- 1044640_614732068551880_207054831_n.jpg (54.76 KiB) เปิดดู 3858 ครั้ง
สังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน
นามเดิม วงศ์ หรือ ชัยวงศ์ นามสกุล ต๊ะแหนม เกิดที่ ตำบลหันก้อ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เกิดเมื่อ วันอังคาร เดือน ๗ (เหนือ) แรม ๒ ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๕๖ เวลา ๒๔.๑๕ นาฬิกา โยมบิดาชื่อ น้อย จันต๊ะ (ถึงแก่กรรม เมื่ออายุ ๔๔ ปี) โยมมารดาชื่อ บัวแก้ว (ถึงแก่กรรม เมื่ออายุ ๗๘ ปี) จำนวนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๘ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓ มีน้องต่างบิดาอีก ๑ คน รวมเป็น ๙ คน ดังนี้
๑. เด็กหญิงคำเอื้อย ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
๒. เด็กชายก่องคำ ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
๓. เด็กชายวงศ์ ปัจจุบัน หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา (ถึงแก่มรณภาพ)
๔. เด็กชายคำตั๋ว ปัจจุบัน นายคำตั๋ว
๕. เด็กหญิงบัวผัน ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
๖. เด็กหญิงบัวใย ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
๗. เด็กหญิงเฮือนมูล ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
๘. เด็กชายอินปั๋น ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
๙. เด็กชายหมอก ปัจจุบัน นายหมอก (เคยอุปสมบทกับหลวงปู่)
ชีวิตในวัยเด็ก
หลวงปู่เกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนาที่ยากจน พ่อแม่ของท่านมีสมบัติติดตัวมาแค่นา ๓-๔ ไร่ ควาย ๒-๓ ตัว ทำนาได้ข้าวปีละ ๒๐-๓๐ หาบ ไม่พอกินเพราะต้องแบ่งไว้ทำพันธุ์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ใส่บาตรทำบุญบูชาพระ ส่วนที่เหลือจึงจะเก็บไว้กินเอง ต้องอาศัยขุยไผ่ขุยหลวกมาตำเอาเม็ดมาหุงแทนข้าวและอาศัยของในป่า รวมทั้งมันและกลอยเพื่อประทั้งชีวิต บางครั้งต้องอดมื้อกินมื้อก็มี แม่ต้องไปขอญาติพี่น้องๆ เขาก็ไม่มีจะกินเหมือนกัน แม่ต้องกลับมามือเปล่าพร้อมน้ำตาบนใบหน้า มาถึงเรือน ลูกๆ ก็ร้องไห้เพราะหิวข้าว แม้ว่าครอบครัวของท่านต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอดทนอยาก แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งเรื่องการทำบุญให้ทาน ข้าวที่แบ่งไว้ทำบุญ แม่จะแบ่งให้ลูกทุกคนๆ ละปั้นไปใส่บาตร บูชาพระพุทธทุกวันพระ
ชีวิตของ หลวงปู่ในสมัยเด็กมีความลำบากยากแค้นมาตลอด หลวงปู่มีนิสัยชอบพึ่งตนเองสิ่งใดที่ทำได้โดยไม่เกินกำลังแล้วจะทำเองทุกอย่าง ท่านเป็นนักพัฒนา นักก่อสร้าง และสนใจในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เล็กๆ ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่ออายุประมาณ ๓ ปี ท่านชอบเอาดินมาปั้นแต่งเป็นบ้าน ปั้นวัว ปั้นควาย อายุ ๔-๕ ปี ชอบปั้นพระพุทธรูป เอาข้าวเปลือกมาตบแต่งทำพระเนตรแล้วก็กราบไหว้เอง
อายุ ๕-๖ ปี พอที่จะช่วยโยมพ่อโยมแม่ทำงานได้ ในขณะนั้นโยมพ่อโยมแม่ไปทำนาซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้าน ระหว่างที่ข้าวออกรวง หลวงปู่ต้องไปไล่นกไม่ให้มากินข้าวที่ทำไว้ เวลาไปต้องไปแต่เช้า กว่าจะกลับก็มืดค่ำ ข้าวบางวันก็ได้กินบางวันก็ไม่ได้กิน เที่ยวเสาะหาอาหารตามป่าเขากินพอประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ
อายุ ๗-๑๒ ปี ท่านได้ไปหาบดินซึ่งเป็นขี้ค้างคาวในถ้ำกับโยมพ่อ นำมาทำเป็นดินปืนสำหรับทำบ้องไฟ (ทางเหนือเรียกดินไฟ) วิธีทำโดยการนำดินเหล่านี้ผสมกับขี้เถ้าแล้วเคี่ยวให้เข้ากัน เงินที่ได้เอามาซื้อแลกข้าวซึ่งในขณะนั้นราคาประมาณถังละ ๘๐ สตางค์ นับว่ามีราคาแพงมาก สมัยนั้น ๗ -๘ วัน ได้กินข้าวเท่ากำมือหนึ่งก็ดีมากแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งโยมพ่อพาลูกๆ ออกไปทำไร่ โยมแม่ได้นำอาหารกลางวันมาส่งให้ซึ่งประกอบด้วยขนุนที่ยังดิบอยู่นำมาต้มให้สุก พริกตำห่อด้วยใบตองห่อใหญ่และข้าวห่อเล็กๆ ห่อหนึ่ง โยมพ่อเรียกลูกๆ ทุกคนมานั่งรวมกันแล้วแบ่งปันอาหารให้กิน หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้วโยมพ่อจึงอบรมสั่งสอนลูกๆ ว่า
"ตอนนี้พ่อแม่อด ลูกทุกคนก็อด แต่ลูกๆ ทุกคนอย่าท้อแท้ใจ ค่อยทำบุญ ไปเรื่อยๆ บุญมี ภายหน้าก็จะสบาย"
แล้วท่านชี้มือมาที่ หลวงปู่ และกล่าวว่า
"ลูกเอ๋ยเราทุกข์ขนาดนี้เชียวหนอ ข้าวจะกินก็ไม่มี ต้องกินไปอย่างนี้ ค่อยอดค่อยกลั้นไปบุญมีก็ไม่ถึงกับอดตายหรอก ทรมานมานานแล้วถึงวันนี้ก็ยังไม่ตาย มันจะตายก็ตายไม่ตายก็แล้วไป ให้ลูกอดทนไปนะ ภายหน้าถ้าพ่อยังไม่ตายเสียก่อนก็ดีตายไปแล้วก็ดี บางทีลูกจะได้ 'นั่งขดถวาย หงายองค์ตีน (บวช)' กินข้าวดีๆ อร่อยๆ พ่อนี่จะอยู่ทันเห็นหรือไม่ทันก็ยังไม่รู้"
หลังจากโยมพ่อได้อบรมสั่งสอนลูกๆ ได้สักพักหนึ่งต่างก็แยกทางกันไปทำงาน