เรื่องเล่าจากแฟนเพจ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ "#คนที่โดนเวนคืนที่ดิน" #จากการสร้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ FB Supitchanan Pattasayakul ได้เล่าว่าบุคคลในรูปภาพคือคุณตาของเธอ

- 68590.jpg (39.18 KiB) เปิดดู 3850 ครั้ง
ท่านเป็นเจ้าของเดิมของที่ดินใกล้ๆโรงอาหารคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายจะสร้าง มช.ก็มีการเจรจาขอเวนคืนที่ดินกับชาวบ้าน ซึ่งเจ้าของที่ดินก็ให้ความร่วมมือ โดยครอบครัวของเธอนำเงินที่ได้จากการเวนคืนที่ดินไปซื้อที่บริเวณ มช.ซอย ๗ และอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับคุณ Sunun Panupaisal เล่าว่า ตอนแรกรัฐบาลตั้งใจจะสร้างมหาวิทยาลัยที่จังหวัดพิษณุโลก แต่ราคาที่ดินแพง ต่างกับเชียงใหม่ที่ส่วนหนึ่งให้ฟรี ส่วนหนึ่งก็ราคาถูกกว่ามาก #กว่าจะมาเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีผู้มีอุปการคุณเป็นจำนวนมาก ที่เสียสละ ย้ายที่อยู่อาศัย เพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษาเล่าเรียน เป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาคแห่งแรกแห่งนี้
คุณ Supitchanan Pattasayakul เล่าเป็นภาษาเหนือ ดังนี้ “นี่คือ ฮูปป้ออุ๊ย(คุณตา) ของข้าเจ้า บ้านเดิมป้ออุ๊ยอยู่ตรงจุดตี้โกล้กับโฮงอาหารคณะวิศวะฯ มช.ในปัจจุบัน...แม่เล่าหื้อฟังว่า ต้นตระกูลข้าเจ้าเกิดและอยู่ในตี้ดินผืนหั้นกั๋นมาแต่ดั้งเดิมเป๋นทอดๆ จากรุ่นสู่รุ่น (แม่เกยปาไปผ่อตวยว่า บ้านเก๊าของป้ออุ๊ยอยู่ตั๊ดใด) พอรัฐบาลมีนโยบายจะสร้างมหา"ลัย ทางก๋ารเปิ้นก่อมาเจรจาขอเวนคืนตี้ดิน จาวบ้านตึงหมดก่อหื้อความร่วมมือจ้าดดี เพราะเปิ้นก่อต่างดีใจ๋ตี้เจียงใหม่เฮาจะมีมหา'ลัยไว้หื้อลูกหลานได้ฮ่ำได้เฮียนสูงๆ ต๋อนนั้นก่อมีก๋ารทำตี้ดินจัดสรรขาย แหมะๆฮั้ว มช.ในปัจจุบัน พอป้ออุ๊ยได้เงินค่าเวนคืนตี้ดินมา แกก่อไปซื้อตี้แป๋งบ้าน ก่อคือ เขยิบออกมาบะไกล๋จากตี้อยู่เดิม ตระกูลตางแม่และญาติๆนับเป๋นคนกลุ่มแรกตี้มาบุกเบิกสร้างบ้านอยู่ตรงหั้น (หลัง มช.ซอย 7 ซอยเยื้องๆกับประตู๋หอนาฬิก๋า) เกิดมาแต่หน้อยๆข้าเจ้าก่อได้ยินจื้อ แม่นายกิมฮ้อ แต่บะเกยเจอตั๋วเปิ้นนะเจ้า เวลาไปทำบุญตี้วัดฝายหินซึ่งเป๋นวัดตี้อยู่ติดกับฮั้ว มช. ข้าเจ้าก่อจะต้องก๋ายบ้านแม่นายตลอด (ตางขึ้นหลิ่งไปร้านอาหารกาแล) บริเวณเขตบ้านแม่นายกิมฮ้อกว้างขนาด ข้าเจ้าเกยเข้าไปแอ่วสมัยละอ่อน เพราะมีคนฮู้จักเป็นคนงานดูแลสวนหื้อแม่นาย ถึงแม่นายกิมฮ้อเปิ้นจะต๋ายไปเมินแล้ว แต่ ลูกเปิ้นก่อยังเก็บตี้แปลงนี้ไว้เต๊าบะเดี่ยว...แม่บอกว่า ตอนเวนคืนตี้ดินหื้อตางก๋าร ป้ออุ๊ยกึ๊ดไว้ว่า ซักวันนึงขอหื้อมีลูกหลานเปิ้นได้เฮียนในฮั้ว มช.และข้าเจ้าก่อทำหื้อเปิ้นสมหวังได้...สมัยก่อนสอบเข้า มช.ประกาศผลสอบตางทีวี ป้ออุ๊ยนั่งหน้าจอลุ้นแหมะฮาก เปิ้นบอกไว้ว่า ถ้าสอบติด มช.เปิ้นจะหื้อค่าขนม ๕๐๐ พอฮู้ผลสอบ เปิ้นดีใจ๋ขนาด ฟั่งเดินไปหยิบตังค์ ๕๐๐ หื้อข้าเจ้าโวยว่อง
ส่วนคุณ Sunun Panupaisal เล่าว่า “ใช่เลย เพราะเราเป็นเด็กอพ่อเราบอกว่าไม่ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กทม.แล้ว มีคนใจบุญหลายคนที่เชียงใหม่ยกที่ดินให้ ที่จริงรัฐบาลอยากตั้งมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือที่พิษณุโลก แต่ผู้ว่าฯและ ชาวบ้านขายที่ดินแพง ในขณะเดียวกันที่เชียงใหม่ให้ฟรี&ส่วนหนึ่งขายให้ราคาถูก จึงเป็นเรื่องโชคดีของเชียงใหม่จ้า พ่อเราพาไปเที่ยวเชียงใหม่ ๒๕๐๗ พาเข้าไปเที่ยวในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย แต่ตอนนั้นเราค้านในใจเพราะอยากไปเรียนมหาวิทยาลัยในกทม. แต่ในที่สุดก็มาเป็นลูกศิษย์มช.อันเป็นที่รักของเราจ้า”
ขอขอบคุณเรื่องเล่าทุกเรื่อง ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน...
ด้านล่างเป็นข้อมูล #ประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“เราต้องการมหาวิทยาลัยประจำลานนาไทย”
“เพื่อศักดิ์ศรีของคนเมือง เราต้องมีมหาวิทยาลัยแห่งลานนาไทย”
“จงสู้จนสุดใจขาดดิ้น เพื่อมหาวิทยาลัยแห่งลานนาไทย”
ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงการเรียกร้องของประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงที่ต้องการให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นทั้งสิ้น หากจะกล่าวไปแล้วความคิดในการขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาออกสู้ภูมิภาคมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ในสมัยของพันเอก หลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนาวาเอกหลวงสินธุสงครามชัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้เชิญ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในขณะนั้นไปปรึกษา เรื่องการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค แต่ในที่สุดก็ต้องหยุดชะงักไปเพราะเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา
ต่อมาได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้งเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลง กล่าวคือเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ นายทองดี อิสราชีวิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเรื่องมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ กระทู้ดังกล่าวเป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลพิจารณาขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาออกไปสู่ภูมิภาคตามที่เคยดำริไว้แต่เดิม ซึ่งสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของประชาชนชาวเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นคือ “หนังสือพิมพ์คนเมือง” ซึ่งมีนายสงัด บรรจงศิลป์ เป็นบรรณาธิการ ได้เสนอข่าวการตั้งกระทู้ถามของนายทองดี อิสราชีวิน เรื่องมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งเชิญชวนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านหนังสือพิมพ์ดังกล่าวนั้นด้วย
เหตุการณ์เริ่มเข้มข้นขึ้นตามลำดับ เมื่อหนังสือพิมพ์คนเมือง ฉบับวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๖ ได้เริ่มต้นรณรงค์เรียกร้องให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยภาคเหนือขึ้น และนับตั้งแต่ฉบับวันที่ ๖ มิถุนายน –๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๖ รวม ๘ สัปดาห์ต่อเนื่องกัน ผ่านทาง “บทนำ” และคอลัมน์ “ออกข่วง” ซึ่งตั้งหัวข้ออภิปรายเรื่อง “ ควรตั้งมหาวิทยาลัยภาคเหนือหรือไม่?” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี
ข้อคิดเห็นส่วนใหญ่ต้องการให้มีมหาวิทยาลัยภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ทั้งสิ้น เช่น ให้เหตุผลว่า “…..เป็นการเผยแพร่ศีลธรรม วัฒนธรรม และจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นลานนาไทย…..เชียงใหม่เป็นนครที่ใหญ่กว้างขวาง ภูมิประเทศเหมาะแก่การจะเป็นเมืองมหาวิทยาลัยมาก ทั้งอากาศก็สบาย การคมนาคม การสาธารณูปโภคก็สะดวกสมบูรณ์….”
ไม่เพียงแค่การเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องของหนังสือพิมพ์คนเมืองเท่านั้น ประการสำคัญได้มีการพิมพ์บัตรวงกลมสีแดงเข้ม บัตรแสตมป์สีแดงเข้ม และบัตรห่วงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งล้วนแต่พิมพ์ข้อความที่เป็นการเรียกร้องให้มีมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น โดยสิ่งเหล่านี้ได้แจกจ่ายเผยแพร่ให้แก่สาธารณชนทั้งในเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง รวมทั้งเผยแพร่ไปทั่วประเทศ
อาจกล่าวได้ว่านอกจากหนังสือพิมพ์คนเมืองจะเป็นหลักในการเรียกร้องมหาวิทยาลัยแล้ว หนังสือพิมพ์คนเมืองของจังหวัดเชียงใหม่ และหนังสือพิมพ์ไทยล้านนาของจังหวัดลำปางก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน โดยการเป็นสื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น รวมทั้งการรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของการเรียกร้อง
บัตรห่วง แสตมป์ และป้ายวงกลมการเรียกร้องมหาวิทยาลัย
ประชาชนชาวเชียงใหม่ได้เรียกร้องให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยแสดงความคิดเห็นเรียกร้องให้ตั้งมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาคผ่านคอลัมน์ “ออกข่วง” ของหนังสือพิมพ์คนเมืองซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและได้โฆษณาเผยแพร่ข้อความเรียกร้องในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ด้วย เช่น “จงสู้จนสุดใจขาดดิ้น เพื่อมหาวิทยาลัยแห่งลานนาไทย” และ “เพื่อศักดิ์ศรีของคนเมือง เราต้องมีมหาวิทยาลัยแห่งลานนาไทย” เป็นต้น นอกจากการรณรงค์ผ่านบทความและข้อความโฆษณาแล้วหนังสือพิมพ์คนเมืองยังได้พิมพ์บัตรต่างๆเพื่อแจกจ่าย นักเรียนและประชาชน ดังต่อไปนี้
๑. บัตรแสตมป์สีแดงเข้ม มีข้อความเขียนไว้ว่า “เราต้องการมหาวิทยาลัยประจำลานนาไทย” มีวัตถุประสงค์ให้นำไปติดไปกับซองจดหมายคู่กับดวงตราไปรษณีย์หรือปิดบนเอกสารคู่ไปกับอากรแสตมป์และติดทั่วๆไปตามแต่ผู้ใช้จะเห็นสมควรเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงความต้องการของชาวเชียงใหม่
๒. บัตรวงกลมสีแดง มีข้อความเขียนว่า “ในภาคเหนือ เราต้องการ มหาวิทยาลัย โปรดร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งมหาวิทยาลัย ประจำภาคเหนือ”
๓. บัตรห่วงมหาวิทยาลัย มีข้อความเขียนว่า “ห่วงมหาวิทยาลัย เราประชาชนคนภาคเหนือมีความเชื่อมั่นว่า การจัดให้มีสถาบันการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยขึ้นในลานนาไทยนั้นเป็นความจำเป็นอย่างรีบด่วน เราเชื่อว่าอนาคตและความวัฒนาสถาพรของลานนาไทยนั้นขึ้นอยู่กับแรงปณิธานของลูกลานนาไทยทุกคน เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้เท่านั้น ที่จะเป็นแหล่งผลิตปัญญาชนคนลานนาเพื่อออกไปทำประโยชน์และเป็นผู้นำของลานนาไทยในอนาคต” บัตรนี้มีความประสงค์ที่จะให้นักเรียนและประชาชนทั้งหลายส่งไปถึงญาติมิตรแล้วให้กระจายเพิ่มขึ้นไปทั่วประเทศ
นอกจากหนังสือพิมพ์คนเมืองจะเป็นสื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเพื่อเรียกร้องมหาวิทยาลัยในภาคเหนือแล้ว ในขณะนั้นหนังสือพิมพ์ไทยลานนาแห่งจังหวัดลำปางก็ได้เสนอข่าวและความเคลื่อนไหวในการเรียกร้องมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน
การรณรงค์เรียกร้องของชาวลานนาไทยที่ต้องการมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ แม้จะไม่ได้ผลในทันที แต่ก็เป็นการกระตุ้นเตือนรัฐบาลให้เริ่มคิดอย่างจริงจังในเวลาต่อมา
ที่มา หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)