล้วด้วย แพรไม่ต้องห่วงหรอก”

“ไม่ค่ะ” แพรวาเน้นเสียงเข้ม “พี่ซันจะต้องกลับมาทำงานกับแพร สำนักพิมพ์ใหม่พี่อยู่แถวไหน บอกมาสิคะ แพรจะไปบอกเขาว่าพี่จะกลับมาทำงานสำนักพิมพ์เดิม”

“แพร” ซันดาทำเสียงดุ “อย่าทำให้พี่ลำบากใจ พี่ตัดสินใจแล้วก็คือตามนั้น แค่นี้ก่อนนะพี่กำลังจะเข้าประชุม”

“แต่พี่ซัน....” ได้ยินเพียงเท่านั้นซันดาก็ตัดสายทิ้ง เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งบานปลาย

เธอกับแพรวาสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่เชียงใหม่ โดยแพรวาเป็นน้องรหัสของเธอ เธอจึงคอยดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จึงทำให้หญิงสาวติดเธอแจ จนทำให้ใครต่อใครคิดว่าทั้งคู่เป็นคู่รักทอมดี้ รวมถึงบิดามารดาของสาวรุ่นน้องด้วย หลังจากนั้นเมื่อเรียนจบมาและเป็นนักเขียนอยู่สองปี แพรวาก็ดึงตัวเธอเข้าทำงานกับสำนักพิมพ์ที่มารดาของเธอเป็นเจ้าของ ซันดาจึงเริ่มต้นชีวิตบรรณาธิการและเรียนรู้งานจากที่นั่น จวบจนครึ่งปีที่ผ่านมามีข่าวว่าบิดาและมารดาของแพรวาต้องการให้เธอแต่งงานกับลูกชายรัฐมนตรีท่านหนึ่ง แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธ คนจึงพุ่งประเด็นมาที่ซันดาว่าเป็นต้นเหตุ ชีวิตการทำงานที่เคยราบรื่นของซันดาจึงเริ่มสะดุด คงเหมือนกับที่แพรวาคาดเดานั่นแหละ เธอถูกบีบให้ออกจากงานจริงๆ

“เดี๋ยวเก๋ช่วยหารายงานประจำปีมาให้พี่ดูหน่อยนะ พี่อยากรู้ว่าเราออกหนังสือไปแล้วกี่เล่ม แล้วรายได้เป็นยังไง ใครเป็นนักเขียนทำเงินบ้าง” ซันดาสั่งพลางนั่งลงที่เดิม

“ได้ค่ะ”สาวน้อยรับคำเสียงใส ขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เลขาฯสาวของปรัชญ์นั่นเองที่เปิดประตูเข้ามา “คุณปรัชญ์เชิญบอกอซันที่ห้องตอนนี้ค่ะ”

ซันดารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เธอแยกจากเขามาได้เมื่อครู่ เพิ่งจะหายใจหายคอโล่งขึ้น นี่ชายหนุ่มกลับส่งเลขาฯมาเชิญให้ไปพบอีกแล้ว ‘ซันเอ๊ย เจอแบบนี้จะทำงานได้สักกี่วันวะเนี่ย’

“ฉันยังคุยงานกับน้องๆไม่จบเลยนะ” เธอแย้งอย่างไม่ใส่ใจนัก

อีกฝ่ายจึงกล่าวยิ้มๆ “คุณปรัชญ์บอกว่าเรื่องด่วนค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงบอกอซันจะต้องไปพบนักเขียนพร้อมคุณปรัชญ์ อ้อ ส่วนน้องๆเนี่ย คุณดาให้ไปพบที่ห้องด้วยนะคะ”

“โอเค บอกเจ้านายคุณว่า เดี๋ยว...ฉัน...จะไป” ซันดาตอบอย่างเซ็งๆ

อีกฝ่ายจึงยิ้มสวยส่งมา “ได้ค่ะ เดี๋ยวพัชเรียนคุณปรัชญ์ให้”

เมื่อเลขาฯสาวเดินออกไปแล้ว ซันดาจึงลอบถอนใจออกมาเบาๆ ‘เข้มแข็งเอาไว้นะซันดา อดีตเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว วันนี้เธอเป็นคนใหม่ที่มีเพียงปัจจุบันและอนาคต’


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » ศุกร์ 13 พ.ย. 2015 6:03 am

“นี่กะว่าจะกระด้างกระเดื่องตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ”เสียงทุ้มทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ปรัชญ์เข้ามายืนตรงข้ามโต๊ะทำงานของซันดาอยู่ครู่ใหญ่ แต่เธอกลับทำเหมือนเขาไร้ตัวตน

ไม่ถึงอึดใจผู้เป็นเจ้าของห้องจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มคล้ายจะเยาะ “อคติเกินไปปะ ฉันกำลังทำงานอยู่เห็นไหมเนี่ย”
ปรัชญ์เลิกคิ้ว “ทำงาน ทั้งๆที่ผมเชิญไปปรึกษางานก่อนที่จะไปพบนักเขียนเนี่ยนะ”

“จะไปพบนักเขียนแต่ฉันยังไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย แล้วจะคุยอะไรกัน ฉันเป็นบอกอของจริงนะ จะให้มาทำงานเหลาะๆแหละๆเหมือนพวกอยากทำเล่นๆ เอาความสนุกสนานได้ยังไง”

“ตกลงวันนี้คุณจะไม่ไป..”

“เปล๊า” ซันดาตอบเสียงสูงลิ่ว “ฉันจะขัดคำสั่งคุณได้ไง ฉันกำลังศึกษางานเขียนของสองคนนั้นอยู่ก็เท่านั้นเอง”

“โอเค งั้นก็ลุกขึ้นได้ละ เหลือเวลาอีกแค่ 15 นาที ผมนัดนักเขียนเอาไว้ที่ร้านกาแฟข้างสำนักพิมพ์”

บรรณาธิการสาวปิดแฟ้มแล้วจึงลุกขึ้นยืน “ฉันพร้อมละ”

หลังจากนั้นปรัชญ์จึงพาเธอลงลิฟต์ไปยังจุดนัดพบ ทว่าหลังจากลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัยยี่สิบตอนปลายในชุดสูทที่กำลังเดินเข้ามาก็ทำให้เขาต้องชะงัก

“ไปไหนพี่”

“ก็ไปหานายนั่นแหละ คุณลุงให้เลขาฯโทร.ไปตาม นายก็ไม่รับสาย” คำตอบของพี่ชายกึ่งๆบ่น ตรงข้ามกับหน้าตาที่ยังดูอารมณ์ดี

“ผมยังไม่ว่าง มีนัด” ปรัชญ์ตอบโดยไม่ยอมขยายความ

สายตาคมของแดนตรัยจึงตวัดไปทางซันดานิดหนึ่ง พลางกระเซ้า “อ้อ มีนัดกับคุณ...”

ถึงตอนนี้ปรัชญ์จึงเบี่ยงตัวให้บรรณาธิการของสำนักพิมพ์ได้เข้าร่วมวงสนทนา “ผมนัดนักเขียนไว้ แล้วนี่บอกอซัน บอกอคนใหม่ของสำนักพิมพ์”

“สวัสดีครับคุณซัน ผมแดนตรัยครับ เรียกแดนเฉยๆก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตนเองเสร็จสรรพ

“สวัสดีค่ะ” ซันดาตอบเจือยิ้ม ใจนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใครกัน

“พี่แดนเป็นหลานรักของคุณนาถลดาครับคุณบอกอ” น้ำเสียงของปรัชญ์ดูสุภาพ แต่ซันดารู้สึกว่าเขากำลังยียวนเธอในท้ายประโยค

“หือ...” แดนตรัยฟังแล้วย่นคิ้ว มองน้องชายนิ่ง “พูดจาห่างเหินเหมือนพี่ไม่ใช่พี่ชายของนาย แล้วนายไม่ใช่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอาดาอย่างนั้นแหละ”

“อะไรนะ” เสียงดังขึ้นในใจของหญิงสาว เธออยากถามซ้ำออกมาดังๆเหมือนกัน แต่ที่ทำได้คือหันไปมองปรัชญ์อย่างเคืองๆ

‘นี่ปรัชญ์เป็นลูกชายเจ้าของสำนักพิมพ์ที่เธอทำงานอยู่อย่างนั้นหรือ’

“พูดมากน่าพี่แดน พี่กลับไปบอกพ่อทีสิ ว่าบ่ายๆผมถึงจะเข้าไปพบ ตอนนี้ติดธุระอยู่” เขาแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

“อืม ก็ได้ รีบหน่อยนะ บริษัทเราจะประมูลสร้างตึกกระทรวง กำลังระดมสมอง” แดนตรัยทิ้งท้ายก่อนจะหันไปยิ้มให้ซันดาอีกครั้ง “ขอตัวก่อนนะครับคุณซัน ไว้พบกันใหม่ครับ”

“ค่ะ คุณแดน” หญิงสาวรับคำขณะที่สายตามองตามร่างสูงผึ่งผายลับหายเข้าไปในตัวอาคารคูหาข้างๆ ทำให้เธอเข้าใจได้เองว่า เขาคงทำอยู่ในบริษัทรับเหมาก่อสร้างซึ่งตั้งอยู่ในตัวอาคารหลังเดียวกันนั่นเอง

“ผมว่าคุณไม่ใช่ทอมแน่ๆ ดูสิมองตามพี่แดนตาละห้อย” รัฐชาติทำเสียงขรึม

ซันดาหันขวับไปจ้องเขาตาแข็ง “ทำไมถึงไม่มีใครบอกฉันว่านายเป็นลูกชายคุณนาถลดา”

ผู้ถูกถามยักไหล่ ตอบยียวน “ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมใครๆถึงไม่บอกคุณ”

“ฉันหมายถึงนาย” นี่ถ้าเธอเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากเขาได้คงทำไปแล้วละ

ปรัชญ์หัวเราะ “อ้าว ผมไม่รู้ว่าคุณสนใจเรื่องผม จะได้รายงานทุกอย่างก่อนที่ทำงานร่วมกัน จริงๆคุณสนใจใช่ปะ...”

ซันดาเบะปาก “ตลกฝืด ที่ฉันคิดว่าตัวเองควรรู้เรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับงาน ฉันจะได้รู้ว่านายเป็นทั้งหัวหน้าและเจ้านาย”

“ตกสถานะเก่าๆของเราไปหรือเปล่าซัน” เขาย้อนถามสีหน้าจริงจัง

แววตาของคนฟังไหวเล็กน้อย “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ฉันกำลังไม่พอใจนายที่นายทำเหมือนจงใจปิดบังอยู่”

“เอาน่า อย่าขี้บ่น ไปร้านกาแฟกันได้แล้ว ป่านนี้นักเขียนรอแย่ละ” ตัดบทแล้วเขาจึงคว้าข้อมือเธอข้างหนึ่ง ลากหลุนๆเดินไปตามทางเดินอย่างเร่งรีบ

+++++++++++++++++++++++++++++++++
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » ศุกร์ 13 พ.ย. 2015 6:03 am

ร้านกาแฟ “ที่รัก” เป็นร้านกาแฟที่ดูหรูหราในพื้นที่กว้างขวาง ตัวร้านอยู่ห่างจากสำนักพิมพ์ไปไม่เกิน 50 เมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่อันร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ยืนต้นนานาชนิด

ปรัชญ์เดินนำหญิงสาวเข้าไปในร้านซึ่งตกแต่งได้อย่างเก๋ไก๋ลงตัว เขาพาเธอเดินไปยังระเบียงร้านซึ่งบัดนี้มีแขกนั่งอยู่เพียงโต๊ะเดียวทั้งๆที่มีพื้นที่กว้างขวาง

“สวัสดีครับพี่รัมภา,เอเธ็นส์”ชายหนุ่มทักทายหญิงวัยปลายกลางคนในชุดเดรสสีเขียวหยกก่อนจึงหันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มผมยาวใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“นี่บอกอคนใหม่ของเรานะครับ บอกอซัน” เขาแนะนำง่ายๆหลังทุกคนนั่งลงแล้ว

ซันดายกมือไหว้นักเขียนทั้งสองคน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกมือรับไหว้ทันทีทันใดเช่นเดียวกัน

“นี่พี่รัมภา นามปากการัมภาลัย ส่วนนายฐิติ จะเรียกเอเธ็นส์ก็ได้ เขานามปากกา กุหลาบเที่ยงคืน” ปรัชญ์แนะนำต่อ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ซันเคยอ่านงานของทั้งสองคนมาบ้างแล้วค่ะ ดีใจที่ได้ร่วมงานกัน”บรรณาธิการสาวเอ่ยอย่างเป็นมิตร

รัมภามองอีกฝ่ายอย่างประเมินแล้วจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ “กว่าจะรู้มือก็คงอีกนาน”

ฐิติเหลือบมองผู้พูดอย่างเอือมๆก่อนหันมองซันดา “ผมเองก็เคยอ่านผมงานของรัศมิ์จันทร์เหมือนกันฮะ เสียดายไม่ค่อยมีผลงานใหม่ๆวางแผง”

“ช่วงนี้ลุยงานบอกอมากกว่าค่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีผลงานออกมา”บรรณาธิการสาวตอบ

“แต่ต่อไปคงมีผลงานของบอกอซันออกกับเลิฟไลน์บุ๊คส์บ้าง” ปรัชญ์มัดมือชกหน้าตาเฉย แต่เมื่อซันดาเหลือบไปมอง กลับรู้สึกว่าเขาทำหน้าคล้ายจะยั่วเย้าแปลกๆ หรือเธออคติเกินไปก็ไม่รู้

“แล้วที่คุณปรัชญ์เชิญเราสองคนมานี่ เพราะแค่จะแนะนำบอกอคนใหม่ให้รู้จักหรือมีอะไรมากกว่านี้คะ” รัมภาถาม

“ผมจะคุยเรื่องโปรเจคครับพี่รัมภา งานชุดนี้ผมอยากให้วางแผงงานหนังสือปีหน้า” ปรัชญ์ไม่อ้อมค้อม จากนั้นจึงอธิบายแผนงานให้ฟังอย่างคร่าวๆ

รัมภาจ้องหน้าผู้พูดเขม็ง “พี่ไม่ชอบทำงานที่มีคนบังคับคุณปรัชญ์ก็รู้ งานเขียนมันเป็นศิลปะจะต้องออกมาจากอารมณ์ไม่ใช่ตามคำสั่งการตลาดนะคุณ”

“แหม ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อนสิครับพี่รัมภา พูดเหมือนไม่อยากร่วมงานกับผมงั้นแหละ” ฐิติยิ้มมุมปาก

ปรัชญ์มองหน้าหนุ่มรุ่นน้องอย่างปรามๆแล้วจึงอธิบายต่อไปว่า “งานนี้ทางสำนักพิมพ์ไม่บังคับใดๆทั้งสิ้นครับ ให้ทางนักเขียนตกลงกันเองว่าอยากเขียนแนวไหน”

“แล้วคุณคิดว่าพี่กับนายเอเธ็นส์จะเขียนแนวเดียวกันได้รึ” รัมภาย้อนถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ขออนุญาตนะคะ” ซันดาแทรกขึ้น “งานชุดเนี่ย ไม่จำเป็นที่จะออกมาแนวเดียวกันนะคะ แค่มีความเชื่อมโยงกัน มีสัมพันธภาพท่ามกลางความต่างจะน่าอ่านกว่าถอดแบบกันมาเป๊ะๆ คนอ่านจะได้ไม่เบื่อ เพราะถ้าแนวเดียวกัน อ่านเล่มแรกจบแล้วก็จะเดาทิศทางในเล่มสองออกหมดเลย”

ฐิติดีดนิ้ว “ชักสนใจแล้วสิ เอาเป็นว่าผมตกลงนะ แต่ตอนนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของป้าเขาแล้วละ”

รัมภาหันไปถลึงตาใส่คนเรียกป้า “ฉันไม่ใช่พี่สาวแม่เธอนะเอเธ็นส์”

คนถูกดุหัวเราะ “ถ้าไม่อยากให้เรียกแบบนี้ก็อย่าทำตัวเป็นมนุษย์ป้าสิฮะพี่รัมภา หรือถ้ากลัวยอดขายน้อยกว่าของผมก็บอกมาตรงๆเลยดีกว่า”

นักเขียนรุ่นใหญ่เบะปาก “ฉันไม่กลัวหรอกย่ะ เอาล่ะ บอกอทั้งสอง ฉันตกลงรับงานนี้ ส่วนจะแนวไหน พล็อตยังไงขอไปคิดก่อน”

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น คนฟังทั้งสามจึงลอบยิ้มให้แก่กันอย่างพึงพอใจ


[จบตอน ]
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » จันทร์ 16 พ.ย. 2015 10:20 pm

บทที่ ๓


“อะไรนะ แม่นั่นได้งานใหม่แล้วเหรอ” สาวสวยร่างระหงในชุดเดรสแขนกุดสีดำกำมะหยี่ย้อนถามทันที หลังได้รับรายงานจากผานิตผู้ช่วยของตน เวลานี้ใบหน้าสวยบึ้งตึง ดวงตาที่ตกแต่งด้วยเฉดสีทันสมัยก็แข็งกระด้าง “ทำไมมันถึงได้งานเร็วขนาดนี้ หรือจะมีเส้นสาย”

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ที่รู้เพราะนิดได้ยินเสียงคุณแพรทะเลาะกับคุณไหมแก้วแล้วพูดถึงบอกอซันก็เลยมาบอกค่ะ” ผานิตเล่าพลางลอบมองเจ้านายอย่างสังเกต “ว่าแต่ ทำไมบอกอถึงสนใจบอกอซันนักล่ะค่ะ”

เรียวปากสีสดเหยียดยิ้ม ร่างบางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาจ้องผู้ถามเขม็ง “เพราะซันดาประวัติไม่ดี ฟ้าก็ต้องระวังตัวไว้สิคะพี่นิด แล้วยิ่งรู้ว่ามาเป็นบอกอประจำสำนักพิมพ์คู่แข่งเราก็ยิ่งต้องจับตาค่ะ พี่นิดรู้เรื่องอะไรก็รีบมาบอกฟ้านะคะ ฟ้าต้องการรู้ทุกอย่างของผู้หญิงคนนั้น”

ผานิตนั่งลง วางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ พลางชะโงกหน้าเข้าไปหาบรรณาธิการสาว แล้วจึงพูดด้วยเสียงเบาจนเกือบกระซิบ “เรากระโตกกระตากไม่ได้นะคะ ถ้าคุณแพรรู้ละก็มีปัญหาแน่ คุณแพรเธอ...เอ่อ...กิ๊กๆกันกับบอกอซันค่ะ”

มุมปากของคนช่างซักกระตุกยิ้ม “หมายถึงเป็นคู่เลสเบียนกันหรือคะพี่นิด”

ผานิตพยักหน้า “ใช่ค่ะ คุณแพรงี้ติดบอกอซันแจเลยค่ะ คุณไหมแก้วจะให้แต่งงานก็ไม่แต่ง ใครๆเขาก็รู้กันทั้งสำนักพิมพ์แหละค่ะ เมื่อกี้ก็ทะเลาะกับคุณไหมแก้วไปทีนึง โวยวายหาว่าแม่บีบบอกอซันออก”

“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะคะ”

“ก็คงจริงนั่นแหละค่ะ ใครจะอยากให้ลูกสาวตัวเองมีแฟนเป็นผู้หญิงล่ะค่ะ”

ฟ้ารุ่งพยักหน้าบ้าง “นั่นสินะ แล้วพี่นิดรู้มั้ยคะว่าบอกอซันได้งานที่สำนักพิมพ์ไหน”

“รู้ค่ะ สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊กส์ไงคะ ก่อนมาทำงานที่นี่นิดยังเคยไปสมัครเป็นฝ่ายพิสูจน์อักษรอยู่เลย”

ฟ้ารุ่งนิ่งอึ้ง นี่แสดงว่าที่นาถลดายอมฝากฝังให้เธอมาทำงานสำนักพิมพ์ลูกหว้าเพราะอยากให้ซันดาออกจากงานจะได้ย้ายไปทำงานที่เลิฟไลน์บุ๊คส์อย่างสะดวกอย่างนั้นรึ อีกคำถามผุดขึ้นมาทันควัน แล้วนาถลดารู้หรือเปล่าว่าปรัชญ์กับซันดาเคยรู้จักกันมาก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าคะบอกอ”

บรรณาธิการสาวฝืนยิ้มทั้งที่ใจกังขาอยู่ “กำลังนึกอยู่น่ะ สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์ที่อยู่ตึกเดียวกับอนันต์คอนสตรัคชั่นใช่มั้ย”

“บอกอรู้จักหรือคะ”

“รู้จักสิ ก็เพื่อนของคุณแม่ฟ้าเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมอยู่ที่อนันต์คอนสตรัคชั่น” ฟ้ารุ่งอ้างก่อนจะตัดบท “ขอบคุณพี่นิดที่ให้ข้อมูลนะคะ”

“ยินดีมากๆค่ะ” ผานิตยิ้มแฉ่ง ลุกขึ้นจากที่นั่ง “พี่ไปทำงานต่อแล้วนะคะ”

“ค่ะ” ฟ้ารุ่งมองตามร่างท้วมของผู้ช่วยที่หันหลังเดินออกจากห้องไป ขณะที่มือก็กดโทรศัพท์โทร.ออก”พี่บอมว่างคุยไหมคะ”

ปลายสายตอบรับอย่างยินดี บรรณาธิการสาวจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “ฟ้าจะโทร.มาขอบคุณพี่บอมที่ช่วยเป็นธุระจนซันดาโดนเด้งออกจากสำนักพิมพ์น่ะค่ะ”

“แสดงว่าตอนนี้น้องฟ้าได้งานแทนผู้หญิงคนนั้นแล้วสิ” ปลายสายย้อนถาม

“ใช่ค่ะ ฟ้าได้ทำงานแทนมันแล้ว ถ้าพี่บอมไม่ช่วยปั่นกระทู้โจมตีมันละก็งานนี้คงไม่สำเร็จ ทางสำนักพิมพ์ห่วงชื่อเสียงมาก โชคก็เลยเข้าข้างเรา เย็นนี้ให้ฟ้าเลี้ยงขอบคุณพี่บอมนะคะ ส่วนที่คุณอาอรรณพช่วยฝากฝังฟ้ากับคุณไหมแก้ว ฟ้าจะไปขอบคุณท่านด้วยตัวเองที่บริษัท”

“ถ้าอยากขอบคุณนัก น้องฟ้ามาให้พี่เลี้ยงดีกว่าครับ ให้ผู้หญิงเลี้ยงคงเสียเชิงชายแย่”

ฟ้ารุ่งฟังแล้วหัวเราะเบาๆ “ได้เลยค่ะ โปรแกรมเมอร์ตัวพ่ออย่างพี่บอมเนี่ย ฟ้ากินเยอะยังไงก็ไม่มีวันจนอยู่แล้ว”

“วันนี้เลี้ยงชั่วคราวไปก่อน แต่ก็มีแอบหวังที่จะมีวันที่...”

ปลายสายพูดยังไม่จบ ฟ้ารุ่งก็แทรกขึ้นว่า “ไว้เจอกันตอนเย็นที่....นะคะ ฟ้าขอเคลียร์งานก่อน”

พูดจบหญิงสาวก็กดปิดโทรศัพท์โดยไม่รอฟังอีกฝ่ายพูดต่อ

ร่างระหงเอนไปพิงพนักเก้าอี้ พลางทอดสายตาออกไปนอกกระจกสีทึมอย่างครุ่นคิด ‘วงจรชีวิตของเราเข้ามาใกล้กันแล้วนะซันดา มาดูกันว่าฉันกับเธอใครมันจะแน่กว่ากัน’

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“พรุ่งนี้ผมจะเรียกประชุม คุณลองไปอ่านเรื่องย่อนิยายที่นักเขียนส่งมาพิจารณาแล้วเลือกเรื่องเจ๋งๆมาด้วยนะ การประชุมพรุ่งนี้จะมีการตลาดเข้าประชุมด้วย เราจะหารือกันว่าจะผลักดันผลงานยังไงให้เป็นที่สนใจ” ปรัชญ์สั่งหลังจากนักเขียนทั้งสองกลับไปแล้ว แต่เขากับบรรณาธิการคนใหม่ยังคงนั่งอยู่ร้านเดิมต่อ

“ค่ะ” ซันดารับคำสั้นๆไม่ถามหรือต่อคำใดๆ สำหรับเธอแล้วการเว้นระยะห่างกับเขาคือสิ่งที่ควรทำมากที่สุด รองจากการทำงานตามคำสั่ง

“เดี๋ยวผมจะเข้าบริษัทคุณพ่อ” เขาหมายถึงบริษัทอนันต์คอนสตรัคชั่นซึ่งตนเองเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่นั่นเอง

“ค่ะ”

คำตอบของซันดาทำให้คู่สนทนาต้องขมวดคิ้ว “นี่คุณพูดยาวๆไม่เป็นหรือไง ทำไมจะต้องทำท่าเหมือนผมเป็นไส้เดือนกิ้งกือแบบนั้นด้วย”

ผู้ถูกถามไหวไหล่ “นี่ฉันทำให้คุณคิดแบบนั้นรึ ฉันคิดว่าตัวเองพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดแล้วนะ”

“เนี่ยนะปกติ”

“ก็ใช่นะสิ ถ้าทำได้เหมือนใจอยาก ฉันจะขอแยกออกมาทำงานคนเดียว ทำงานในที่ที่ไม่มีคุณ ไม่ต้องข้องเกี่ยว ไม่ต้องพูดจากัน” ซันดาบอกหน้าตาย

“ซัน” น้ำเสียงของเขาเหนื่อยล้า “ผมขอโทษ”

หญิงสาวมองหน้าเขาตรงๆ ปากเรียวถูกเม้มเอาไว้เล็กน้อย พร้อมกับที่เธอยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้างอย่างกร่างๆ “ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือ”

“ปากคุณบอกว่าไม่ถือ แล้วใจคุณล่ะซัน” เขาจดจ้องรอคำตอบ

ซันดากระตุกมุมปากซ้ายน้อยๆ เธออึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่เธอจะก้าวผ่านมันไปให้ได้ เพื่อให้เขาได้เห็นว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลย “ใจฉันก็รู้สึกเหมือนที่บอกแหละ”

“แล้วทำไมคุณถึงตั้งป้อมอคติกับผมล่ะ คุณโกรธเรื่องฟ้ารุ่งใช่ไหม เรามาพูดกันตรงๆเถอะยังไงเราก็ต้องร่วมงานกันไปอีกนาน”

“ฉันไม่อยากพูดเรื่องเก่าๆ สำหรับฉันอดีตมันตายไปนานแล้ว ถือว่าหายกันทุกเรื่องไม่ว่าจะเคยเกิดอะไรขึ้น”

“แต่ว่า...” สายตาเขายังคงจ้องอย่างมีความหวัง ตรงข้ามกับสายตาของซันดาที่มองเลยเขาไปยังผนังทางด้านหลัง

“เอาล่ะ ไหนว่าคุณจะไปอนันต์คอนสตรัคชั่นไม่ใช่เหรอ ตามสบายนะ ฉันเข้าสำนักพิมพ์ก่อน” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง แล้วขยับลุกขึ้นยืนในทันที

“เดี๋ยวสิ เรายังคุยกันไม่จบเลยนะซัน” เขาลุกตามบ้าง ทำท่าเหมือนจะก้าวเข้าไปหา

ซันดาถอยหนี ยกมือท่าปางห้ามญาติ “เราคุยกันจบแล้ว และเราจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีก ขอให้คุณทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนเรื่องงาน”

พูดจบร่างบางก็หมุนตัวเดินฉับๆออกจากร้านไป ปล่อยให้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังมองตามด้วยสายตาละห้อย

เขารู้ว่าเขาผิด แต่จะแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่างไรดี เขาไม่อยากให้ทุกอย่างยังคลุมเครือแบบนี้ เขาอยากใกล้ชิดกับซันดาได้อย่างสบายใจกว่าที่เป็นอยู่ แต่มันคงยากเพราะเธอคิดสวนทางกับเขาอยู่ตลอดเวลา


++++++++++++++++++++++++++++++++++
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » จันทร์ 16 พ.ย. 2015 10:20 pm

หลังออกมาจากร้านกาแฟ ปรัชญ์ก็เข้าไปที่อนันต์คอนสตรัคชั่นตามคำสั่งบิดาทันที

ร่างสูงทรุดตัวลงตรงข้ามพี่ชายที่นั่งทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น ทำให้อีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมามอง “ไปพบคุณอามาแล้วใช่มั้ยปรัชญ์”

“ใช่ นอกจากคุยงานกันแล้ว พ่อก็ยังบ่นเรื่องที่ผมไปช่วยงานสำนักพิมพ์ เฮ้อ! ช่างไม่เข้าใจกันบ้างเล้ย” เล่าพลางปรัชญ์ก็ทำหน้าเอือมๆ

“แล้วจะให้ท่านเข้าใจอะไรล่ะ นายทำเหมือนเล่นขายของ เป็นถึงกรรมการผู้จัดการบริษัทของพ่อแต่ดันไปช่วยเป็นบอกอให้บริษัทของแม่อีก ฉันยังไม่เห็นมีใครเขาทำกันสักที” แดนตรัยบ่นอย่างขำๆไม่จริงจังนัก

“โธ่! พี่แดน ชีวิตมันไม่เหมือนแปลนบ้านนะพี่ ที่จะต้องให้มันเป็นไปตามแบบเป๊ะๆ ชีวิตลิขิตเอง เราก็ต้องทำตามใจบ้างสิ” คนถูกบ่นยังคงเถียงฉอดๆ

จริงๆปรัชญ์มาปรึกษาเขาตั้งแต่ก่อนเปิดสำนักพิมพ์แล้ว ว่าเขากับแม่อยากมีสำนักพิมพ์ที่พิมพ์นวนิยายขาย ซึ่งเขาเองก็ทักท้วงว่า ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการอนันต์คอนสตรัคชั่นนี่ก็งานเยอะพออยู่แล้ว ปรัชญ์ไม่น่าจะทำงานสองที่ไหว แต่ฝ่ายน้องชายก็ให้เหตุผลว่า งานที่สำนักพิมพ์นั้นเขาไม่ต้องเข้าไปทุกวันก็ได้เพราะมารดาเป็นหลักอยู่ และที่สำคัญเขามีเหตุผลในการเปิดสำนักพิมพ์

“อืม ดีจริงๆ เปิดสำนักพิมพ์เพราะอยากใกล้ชิดกับแฟนเก่า” แดนตรัยประชด

แทนที่ปรัชญ์จะสำนึกเขากลับหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็ไม่เชิง ผมอยากขอโทษเขา อยากรู้ว่าอยู่ดีๆทำไมเขาถึงหายไป แต่พยายามรื้อฟื้นยังไงเขาก็ไม่ยอมพูดถึงเรื่องเก่าๆ”

“แล้วแฟนเก่านายคือคุณซันน่ะรึ” พี่ชายถามอย่างแปลกใจ เขาเห็นมีหญิงสาวเข้ามาในชีวิตของปรัชญ์มากมาย แต่ละคนสวยเฉียบกรีดกรายแตกต่างจากซันดามากนัก

ซันดาเป็นผู้หญิงผมสั้น แต่งตัวเรียบๆติดเซอร์ บุคลิกที่เห็นดูเป็นคนห้าวๆ ถึงเธอจะหน้าตาน่ารักดูดี แต่ไม่ได้สวยเลิศเลอเหมือนคนอื่นๆที่ปรัชญ์เคยพามาแนะนำ จึงไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะผูกใจน้องชายของเขาได้นานขนาดนี้

“ครับ คนนี้แหละ” ปรัชญ์ตอบพลางวางข้อศอกลงบนโต๊ะทำงานแล้วโน้มตัวเองเอาคางวางไว้บนสองมือที่ประสานกันไว้ “พี่ว่าโอเคไหม”

“มันเกี่ยวอะไรกับฉันวะปรัชญ์” คราวนี้พี่ชายหัวเราะบ้าง น้องชายดูสับสน ไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนที่ผ่านๆมาเลย “นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย กับคุณซันนี่ดูนายจะจริงจังแปลกๆ คราวตั้งสำนักพิมพ์ก็ทีนึงละ ถึงขนาดไปขอร้องอาดาให้มาช่วยเป็นนอมินี มันอะไรของนายหนักหนาเนี่ย”

ปรัชญ์ถอนใจยาว ยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง มองหน้าพี่ชายนิ่ง “ ผมรู้จักซันตั้งแต่เรียนมหา’ลัยที่เชียงใหม่ เราชอบอะไรคล้ายๆกัน ผมชอบซันเพราะเธอเป็นคนน่ารัก มีน้ำใจ พยายามอยู่เป็นปีเธอถึงยอมคบกับผม แรกๆที่คบก็ไม่ได้อะไรมาก ผมยังติดเพื่อน ชอบเที่ยว และมีผู้หญิงเข้ามาตามปกติ ในขณะที่ซันตั้งใจเรียน นอกจากเรื่องรถแข่งที่เธอสนใจ ก็เป็นคนที่ชอบเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือ จะว่าเป็นเด็กเนิร์ดก็ไม่ใช่ ตอนนั้นเธอเป็นสาวหวาน ผมยาว ใส่แว่นตา”

แดนตรัยมองน้องชายอย่างสำรวจ ก่อนจะถามว่า “ก็ลงตัวดี น่าคิดนะว่าทำไมถึงเลิกกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะฟ้ารุ่งอย่างที่นายคิดก็ได้”

ปรัชญ์หน้าม่อย “เนี่ยแหละที่ผมคาใจอยู่ คนเราจะหายไปเฉยๆโดยไม่มีอะไรได้ยังไง ถ้าเขามีปัญหาครอบครัวก็ไม่น่าจะถึงกับตัดขาดกับผม”

“แล้วทำไมนายไม่ไปตามเขาที่บ้าน เปิดอกคุยกันไปเลย”

“มันคงบังเอิญที่เขาย้ายบ้านด้วยแหละ ผมไปขอตำรวจที่เป็นพี่ชายของเพื่อนเช็คที่อยู่ทะเบียนราษฎร์ให้ แต่พอไปถึงก็คว้าน้ำเหลว คนแถวนั้นบอกว่าเธอย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว”

แดนตรัยพยักหน้า “เข้าใจละ หลังจากนั้นนายก็ไปเรียนต่อเมืองนอก โดยเลือกเรียนสาขาที่เกี่ยวกับหนังสือเพราะรู้ว่าคุณซันชอบ”

“ใช่ ผมคิดว่าสักวันหนึ่งเราต้องได้พบกันเพราะหนังสือเป็นสื่อ แล้วมันก็จริง ไม่นานผมได้ข่าวว่าเธอเป็นนักเขียนชื่อดัง ผมก็เริ่มคุยเรื่องทำสำนักพิมพ์กับแม่ตั้งแต่ตอนนั้น”

“แต่นายก็ไม่ได้เลิกเจ้าชู้นี่ปรัชญ์ ฉันเห็นฟ้ารุ่งเทียวไล้เทียวขื่ออยู่”

“พี่ก็รู้ว่าผมรู้จักฟ้าก็เพราะคุณอรรณพผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของเราแนะนำ พอไปเรียนเมืองนอกด้วยกันก็เลยสนิทสนม”

“ฉันว่าคุณฟ้าอะไรนี่เหมาะกับแกมากกว่าคุณซันอีกนะ” แดนตรัยหยั่งเชิงแล้วจับตาดูท่าทางของน้องชาย

“คำว่าเหมาะสมใช้กับความรักไม่ได้หรอก ความเหมาะสมมันเป็นแค่สิ่งที่เราอุปโลกน์ แต่ความรักมันอยู่ที่ใจ” น้ำเสียงของปรัชญ์จริงจัง

“นายก็เลยลงทุนวางแผนให้อาดาดึงคุณซันมาทำงานด้วย”

“ครับ เดือนที่แล้วสำนักพิมพ์ลูกหว้าของอาไหมถูกโจมตีหลายทาง ตอนนั้นท่านเครียดมากถึงได้มาปรึกษาคุณแม่ จังหวะเดียวกับคุณอรรณพมาฝากฝังเรื่องฟ้า คุณแม่ก็เลยให้ฟ้าไปช่วยแทน เพราะช่วงนั้นซันเขาลาพักร้อน”

“จากนั้นอาดาก็ดึงตัวคุณซันมาทำงานกับเราแทน ฉันเข้าใจถูกมั้ย” พี่ชายถามยิ้มๆ

ปรัชญ์พยักหน้า

“แต่ดูคุณซันเขาไม่เหมือนเดิมแล้วนะ บางที...ก็เหมือนทอมเกินไป คนสมัยนี้ดูยากนะปรัชญ์ พอสังคมยอมรับเพศที่สามก็มีคนเปิดตัวกันเยอะ เพราะคบเพศเดียวกันแล้วจะเข้าใจกันมากกว่าต่างเพศ”

อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ “ให้กำลังใจกันน่าดูเลยนะพี่ชาย”

แดนตรัยยักไหล่ยิ้มๆ “ฉันว่าจริงๆนายก็รู้ว่างานนี้ยากมาก”

“รู้ แต่ผมจะพยายาม” ปรัชญ์ยืนยันด้วยสายตาแน่วแน่

พี่ชายฟังแล้วจึงตบบ่าน้องชายเบาๆ “พี่เป็นกำลังใจให้นะไอ้เสือ”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ฟ้ารุ่งเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดรถของร้านอาหารหรูไม่ไกลจากบ้านของเธอนัก หลังจากนั้นหญิงสาวจึงหยิบกระเป๋าถือเดินเข้าไปในร้านซึ่งตกแต่งสไตล์เรโทรอย่างเก๋ไก๋ ที่แห่งนี้เป็นจุดนัดพบระหว่างเธอกับอธิป แต่เมื่อเข้าไปในร้านแล้ว หญิงสาวกลับต้องแปลกใจ เมื่อโต๊ะประจำซึ่งเธอโทร.มาจองเอาไว้ตั้งแต่บ่ายมีชายหนุ่มผมยาว ร่างสูงโปร่ง นั่งเล่นโน้ตบุ๊คอยู่อย่างไม่สนใจใคร

เห็นดังนั้นฟ้ารุ่งจึงรีบเรียกพนักงานมาสอบถาม “น้องคะ พี่จองโต๊ะที่อยู่มุมซ้ายนอกระเบียงเอาไว้ ทำไมถึงไม่เคลียร์โต๊ะให้พี่”

สาวน้อยวัยรุ่นมองตามด้วยสีหน้าตื่นๆก่อนตอบอ่อนน้อม “ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ไม่มีใครแจ้งเลยว่ามีคนจองโต๊ะนั้นเอาไว้”

“อ้าว ก็พี่โทร.จองเองตั้งแต่บ่าย ทางร้านก็บอกว่าว่าง เอางี้ น้องไปบอกคุณคนนั้นด้วยว่าโต๊ะที่เขานั่งอยู่มีคนจองเอาไว้แล้ว”

“เอ่อ หนูไม่กล้าค่ะ หนูหาโต๊ะอื่นแทนให้ได้ไหมคะ” พนักงานสาวทำตัวลีบ

“ทำไมล่ะ” ฟ้ารุ่งชักจะหงุดหงิด มันเป็นความผิดของร้าน ร้านก็ควรจะรับผิดชอบสิ

“ก็คนที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะนั้นคือคุณเอเธ็นส์ลูกชายเจ้าของร้านน่ะสิคะ”

“แต่ทางร้านเป็นคนผิดก็ต้องรับผิดชอบสิ ฉันโทร.มาจองแล้ว เธอต้องให้นายคนนั้นย้ายโต๊ะเดี๋ยวนี้” บรรณาธิการสาวเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวตามอารมณ์ที่ชักจะอุณหภูมิสูงขึ้นทุกทีๆ

“คือ หนู เอ่อ...”

“ไม่กล้าไม่เป็นไร” ฟ้ารุ่งบอกยิ้มๆ แล้วจึงหันขวับไปยังเป้าหมาย ก่อนเดินลิ่วๆเข้าไปด้วยท่าทางเอาเรื่อง และบอกกับชายหนุ่มผู้ครอบครองโต๊ะด้วยน้ำเสียงฉุนๆ “ขอโทษนะคะ ดิฉันโทร.มาจองโต๊ะนี้เอาไว้แล้ว กรุณาย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นด้วยค่ะ อย่าคิดว่าเป็นลูกชายเจ้าของร้านแล้วจะมีอภิสิทธิ์ยกเลิกการจองของใครก็ได้ การกระทำแบบนั้นมันไร้สปิริต”

ฐิติเงยหน้าขึ้นมองแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาว่างเปล่า เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงระหงในชุดเดรสเปิดไหล่ขาวผ่อง ยามนี้เธอส่งสายตาตำหนิติเตียนมายังเขาอย่างเด่นชัด แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะตอบโต้ใดๆ แวบเดียวเขาก็ก้มลงพิมพ์ข้อความลงในโน้ตบุ๊คต่อราวกับฟ้ารุ่งไม่มีตัวตน หญิงสาวจึงเริ่มฉุนกึก พูดซ้ำเสียงหนัก“นี่คุณ ได้ยินมั้ย ฉันจองโต๊ะนี้แล้ว ไปนั่งที่อื่น”

กระนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหูทวนลม ขณะที่ความโกรธของหญิงสาวกำลังใกล้ทะลุจุดเดือดเต็มที่แล้ว เธอยืนกอดอกมองเขาซึ่งทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ครู่ใหญ่จึงก้าวฉับๆเข้าไปลากเก้าอี้ออกมานั่งหน้าตาเฉย “โอเค ถ้าคุณไม่ไปฉันก็จะนั่งตรงนี้แหละ”

ได้ผล คราวนี้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขม็ง “ก่อนที่ผมจะมานั่งตรงนี้ได้ถามพนักงานแล้ว ทุกคนก็บอกว่าโต๊ะว่าง ผมถึงได้มานั่ง จริงๆผมจะลุกให้ก็ได้ถ้าคุณพูดจาดีๆ แต่ตอนนี้เสียใจด้วย ผมตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งตรงนี้”

ฟ้ารุ่งแสร้งหัวเราะ “อ้อ! พูดได้ด้วยแฮะ ฉันขอยืนยันอีกครั้งนะว่าฉันได้โทร.มาจองเอาไว้จริงๆ แต่คุณจะไม่ไปก็ได้นะ ฉันก็จะนั่งกินข้าวอยู่โต๊ะนี้แหละ”

ฐิติขมวดคิ้ว ถอนใจแรงๆ “เฮ้อ! ผมเหนื่อยใจจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้ชอบใช้มุกฝืดๆจีบผู้ชาย ผมไม่สนใจคุณหรอกนะ ผมไม่ชอบผู้หญิงแก่กว่า”

“นี่นาย...” ฟ้ารุ่งโมโหจนแทบจะกรีดร้องออกมา แต่หญิงสาวกลับต้องชะงักเมื่อมือของใครคนหนึ่งจับท่อนแขนของเธอเอาไว้ และเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าอธิปนั่นเองที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง โดยมีพนักงานเสิร์ฟของร้านยืนเรียงแถวหน้ากระดานเป็นแบ็คกราวน์อยู่

“ใจเย็นๆครับน้องฟ้า พนักงานเขาจองผิดโต๊ะ คุณระพีเจ้าของร้านก็เลยสั่งจัดโต๊ะวีไอพีกลางสวนดอกไม้ให้เราเป็นการขอโทษ” เขาบอกพลางชี้ไปยังสวนน้ำตกที่มีโต๊ะสีขาวตั้งอยู่ชุดหนึ่ง

“ต้องขอโทษจริงๆค่ะ พอดีวันนี้มีงานจัดเลี้ยง ทางร้านก็เลยวุ่นวายจนเขียนข้อมูลการจองผิดโต๊ะ พอคุณระพีทราบก็เลยสั่งให้เราเชิญคุณทั้งสองไปนั่งที่มุมน้ำตก ซึ่งปกติเราจะไม่จัดให้ลูกค้า เพราะเป็นมุมส่วนตัวเจ้าของร้านเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษค่ะ” พนักงานสาวเล่าก่อนยกมือไหว้ปะหลกๆ

ฟ้ารุ่งจึงค่อยผ่อนอารมณ์ลง แต่ไม่วายตวัดสายตาไปยังฐิติแล้วเอ่ยดังๆว่า “ขอแนะนำนะ ถ้าขี้ลืมกันขนาดนี้ ต่อไปถ้าลูกค้าโทร.มาจองก็ควรจะมีการเช็คให้ถี่ถ้วน จะได้ไม่เสียลูกค้าประจำ เพราะความไม่มีน้ำใจ และปากที่ไม่มีหูรูดของลูกชายเจ้าของร้าน”

“ครับ คุณลูกค้ามารยาทงาม ถ้าตกลงกันได้แล้วก็เชิญที่โต๊ะคุณได้ละ ผมจะทำงาน” ฐิติเอ่ยพลางผายมือไปยังทางเดิน

ฟ้ารุ่งตวัดสายตามองคู่กรณีแล้วเบ้ปาก “ฟ้าไม่มีอารมณ์กินข้าวที่นี่แล้วค่ะพี่บอม เราไปร้านอื่นกันดีกว่า ร้านอาหารมีเยอะแยะ”

โดยไม่รอฟังคำตอบจากหนุ่มรุ่นพี่ กล่าวจบหญิงสาวก็เดินฉับๆออกจากร้านไปอย่างไม่สนใจคำทักท้วงของสาวเสิร์ฟทั้งสามเลยแม้แต่น้อย


{ จบตอน }
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » พุธ 25 พ.ย. 2015 6:28 am

บทที่ ๔


“อาหารถูกใจมั้ยคะพี่ซัน” แพรวาถามพลางตักหอยเชลล์เผาอบเนยลงบนจานของสาวรุ่นพี่ พร้อมกับจ้องกิริยาอีกฝ่ายอย่างใส่ใจ

“ขอบใจจ้ะแพร อาหารอร่อยมาก” ซันดายิ้มแฉ่ง ชูนิ้วโป้งยืนยัน แล้วจึงตักอาหารให้อีกฝ่ายบ้าง “สำหรับคนรักษาหุ่นต้องนี่เลยปลานึ่งมะนาว”

“ขอบคุณค่ะ” แพรวายิ้มหวาน แล้วจึงค่อยตะล่อมถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจ “พี่ซันบอกแพรได้หรือยังคะว่าได้งานใหม่ที่ไหน”

ซันดาเงยหน้าขึ้นมองสาวรุ่นน้องนิ่ง ตอบสั้นๆ “เลิฟไลน์บุ๊คส์”

แพรวาเบิกตาค้าง “สำนักพิมพ์นั่นมัน...”

“เป็นของนายปรัชญ์ใช่มั้ย พี่รู้แล้ว” ซันดาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าเย็นชา “พี่เจอเขาละ เขาเป็นบอกอบริหาร แล้วก็เป็นลูกชายเจ้าของสำนักพิมพ์ด้วย”

แพรวาวางช้อน จ้องคู่สนทนาตาไม่กะพริบ ย้อนถามเสียงงอนๆ “ตอนนั้นพี่ซันหนีพี่ปรัชญ์ ไม่ยอมพบหน้า ไม่ยอมติดต่อ ไม่ยอมให้แพรบอกอะไรเกี่ยวกับพี่เลย ไม่ใช่เพราะเกลียดเขา ไม่อยากเจอเขาหรือคะ อย่าบอกนะว่า...”

“แพร ใจเย็นๆ พี่ไม่อยากเจอเขาจริงๆ”ซันดายืนยันแล้วถอนใจยาว แพรวาเอาแต่ใจ และชอบคิดไปเองเสมอ

“ตอนนี้ล่ะคะ พี่ซันอยากเจอพี่ปรัชญ์เหรอถึงได้ยอมไปทำงานกับเขาแบบนั้น” สาวรุ่นน้องถามเสียงขุ่น

“มันไม่ใช่อย่างที่แพรคิดนะ ตอนแรกพี่ไม่รู้ว่าเป็นบริษัทของใคร อยู่ดีๆคุณดาก็โทร.มาติดต่อพี่ ชวนให้ไปทำงานด้วยโดยจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกหมื่นนึง แพรลองคิดสิ พี่กำลังตกงาน ถ้าพี่ไม่คว้าเอาไว้แล้วพี่จะเอาเงินที่ไหนมาใช้ โตแล้วจะให้แบมือขอพ่อแม่ก็ไม่ใช่เรื่อง ตอนหลังพอมารู้ว่านายปรัชญ์อยู่ที่นั่น พี่ก็ไม่คิดที่จะถอย พี่จะเหยียบอดีตให้จมดินแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า ถ้ามัวกลัวสิ่งที่ผ่านไปแล้วเราก็จะไม่เข้มแข็งสักที”

“งั้นที่พี่ซันบอกว่าได้งานใหม่ถึงลาออกก็ไม่จริงน่ะสิคะ”

ซันดาถอนใจยาวอีกครั้งก่อนตอบ “ก็คงอย่างนั้นแหละ พี่ทำงานพลาด ทางสำนักพิมพ์ก็เลยรับบอกอคนใหม่มาทำงานแทนตอนพี่ลาพักร้อน”

“แล้วทำไมพี่ซันไม่บอกแพรแต่แรก” น้ำเสียงถามของแพรวาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

“แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา ถึงจะทู่ซี้ทำงานต่อไปพี่จะมีความสุขมั้ย ในเมื่อคนที่เขาต้องการให้ทำไม่ใช่พี่แล้ว แพรต้องเข้าใจนะ การทำงานมันต้องสบายใจ และต้องมีอนาคต”

แพรวาทำหน้ามุ่ย “แพรขอโทษค่ะ นึกว่าพี่ซันจะกลับไปคืนดีกับพี่ปรัชญ์นี่นา”

“ไม่มีทาง”

“แพรแค่ไม่อยากให้พี่ซันกลับไปซ้ำรอยเดิม”

“แพรสบายใจเถอะนะ พี่เจ็บแล้วจำ พี่จะเผชิญหน้ากับเขาได้โดยไม่คิดอะไร อดีตคืออดีต ไม่มีค่าอะไรเลย”

แพรวาจึงค่อยยิ้มออก “พี่ซันคะ เราสองคนเจ็บหนักมาเหมือนๆกัน เราต้องมีสตินะคะ จะมาปล่อยให้ความรักความหลงครอบงำเราไม่ได้ แพรดีใจที่มีพี่ซันอยู่ข้างๆ เราจะเดินไปด้วยกันนะ”

ซันดายิ้ม ตอบรับเบาๆ “จ้ะ แพร”

สายตาคมกริบจ้องแพรวาอย่างเอ็นดู นึกย้อนไปถึงวันที่ได้พบกันครั้งแรก แพรวาเป็นรุ่นน้องคณะเดียวกัน สาวน้อยหน้าตาสะสวยคนนี้ได้เป็นดาวคณะ และเป็นน้องรหัสของเธอด้วย แรกทีเดียวแพรวามีปรัชญ์คอยดูแลอยู่เสมอ เพราะมารดาทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน จึงทำให้ปรัชญ์มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับซันดามากขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับเขาและเธอต่างก็จำได้ว่าเคยพบกันในสนามแข่งรถวิบาก ความสัมพันธ์จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น ต่อมาแพรวามีคนรักเป็นสาวทอมในคณะทำให้สาวน้อยปลีกตัวออกไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ปรัชญ์และซันดาเริ่มคบหากัน จวบจนแพรวาถูกสาวทอมหักอก ซันดาจึงต้องกลับมาดูแลน้องสาวคนนี้อีกครั้ง เช่นเดียวกับช่วงที่ชีวิตเธอเกิดปัญหา แพรวาก็เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างๆเสมอมาจนถึงวันนี้

“แพรเห็นแฟนคลับตั้งกระทู้ชมคอลัมน์ความรักพี่ซันกันยกใหญ่ บอกว่าคอลัมนิสต์ตอบคำถามได้แรงสมชื่อผู้หญิงเลือดเย็นจริงๆ” แพรวาเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

เป็นเรื่องที่รู้กันแค่ไม่กี่คนว่าซันดาเป็นคอลัมนิสต์ของคอลัมน์ความรัก ซึ่งเป็นคอลัมน์ดังของนิตยสารนิวสไตล์ นิตยสารรายปักษ์ยอดนิยมของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน คอลัมน์ที่ซันดาดูแลอยู่เป็นคอลัมน์รับปรึกษาปัญหาหัวใจ โดยการเลือกคำถามที่น่าสนใจจากแฟนเพจ แล้วนำไปเขียนตอบอย่างถึงพริกถึงขิงลงในนิตยสาร

“เขาคงเห็นว่าเราเป็นที่พึ่งน่ะสิ พี่ดีใจที่ได้ดูแลคอลัมน์นี้ มีบางคนที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่พอได้คำแนะนำไป เขาได้กำลังใจจากพี่และเพื่อนในเพจ เขาก็ฮึดสู้ขึ้นมา”

“พี่ซันของแพรน่ารักจริงๆเลย” แพรวาเอ่ยชมพลางมองไปยังทิศทางของประตูทางเข้าร้านอาหารแล้วบุ้ยใบ้ “พี่ซันดูนั่นสิ ใครมา”

“ฟ้ารุ่ง!”เห็นแค่ไกลๆซันดาก็จำได้ว่า ผู้หญิงที่เดินเข้ามาในร้านคือพี่สาวคนละแม่ของตน

“แพรเกลียดแม่นี่จริงๆเลย คุณแม่รับมาทำงานด้วยทำไมก็ไม่รู้” สาวรุ่นน้องเบะปากพูด

“อย่าไปสนใจเลย ต่างคนต่างอยู่” ซันดาตัดบท เธอเบื่อที่เรื่องของฟ้ารุ่งวนเวียนอยู่รอบตัว หากตัดได้ก็คงจะตัดไปนานแล้ว

แพรวาพยักหน้า “ค่ะ ถ้าเขาไม่มายุ่งกับเราก่อน”

++++++++++++++++++++++++++++++


การรับประทานอาหารมื้อเย็นของสองสาวในวันนี้ก็เหมือนเช่นเคย แพรวามักจะอ้อยอิ่งนั่งจิบเครื่องดื่มไปคุยไป นานเข้าซันดาจึงขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเสร็จธุระก็สำรวจตนเองในกระจกก่อนที่จะเดินกลับโต๊ะ

ไม่ทันสังเกตว่าใครยืนอยู่ข้างๆ จนอีกฝ่ายยื่นมือมาจับข้อศอกของเธอเอาไว้ ซันดาจึงรีบหันกลับไปเผชิญหน้า เพราะคิดว่าอาจจะมีคนรู้จักมาทักทาย แต่กลับไม่ใช่...

“พบกันอีกแล้วนะ” ผู้ที่ยืนรออยู่เอ่ยขึ้นก่อน ดวงตาของฟ้ารุ่งวาวประกายดูเหมือนกำลังคาดหมายอะไรบางอย่าง

ซันดาไม่ตอบ เธอหมุนตัวเดินออกนอกประตูไปทันที ทว่าอีกฝ่ายก็ยังตามมาไม่ลดละ ฟ้ารุ่งเดินเข้ามาดักหน้าพลางยิ้มเยาะ “แหม คุยกันก่อนสิน้องสาว เธอเข้าไปใกล้ชิดปรัชญ์จนได้นะ”

ซันดาหัวเราะหึๆ “ฉันก็เพิ่งรู้ว่าเหตุผลที่ถูกจองล้างจองผลาญเพราะเธอหึงแฟนเก่าของฉันเท่านั้นเอง” คนพูดย้ำสถานะแฟนเก่าเน้นหนัก ดวงตากลมโตจ้องคนฟังด้วยแววตาวาววับ

ฟ้ารุ่งยิ้มมุมปาก “เธอมันก็แค่แฟนเก่า แต่ฉันคือปัจจุบัน ระดับความสำคัญของแต่ละคนปรัชญ์เขาแยกแยะได้”

“ก็ดี อย่าให้นายนั่นมาป้วนเปี้ยนในชีวิตฉันก็แล้วกัน ทางที่ดีเธอควรจะล่ามเขาไว้ด้วย”

“คงไม่จำเป็นหรอกเขารักฉันคนเดียว” ฟ้ารุ่งตอบยิ้มๆ

“พูดเหมือนไม่รู้จักสันดานผู้ชาย คงจะจริงที่เขาว่าคนสวยมักจะโง่”

ฟ้ารุ่งแสร้งยิ้มน้อยๆ ยักไหล่ “ขอบคุณที่ชมว่าฉันสวย แต่ไอ้คำคมปลอบใจตัวเองของคนหน้าตาบ้านๆแบบนี้ใช้กับฉันไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันทั้งสวยและไอคิวดี”

“หยุดการกระทำเลวๆของเธอได้แล้วฟ้ารุ่ง” เสียงแทรกจากบุคคลที่สามดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของแพรวา

“คุณแพรมาด้วยหรือคะ แหม...สงสัยเรื่องที่เขาลือกันจะเป็นเรื่องจริง”

แพรวาเชิดหน้ามองอีกฝ่ายด้วยหางตา “ข่าวลือที่ว่าฉันคบกับพี่ซันน่ะเหรอ ฉันต้องแคร์ไหมล่ะ บอกเธอไว้ตรงนี้ก็แล้วกันว่าฉันรักพี่ซันมาก ใครจะคิดยังไงฉันก็ไม่สน”

ฟ้ารุ่งแสร้งหัวเราะ “ดีจังเลย”

“กลับกันเถอะแพร” ซันดาชวนแล้วดึงแขนสาวรุ่นน้องออกไปโดยทันที เพราะเธอเบื่อหน่ายที่จะต้องมาประจานตัวด้วยเหตุผลไร้สาระอย่างที่เป็นอยู่

ฟ้ารุ่งมองตามโดยไม่ห้าม เธอยกสองแขนขึ้นกอดอก ขณะเอนร่างไปพิงเสาและเอ่ยกับสายลมเบาๆ “ยี่มันแค่ยกแรก เดี๋ยวจะได้รู้กันว่าแกไม่แคร์จริงไหม”

+++++++++++++++++++++++
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย Namfar » พุธ 25 พ.ย. 2015 6:29 am

ประตูหน้าบ้านแบบบานเลื่อนเปิดออก ร่างระหงจึงเดินผ่านห้องโถงเข้าไปด้านใน เมื่อสายตาของเธอมองเห็นแสงไฟจากห้องนั่งเล่น ฟ้ารุ่งจึงผลักบานประตูเข้าไป พบว่าแจ่มใจผู้เป็นยายและป้าอารีย์ผู้ทำหน้าที่แม่บ้านกำลังนั่งดูละครอยู่ด้วยกัน

“ห้าทุ่มแล้ว ยายยังไม่นอนอีกหรือคะ”บรรณาธิการสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งชีวิตเธอมีแจ่มใจเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงบัดนี้ ทว่าความอบอุ่นที่ได้รับไม่เคยด้อยไปกว่าใคร เพราะยายของเธอนั้นประคบประหงมดูแลหลานสาวคนเดียวอย่างดีที่สุด

“ยายรอฟ้า ทำไมวันนี้กลับดึกล่ะลูก” แจ่มใจเงยหน้าขึ้นถาม

ฟ้ารุ่งนั่งคุกเข่าลงข้างๆรถเข็นของผู้เป็นยายแล้วจึงเอนศีรษะพิงแขนนุ่มนิ่มนั้นอย่างประจบ “ฟ้าไปกินข้าวข้างนอกมาค่ะ แต่ฟ้าก็โทร.มาบอกป้าอารีย์แล้วนะคะ”

“ป้าบอกคุณยายแล้วค่ะ แค่ท่านอยากรอคุณฟ้ากลับมาก่อนค่อยเข้านอน” นางอารีย์ตอบเจือยิ้ม เธอมีความสุขยามที่เห็นสองยายหลานอยู่ร่วมกัน ฟ้ารุ่งเป็นหลานที่ดี ส่วนแจ่มใจก็เป็นยายที่น่ารัก

“ยายไม่ต้องห่วงฟ้านะคะ ฟ้าโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ ยายสิต้องดูแลตัวเองมากๆ ยายเป็นกำลังใจเดียวของฟ้าต้องอยู่กับฟ้าไปนานๆ”หญิงสาวพูดพลางลูบแขนหย่อนคล้อยของผู้สูงวัยไปพลาง

แจ่มใจยื่นมือออกไปลูบผมที่ดัดเป็นลอนๆของผู้พูดอย่างเอ็นดูและถาม “ตอนนี้ฟ้ายังติดต่อกับบอมอยู่หรือเปล่า”

ฟ้ารุ่งเงยหน้าขึ้น จ้องตาผู้เป็นยายเขม็ง “เอ่อ...ฟ้า”

“อย่าโกหกยาย มีอะไรก็บอกมาตรงๆ”

“ฟ้ายังติดต่อกับพี่บอมค่ะ ฟ้ารู้ว่ายายไม่ชอบให้ฟ้าคบหาพี่บอม หรือคนบ้านในบ้านคุณอาอรรณพ แต่ฟ้ามีเหตุผลนะคะ”

“เหตุผลอะไร”

“ฟ้าต้องให้พี่บอมช่วยเขี่ยนังซันดาออกจากสำนักพิมพ์ ”

“ซันดา...ชื่อคุ้นๆ”แจ่มใจพยายามทบทวนความทรงจำ

หลานสาวจึงรีบอธิบายว่า “ลูกสาวบ้านโน้นไงคะ”

แจ่มใจทบทวนความจำ “บ้านโน้น...”

“ฟ้าหมายถึงลูกสาวของผู้หญิงที่ชื่อรยา ยายจำได้ไหมคะ” ฟ้ารุ่งยิ้มขื่นๆ

แน่นอนไม่ใช่เพียงแค่ฟ้ารุ่งเท่านั้นที่สะดุดใจเมื่อได้ยินชื่อนี้ แจ่มใจเองก็เช่นเดียวกัน ชื่อนี้ทำให้เธอชะงัก “ฟ้าไปพบคนพวกนั้นได้ยังไง”

ก่อนตอบฟ้ารุ่งหันไปบอกอารีย์ว่า “ป้าอารีย์ไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวฟ้าคุยกับยายเสร็จแล้วจะพาเข้านอนเอง”

อารีย์รับคำเบาๆแล้วจึงลุกขึ้น เดินไปทางห้องนอนของตนเองอย่างว่าง่าย

จากนั้นฟ้ารุ่งหันกลับมาเล่าเรื่องราวที่ค้างคาให้ผู้เป็นยายฟัง “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เชียงใหม่ ฟ้าก็ยังตามข่าวของพวกมันมาตลอด จนช่วงที่อยู่เมืองนอกนั่นแหละค่ะ แม่นั่นกำลังเป็นนักเขียนดาวรุ่ง ฟ้าก็สืบจากอินเทอร์เน็ตได้เองบ้าง แต่บางอย่างก็ต้องขอให้พี่บอมช่วย จนตอนนี้ฟ้ากับมันต่างก็เป็นบอกอเหมือนกัน เมื่อฟ้าอยากให้มันตกงานจึงต้องขอความช่วยเหลือจากพี่บอม”

“แล้วพ่อแม่ของมันล่ะ” น้ำเสียงของแจ่มใจเรียบเฉย แต่ฟ้ารุ่งรู้ว่าผู้เป็นยายเจ็บปวดเพียงใดยามที่ถามถึงคนคู่นั้น

“เคยอ่านจากบทสัมภาษณ์ของมันว่าอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละค่ะ”ฟ้ารุ่งตอบพลางบีบมือยายของตนเบาๆ เพื่อส่งความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ยังว่ามีกันและกัน

“แล้วซันดารู้มั้ยว่าฟ้าเป็นลูกของใคร”

ฟ้ารุ่งยิ้มขื่นๆ “พวกมันรู้แล้วค่ะ แต่ฟ้าก็ไม่แน่ใจว่ามันรู้เรื่องของพวกเราสักแค่ไหน ดูชีวิตมันมีความสุข มันคงไม่รู้หรอกว่าแม่ของมันทำให้แม่ของฟ้าต้องเลิกกับพ่อทั้งๆที่ฟ้ายังเล็กมาก ช่วงแรกๆฟ้าแทบจะจำพ่อแทบจะไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่ถ้ายายไม่พาไปแอบดูครอบครัวมัน ฟ้าคงไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร”

มือของหญิงสาวกำแขนผู้เป็นยายแน่นขึ้น หยดน้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตาคู่งาม “ฟ้าต้องถูกเพื่อนล้อว่าลูกไม่มีพ่อ ในขณะที่พวกมันทำหน้าระรื่น แต่พอได้รู้ความจริงหน้างี้ซีดกันหมดเลยค่ะ”

แจ่มใจมองหลานสาวคนเดียวผ่านม่านน้ำตาพร่ามัว “ถึงมันจะเจ็บแค่ไหนแต่ก็ทำให้แม่กับน้องของเราฟื้นขึ้นมาไม่ได้หรอกนะ”

“พวกมันจะต้องได้รับผลกรรม” ฟ้ารุ่งขยับตัว ก่อนจะซบหน้าลงบนตักผู้เป็นยายอีกครั้ง ตักนี้ที่ให้ไออุ่นและกำลังใจแก่เธอตลอดมา

“ยายก็ได้แต่หวังว่าพวกมันจะได้รับกรรมอย่างสาสม” มือผอมบางลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ ต่างกับนัยน์ตาของผู้พูดที่เจิดจ้าไปด้วยพลังบางอย่าง

พลังแห่งความคับแค้นใจ...คนที่ไม่เคยสูญเสียลูกและหลานไปพร้อมๆกันคงไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดเพียงใด

+++++++++++++++++++++++++++



เสียงดังจอแจมาจากห้องประชุมเล็กซึ่งกำลังเตรียมการประชุมย่อยของกองบรรณาธิการซึ่งปรัชญ์เป็นผู้นัดหมาย หากมองผ่านช่องประตูเข้าไปจะพบว่าพนักงานบางคนกำลังนั่งทำงานรอ ในขณะที่บางคนก็นั่งคุยกันอย่างออกรส

“ที่พี่ซันให้เก๋กับวิชลิสต์รายชื่อนิยายในเว็บไซต์ที่น่าสนใจมาให้ ถ้าประชุมเสร็จเก๋จะส่งอีเมลล์ให้เลยนะคะ” สิยาพรรายงานบอกอของตนด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก

แต่ก็ส่งผลให้หลายคนได้ยินและเงยหน้าขึ้นมอง

“แหม บอกอซันขยันจังนะคะ บอกอเต้แทบจะไม่มีนักเขียนในสังกัดเลย กุหลาบเที่ยงคืนกับรัมภาลัยก็ถูกถ่ายโอนให้บอกอซันไปละ นี่บอกอซันยังให้เก๋หานักเขียนใน ‘เน็ตให้อีก สงสัยบอกอเต้ต้องไปเปิดร้านขายไข่ในตลาดไปพลางๆแล้วล่ะค่ะ” นารินเปิดฉากแขวะยิ้มๆ

“แต่บอกอทุกคนก็มีงานอีดิตกับงานบอกอเล่มอยู่แล้วไม่ใช่หรือฮะ” วิชกรย้อนถามด้วยหน้าตาซื่อๆ สร้างรอยยิ้มให้คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ก็ให้ความสนใจฟังอยู่ไม่น้อย

พงษ์พจน์รำคาญจึงตอบเสียเองว่า “นั่นมันงานประจำอยู่แล้ว แต่การเป็นบอกอก็ต้องมีมารยาท ไม่ล้ำเส้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาใหม่ ก็หงิมๆหยิบชิ้นปลามันแบบนี้”

ซันดาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือบ้าง “ซันไม่รู้ว่าปกติที่นี่ทำงานกันยังไง แต่พอซันเข้ามาทำงานก็ต้องทำตามคำสั่งเจ้านายเหมือนพวกคุณนี่แหละ ถ้าสงสัยเรื่องไหนคุณเต้ก็น่าจะไปถามคุณดาดูนะ ไม่ใช่มาแขวะกันเอง การทำงานมันต้องตรงไปตรงมา พูดให้ชัด ทำให้จริง แล้วก็ต้องยอมรับความจริงด้วย”

“ความจริงอะไรของเธอ อย่าคิดว่าเป็นเด็กนายแล้วจะพูดอะไรก็ได้นะ” พงษ์พจน์แหวขึ้น ใจนึกอยากจะกรีดนิ้วชี้หน้าอีกฝ่ายนัก เพิ่งมาใหม่แล้วยังจะซ่า

ซันดาฟังแล้วตีหน้าเฉย ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ “อ่อ ต้องเป็นคนเก่าคนแก่ถึงจะว่าอะไรใครก็ได้ แบบที่คุณว่าฉันไร้มารยาทตะกี้นี้ใช่ไหม คุณเต้...ซันมาทำงานที่นี่เพื่องาน ซันไม่ได้อยากจะแข่ง หรือว่าเป็นศัตรูกับใคร ถ้าทำอะไรแล้วไม่ถูกใจคุณก็ต้องขอโทษด้วย เอาล่ะ ตอนนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ถือซะว่าเมื่อครู่ได้เคลียร์ใจกันไปแล้วนะ”

พงษ์พจน์อึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี ได้แต่นึกในใจว่า แม่นี่บทจะแรงก็แรง บทจะจบก็จบเสียดื้อๆจนแทบตามไม่ทัน คนแบบนี้ไว้ใจไม่ได้

“อะไรของมันคะบอกอ” นารินสะกิดถามเสียงเบา

พงษ์พจน์ได้แต่สั่นหน้า สายตามองไปที่ประตูห้อง “ไม่รู้ นั่นคุณปรัชญ์เข้ามาละ”

จากนั้นความเงียบจึงเข้ามาครอบคลุมห้องประชุมอีกครั้ง สายตาของแต่ละคนจับจ้องไปยังชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมคาย ที่กำลังนั่งลงบริเวณหัวโต๊ะ

ชายหนุ่มเปิดประชุมด้วยการบอกยอดขายไตรมาสที่ผ่านมา ทิศทางของตลาด และเน้นย้ำถึงถึงเป้าหมายของบริษัท “อย่างที่คุณนาถลดาได้แจ้งเอาไว้ตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้ว ว่าปีนี้เราต้องการกระตุ้นยอดขายให้พุ่งสูงขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายในสำนักพิมพ์จะต้องร่วมมือกัน พวกเราติดขัดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

พงษ์พจน์ยกมือขึ้นขออนุญาต เมื่อปรัชญ์พยักหน้าเขาจึงจีบปากจีบคอถามทันที “คุณปรัชญ์ยกงานของเต้ไปให้บอกอซันหมด แล้วจะให้เต้ทำอะไรฮะ แค่อีดิตงานไปวันๆงั้นเหรอ”

“ผมกำลังจะบอกอยู่นี่ไงครับ ว่าเราจะต้องพยายามช่วยกัน ในส่วนของคุณเต้ซึ่งเป็นบอกอหลักของสำนักพิมพ์ที่ใครๆก็รู้จักดีอยู่แล้ว ผมคิดว่าไม่น่าจะยากที่จะหานักเขียนเพิ่ม”

“แต่นักเขียนเก่งๆเขียนงานดีๆตีพิมพ์แล้วขายได้มันหายากนะคุณปรัชญ์”พงษ์พจน์เถียง

“จริงค่ะ นักเขียนที่ขายได้น่ะ ส่วนใหญ่จะมีสำนักพิมพ์ประจำหมดแล้ว” นารินช่วยเสริม พลางปรายตามองซันดาเป็นเชิงตำหนิ นัยว่าเป็นเพราะหล่อนนั่นแหละ

ปรัชญ์นิ่งฟังแล้วตอบอย่างใจเย็นว่า “ผมคิดว่าบอกอที่ดีจะต้องสามารถสร้างนักเขียนเองได้ การตลาดเราก็มีคุณจะกลัวอะไร”

“แล้วทำไมคุณปรัชญ์ไม่ให้บอกอซันทำหน้าที่นี้ล่ะฮะ”พงษ์พจน์ว่า

“ผมมองว่าคุณมีความชำนาญมากกว่า เพราะคุณอยู่ที่นี่มาปีกว่าแล้ว ในส่วนของงานคุณไม่ต้องกลัว ผมกำลังเปิดโครงการค้นหานักเขียน โดยการประกวดเรื่องสั้น คุณเต้คิดว่าไหวไหมครับ” ปรัชญ์จ้องคู่สนทนาเขม็ง

“ไม่ไหวก็คงต้องไหว” พงษ์พจน์ตอบและค้อนเบาๆ

ปรัชญ์ยิ้ม เขาเข้าใจทุกฝ่ายดี แต่จะทำอย่างไรได้ในฐานะผู้บริหารสำนักพิมพ์จะต้องมองถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าความพอใจของแต่ละบุคคล “ผมเชื่อฝีมือคุณ”

“แล้วบอกอซันล่ะ ว่าไง มีอะไรเสนอมั้ย” เขาถามต่อ

ซันดาปรายตามองคนถามแล้วสั่นหน้า

ปรัชญ์เลิกคิ้ว “ผมได้ยินว่าคุณเป็นบอกอขวัญใจนักเขียน คุณเล่าประสบการณ์ได้มั้ยว่าที่ผ่านมาทำยังไงบ้าง”

ซันดาจำใจยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก “จริงๆมันเป็นเทคนิคของแต่ละคน แต่ถ้าจะให้เล่า ฉันก็แค่ดูแลนักเขียนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน โอเค ถึงเขาจะเป็นนักเขียนอิสระ แต่ถ้าเขาศรัทธาสำนักพิมพ์ไหนก็มักจะส่งงานที่เดิมเป็นประจำ ถ้าเราดูแลเขาด้วยใจ เขาก็จะให้ใจกับเรา วงการนักเขียนมันแคบ พูดปากต่อปาก 2-3 คำก็ถึงกันหมดละ”

“แต่ผมว่าถ้าเราสนิทสนมเกินไปก็จะลำบากในการอีดิตงานนะฮะ นักเขียนบางคนก็อัตตาสูงเกิ๊น” พงษ์พจน์แย้ง เขาหมั่นไส้เหลือเกินที่ปรัชญ์ให้ความสำคัญกับบรรณาธิการคนใหม่มากกว่าเขา

ซันดาสบตาคนพูด ในใจนึกรำคาญพงษ์พจน์นัก ที่เขาพยายามขวางโลกอยู่ตลอด แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเสียหน้า “เราสนิทกันในระดับหนึ่งค่ะ สนิทกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน เราให้เกียรติ ซื่อสัตย์ และรักษาคำพูดต่อกันก็จบ”

“เป็นแนวทางของการทำงานที่ดี” ปรัชญ์ชมและพูดต่อว่า “เรื่องสุดท้ายผมได้รับแจ้งจากสมาคมชาวหนังสือว่าอีก 2 สัปดาห์เราจะมีโครงการสังสรรค์ชาวหนังสือ ซึ่งทางสมาคมมีมติเที่ยวเกาะช้าง 3 วัน”

สิ้นคำปรัชญ์ เสียงเฮก็ดังขึ้น ความเคร่งเครียดที่ผ่านมาจึงค่อยคลายลง มีเสียงซุบซิบและเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาแทนที่

“เก๋กับวิชไปด้วยได้ไหมคะคุณปรัชญ์” สิยาพรถามขึ้น

ปรัชญ์พยักหน้า “ได้สิ ไปกันได้ทุกคน ถึงแม้จะเป็นโครงการของสมาคม แต่สำนักพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้นจะให้ใครไปบ้างก็ต้องแล้วแต่เรา”

“ดีจังเลยวิช” สิยาพรหันไปจับมือเพื่อนเขย่า

“คนอื่นๆมีอะไรจะซักถามอีกไหมครับ” ปรัชญ์ถามทิ้งท้าย รออยู่พักหนึ่งเมื่อไม่มีใครถามเขาจึงปิดประชุมทันที

ขณะที่คนอื่นๆต่างทยอยเดินออกจากห้องประชุมไป แต่ตัวผู้เป็นประธานการประชุมเองกลับไม่ยอมขยับตัวลุกจากเก้าอี้ “บอกอซันอย่าเพิ่งไปนะ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

หญิงสาวชะงัก ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“อะไรอีกล่ะ” เธอถามเสียงหงุดหงิด

ปรัชญ์หัวเราะ ขำท่าทางรำคาญใจของเธอ “งานเกาะช้างเนี่ยคุณต้องไปให้ได้นะ”

“ฉันไม่ว่าง” หญิงสาวปฏิเสธสั้นๆ

ปรัชญ์ลุกขึ้น เดินไปใกล้หญิงสาว “ผมว่าจะเชิญพี่รัมภากับเอเธ็นส์ไปด้วย เราจะได้ใช้ช่วงนั้นคุยงานกัน เอางี้ไหม คุณพาครอบครัวไปด้วยก็ได้”

“นายจะบ้าเหรอ”เขาคงคิดว่าการบอกปัดของเธอเป็นเพราะต้องดูแลครอบครัวสินะ

ปรัชญ์ทำหน้าเด๋อด๋าใส่ “บ้าตรงไหนล่ะ เราจะได้คุยงานกัน นี่ผมทำเพื่องานนะเนี่ย นัดนักเขียนเอาไว้แล้วด้วย”

“ใครนัดก็เคลียร์เองสิ คุณคิดแผนงานกับนักเขียนเองได้นี่”

“แต่คุณเป็นบอกอที่ดูแลงานโปรเจคนี้นะ เอางี้ เดี๋ยวผมตามไปคุยกับพ่อแม่คุณให้ ผมอยากให้งานออกมาดี ไม่งั้นผมไม่เซ้าซี้คุณหรอก” เขายื่นหน้ามาบอกพร้อมส่งสายตายียวน

ซันดาถลึงตาและตวัดเสียงใส่ “ไม่ต้องยุ่ง”

ว่าแล้วซันดาก็ลุกขึ้นยืน ก้าวออกจากห้องไป

“อ้าว ซัน เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ” ชายหนุ่มร้องเรียกตาม แต่ก็มิได้ทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาได้เลย


[ จบตอน ]
Namfar
นักเขียน VIP
นักเขียน VIP
 
โพสต์: 499
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 20 พ.ย. 2013 5:56 pm

Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า

โพสต์โดย ภาษาสยาม » พฤหัสฯ. 03 ธ.ค. 2015 6:26 am

บทที่ ๕

1404656317-dsc09033as-o_resize.jpg
1404656317-dsc09033as-o_resize.jpg (57.18 KiB) เปิดดู 14798 ครั้ง



บทที่ ๕


ร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อสีเหลืองแขนกุด เอวลอย และกระโปรงสั้นเหนือเข่าเกินคืบก้าวลิ่วๆไปเคาะประตูหน้าห้องกระจกสีทึม ก่อนจะผลักประตูเข้าไปสู่ด้านในด้วยสีหน้าระรื่น

“สวัสดีค่ะคุณไหมแก้ว” คนเพิ่งเข้ามายกมือไหว้และเอ่ยทักทายก่อนเนื่องจากเจ้าของห้องสูงวัยกว่า

“จ้ะ นั่งลงสิฟ้ารุ่งฉันมีเรื่องงานจะปรึกษาเธอ” นักธุรกิจสาวใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน เดินอ้อมไปยังชุดรับแขกสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง และนั่งลงตรงข้ามหญิงสาวรุ่นลูก

“ยอดขายไตรมาสที่ผ่านมาแผ่วลง เธอมีวิธีการอะไรจะเสนอแนะไหม” ไหมแก้วเปิดฉากด้วยคำถาม

ฟ้ารุ่งเม้มปาก ทำท่าคิด ครู่ใหญ่จึงตอบ “ฟ้าคิดว่าเพราะมีสำนักพิมพ์ใหม่ๆผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ขณะที่นักอ่านยังมีจำนวนเท่าเดิม เขามีโอกาสเลือกมากขึ้น เราต้องสร้างนักเขียนให้เป็นแบรนด์ค่ะคุณไหม เท่าที่ฟ้าสังเกตดู นักเขียนของเรายังไม่มีใครโดดเด่นพอที่นักอ่านเห็นชื่อปั๊บจะควักเงินซื้อได้ เราจึงขายได้เรื่อยๆเท่านั้นเองค่ะ”

“แล้วเธอเห็นใครพอจะดันได้บ้างล่ะ”

“เท่าที่ดูก็น่าสนใจอยู่หลายคนนะคะ แต่ถ้าจะดันกันจริงๆก็ต้องมีนักเขียนที่มีชื่อเสียงมาประกบถึงจะได้ผลเร็ว แต่ตอนนี้เรายังไม่มีนักเขียนแบบที่ว่านี้เลยค่ะ”

ไหมแก้วฟังแล้วพยักหน้าหงึกหงัก จริงอย่างที่ฟ้ารุ่งว่า ทุกวันนี้สำนักพิมพ์ลูกหว้าอยู่ได้เพราะออกงานสม่ำเสมอ แต่นักเขียนที่มีอยู่ก็ไม่มีใครเด่นพอ ไม่เหมือนเลิฟไลน์บุ๊คส์ที่เปิดตัวด้วยนักเขียนมีชื่อจึงทำให้มีนักอ่านติดตามผลงานได้อย่างรวดเร็ว

“ถ้าเราทำแบบนั้นได้ก็จะก้าวไปไวค่ะ” ฟ้ารุ่งเสริม

“เท่าที่ฉันมองๆ นักเขียนยุคนี้ที่เด่นๆและน่าจะไปได้ไกล ก็คงเป็นกุหลาบเที่ยงคืน”

“แต่ตอนนี้เขาตีพิมพ์กับเลิฟไลน์บุ๊คส์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ของคุณดาเพื่อนของคุณไหมเอง จะดีหรือคะ”

ไหมแก้วยิ้มมุมปาก “แหม ฟ้ารุ่ง เพื่อนก็เพื่อน ธุรกิจก็ธุรกิจสิ เขาเป็นนักเขียนอิสระ จะส่งที่ไหนก็ได้ มันอยู่ที่ตัวนักเขียน เราไม่ได้เห็นแก่ตัวนะ มันไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าเขาจะเขียนให้หลายสำนักพิมพ์ก็เป็นการตัดสินใจของนักเขียนเอง”

ฟ้ารุ่งนิ่งฟัง รอให้อีกฝ่ายพูดจบ

“ฉันยกหน้าที่ติดต่อกุหลาบเที่ยงคืนให้เธอก็แล้วกันนะฟ้ารุ่ง ฉันคิดว่าสาวสวยเสน่ห์แรงอย่างเธอคงจะทำได้ไม่ยาก เริ่มต้นที่เกาะช้างนี่เลยเป็นไง ปกติแต่ละสำนักพิมพ์จะเชิญนักเขียนทำเงินไปด้วยอยู่แล้ว”

ฟ้ารุ่งทำท่าคิด ครู่ใหญ่จึงตอบตกลง “ถ้าคุณไหมเห็นว่าดี ฟ้าก็จะพยายามค่ะ”

“ดีมาก บอกไปเลยว่าเราให้ค่าต้นฉบับมากกว่าที่เดิม 2%” ไหมแก้วให้แนวทาง

“ถ้าอย่างนั้นคงไม่ยากค่ะคุณไหม เงินน่ะใครๆก็อยากได้กันทั้งนั้นแหละ” ฟ้ารุ่งหัวเราะเบาๆ

มันคงจะเป็นการดีไม่น้อยถ้าเธอทำงานสำเร็จ งานแรกนี้จะกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงในพริบตา ที่สำคัญเธอจะได้ถือโอกาสดึงนักเขียนที่ซันดาดูแลออกมาด้วย เข้าทำนองยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คุ้มเกินคุ้ม

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฟ้าไปทำงานก่อนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอตัวแล้วจึงลุกขึ้นยืน ทว่าระหว่างที่เธอกำลังเอื้อมมือไปที่ลูกบิด ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมๆกับที่แพรวาก้าวเข้ามา

ฟ้ารุ่งจึงยิ้มให้ตามมารยาท ตรงข้ามกับสาวรุ่นน้องที่ตีหน้ายักษ์ใส่เธอโดยทันที บรรณาธิการสาวไม่ใส่ใจเท่าใดนัก จึงยักไหล่เบาๆก่อนจะดึงประตูเดินออกไปจากห้อง

“แม่นั่นเข้ามาประจบอะไรคุณแม่อีกล่ะคะ” แพรวาบุ้ยใบ้ไปทางประตูห้อง

“ประจบอะไรกันล่ะ แม่เรียกเขามาปรึกษางาน แล้วเราล่ะมีอะไรถึงเข้ามาสำนักพิมพ์ได้” มารดาย้อนถามเพราะโดยปกติแล้ว ลูกสาวคนเดียวของเธอนั้นไม่ค่อยเอางานเอาการนัก ถ้าเข้ามาสำนักพิมพ์เมื่อใดย่อมหมายถึงมีธุระกับซันดา แต่เมื่อบรรณาธิการสาวถูกไล่ออกไปแล้วก็ไม่ค่อยเห็นแพรวาย่างกรายเข้ามาที่นี่อีกเลย

“แพรได้ยินว่าสมาคมชาวหนังสือจะไปเที่ยวเกาะช้างกัน” ถามพลางสาวสวยก็นั่งแหมะลงจุดเดิมที่ฟ้ารุ่งเพิ่งลุกออกไป

“ใช่ ทำไมรึ”

“แพรอยากไปด้วยค่ะ”

ไหมแก้วจ้องหน้าบุตรสาวนิ่งก่อนจะส่ายศีรษะ “แม่ไม่อนุญาต เราอยากไปเจอยายซันใช่ไหม”

แพรวากอดอกทำหน้ามุ่ย ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องรู้ทัน แต่เธอก็ต้องการให้มารดานั้นตามใจอย่างเคย เรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้มันเป็นความสุขของเธอนี่นา “แพรอยากไปเที่ยว ถ้าแม่ไม่ยอมให้ไปกับสำนักพิมพ์ แพรตามไปพักรีสอร์ตใกล้ๆก็ได้”

“ไม่ได้นะแพร ลูกจะทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้อีกไม่ได้ แม่ไม่อยากให้ตานัทเขาเข้าใจผิด”

แพรวาปรับสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที “ได้ค่ะ ถ้าคุณแม่ใจดำกับแพร แพรก็จะทำแบบที่แพรต้องการให้ได้” กล่าวจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินกระแทกกระทั้นออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

ไหมแก้วมองตามพลางส่ายหน้า “แม่จะทำยังไงกับแกดี ฮึ ยายแพร”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บาดแผลเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
ภาษาสยาม
Administrator
Administrator
 
โพสต์: 1145
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 06 ก.ค. 2008 9:43 pm

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง นวนิยาย

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน

cron