Re: นวนิยาย "ริษยาซ่อนรัก" เขียนโดย น้ำฟ้า
เมื่อ: พุธ 25 พ.ย. 2015 6:29 am
ประตูหน้าบ้านแบบบานเลื่อนเปิดออก ร่างระหงจึงเดินผ่านห้องโถงเข้าไปด้านใน เมื่อสายตาของเธอมองเห็นแสงไฟจากห้องนั่งเล่น ฟ้ารุ่งจึงผลักบานประตูเข้าไป พบว่าแจ่มใจผู้เป็นยายและป้าอารีย์ผู้ทำหน้าที่แม่บ้านกำลังนั่งดูละครอยู่ด้วยกัน
“ห้าทุ่มแล้ว ยายยังไม่นอนอีกหรือคะ”บรรณาธิการสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งชีวิตเธอมีแจ่มใจเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงบัดนี้ ทว่าความอบอุ่นที่ได้รับไม่เคยด้อยไปกว่าใคร เพราะยายของเธอนั้นประคบประหงมดูแลหลานสาวคนเดียวอย่างดีที่สุด
“ยายรอฟ้า ทำไมวันนี้กลับดึกล่ะลูก” แจ่มใจเงยหน้าขึ้นถาม
ฟ้ารุ่งนั่งคุกเข่าลงข้างๆรถเข็นของผู้เป็นยายแล้วจึงเอนศีรษะพิงแขนนุ่มนิ่มนั้นอย่างประจบ “ฟ้าไปกินข้าวข้างนอกมาค่ะ แต่ฟ้าก็โทร.มาบอกป้าอารีย์แล้วนะคะ”
“ป้าบอกคุณยายแล้วค่ะ แค่ท่านอยากรอคุณฟ้ากลับมาก่อนค่อยเข้านอน” นางอารีย์ตอบเจือยิ้ม เธอมีความสุขยามที่เห็นสองยายหลานอยู่ร่วมกัน ฟ้ารุ่งเป็นหลานที่ดี ส่วนแจ่มใจก็เป็นยายที่น่ารัก
“ยายไม่ต้องห่วงฟ้านะคะ ฟ้าโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ ยายสิต้องดูแลตัวเองมากๆ ยายเป็นกำลังใจเดียวของฟ้าต้องอยู่กับฟ้าไปนานๆ”หญิงสาวพูดพลางลูบแขนหย่อนคล้อยของผู้สูงวัยไปพลาง
แจ่มใจยื่นมือออกไปลูบผมที่ดัดเป็นลอนๆของผู้พูดอย่างเอ็นดูและถาม “ตอนนี้ฟ้ายังติดต่อกับบอมอยู่หรือเปล่า”
ฟ้ารุ่งเงยหน้าขึ้น จ้องตาผู้เป็นยายเขม็ง “เอ่อ...ฟ้า”
“อย่าโกหกยาย มีอะไรก็บอกมาตรงๆ”
“ฟ้ายังติดต่อกับพี่บอมค่ะ ฟ้ารู้ว่ายายไม่ชอบให้ฟ้าคบหาพี่บอม หรือคนบ้านในบ้านคุณอาอรรณพ แต่ฟ้ามีเหตุผลนะคะ”
“เหตุผลอะไร”
“ฟ้าต้องให้พี่บอมช่วยเขี่ยนังซันดาออกจากสำนักพิมพ์ ”
“ซันดา...ชื่อคุ้นๆ”แจ่มใจพยายามทบทวนความทรงจำ
หลานสาวจึงรีบอธิบายว่า “ลูกสาวบ้านโน้นไงคะ”
แจ่มใจทบทวนความจำ “บ้านโน้น...”
“ฟ้าหมายถึงลูกสาวของผู้หญิงที่ชื่อรยา ยายจำได้ไหมคะ” ฟ้ารุ่งยิ้มขื่นๆ
แน่นอนไม่ใช่เพียงแค่ฟ้ารุ่งเท่านั้นที่สะดุดใจเมื่อได้ยินชื่อนี้ แจ่มใจเองก็เช่นเดียวกัน ชื่อนี้ทำให้เธอชะงัก “ฟ้าไปพบคนพวกนั้นได้ยังไง”
ก่อนตอบฟ้ารุ่งหันไปบอกอารีย์ว่า “ป้าอารีย์ไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวฟ้าคุยกับยายเสร็จแล้วจะพาเข้านอนเอง”
อารีย์รับคำเบาๆแล้วจึงลุกขึ้น เดินไปทางห้องนอนของตนเองอย่างว่าง่าย
จากนั้นฟ้ารุ่งหันกลับมาเล่าเรื่องราวที่ค้างคาให้ผู้เป็นยายฟัง “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เชียงใหม่ ฟ้าก็ยังตามข่าวของพวกมันมาตลอด จนช่วงที่อยู่เมืองนอกนั่นแหละค่ะ แม่นั่นกำลังเป็นนักเขียนดาวรุ่ง ฟ้าก็สืบจากอินเทอร์เน็ตได้เองบ้าง แต่บางอย่างก็ต้องขอให้พี่บอมช่วย จนตอนนี้ฟ้ากับมันต่างก็เป็นบอกอเหมือนกัน เมื่อฟ้าอยากให้มันตกงานจึงต้องขอความช่วยเหลือจากพี่บอม”
“แล้วพ่อแม่ของมันล่ะ” น้ำเสียงของแจ่มใจเรียบเฉย แต่ฟ้ารุ่งรู้ว่าผู้เป็นยายเจ็บปวดเพียงใดยามที่ถามถึงคนคู่นั้น
“เคยอ่านจากบทสัมภาษณ์ของมันว่าอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละค่ะ”ฟ้ารุ่งตอบพลางบีบมือยายของตนเบาๆ เพื่อส่งความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ยังว่ามีกันและกัน
“แล้วซันดารู้มั้ยว่าฟ้าเป็นลูกของใคร”
ฟ้ารุ่งยิ้มขื่นๆ “พวกมันรู้แล้วค่ะ แต่ฟ้าก็ไม่แน่ใจว่ามันรู้เรื่องของพวกเราสักแค่ไหน ดูชีวิตมันมีความสุข มันคงไม่รู้หรอกว่าแม่ของมันทำให้แม่ของฟ้าต้องเลิกกับพ่อทั้งๆที่ฟ้ายังเล็กมาก ช่วงแรกๆฟ้าแทบจะจำพ่อแทบจะไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่ถ้ายายไม่พาไปแอบดูครอบครัวมัน ฟ้าคงไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร”
มือของหญิงสาวกำแขนผู้เป็นยายแน่นขึ้น หยดน้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตาคู่งาม “ฟ้าต้องถูกเพื่อนล้อว่าลูกไม่มีพ่อ ในขณะที่พวกมันทำหน้าระรื่น แต่พอได้รู้ความจริงหน้างี้ซีดกันหมดเลยค่ะ”
แจ่มใจมองหลานสาวคนเดียวผ่านม่านน้ำตาพร่ามัว “ถึงมันจะเจ็บแค่ไหนแต่ก็ทำให้แม่กับน้องของเราฟื้นขึ้นมาไม่ได้หรอกนะ”
“พวกมันจะต้องได้รับผลกรรม” ฟ้ารุ่งขยับตัว ก่อนจะซบหน้าลงบนตักผู้เป็นยายอีกครั้ง ตักนี้ที่ให้ไออุ่นและกำลังใจแก่เธอตลอดมา
“ยายก็ได้แต่หวังว่าพวกมันจะได้รับกรรมอย่างสาสม” มือผอมบางลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ ต่างกับนัยน์ตาของผู้พูดที่เจิดจ้าไปด้วยพลังบางอย่าง
พลังแห่งความคับแค้นใจ...คนที่ไม่เคยสูญเสียลูกและหลานไปพร้อมๆกันคงไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดเพียงใด
+++++++++++++++++++++++++++
เสียงดังจอแจมาจากห้องประชุมเล็กซึ่งกำลังเตรียมการประชุมย่อยของกองบรรณาธิการซึ่งปรัชญ์เป็นผู้นัดหมาย หากมองผ่านช่องประตูเข้าไปจะพบว่าพนักงานบางคนกำลังนั่งทำงานรอ ในขณะที่บางคนก็นั่งคุยกันอย่างออกรส
“ที่พี่ซันให้เก๋กับวิชลิสต์รายชื่อนิยายในเว็บไซต์ที่น่าสนใจมาให้ ถ้าประชุมเสร็จเก๋จะส่งอีเมลล์ให้เลยนะคะ” สิยาพรรายงานบอกอของตนด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก
แต่ก็ส่งผลให้หลายคนได้ยินและเงยหน้าขึ้นมอง
“แหม บอกอซันขยันจังนะคะ บอกอเต้แทบจะไม่มีนักเขียนในสังกัดเลย กุหลาบเที่ยงคืนกับรัมภาลัยก็ถูกถ่ายโอนให้บอกอซันไปละ นี่บอกอซันยังให้เก๋หานักเขียนใน ‘เน็ตให้อีก สงสัยบอกอเต้ต้องไปเปิดร้านขายไข่ในตลาดไปพลางๆแล้วล่ะค่ะ” นารินเปิดฉากแขวะยิ้มๆ
“แต่บอกอทุกคนก็มีงานอีดิตกับงานบอกอเล่มอยู่แล้วไม่ใช่หรือฮะ” วิชกรย้อนถามด้วยหน้าตาซื่อๆ สร้างรอยยิ้มให้คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ก็ให้ความสนใจฟังอยู่ไม่น้อย
พงษ์พจน์รำคาญจึงตอบเสียเองว่า “นั่นมันงานประจำอยู่แล้ว แต่การเป็นบอกอก็ต้องมีมารยาท ไม่ล้ำเส้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาใหม่ ก็หงิมๆหยิบชิ้นปลามันแบบนี้”
ซันดาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือบ้าง “ซันไม่รู้ว่าปกติที่นี่ทำงานกันยังไง แต่พอซันเข้ามาทำงานก็ต้องทำตามคำสั่งเจ้านายเหมือนพวกคุณนี่แหละ ถ้าสงสัยเรื่องไหนคุณเต้ก็น่าจะไปถามคุณดาดูนะ ไม่ใช่มาแขวะกันเอง การทำงานมันต้องตรงไปตรงมา พูดให้ชัด ทำให้จริง แล้วก็ต้องยอมรับความจริงด้วย”
“ความจริงอะไรของเธอ อย่าคิดว่าเป็นเด็กนายแล้วจะพูดอะไรก็ได้นะ” พงษ์พจน์แหวขึ้น ใจนึกอยากจะกรีดนิ้วชี้หน้าอีกฝ่ายนัก เพิ่งมาใหม่แล้วยังจะซ่า
ซันดาฟังแล้วตีหน้าเฉย ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ “อ่อ ต้องเป็นคนเก่าคนแก่ถึงจะว่าอะไรใครก็ได้ แบบที่คุณว่าฉันไร้มารยาทตะกี้นี้ใช่ไหม คุณเต้...ซันมาทำงานที่นี่เพื่องาน ซันไม่ได้อยากจะแข่ง หรือว่าเป็นศัตรูกับใคร ถ้าทำอะไรแล้วไม่ถูกใจคุณก็ต้องขอโทษด้วย เอาล่ะ ตอนนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ถือซะว่าเมื่อครู่ได้เคลียร์ใจกันไปแล้วนะ”
พงษ์พจน์อึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี ได้แต่นึกในใจว่า แม่นี่บทจะแรงก็แรง บทจะจบก็จบเสียดื้อๆจนแทบตามไม่ทัน คนแบบนี้ไว้ใจไม่ได้
“อะไรของมันคะบอกอ” นารินสะกิดถามเสียงเบา
พงษ์พจน์ได้แต่สั่นหน้า สายตามองไปที่ประตูห้อง “ไม่รู้ นั่นคุณปรัชญ์เข้ามาละ”
จากนั้นความเงียบจึงเข้ามาครอบคลุมห้องประชุมอีกครั้ง สายตาของแต่ละคนจับจ้องไปยังชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมคาย ที่กำลังนั่งลงบริเวณหัวโต๊ะ
ชายหนุ่มเปิดประชุมด้วยการบอกยอดขายไตรมาสที่ผ่านมา ทิศทางของตลาด และเน้นย้ำถึงถึงเป้าหมายของบริษัท “อย่างที่คุณนาถลดาได้แจ้งเอาไว้ตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้ว ว่าปีนี้เราต้องการกระตุ้นยอดขายให้พุ่งสูงขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายในสำนักพิมพ์จะต้องร่วมมือกัน พวกเราติดขัดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
พงษ์พจน์ยกมือขึ้นขออนุญาต เมื่อปรัชญ์พยักหน้าเขาจึงจีบปากจีบคอถามทันที “คุณปรัชญ์ยกงานของเต้ไปให้บอกอซันหมด แล้วจะให้เต้ทำอะไรฮะ แค่อีดิตงานไปวันๆงั้นเหรอ”
“ผมกำลังจะบอกอยู่นี่ไงครับ ว่าเราจะต้องพยายามช่วยกัน ในส่วนของคุณเต้ซึ่งเป็นบอกอหลักของสำนักพิมพ์ที่ใครๆก็รู้จักดีอยู่แล้ว ผมคิดว่าไม่น่าจะยากที่จะหานักเขียนเพิ่ม”
“แต่นักเขียนเก่งๆเขียนงานดีๆตีพิมพ์แล้วขายได้มันหายากนะคุณปรัชญ์”พงษ์พจน์เถียง
“จริงค่ะ นักเขียนที่ขายได้น่ะ ส่วนใหญ่จะมีสำนักพิมพ์ประจำหมดแล้ว” นารินช่วยเสริม พลางปรายตามองซันดาเป็นเชิงตำหนิ นัยว่าเป็นเพราะหล่อนนั่นแหละ
ปรัชญ์นิ่งฟังแล้วตอบอย่างใจเย็นว่า “ผมคิดว่าบอกอที่ดีจะต้องสามารถสร้างนักเขียนเองได้ การตลาดเราก็มีคุณจะกลัวอะไร”
“แล้วทำไมคุณปรัชญ์ไม่ให้บอกอซันทำหน้าที่นี้ล่ะฮะ”พงษ์พจน์ว่า
“ผมมองว่าคุณมีความชำนาญมากกว่า เพราะคุณอยู่ที่นี่มาปีกว่าแล้ว ในส่วนของงานคุณไม่ต้องกลัว ผมกำลังเปิดโครงการค้นหานักเขียน โดยการประกวดเรื่องสั้น คุณเต้คิดว่าไหวไหมครับ” ปรัชญ์จ้องคู่สนทนาเขม็ง
“ไม่ไหวก็คงต้องไหว” พงษ์พจน์ตอบและค้อนเบาๆ
ปรัชญ์ยิ้ม เขาเข้าใจทุกฝ่ายดี แต่จะทำอย่างไรได้ในฐานะผู้บริหารสำนักพิมพ์จะต้องมองถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าความพอใจของแต่ละบุคคล “ผมเชื่อฝีมือคุณ”
“แล้วบอกอซันล่ะ ว่าไง มีอะไรเสนอมั้ย” เขาถามต่อ
ซันดาปรายตามองคนถามแล้วสั่นหน้า
ปรัชญ์เลิกคิ้ว “ผมได้ยินว่าคุณเป็นบอกอขวัญใจนักเขียน คุณเล่าประสบการณ์ได้มั้ยว่าที่ผ่านมาทำยังไงบ้าง”
ซันดาจำใจยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก “จริงๆมันเป็นเทคนิคของแต่ละคน แต่ถ้าจะให้เล่า ฉันก็แค่ดูแลนักเขียนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน โอเค ถึงเขาจะเป็นนักเขียนอิสระ แต่ถ้าเขาศรัทธาสำนักพิมพ์ไหนก็มักจะส่งงานที่เดิมเป็นประจำ ถ้าเราดูแลเขาด้วยใจ เขาก็จะให้ใจกับเรา วงการนักเขียนมันแคบ พูดปากต่อปาก 2-3 คำก็ถึงกันหมดละ”
“แต่ผมว่าถ้าเราสนิทสนมเกินไปก็จะลำบากในการอีดิตงานนะฮะ นักเขียนบางคนก็อัตตาสูงเกิ๊น” พงษ์พจน์แย้ง เขาหมั่นไส้เหลือเกินที่ปรัชญ์ให้ความสำคัญกับบรรณาธิการคนใหม่มากกว่าเขา
ซันดาสบตาคนพูด ในใจนึกรำคาญพงษ์พจน์นัก ที่เขาพยายามขวางโลกอยู่ตลอด แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเสียหน้า “เราสนิทกันในระดับหนึ่งค่ะ สนิทกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน เราให้เกียรติ ซื่อสัตย์ และรักษาคำพูดต่อกันก็จบ”
“เป็นแนวทางของการทำงานที่ดี” ปรัชญ์ชมและพูดต่อว่า “เรื่องสุดท้ายผมได้รับแจ้งจากสมาคมชาวหนังสือว่าอีก 2 สัปดาห์เราจะมีโครงการสังสรรค์ชาวหนังสือ ซึ่งทางสมาคมมีมติเที่ยวเกาะช้าง 3 วัน”
สิ้นคำปรัชญ์ เสียงเฮก็ดังขึ้น ความเคร่งเครียดที่ผ่านมาจึงค่อยคลายลง มีเสียงซุบซิบและเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาแทนที่
“เก๋กับวิชไปด้วยได้ไหมคะคุณปรัชญ์” สิยาพรถามขึ้น
ปรัชญ์พยักหน้า “ได้สิ ไปกันได้ทุกคน ถึงแม้จะเป็นโครงการของสมาคม แต่สำนักพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้นจะให้ใครไปบ้างก็ต้องแล้วแต่เรา”
“ดีจังเลยวิช” สิยาพรหันไปจับมือเพื่อนเขย่า
“คนอื่นๆมีอะไรจะซักถามอีกไหมครับ” ปรัชญ์ถามทิ้งท้าย รออยู่พักหนึ่งเมื่อไม่มีใครถามเขาจึงปิดประชุมทันที
ขณะที่คนอื่นๆต่างทยอยเดินออกจากห้องประชุมไป แต่ตัวผู้เป็นประธานการประชุมเองกลับไม่ยอมขยับตัวลุกจากเก้าอี้ “บอกอซันอย่าเพิ่งไปนะ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
หญิงสาวชะงัก ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“อะไรอีกล่ะ” เธอถามเสียงหงุดหงิด
ปรัชญ์หัวเราะ ขำท่าทางรำคาญใจของเธอ “งานเกาะช้างเนี่ยคุณต้องไปให้ได้นะ”
“ฉันไม่ว่าง” หญิงสาวปฏิเสธสั้นๆ
ปรัชญ์ลุกขึ้น เดินไปใกล้หญิงสาว “ผมว่าจะเชิญพี่รัมภากับเอเธ็นส์ไปด้วย เราจะได้ใช้ช่วงนั้นคุยงานกัน เอางี้ไหม คุณพาครอบครัวไปด้วยก็ได้”
“นายจะบ้าเหรอ”เขาคงคิดว่าการบอกปัดของเธอเป็นเพราะต้องดูแลครอบครัวสินะ
ปรัชญ์ทำหน้าเด๋อด๋าใส่ “บ้าตรงไหนล่ะ เราจะได้คุยงานกัน นี่ผมทำเพื่องานนะเนี่ย นัดนักเขียนเอาไว้แล้วด้วย”
“ใครนัดก็เคลียร์เองสิ คุณคิดแผนงานกับนักเขียนเองได้นี่”
“แต่คุณเป็นบอกอที่ดูแลงานโปรเจคนี้นะ เอางี้ เดี๋ยวผมตามไปคุยกับพ่อแม่คุณให้ ผมอยากให้งานออกมาดี ไม่งั้นผมไม่เซ้าซี้คุณหรอก” เขายื่นหน้ามาบอกพร้อมส่งสายตายียวน
ซันดาถลึงตาและตวัดเสียงใส่ “ไม่ต้องยุ่ง”
ว่าแล้วซันดาก็ลุกขึ้นยืน ก้าวออกจากห้องไป
“อ้าว ซัน เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ” ชายหนุ่มร้องเรียกตาม แต่ก็มิได้ทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาได้เลย
[ จบตอน ]
“ห้าทุ่มแล้ว ยายยังไม่นอนอีกหรือคะ”บรรณาธิการสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งชีวิตเธอมีแจ่มใจเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงบัดนี้ ทว่าความอบอุ่นที่ได้รับไม่เคยด้อยไปกว่าใคร เพราะยายของเธอนั้นประคบประหงมดูแลหลานสาวคนเดียวอย่างดีที่สุด
“ยายรอฟ้า ทำไมวันนี้กลับดึกล่ะลูก” แจ่มใจเงยหน้าขึ้นถาม
ฟ้ารุ่งนั่งคุกเข่าลงข้างๆรถเข็นของผู้เป็นยายแล้วจึงเอนศีรษะพิงแขนนุ่มนิ่มนั้นอย่างประจบ “ฟ้าไปกินข้าวข้างนอกมาค่ะ แต่ฟ้าก็โทร.มาบอกป้าอารีย์แล้วนะคะ”
“ป้าบอกคุณยายแล้วค่ะ แค่ท่านอยากรอคุณฟ้ากลับมาก่อนค่อยเข้านอน” นางอารีย์ตอบเจือยิ้ม เธอมีความสุขยามที่เห็นสองยายหลานอยู่ร่วมกัน ฟ้ารุ่งเป็นหลานที่ดี ส่วนแจ่มใจก็เป็นยายที่น่ารัก
“ยายไม่ต้องห่วงฟ้านะคะ ฟ้าโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ ยายสิต้องดูแลตัวเองมากๆ ยายเป็นกำลังใจเดียวของฟ้าต้องอยู่กับฟ้าไปนานๆ”หญิงสาวพูดพลางลูบแขนหย่อนคล้อยของผู้สูงวัยไปพลาง
แจ่มใจยื่นมือออกไปลูบผมที่ดัดเป็นลอนๆของผู้พูดอย่างเอ็นดูและถาม “ตอนนี้ฟ้ายังติดต่อกับบอมอยู่หรือเปล่า”
ฟ้ารุ่งเงยหน้าขึ้น จ้องตาผู้เป็นยายเขม็ง “เอ่อ...ฟ้า”
“อย่าโกหกยาย มีอะไรก็บอกมาตรงๆ”
“ฟ้ายังติดต่อกับพี่บอมค่ะ ฟ้ารู้ว่ายายไม่ชอบให้ฟ้าคบหาพี่บอม หรือคนบ้านในบ้านคุณอาอรรณพ แต่ฟ้ามีเหตุผลนะคะ”
“เหตุผลอะไร”
“ฟ้าต้องให้พี่บอมช่วยเขี่ยนังซันดาออกจากสำนักพิมพ์ ”
“ซันดา...ชื่อคุ้นๆ”แจ่มใจพยายามทบทวนความทรงจำ
หลานสาวจึงรีบอธิบายว่า “ลูกสาวบ้านโน้นไงคะ”
แจ่มใจทบทวนความจำ “บ้านโน้น...”
“ฟ้าหมายถึงลูกสาวของผู้หญิงที่ชื่อรยา ยายจำได้ไหมคะ” ฟ้ารุ่งยิ้มขื่นๆ
แน่นอนไม่ใช่เพียงแค่ฟ้ารุ่งเท่านั้นที่สะดุดใจเมื่อได้ยินชื่อนี้ แจ่มใจเองก็เช่นเดียวกัน ชื่อนี้ทำให้เธอชะงัก “ฟ้าไปพบคนพวกนั้นได้ยังไง”
ก่อนตอบฟ้ารุ่งหันไปบอกอารีย์ว่า “ป้าอารีย์ไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวฟ้าคุยกับยายเสร็จแล้วจะพาเข้านอนเอง”
อารีย์รับคำเบาๆแล้วจึงลุกขึ้น เดินไปทางห้องนอนของตนเองอย่างว่าง่าย
จากนั้นฟ้ารุ่งหันกลับมาเล่าเรื่องราวที่ค้างคาให้ผู้เป็นยายฟัง “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เชียงใหม่ ฟ้าก็ยังตามข่าวของพวกมันมาตลอด จนช่วงที่อยู่เมืองนอกนั่นแหละค่ะ แม่นั่นกำลังเป็นนักเขียนดาวรุ่ง ฟ้าก็สืบจากอินเทอร์เน็ตได้เองบ้าง แต่บางอย่างก็ต้องขอให้พี่บอมช่วย จนตอนนี้ฟ้ากับมันต่างก็เป็นบอกอเหมือนกัน เมื่อฟ้าอยากให้มันตกงานจึงต้องขอความช่วยเหลือจากพี่บอม”
“แล้วพ่อแม่ของมันล่ะ” น้ำเสียงของแจ่มใจเรียบเฉย แต่ฟ้ารุ่งรู้ว่าผู้เป็นยายเจ็บปวดเพียงใดยามที่ถามถึงคนคู่นั้น
“เคยอ่านจากบทสัมภาษณ์ของมันว่าอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละค่ะ”ฟ้ารุ่งตอบพลางบีบมือยายของตนเบาๆ เพื่อส่งความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ยังว่ามีกันและกัน
“แล้วซันดารู้มั้ยว่าฟ้าเป็นลูกของใคร”
ฟ้ารุ่งยิ้มขื่นๆ “พวกมันรู้แล้วค่ะ แต่ฟ้าก็ไม่แน่ใจว่ามันรู้เรื่องของพวกเราสักแค่ไหน ดูชีวิตมันมีความสุข มันคงไม่รู้หรอกว่าแม่ของมันทำให้แม่ของฟ้าต้องเลิกกับพ่อทั้งๆที่ฟ้ายังเล็กมาก ช่วงแรกๆฟ้าแทบจะจำพ่อแทบจะไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่ถ้ายายไม่พาไปแอบดูครอบครัวมัน ฟ้าคงไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร”
มือของหญิงสาวกำแขนผู้เป็นยายแน่นขึ้น หยดน้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตาคู่งาม “ฟ้าต้องถูกเพื่อนล้อว่าลูกไม่มีพ่อ ในขณะที่พวกมันทำหน้าระรื่น แต่พอได้รู้ความจริงหน้างี้ซีดกันหมดเลยค่ะ”
แจ่มใจมองหลานสาวคนเดียวผ่านม่านน้ำตาพร่ามัว “ถึงมันจะเจ็บแค่ไหนแต่ก็ทำให้แม่กับน้องของเราฟื้นขึ้นมาไม่ได้หรอกนะ”
“พวกมันจะต้องได้รับผลกรรม” ฟ้ารุ่งขยับตัว ก่อนจะซบหน้าลงบนตักผู้เป็นยายอีกครั้ง ตักนี้ที่ให้ไออุ่นและกำลังใจแก่เธอตลอดมา
“ยายก็ได้แต่หวังว่าพวกมันจะได้รับกรรมอย่างสาสม” มือผอมบางลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ ต่างกับนัยน์ตาของผู้พูดที่เจิดจ้าไปด้วยพลังบางอย่าง
พลังแห่งความคับแค้นใจ...คนที่ไม่เคยสูญเสียลูกและหลานไปพร้อมๆกันคงไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดเพียงใด
+++++++++++++++++++++++++++
เสียงดังจอแจมาจากห้องประชุมเล็กซึ่งกำลังเตรียมการประชุมย่อยของกองบรรณาธิการซึ่งปรัชญ์เป็นผู้นัดหมาย หากมองผ่านช่องประตูเข้าไปจะพบว่าพนักงานบางคนกำลังนั่งทำงานรอ ในขณะที่บางคนก็นั่งคุยกันอย่างออกรส
“ที่พี่ซันให้เก๋กับวิชลิสต์รายชื่อนิยายในเว็บไซต์ที่น่าสนใจมาให้ ถ้าประชุมเสร็จเก๋จะส่งอีเมลล์ให้เลยนะคะ” สิยาพรรายงานบอกอของตนด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก
แต่ก็ส่งผลให้หลายคนได้ยินและเงยหน้าขึ้นมอง
“แหม บอกอซันขยันจังนะคะ บอกอเต้แทบจะไม่มีนักเขียนในสังกัดเลย กุหลาบเที่ยงคืนกับรัมภาลัยก็ถูกถ่ายโอนให้บอกอซันไปละ นี่บอกอซันยังให้เก๋หานักเขียนใน ‘เน็ตให้อีก สงสัยบอกอเต้ต้องไปเปิดร้านขายไข่ในตลาดไปพลางๆแล้วล่ะค่ะ” นารินเปิดฉากแขวะยิ้มๆ
“แต่บอกอทุกคนก็มีงานอีดิตกับงานบอกอเล่มอยู่แล้วไม่ใช่หรือฮะ” วิชกรย้อนถามด้วยหน้าตาซื่อๆ สร้างรอยยิ้มให้คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ก็ให้ความสนใจฟังอยู่ไม่น้อย
พงษ์พจน์รำคาญจึงตอบเสียเองว่า “นั่นมันงานประจำอยู่แล้ว แต่การเป็นบอกอก็ต้องมีมารยาท ไม่ล้ำเส้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาใหม่ ก็หงิมๆหยิบชิ้นปลามันแบบนี้”
ซันดาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือบ้าง “ซันไม่รู้ว่าปกติที่นี่ทำงานกันยังไง แต่พอซันเข้ามาทำงานก็ต้องทำตามคำสั่งเจ้านายเหมือนพวกคุณนี่แหละ ถ้าสงสัยเรื่องไหนคุณเต้ก็น่าจะไปถามคุณดาดูนะ ไม่ใช่มาแขวะกันเอง การทำงานมันต้องตรงไปตรงมา พูดให้ชัด ทำให้จริง แล้วก็ต้องยอมรับความจริงด้วย”
“ความจริงอะไรของเธอ อย่าคิดว่าเป็นเด็กนายแล้วจะพูดอะไรก็ได้นะ” พงษ์พจน์แหวขึ้น ใจนึกอยากจะกรีดนิ้วชี้หน้าอีกฝ่ายนัก เพิ่งมาใหม่แล้วยังจะซ่า
ซันดาฟังแล้วตีหน้าเฉย ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ “อ่อ ต้องเป็นคนเก่าคนแก่ถึงจะว่าอะไรใครก็ได้ แบบที่คุณว่าฉันไร้มารยาทตะกี้นี้ใช่ไหม คุณเต้...ซันมาทำงานที่นี่เพื่องาน ซันไม่ได้อยากจะแข่ง หรือว่าเป็นศัตรูกับใคร ถ้าทำอะไรแล้วไม่ถูกใจคุณก็ต้องขอโทษด้วย เอาล่ะ ตอนนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ถือซะว่าเมื่อครู่ได้เคลียร์ใจกันไปแล้วนะ”
พงษ์พจน์อึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี ได้แต่นึกในใจว่า แม่นี่บทจะแรงก็แรง บทจะจบก็จบเสียดื้อๆจนแทบตามไม่ทัน คนแบบนี้ไว้ใจไม่ได้
“อะไรของมันคะบอกอ” นารินสะกิดถามเสียงเบา
พงษ์พจน์ได้แต่สั่นหน้า สายตามองไปที่ประตูห้อง “ไม่รู้ นั่นคุณปรัชญ์เข้ามาละ”
จากนั้นความเงียบจึงเข้ามาครอบคลุมห้องประชุมอีกครั้ง สายตาของแต่ละคนจับจ้องไปยังชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมคาย ที่กำลังนั่งลงบริเวณหัวโต๊ะ
ชายหนุ่มเปิดประชุมด้วยการบอกยอดขายไตรมาสที่ผ่านมา ทิศทางของตลาด และเน้นย้ำถึงถึงเป้าหมายของบริษัท “อย่างที่คุณนาถลดาได้แจ้งเอาไว้ตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้ว ว่าปีนี้เราต้องการกระตุ้นยอดขายให้พุ่งสูงขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายในสำนักพิมพ์จะต้องร่วมมือกัน พวกเราติดขัดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
พงษ์พจน์ยกมือขึ้นขออนุญาต เมื่อปรัชญ์พยักหน้าเขาจึงจีบปากจีบคอถามทันที “คุณปรัชญ์ยกงานของเต้ไปให้บอกอซันหมด แล้วจะให้เต้ทำอะไรฮะ แค่อีดิตงานไปวันๆงั้นเหรอ”
“ผมกำลังจะบอกอยู่นี่ไงครับ ว่าเราจะต้องพยายามช่วยกัน ในส่วนของคุณเต้ซึ่งเป็นบอกอหลักของสำนักพิมพ์ที่ใครๆก็รู้จักดีอยู่แล้ว ผมคิดว่าไม่น่าจะยากที่จะหานักเขียนเพิ่ม”
“แต่นักเขียนเก่งๆเขียนงานดีๆตีพิมพ์แล้วขายได้มันหายากนะคุณปรัชญ์”พงษ์พจน์เถียง
“จริงค่ะ นักเขียนที่ขายได้น่ะ ส่วนใหญ่จะมีสำนักพิมพ์ประจำหมดแล้ว” นารินช่วยเสริม พลางปรายตามองซันดาเป็นเชิงตำหนิ นัยว่าเป็นเพราะหล่อนนั่นแหละ
ปรัชญ์นิ่งฟังแล้วตอบอย่างใจเย็นว่า “ผมคิดว่าบอกอที่ดีจะต้องสามารถสร้างนักเขียนเองได้ การตลาดเราก็มีคุณจะกลัวอะไร”
“แล้วทำไมคุณปรัชญ์ไม่ให้บอกอซันทำหน้าที่นี้ล่ะฮะ”พงษ์พจน์ว่า
“ผมมองว่าคุณมีความชำนาญมากกว่า เพราะคุณอยู่ที่นี่มาปีกว่าแล้ว ในส่วนของงานคุณไม่ต้องกลัว ผมกำลังเปิดโครงการค้นหานักเขียน โดยการประกวดเรื่องสั้น คุณเต้คิดว่าไหวไหมครับ” ปรัชญ์จ้องคู่สนทนาเขม็ง
“ไม่ไหวก็คงต้องไหว” พงษ์พจน์ตอบและค้อนเบาๆ
ปรัชญ์ยิ้ม เขาเข้าใจทุกฝ่ายดี แต่จะทำอย่างไรได้ในฐานะผู้บริหารสำนักพิมพ์จะต้องมองถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าความพอใจของแต่ละบุคคล “ผมเชื่อฝีมือคุณ”
“แล้วบอกอซันล่ะ ว่าไง มีอะไรเสนอมั้ย” เขาถามต่อ
ซันดาปรายตามองคนถามแล้วสั่นหน้า
ปรัชญ์เลิกคิ้ว “ผมได้ยินว่าคุณเป็นบอกอขวัญใจนักเขียน คุณเล่าประสบการณ์ได้มั้ยว่าที่ผ่านมาทำยังไงบ้าง”
ซันดาจำใจยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก “จริงๆมันเป็นเทคนิคของแต่ละคน แต่ถ้าจะให้เล่า ฉันก็แค่ดูแลนักเขียนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน โอเค ถึงเขาจะเป็นนักเขียนอิสระ แต่ถ้าเขาศรัทธาสำนักพิมพ์ไหนก็มักจะส่งงานที่เดิมเป็นประจำ ถ้าเราดูแลเขาด้วยใจ เขาก็จะให้ใจกับเรา วงการนักเขียนมันแคบ พูดปากต่อปาก 2-3 คำก็ถึงกันหมดละ”
“แต่ผมว่าถ้าเราสนิทสนมเกินไปก็จะลำบากในการอีดิตงานนะฮะ นักเขียนบางคนก็อัตตาสูงเกิ๊น” พงษ์พจน์แย้ง เขาหมั่นไส้เหลือเกินที่ปรัชญ์ให้ความสำคัญกับบรรณาธิการคนใหม่มากกว่าเขา
ซันดาสบตาคนพูด ในใจนึกรำคาญพงษ์พจน์นัก ที่เขาพยายามขวางโลกอยู่ตลอด แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเสียหน้า “เราสนิทกันในระดับหนึ่งค่ะ สนิทกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน เราให้เกียรติ ซื่อสัตย์ และรักษาคำพูดต่อกันก็จบ”
“เป็นแนวทางของการทำงานที่ดี” ปรัชญ์ชมและพูดต่อว่า “เรื่องสุดท้ายผมได้รับแจ้งจากสมาคมชาวหนังสือว่าอีก 2 สัปดาห์เราจะมีโครงการสังสรรค์ชาวหนังสือ ซึ่งทางสมาคมมีมติเที่ยวเกาะช้าง 3 วัน”
สิ้นคำปรัชญ์ เสียงเฮก็ดังขึ้น ความเคร่งเครียดที่ผ่านมาจึงค่อยคลายลง มีเสียงซุบซิบและเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาแทนที่
“เก๋กับวิชไปด้วยได้ไหมคะคุณปรัชญ์” สิยาพรถามขึ้น
ปรัชญ์พยักหน้า “ได้สิ ไปกันได้ทุกคน ถึงแม้จะเป็นโครงการของสมาคม แต่สำนักพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้นจะให้ใครไปบ้างก็ต้องแล้วแต่เรา”
“ดีจังเลยวิช” สิยาพรหันไปจับมือเพื่อนเขย่า
“คนอื่นๆมีอะไรจะซักถามอีกไหมครับ” ปรัชญ์ถามทิ้งท้าย รออยู่พักหนึ่งเมื่อไม่มีใครถามเขาจึงปิดประชุมทันที
ขณะที่คนอื่นๆต่างทยอยเดินออกจากห้องประชุมไป แต่ตัวผู้เป็นประธานการประชุมเองกลับไม่ยอมขยับตัวลุกจากเก้าอี้ “บอกอซันอย่าเพิ่งไปนะ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
หญิงสาวชะงัก ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“อะไรอีกล่ะ” เธอถามเสียงหงุดหงิด
ปรัชญ์หัวเราะ ขำท่าทางรำคาญใจของเธอ “งานเกาะช้างเนี่ยคุณต้องไปให้ได้นะ”
“ฉันไม่ว่าง” หญิงสาวปฏิเสธสั้นๆ
ปรัชญ์ลุกขึ้น เดินไปใกล้หญิงสาว “ผมว่าจะเชิญพี่รัมภากับเอเธ็นส์ไปด้วย เราจะได้ใช้ช่วงนั้นคุยงานกัน เอางี้ไหม คุณพาครอบครัวไปด้วยก็ได้”
“นายจะบ้าเหรอ”เขาคงคิดว่าการบอกปัดของเธอเป็นเพราะต้องดูแลครอบครัวสินะ
ปรัชญ์ทำหน้าเด๋อด๋าใส่ “บ้าตรงไหนล่ะ เราจะได้คุยงานกัน นี่ผมทำเพื่องานนะเนี่ย นัดนักเขียนเอาไว้แล้วด้วย”
“ใครนัดก็เคลียร์เองสิ คุณคิดแผนงานกับนักเขียนเองได้นี่”
“แต่คุณเป็นบอกอที่ดูแลงานโปรเจคนี้นะ เอางี้ เดี๋ยวผมตามไปคุยกับพ่อแม่คุณให้ ผมอยากให้งานออกมาดี ไม่งั้นผมไม่เซ้าซี้คุณหรอก” เขายื่นหน้ามาบอกพร้อมส่งสายตายียวน
ซันดาถลึงตาและตวัดเสียงใส่ “ไม่ต้องยุ่ง”
ว่าแล้วซันดาก็ลุกขึ้นยืน ก้าวออกจากห้องไป
“อ้าว ซัน เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ” ชายหนุ่มร้องเรียกตาม แต่ก็มิได้ทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาได้เลย
[ จบตอน ]