เจ้าชายสายเลือดล้านนาที่ถูกลืม พระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าหญิงทิพเกสร ผู้เป็นธิดาในเจ้าสุริยะ ณ เชียงใหม่ (โอรสเจ้าหนานมหาวงศ์ ณ เชียงใหม่) และเจ้าสุวัณณา ณ เชียงใหม่ (ธิดาในเจ้าอุตรการโกศล หรือ น้อยมหาพรหม ณ เชียงใหม่) จึงนับเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือในราชวงศ์ทิพย์จักร พระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ นับเป็นเจ้านายไทยพระองค์แรกและเป็นคนไทยคนที่ ๒ ที่จบการศึกษาในวิชาระดับปริญญาเอก พระนาม "ดิลกนพรัฐ" หมายถึง "ศรีเมืองเชียงใหม่"
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๔ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทิพเกษร เจ้านายฝ่ายเหนือในราชวงศ์ทิพย์จักร ประสูติในพระบรมมหาราชวังเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ขณะที่มีพระชนมายุได้เพียง ๑๖ พรรษา เจ้าจอมมารดาก็ได้ถึงแก่อนิจกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นต้นมา จึงทรงอยู่ในความดูแลของเจ้าดารารัศมี พระราชชายา ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา
พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐได้ทรงเสกสมรสกับเจ้าศิริมา ณ เชียงใหม่ พระญาติซึ่งกล่าวกันว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองเหนือที่มีพระสิริโฉมยิ่งนัก ทรงครองรักอยู่ได้ไม่นาน พระชายาก็ถึงแก่พิราลัยอย่างกะทันหัน ด้วยทรงเป็นตะคริวขณะกำลังสรงน้ำในสระน้ำภายในพระราชวังดุสิต พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐทรงเสียพระทัยอย่างมิอาจจะหักห้ามได้ ประชวรหนักและท้ายที่สุดได้ทรงตัดสินพระทัยปลงพระชนม์เองด้วยพระแสงปืนในวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๕ หลังจากทรงกรมได้เพียง ๒ เดือนเท่านั้น สิริพระชนมายุ ๒๘ พรรษา แต่ในหนังสือ เลาะวัง ซึ่งเขียนโดยจุลลดา ภักดิภูมินทร์ (หม่อมหลวงศรีฟ้า ลดาวัลย์) ให้ข้อมูลว่า "...ไม่ปรากฏว่าทรงมีหม่อมห้ามและโอรส ธิดา จึงไม่มีทายาทสืบสกุล" และ "ว่ากันว่า ทรงขัดข้องพระทัยเรื่องราชการงานเมือง เมื่อไม่ได้ดังที่ตั้งพระทัยดีเอาไว้ ก็ทรงน้อยพระทัย หุนหัน ไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับรัก ๆ ใคร่ ๆ ส่วนพระองค์แต่อย่างใด"
วันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๕๕ เสียงพระแสงปืนสนั่นก้อง พร้อมกับดวงพระวิญญาณที่ปลิดปลิวออกจากร่างของพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี ด้วยการปลง พระชนม์พระองค์เอง ซึ่งขณะนั้น ทรงมีพระชนมายุเพียง ๒๙ ชันษา
พระประวัติโดยย่อของพระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ ได้ปรากฏในหนังสือ ราชกุลวงศ์ ตอน “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว รัชกาลที่ ๕” (อ้างใน สุพจน์ แจ้งเร็ว. ศรีเมืองเชียงใหม่ ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗ หน้า ๙๒) ว่า “ที่ ๔๔ พระองค์เจ้าชายดิลกนพรัฐ ประสูติ ณ วันเสาร์ เดือน ๖ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ได้เสด็จไปทรงศึกษาในประเทศอังกฤษแลเยอรมันเป็นดอกเตอร์วิทสตาตส์ วิสเซนชัพท์ ในมหาวิทยาลัยทุบบิงเงน ในรัชกาลที่ ๕ เป็นอำมาตย์เอก เจ้ากรมพลัมภังกระทรวงมหาดไทย ถึงรัชกาลที่ ๖ ทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๕๕ และเลื่อนเป็นมหาอำมาตย์ตรี คงตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทย สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ปีชวด พ.ศ. ๒๔๕๕ พระชันษา ๒๙ ปี เจ้าจอมมารดาคือ เจ้าทิพเกสร ณ เชียงใหม่”จะเห็นว่า มีพระองค์เจ้าดิลกนั้น มีพระมารดา เป็นเจ้าหญิงจากเชียงใหม่ ในตระกูล “เจ้าเจ็ดตน” หรือ “ทิพจักราธิวงศ์” ซึ่งเมื่อสืบสายตระกูลของพระองค์ จากหนังสือ “เจ้าหลวงเชียงใหม่” จะได้ดังนี้ พระมารดาของพระองค์ ซึ่งก็คือ เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกสร ซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากเชียงใหม่พระองค์แรกที่ไปเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เจ้าหญิงทิพย์เกสร ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๖ ซึ่งก่อนหน้าที่เจ้าหญิงทิพเกสรเข้าถวายตัว ก็ได้ลงมาศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณี ของการอยู่ในพระราชสำนัก ของเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าจอมมารดาแพ) ทรงเป็นผู้อภิบาล และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานรรัตน์ราชมานิต (โต มานิตกุล) เป็นผู้อุปการะเป็นบุตรีบุญธรรม ด้วยตอนแรก ซึ่งตอนนี้ เจ้าจอมเจ้าทิพเกสรเป็นเจ้าจอมเพียงพระองค์ ที่ถือว่า มาจากที่อื่น ในตอนนั้นชาววังรู้จักล้านนา แต่เพียงว่า “ลาว” โดยที่ไม่รู้ว่า ล้านนา กับ ลาว นั้น แตกต่างกันอย่างไรบ้าง … และคำว่า ”ลาว” ในความรู้สึกของคนกรุงเทพฯ เวลานั้น เห็นเป็นเพียง “อีกินกิ้งก่ากินกบ” เจ้าหญิงทิพเกสรนั้นเชื่อแน่ว่า ทรงได้รับการดูหมิ่นเหยียดยามจากบรรดาเจ้าจอมต่าง ๆ เป็นแน่ ซึ่งหลังจากนั้น ครั้นเมื่อเจ้าหญิงดารารัศมี ซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงธิดาเจ้าหลวงเชียงใหม่ เข้ามาถวายตัวก็ไม่เว้นที่จะถูกกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น มีกระดาษที่เขียนอักษรเลขยันต์อยู่ในขันทองสรงน้ำ และน้ำในห้องสรงก็ถูกโรยด้วยหมามุ่ย หรือแม้แต่ใส่ร้ายป้ายสีว่าขโมยถุงเงินของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็มี เป็นต้น
เมื่อเจ้าจอมเจ้าทิพเกสรประสูตพระราชโอรส ในปี ๒๔๒๗ ด้วยเหตุที่มีสายพระโลหิตสัมพันธ์กับเจ้านายฝ่ายเหนือ พระองค์จึงได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระราชบิดาว่า “ดิลกนพรัฐ”จดหมายเหตุ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิรุณหิศฯ ทรงบันทึกเมื่อพระชันษา ๖ พรรษาไว้ตอนหนึ่งว่า “วันอังคาร วันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๗
สองโมงเช้าไปอ่านหนังสือ เลิกสามโมงนาน ให้แก้วเกล้าจุกแล้วกลับมาตำหนัก บ่ายสี่โมงนานไปบน เฝ้าที่ออกขุนนาง เสด็จขึ้นเกือบค่ำ เสด็จลงสมโภชน้องชายลูกทิพเกสร ทูลหม่อมบนประทานชื่อว่า ดิลกนพรัฐ สมเด็จแม่ทรงแปลประทานเราว่า ศรีเมืองเชียงใหม่ สมโภชเสร็จ เสด็จที่หอ ประทับตรัสกับเจ้านาย ทูลเหม่อมอาองค์น้องก็เสด็จมา เรากลับมาตำหนักนอนสี่ทุ่ม ฟังป้าโสมอ่านหนังสือสามก๊ก”
งานสมโภชที่ทรงบันทึกนั้น ก็คือ สมโภชเดือน พระชันษาครบ ๑ เดือนเต็ม และพระนามที่พระราชทาน อันมีความหมายว่า ศรีเมืองเชียงใหม่ นั้น นับว่าแสดงถึงความผูกพันระหว่าง สยาม กับ ล้านนา อันมีเชียงใหม่เป็นประธาน ทั้งนี้เนื่องจากว่า มีพระมารดา เป็นสายสกุล “ณ เชียงใหม่”และในอีกแง่หนึ่งก็คือการผสานความสัมพันธ์ในด้านการเมืองระหว่างสยามและล้านนาไปในตัวอีกด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นศิษย์ของแหม่มแอนนา เลียวโนเวน ทรงศรัทธาในความเจริญก้าวหน้าทุกประการของยุโรป ฉะนั้น จึงทรงส่งพระราชโอรส ออกไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เพื่อนำเอาความเจริญต่าง ๆ มาพัฒนาสยามประเทศต่อไป
สำหรับพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐนั้น เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ระหว่างเดือน เมษายน ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ซึ่งขณะนั้น พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้มีพระชันษาครับ ๑๓ ปีบริบูรณ์ การเสด็จประพาสยุโรปในครั้งนั้นได้มีพระราชโอรสติดตามไปด้วย ๔ พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย (กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์), สมเด็จเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร (กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์) ,พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ (กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร) และ พระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์(กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี)
เมื่อ ถึงอังกฤษ พระองค์เจ้าดิลกได้ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียน วอร์เรนฮิลล์ ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะย้ายไปที่โรงเรียนมัธยมชาร์เตอร์เฮ้าส์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับจากยุโรปในการเสด็จประพาสครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ จึงทรงมีพระราชหัตเลขาถึงเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เมื่อครั้งยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิ-สุทธสุริยศักดิ์ (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) มีข้อความที่บ่งชี้พระบรมราโชบาย และพระราชดำริในเรื่องการศึกษาของพระราชโอรส ได้ทรงมีรับสั่งถึงพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ไว้ดังนี้ "ยังมีอีกคนหนึ่ง ชายดิลก เป็นคนตาสั้นข้างหนึ่ง ตามตำราเขาก็จะไม่เอาเป็นทหารกันอยู่ ควรจะจัดให้เล่าเรียนฝ่ายพลเรือน ดิลกนั้นเป็นคนมีความขยันเล่าเรียน มีไอเดียเป็นลาว ๆ อยู่บ้าง ถ้ามีไม่ความรู้อาจจะฟุ้งซ่านได้เล็กน้อย แต่เป็นคนไม่สู้กล้า ยังจะเอาเป็นแน่ไม่ได้ ด้วยอยู่ในเวลากำลังที่จะเปลี่ยนแปลง นี่แลเป็นการที่สังเกตได้ในอัธยาศัยทั้งเก่าทั้งใหม่ดังนี้ แต่ต้องสังเกตเมื่อเวลาเจริญขึ้นต่อไป เมื่อตรวจเห็นผิดถูกประการใด ขอให้บอกมาให้ทราบ และคอยสังเกตตาไว้ จัดการป้องกันแลแก้ไขเข้าหาให้ทางที่จะเสียหย่อนไป ให้สิ่งที่หย่อนอยู่เจริญขึ้น” จากข้อความที่ว่า “มีไอเดียเป็นลาว ๆ อยู่บ้าง” จะเห็นว่า แม้แต่พระราชบิดาเอง ยังมองพระราชโอรสแบบแปลกแยกแตกต่างกับชาวสยามอยู่นั่นเอง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ นี้ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้ทรงมีเรื่องขัดแย้งกับพระยาประสิทธิศัลยการ และนายเวอร์นี ในเรื่องโรงเรียนที่ผู้ดูแลฯ จัดให้ทรงเข้าศึกษา ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ย้ายสถานที่ศึกษาจากอังกฤษ ไปที่เยอรมนีในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๔ ในช่วงสองปีแรกที่ทรงศึกษาอยู่ในประเทศเยอรมนี ได้ทรงเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมในโรงเรียนที่ เมือง “ฮาลเล” ภายใต้การควบคุมของ ดร.ตริน ศาสตราจารย์ชาวเยอรมัน ทรงอุตสาหะวิริยะเล่าเรียนทั้งภาษาเยอรมันจนแตกฉานและสำเร็จชั้นมัธยมภายใน เวลาเพียง ๒ ปีเท่านั้น
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ซึ่งพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐมีพระชันษาได้ ๑๙ ปีบริบูรณ์ พระองค์ได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมิวนิค ในหลักสูตรวิชา “เศรษฐศาสตร์การเมือง” หรือที่รู้จักกันดีในสมัยนี้ว่า “เศรษฐศาสตร์” พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐทรงค้นคว้าเพื่อเรียบเรียงวิทยานิพนธ์เรื่อง “เกษตรกรรมในสยาม : บทวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม”(Landwirtschaft in Siam : Ein Beitrag Zur Wirtschaftsgeschichte des Königreichs Siam) ใน พ.ศ. ๒๔๔๗ ซึ่งในด้านเอกสารข้อมูล ทรงรวบรวมจากกระทรวงเกษตราธิการ ส่งไปถวายจากสยาม ตลอดจนหนังสือและเอกสารต่าง ๆ ในห้องสมุดมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นภาษาเยอรมัน อังกฤษ และ ฝรั่งเศส หลังจากที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมิวนิคเป็นเวลา ๒ ปี ก็ทรงย้ายไปศึกษาต่อในแขนงเดียวกัน ณ มหาวิทยาลัยทึบบิงเงน ทางตอนใต้ของเยอรมนี ซึ่ง ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ พระองค์ได้ทรงสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรปริญญาดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า“ดอกเตอร์วิทสตาตส์ วิสเซนชัฟท์” คือ ดุษฎีบัณฑิตของรัฐในวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งที่โดดเด่นนั้น พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์และเป็นคนไทยคนแรกที่ศึกษาวิจัยสถานภาพและปัญหาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจทุกชาติที่สนใจประเทศไทย ต้องนำพระวิทยานิพนธ์ของ “ปรินซดิลก ฟอนสิอาม” มาศึกษา และทรงเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้รับปริญญาในระดับดุษฎีบัณฑิต ส่วนคนที่ได้มาก่อนนั้นเป็นสามัญชน ชื่อ ดร.ชู ในวิชา “เศรษฐศาสตร์” นี้ มีพระเจ้าลูกเธอ ๒ พระองค์ที่ทรงศึกษาด้านนี้ หนึ่งก็คือ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ส่วนอีกพระองค์หนึ่งก็คือ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ซึ่งทรงศึกษาในประเทศอังกฤษ โดยจะทรงศึกษาในช่วงทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ส่วนพระองค์เจ้าดิลกฯ นั้นได้ทรงศึกษาในช่วงทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ และการศึกษาวิชา “เศรษฐศาสตร์” ของทั้งสองพระองค์ก็แตกต่างกัน โดยศึกษาคนละส่วน โดยที่พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถนั้น ทรงเอาใจใส่ในส่วนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ อุปทาน การผลิต การบริโภค เป็นต้น ส่วนพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐนั้น ทรงใส่ใจในเรื่องของความยากจน การด้อยการพัฒนา โดยอาศัยจากการผสมระหว่าง สังคม เศรษฐกิจและการปกครอง หนึ่งนั้นเหมาะสำหรับรับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และหนึ่งเหมาะสำหรับรับผิดชอบความเป็นอยู่ของประชาชนในชนบท และทั้งสองแง่นี้มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการเป็นอย่างมากไม่ ว่าจะเป็นในสมัยไหน
หลังจากที่กลับถึงกรุงเทพฯ ในปลายปี ๒๔๕๐ ก็ได้เข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทยในตำแหน่ง “ปลัดกรมพิเศษ” แผนกอัยการต่างประเทศ แล้วย้ายไปเป็น “ปลัดสำรวจ” กรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ และต่อมาก็ดำรงตำแหน่ง “เจ้ากรมเลขาณุการ” ปฏิบัติงานขึ้นตรงต่อเสนาบดีการกลับมาของพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ หลังจากไปศึกษาเล่าเรียนยังต่างประเทศ แล้วกลับมารับราชการสนองพระเดชพระคุณ นำมาซึงความปลาบปลื้มยินดีแก่พระมารดาเป็นที่ยิ่ง แต่เสียดายที่พระมารดาได้มีโอกาสเห็นความสำเร็จของลูกรักได้เพียงปีเดียว เท่านั้นก็ประชวร และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๐ ขณะมีพระชนมายุเพียง ๓๘ พรรษา
เจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกสรเป็นเจ้าหญิง จากเชียงใหม่ ฉะนั้นพระญาติและผู้ที่คุ้นเคยจึงมีน้อย ก็จะมีเพียงแต่ บุตร...ดร.ดิลกฯ และ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เท่านั้น ที่เป็นเรี่ยวแรงในการจัดพระศพในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เล็งเห็นเหตุนี้ด้วย จึงมีพระบัญชาไปยังอธิบดีหญิงกรมหลวงพิทยรัตน์กิริฎกุลินี เนื่องจากเกรงว่าจะมีเจ้าจอมหม่อมห้ามมาร่วมงานน้อยในวันนั้นว่า งานศพนางทิพนี้ไม่มีญาติพี่น้อง จะมีก็นางดาราไปแกร่วอยู่คนเดียว ฉันเห็นว่าเงียบนัก ขอให้เจ้านายลูกเธอและเจ้าจอมมารดา เจ้าจอมอยู่งานชั้นพวกสูงที่ชอบพอกันไปช่วยบ้าง ตามแต่ใจที่เขาจะไปจะเป็นการช่วยองค์ดิลก แต่เจ้านายพี่นางน้องนางไว้แต่วันเผา เพราะถ้ามากนักจะขนลำบาก งานพระศพของเจ้าจอมมารดาเจ้าทิพเกสรนี้ได้รับพระกรุณาจากพระสวามีและบรรดาเจ้าจอมต่างๆ ที่มาช่วยงาน จึงผ่านไปด้วยดี พระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ได้เสกสมรสกับเจ้าศิริบังอร ณ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าธรรมวงษา (เจ้าธรรมวงษาเป็นบุตรชายของเจ้าอุบลวรรณา พระเจ้าน้าหญิงองค์เดียวของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี) ทั้งสองไม่มีโอรสหรือธิดาสืบสกุล
ต่อมาในปี ๒๔๕๓ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ก็ได้รับพระราชทานยศเป็น “อำมาตย์เอก” (เทียบยศทหารพลตรี) และดำรงตำแหน่ง “เจ้ากรมพลำภัง”และในปีเดียวกันนี้เอง พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ก็ทรงสูญเสียพระราชบิดาในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่ทรงสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองพระองค์ในเวลาห่างกันไม่กี่ปี …แต่ความโศกาดูรไม่ได้หมดลงเพียงแค่นั้นไม่ ในปีถัดมาหลังจากพี่พระราชบิดาสวรรคต เจ้าหญิงศิริบังอร พระชายา ได้สิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุตกน้ำในสระในพระตำหนัก… แม้ว่าจะทรงประสบแต่เรื่องที่เศร้าโศกเสียใจเพียงใด ก็มิทรงที่จะท้อถอย ย่นย่อแต่ประการใด พระองค์ทรงวิริยะอุตสาหะตั้งใจปฏิบัติราชการอย่างเต็มพระสติกำลัง หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้ทรงลาเพื่อจะกลับไปพำนักอยู่ที่ภูมิลำเนายังดินแดนล้านนา และในครั้งนี้ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้ทรงตามเสด็จมาเยือนเชียงใหม่ อันเป็นมาตุภูมิของพระมารดาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
ต่อมาในเดือน พฤศจิกายน ๒๔๕๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็โปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ดังมีข้อความในประกาศว่า “จึงมีพระบรมราชโองการ ดำรัสสั่งให้สถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี อัชนาม ทรงศักดินา ๑๕๐๐๐ ตามพระราชกำหนดอย่างพระองค์เจ้าต่างกรมในพระบรมมหาราชวัง จงทรงเจริญพระชนมายุ พรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสมบัติสรรพสิริสวัสดิพิพัฒนมงคล วิบุลยศุภผลมโหฬารทุกประการ ให้ทรงตั้งเจ้ากรมเป็น หมื่นสรรควิสัยนรบดี ถือศักดินา ๖๐๐ ให้ตั้งปลัดกรม เป็น หมื่น อุไทยธานีนรสมาคม ถือศักดินา ๕๐๐ ให้ทรงตั้งสมุห์ยัญชี เป็น หมื่นมโนรมนรานุรักษ์ ถือศักดินา ๓๐๐” หลังจาก “ทรงกรม” เพียงสองเดือนถัดมา พระเจ้าน้องยาเธอฯ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดีก็ทรงปลงพระชนม์พระองค์เองด้วยพระแสงปืน ด้วยพระชันษาเพียง ๒๘ หลังจากที่สิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรอานันทมหิดล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามเป็น “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ” เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ พร้อมกับการสิ้นพระชนม์ บรรดาความรู้และแนวคิดทั้งหลายทั้งปวง อันเกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจของสยามที่กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี ได้ทรงค้นคว้าวิจัย จนกระทั่งมาสัมผัสครั้งเมื่อรับราชการในกระทรวงมหาดไทย ก็มลายหายไปด้วย แต่โชคยังดีที่ทางประเทศเยอรมนี กำหนดให้ผู้ที่จะสำเร็จการศึกษาในระดับ “ดอกเตอร์ของรัฐ” ต้องพิมพ์วิทยานิพนธ์เผยแพร่ไปตามห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่งโลก สำหรับวิทยานิพนธ์ของพระองค์นั้น เป็นรูปเล่มที่เป็นหลักเป็นฐาน ด้วยมีเนื้อหาถึง ๒๑๖ หน้า และตารางแผ่นพับขนาดใหญ่อีก ๘ แผ่น ศ.ดร.ฉัตร ทิพย์ นาถสุภา และ ศ.ดร.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ หลังจากได้อ่า “เกษตรกรรมในสยามฯ”แล้วได้วิเคราะห์โดยสรุปว่า “หลังจากที่พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ได้ทรงนิพนธ์งานวิทยานิพนธ์เรื่องดังกล่าวเสร็จไปเพียง ๓ – ๔ ปีก็เกิดกรณี “ขบถ ร.ศ. ๑๓๐ ” ขึ้น และหลังจากนั้นเพียง ๒๕ ปี ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ซึ่งการปฏิวัติทั้งสอง มีวัตถุประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนของชาวนาไทย เห็นชัดว่าปัญหาความยากจนของชาวนาไทยที่พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐทรงมองเห็นก่อนใครๆ และทรงเสนอมาตรการปฏิรูปเป็นประเด็นรากฐานของสังคมไทยต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐทรงเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูงพระองค์แรกๆ ที่มีความคิดก้าวหน้า” (ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร)
สำหรับเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่สุพจน์ แจ้งเร็ว ได้เขียนไว้ในบทความเรื่อง “ศรีเมืองเชียงใหม่” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๗ ประจำเดือน พฤษภาคม ๒๕๒๗ ระบุไว้ว่า เมื่อปี ๒๔๕๓ ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ วันหนึ่ง หลังจากที่ทรงไปร่วมงานพระราชพิธี ได้ขับรถเพื่อเสด็จกลับวัง พอถึงมุมวังเปรมประชากร ของกรมหลวงชุมพรฯ รถรางซึ่งแล่นมาเร็วเต็มที่ และมิได้ให้สัญญาณก็พ้นมุมออกมา พอชนเอารถของพระองค์ตกลงไปในคลอง ทั้งพระองค์และมหาดเล็กไม่บาดเจ็บอะไรนักนอกจากฟกช้ำดำเขียว ฉลองพระองค์เต็มพระยศได้กันกระจกที่แตกละเอียดไว้ได้ สิ่งแรกที่ขึ้นมาจากคลอง แทนที่จะตั้งศาลเตี้ยชำระความ แต่กลับไปแจ้งความที่โรงพักเพื่อให้ตำรวจตัดสินคดี ซึ่งผิดวิสัยของเวลานั้น ซึ่งเป็นอย่างที่ ส.ธรรมยศ กล่าวไว้ในบทความเรื่อง “ดร.ดิลกแห่งสยาม” ว่าพระองค์ เป็น “เจ้าอย่างสามัญชน” ไม่โปรดคำราชาศัพท์ ชอบคุยเรื่องต่างๆสนุกสนาน
ส. ธรรมยศ กล่าวไว้ในบทความเรื่องดังกล่าวว่า การที่พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ต้องปลงพระชนม์พระองค์เองนั้น เนื่องจากสภาพความกดดันต่างๆ มากมายในสมัยนั้น หนึ่งด้วยการที่พระองค์มีดีกรีเป็นถึง ดอกเตอร์ ซึ่งเจ้านายในสมัยนั้น ไม่มีใครที่ได้ดีกรีถึงขั้นนี้ อย่างมากก็แค่ปริญญาโทเท่านั้นเอง ความอิจฉาริษยาของผู้คนรอบข้าง มักจะนำมาซึ่งความเดือนเนื้อร้อนใจอยู่เสมอ ๆ และประเด็นใหญ่ก็ด้วยเหตุที่พระองค์ มีพระมารดาเป็นเจ้าหญิงจากเชียงใหม่ ซึ่งในขณะนั้นสยามยังมองเชียงใหม่ว่า เป็น “ลาว” ความแตกต่างทางเชื้อชาติ ระหว่างสยามและล้านนายังมีอยู่ในใจลึก ๆ ของชาวสยามอยู่นั่นเอง จนถึงขั้นที่กล่าวหาพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐว่า จะคิดแยกล้านนาออกจากสยามประเทศ ซึ่งทำให้พระองค์ช้ำใจมาก ทั้งที่พระองค์ได้เสด็จไปดินแดนล้านนาเพียงครั้งเดียว ซึ่งข้อกล่าวหานี้จะเป็นเพียงเพราะที่พระองค์มีพระมารดาเป็นชาวเชียงใหม่เท่านั้นเอง ทว่าข้อหานี้เป็นข้อหาที่หนักหน่วงเอาการ ความทุกข์ ความกดดันกับมรสุมที่เข้ามาในชีวิต และการที่ต้องฟันฝ่ากับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากชาวสยามในสมัยนั้นจนประสบความสำเร็จยิ่งกว่าใคร คงทำให้พระองค์ทรงเศร้าหมอง จนทำให้ตัดสินพระทัยปลิดพระชนม์ชีพไปขณะที่อยู่ในวัยอันน้อยนิด ซึ่งนับเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันทรงคุณค่าไปอย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง
ที่มา หนังสือ ราชกุลวงศ์, วิกิพีเดีย ,http://atcloud.com/stories/๘๔๗๐๗